Skip to content

พลิกปฐพี 190-2

ตอนที่ 190-2

องครักษ์เขี้ยวมังกรไม่เคยก้มหัวให้ใคร!

ในแววตาที่ก้มตํ่าลงของพวกองครักษ์เขี้ยวมังกรก็พลันฉายแววไม่พอใจขึ้นมา นี่ก็ชัดเจนว่ากำลังมอบความไม่พอใจให้แก่หญิงสาวตระกูลฮวาที่ออกมากล่าววาจาผู้นั้น

“ชีวิตของพวกเขาก็สามารถเอามาเปรียบกับชีวิตของพวกเราได้รึ? พวกเราก็เป็นถึงรุ่นเยาว์คนสำคัญของสี่ตระกูลใหญ่!” หญิงนางนั้นกล่าวโต้กลับ

แววตาที่เต็มไปด้วยความดูแคลนของมู่ชิงเกอก็มองไปทางนาง “สี่ตระกูลใหญ่? นอกจากเอาขุมอำนาจเบื้องหลังตนข่มเหงคนอื่นแล้ว เจ้ายังทำอะไรได้อีก?”

ทันใดนั้นเอง นางก็ออกมือ วาดมือออกไปกลางอากาศ หญิงตระกูลฮวานางนั้นในระหว่างที่ไม่ได้ระมัดระวังตัวก็ถูกดูดขึ้นไปกลางอากาศ พุ่งไปทางมู่ชิงเกออย่างตื่นตระหนก

“หรุยหรุ่ย!”

หญิงสาวตระกูลฮวาคนอื่นพากันร้องเรียกชื่อของหญิงนางนั้นขึ้นเสียงหลง

คิดอยากจะช่วยเหลือแต่ก็ถูกจิ่งเทียนขัดขวางเอาไว้

“นายน้อยจิ่งท่านจะทำอะไร?” หญิงสาวตระกูลฮวาพวกนั้นก็มองไปทางเขาอย่างเกรี้ยวกราด

จิ่งเทียนพลันกล่าวเตือนขึ้นเสียงขรึม “ไม่อยากให้เรื่องราวใหญ่โตไปมากกว่านี้ ตอนนี้ก็หุบปากเสีย”

หญิงนางนั้นกัดฟันพร้อมกับมองไปทางเขาอย่างเกรี้ยวกราดหนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ขยับกายออกไป เพียงแต่ความกังวลในแววตาฉายแววเข้มขึ้น

ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกัน หญิงที่ชื่อหรุยหรุ่ยของตระกูลฮวานางนั้น ก็ได้พุ่งไปถึงเท้าของมู่ชิงเกอแล้ว

นางพอเงยหน้ามองขึ้น แต่เดิมคิดจะต่อว่ามู่ชิงเกอสักรอบ แต่ที่พุ่งเข้าสู่สายตาก็คือสัตว์ประหลาดหัวงูที่ถูกตีจนตายตัวนั้น ดวงตาที่เบิกกว้างของมันกำลังจับจ้องมา ที่นางอย่างแค้นเคือง

“กรี๊ด—–! กรี๊ด—– กรี๊ด—–” ฮวาเซียนหรุ่ยถูกทำให้ตกใจจนร้องเสียงแหลมขึ้นมา คิดอยากจะถอยออกไป

แต่ว่านางกลับค้นพบอย่างตื่นตระหนกว่า นางก็ไม่สามารถขยับตัวได้แม้แต่น้อย เหมือนราวกับว่าบนแผ่นหลังของตนถูกหินยักษ์กดทับเอาไว้ก็ไม่ปาน บีบบังคับ ให้นางต้องสบตาจ้องมองกับซากศพของสัตว์ประหลาดที่อยู่ใกล้ๆ เช่นนี้

มู่ชิงเกอยืนตระหง่านอย่างผู้อยู่เหนือกว่า จ้องมองไปทางนางอย่างดูแคลน “เพียงแค่ซากศพซากหนึ่ง เจ้าก็ยังจะหวาดกลัวถึงเพียงนี้ แล้วทำไมจะต้องเข้ามาที่นี่รนหาที่ตายด้วย? คนของข้าที่ต้องปกป้องนั้นมีเพียงข้า ไม่มีภาระหน้าที่ที่จะต้องไปดูแลเศษสวะเช่นพวกเจ้า เจ้าถูกช่วยเอาไว้หนึ่งชีวิตไม่รู้จักสำนึกบุญคุณก็พอทำเนา แต่นี่กลับยังไม่สำเหนียกว่าตัวเองนั้นเป็นตัวถ่วง กลับกัน กลับคิดว่าการได้รับการดูแลเช่นนี้เป็นเรื่องที่สมควร? สี่ตระกูลปรากฏศิษย์ดีเด่นอย่างเจ้าเช่นนี้? ข้าก็ไม่รู้ว่าจะกล้าไปชมเชยได้ยังไง”

“คุณชายมู่ หรุยหรุ่ยยังเล็ก ท่านที่เป็นผู้ใหญ่ก็อย่าได้เอาความกับคนเช่นนาง อย่าไปถือสานางเลย” หญิงนางนั้นที่ถูกจิ่งเทียนรั้งเอาไว้อดไม่ที่จะต้องเปิดปากขอร้อง

ฮวาเซียนหรุ่ยก็ถูกทำให้ตกใจกลัวจนเอาแต่ร้องไห้ไม่กล้าคิดจะไปกล่าวเถียงอีก

ความฮึกเหิมก่อนหน้าที่ทำให้กล้าปะทะฝีปากกับมู่ชิงเกอ พอมาอยู่ต่อหน้าของซากศพของสัตว์ประหลาดแล้วก็สลายหายไปตั้งแต่ต้นแล้ว

หญิงสาวนางนั้นหลังจากกล่าวขอร้องจบแล้ว ก็กล่าวเสริมขึ้นมาอย่างไม่วางใจประโยคหนึ่ง “ขอให้เห็นแก่หน้าคุณหนูฉินฉินของพวกเราสักครั้ง ขอคุณชายมู่ได้โปรดละเว้นนางด้วยเถอะ”

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไปทางนาง กล่าวว่ายิ้มเยาะ “ข้ากับคุณหนูฉินฉินของพวกเจ้าก็แค่พบหน้ากันไม่กี่ครั้ง ข้าทำไมจะต้องเห็นแก่หน้าของนางด้วย?”

หญิงนางนั้นสีหน้าซีดขาว ไม่รู้ว่าจะกล่าวว่าอะไรดี มู่ชิงเกอสบถเสียงเย็นขึ้นเสียงหนึ่ง ฮวาเซียนหรุ่ยที่ถูกกดเอาไว้บนพื้นอยู่ๆ ก็ถูกเหวี่ยงโยนออกไป เหวี่ยงโยนไปยังด้านหน้าของคนของตระกูลฮวา

“พาตัวนางไปเสีย ข้าไม่อยากจะขัดหูขัดตาอีก” มู่ชิงเกอกล่าวว่าเสียงเย็นยะเยือก

แต่เดิมนางก็ไม่ได้คิดจะฆ่าคน

หญิงสาวแซ่ฮวาผู้นี้วิ่งเสนอตัวออกมาเอง ก็ถือว่าทำให้นางได้ระบายความโกรธในใจออกไปเปราะหนึ่ง

“ฮึก ฮึก…” ฮวาเซียนหรุ่ยนอนฟุบอยู่กับพื้น ทั้งหวาดกลัวทั้งตื่นตระหนก ไม่กล้าไปสบสายตาอะไรกับมู่ชิงเกออีก

แต่ว่าคำกล่าวของมู่ชิงเกอกลับทำเอาหญิงสาวตระกูลฮวาไม่กี่นางนั้นพริบตาสีหน้ากลายเป็นซีดเหลือง

เพิ่งจะเข้ามาได้ไม่ทันไรก็พบเจอกับสัตว์ประหลาดเช่นนี้เข้า พวกนางไหนเลยจะกล้าจากไปเพียงลำพังอีก? รั้งอยู่รวมตัวกับกลุ่มคนก็ถือจะการปลอดภัยที่สุด

พวกนางยังคงลังเลไม่ยอมขยับ

มู่ชิงเกอเอ่ยยิ้มเยาะขึ้น “ทำไม? ไม่เต็มใจไป คิดอยู่รึไงว่าตอนที่พบกับอันตรายอีกครั้งจะใช้ชีวิตของคนอื่นไปปกป้องพวกเจ้า?”

คำกล่าวประโยคนี้ก็เสียดแทงจนหญิงสาวพวกนางสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว

ตอนนี้พวกนางก็มองไปยังฮวาเซียนหรุ่ยที่นั่งเอามือกุมหัว ตัวสั่นงันงกอยู่บนพื้นอีกครั้ง แววตาก็เติมไปความชิงชัง ถ้าหากนางไม่ปากมาก พวกนางก็คงไม่ถึงขนาดถูกมู่ชิงเกอไล่ออกไป

“ไปเสียซิ” มู่ชิงเกอตวาดขึ้นเสียงดัง

หญิงสาวตระกูลฮวาพวกนั้นอับจนหนทาง ทำได้แค่มองไปทางจิ่งเทียนท่าทางน่าสงสาร เอ่ยถามขึ้น “นายน้อยจิ่ง ท่านพอจะร่วมทางไปกับพวกเราได้หรือไม่?”

จิ่งเทียนในใจก็ไม่อยากไป ในเมื่อตอนนี้เขาก็รู้ว่าอยู่ที่นี่นั้นจะปลอดภัยกว่า

เพียงแต่พอคิดได้ว่ามู่ชิงเกอก็คงไม่อยากจะต้อนรับเขา ดังนั้นก็เลยเอ่ยขึ้น “จิ่งเทียนก็ขอขอบคุณเหล่าผู้กล้าทุกท่านที่ช่วยเหลือไว้ ณ ที่นี้ ขวดโอสถที่ทิ้งไว้ให้นี้ก็นับว่าเป็นการขอบคุณ ขอลา”

กล่าวจบเขาก็หยิบขวดโอสถออกมาจากตัวขวดหนึ่ง วางเอาไว้บนพื้นก่อนจะนำคนของตระกูลจิ่งกับคนของตระกูลฮวาจากไปพร้อมกัน

“จิ่งเทียนผู้นี้ทำไมถึงนิสัยเปลี่ยนไปเช่นนี้ได้?” จ้าวหนานซิงจับจ้องไปทางแผ่นหลังที่ห่างออกไปไกลของจิ่งเทียนพลางกล่าวกระซิบกระซาบขึ้น

ในความทรงจำของเขา จิ่งเทียนก็เป็นคนที่หยิ่งยโสมาก ถือเป็นคนที่ตาเชิดสูงไม่เห็นหัวใคร

“นั้นก็เพราะว่ามู่ชิงเกอของพวกเรานั้นแข็งแกร่งเกินไป!” เจียงหลีจ้องมองไปทางมู่ชิงเกอสีหน้าหยาดเยิ้ม

ผันตัวไปเป็นผู้หลงใหลตัวยงของนาง

จิ่งเทียนพอนำพาคนของตระกูลจิ่งกับตระกูลฮวาจากไป พวกที่เหลือก็เลยเหลือเพียงคนของแคว้นระดับสามแล้ว

เช่นนี้พอนับขึ้นมา ก็เหลือเพียงองครักษ์เขี้ยวมังกรส่วนหนึ่งกับทหารกล้าของของแคว้นลี่กับแคว้นอวี๋ที่ยังหาไม่เจอ

มู่ชิงเกอนิ่งขรึม สีหน้าค่อยๆ คลายความดุดันลงเล็กน้อย

สายตาของนางกวาดมองไปยังองครักษ์เขี้ยวมังกรที่ชันเข่าอยู่บนพื้น กล่าวเสียงเรียบว่า “ลุกขึ้นเถอะ”

เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรพอได้ยินก็ลุกยืนขึ้น แต่ก็ไม่ได้ถอยออกมา

มู่ชิงเกอกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ไม่เห็นด้วยที่พวกเจ้าจะชักดาบ เข้าช่วยเหลือผู้คนที่อยู่ในขอบเขตความสามารถที่ตนสามารถช่วยเหลือได้ แต่นั่นก็ต้องดูด้วยว่าพวกเจ้านั้นจะปลอดภัยไร้ความเสี่ยง เหตุการณ์เช่นเมื่อครู่ พวกเจ้าต่อกรไม่ไหวก็สมควรจะล่าถอยโดยเร็ว แต่ไม่ใช่ออกหน้าช่วยปกป้องคนที่ไม่เกี่ยวข้อง ใช้ชีวิตของตัวเองไปยื้อยุดสัตว์ประหลาด ชีวิตของพวกเจ้าสำหรับข้าแล้วนั้นสำคัญมาก รู้หรือไม่?”

“ทราบขอรับ! คุณชาย!”

เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรสะกดข่มความตื้นตันในใจของ ตนใช้นํ้าเสียงขึงขังตอบรับเสียงดังสนั่น

“นางก็ถึงกลับมีวาทะที่ปลุกเร้าอารมณ์ได้เช่นนี้” เจียงหลีส่ายหน้าทอดถอนใจ

จ้าวหนานซิงกับฟ่งอวี๋เฟยยิ้มน้อยๆ ไม่กล่าววาจา

มู่ชิงเกอจริงๆ แล้วก็ไม่เหมือนกับภายนอกที่แสดงท่าทีดุดันไม่สนใจใคร นางก็ถือเป็นคนที่มีอารมณ์ความรู้สึก เป็นคนใจกว้างและจริงใจอย่างแท้จริง! คนที่ได้รับการยอมรับจากนางก็จะถูกนางรับไปไว้ใต้ร่มเงา นี่ก็ถือเป็นโชควาสนาระดับใดกัน?

หลังจากเอ่ยสั่งสอนองครักษ์เขี้ยวมังกรเสร็จ มู่ชิงเกอก็กระโดดลงมากจากซากศพของสัตว์ประหลาด

นางใช้ปลอกเล็บที่แปลงมาจากทวนหลิงหลงกรีดผิวหนังของสัตว์ประหลาดออก ก่อนจะหยิบเอาแก่นอสูรออกมา

แก่นอสูรก้อนนั้นก็ดูแปลกตานัก ถึงกับเป็นสีดำ

แก่นอสูรเช่นนั้นนางก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่ว่าหากลองมองดูให้ละเอียด นางกลับค้นพบว่าสีดำนี้ก็เป็นเพราะด้านนอกของมันถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยหมอกสีดำ ชั้นหนึ่ง

หลังจากใช้พลังจิตสลายหมอกสีดำออกไปแล้ว แก่นศิลาอสูรก็เผยเนื้อแท้สีม่วงที่มีแต่เดิมออกมา ‘ที่แท้ก็เป็นสัตว์อสูรชั้นสีม่วง! แต่ว่าทำไมด้านนอกของศิลาอสูรถึงมีหมอกสีดำปกคลุมอยู่กัน?’ ในใจถึงจะมีข้อสงสัย แต่มู่ชิงเกอก็ยังเก็บแก่นอสูรลงไป นางพลิกหมุนกายมองไปทางกลุ่มคนพลางเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ก็ให้พก…” คำกล่าวยังไม่ทันจบ ท้องฟ้าอยู่ๆ ก็กลายเป็นดำมืดขึ้นมา เหมือนกับถูกเงาทาบทับเอาไว้

ไกลออกไปก็สามารถได้ยินรางๆ ถึงเสียงนกร้องจำนวนนับไม่ถ้วน

“ฝูงนกกลับรัง…” อยู่ดีๆ คำๆ นี้ก็แล่นเข้ามาในหัวของมู่ชิงเกอ ความคิดสายหนึ่งสว่างวูบขึ้น นัยน์ตาส่วนลึกเปล่งแสงสว่างวูบขึ้นมา กล่าวตะโกนไปทางพวกเจียงหลี “ข้ารู้แล้วว่าทำไมที่นี่ถึงเรียกว่าป่าอู๋ถง!”

พอกล่าวจบ นางก็เร่งรีบร้องตะโกนขึ้น “รีบหาที่หลบเร็วเข้า สะกดไอพลัง!”

เกิดเรื่องอะไรขึ้น?

ยังไม่ทันได้คิดอะไร คนทั้งหมดก็เร่งรีบหาที่หลบซ่อน ตามการสั่งการของมู่ชิงเกอ เอาเงาร่างของตัวเองแอบซ่อนเอาไว้

พวกเขาเพิ่งจะแอบเสร็จได้ไม่ทันไร ก็พลันได้ยินเสียงกระพือปีกดังระงมสะท้อนลงมาจากบนฟ้า เสียงร้องแสบแก้วหูจำนวนนับไม่ถ้วนของสัตว์เวหาดังสะท้อนมา ก้องกังวานไปทั่วทั้งยอดไม้

ท้องฟ้าที่อยู่ๆ มืดมิดลงก็ทำให้กลุ่มคนรู้สึกไม่ปลอดภัย เป็นอย่างยิ่ง

เสียงร้องเรียกที่ดังลงมาจากยอดไม้ด้านบนก็ยิ่งทำให้ผู้คนหวาดผวา

“ป่าอู๋ถงจริงๆ แล้วคืออะไรกันแน่?” เจียงหลีที่อยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอกล่าวเสียงเบา

แววตาใสกระจ่างของมู่ชิงเกอจับจ้องไปทางยอดไม้พวกนั้น กล่าวอธิบายขึ้นเสียงกดตํ่า “คำกล่าวโบราณบอกเอาไว้ว่าเฟิ่งหวงหากพบอู๋ถงก็จะร่อนลง ที่กล่าวไว้ก็คือสัตว์เทพเฟิ่งหวงชอบที่จะทำรังบนต้นอู๋ถง”

“แต่ว่าต้นไม้โบราณที่นี่ก็ไม่ใช่ต้นอู๋ถงนี่” เจียงหลีกล่าวอย่างไม่เข้าใจ

มู่ชิงเกอพยักหน้าขึ้นเบาๆ “ดังนั้นนี่ก็เป็นเพียงการอุปมาอุปไมย ต้นไม้โบราณพวกนี้ถึงแม้จะไม่ใช่ต้นอู๋ถง แต่มันก็ยังเหมือนกับต้นอู๋ถง สูงใหญ่ตั้งตระหง่าน ช่วงเวลายามเย็นก็มีจะมีฝูงนกบินกลับรัง สัตว์เวหาจำนวนนับไม่ถ้วนใช้ต้นไม้โบราณพวกนี้เป็นที่พักอาศัย ที่นี่ถึงจะดูเหมือนป่าแต่ความจริงแล้วมันก็เป็นรังของสัตว์อสูร! และที่สามารถใช้อู๋ถงเป็นชื่อได้ให้ข้าเดาสัตว์อสูรของที่นี่ก็น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสัตว์เทพเฟิ่งหวงอยู่สายหนึ่ง”

“อะไรนะ!” เจียงหลีในใจตกตะลึง

เพิ่งจะออกมาจากหุบเหวมารโลหิต นี่ก็ต้องมาเข้ารังของสัตว์อสูรเวหาอีกรึ?

อย่าอับโชคเช่นนี้ได้หรือไม่!

ให้คนได้พักหน่อยจะตายหรือไร?

อีกอย่างที่แย่ที่สุดก็คือ มู่ชิงเกอก็ได้คาดการณ์เอาไว้ว่า สัตว์เวหาพวกนี้มีความเกี่ยวข้องกับเฟิ่งหวง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version