ตอนที่ 192-1
กลุ่มสุนัขเฒ่าที่หน้าด้าน
“หึ ช่างซ่อนตัวได้เก่งจริงๆ!” ในตอนที่มองเห็นมู่ชิงเกอ หลานเฟยเยว่ก็เกิดอารมณ์ดีขึ้น อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว กวาดตามองด้านหลังของหลานเฟยเยว่ นอกจากศิษย์ของตระกูลหลานแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีก…
ช้าก่อน! นี่ไม่ถูกต้อง!
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอวาววาบ รู้สึกว่าคนของตระกูลหลานจะมีมากเกินไปหน่อย
ตอนที่เข้าสู่ช่องว่างแห่งการทดสอบนั้น จำนวนคนของตระกูลใหญ่ทั้งสี่ล้วนแต่เป็นตระกูลละหนึ่งร้อย แต่ตอนนี้ด้านหลังของหลานเฟยเยว่ที่อยู่ไม่ไกลก็ไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่งร้อยคน แต่เพิ่มมาเกือบสามสิบสี่สิบคน!
‘คนเหล่านี้คือใคร!’ มู่ชิงเกอกวาดตามองไป จมูกได้กลิ่นความไม่ถูกต้อง
“แม่นางหลานตามหาข้า?” มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยขึ้น
นัยน์ตาของหลานเฟยเยว่ฉายแววเยียบเย็น ท่าทางหยิ่งยโสเอ่ยว่า “แน่นอนว่าต้องหาเจ้า นี่เป็นเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของข้าที่เข้ามาในช่องว่างแห่งการทดสอบ หรือเจ้าจะคิดว่าข้าเข้ามาเพื่อหาแผ่นป้ายกัน”
มู่ชิงเกอหรี่ดวงตาเล็กลง
เจียงหลีเข้ามาที่ข้างกายของมู่ชิงเกอ เอ่ยเสียงเบาว่า “หลานเฟยเยว่คนนี้ไม่ได้มาดีแน่! ดูท่าพวกเราคงเดาไม่ผิด”
ตอนนี้ในที่สุดหลานเฟยเยว่ก็มองเห็นคนที่อยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอคนนั้น ดวงตาของนางหดตัวลง ขมวดคิ้วเอ่ย “เฉินปี้เฉิง ฮวาฉินฉินเหตุใดพวกเจ้าก็อยู่ตรงนี้ ด้วย?”
และก็ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือว่าเป็นฟ้าลิขิต หลังจากประโยคนี้หลุดออกไป ก็มีอีกหลายคนที่อยู่ดีๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่สุสานเทวะ มาอยู่ข้างกายของพวกเขา
เหล่าคนที่อยู่ดีๆ ปรากฏตัวนี้ มองคนมากมายที่ยืนอยู่อย่างมึนงง ส่วนมากล้วนแต่ตกใจจนเกือบจะเอาอาวุธของตัวเองออกมา
มู่ชิงเกอกวาดสายตามองไป แสงในแววตามืดลงหลายส่วน
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าแคว้นทั้งสามของแคว้นระดับสอง ยังมีคนตระกูลจิ่งที่เคยพบก่อนหน้ากับคนอื่นๆ ล้วนแต่มากันครบแล้ว แต่ว่าในกลุ่มของตระกูลจิ่งมองไม่เห็นหญิงสาวตระกูลฮวาที่เคยโต้เถียงกับนาง
ดูจากท่าทางแล้ว คงอดไม่ได้ที่จะใช้ยันต์เคลื่อนย้ายส่งตัวเองออกจากช่องว่างแห่งการทดสอบในการทดสอบช่วงหลัง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ดูเหมือนว่าในตอนนี้คนที่เข้ามาใน ช่องว่างแห่งการทดสอบจะอยู่กันครบแล้ว
การแข่งขันช่วงสุดท้ายดูเหมือนว่าจะสามารถเริ่มได้ตลอดเวลา
คนที่อยู่ดีๆ ก็โผล่ออกมาทำให้นัยน์ตาของหลานเฟยเยว่ฉายแววไม่พอใจ ที่นางมองก็คือคนเยอะเกินไปจะทำให้เรื่องราวสับสนวุ่นวาย
“ข้าต้องการที่จะชำระหนี้แค้นส่วนตัวกับมู่ชิงเกอ คนที่ไม่เกี่ยวข้องถอยออกไป!” หลานเฟยเยว่พูดอย่างตรงไปตรงมา
เจียงหลีนัยน์ตาฉายแววงงงวย พึมพำว่า “เป็นใครให้ความกล้าถึงขนาดนี้แก่นาง? หรือว่านางได้ลืมประสบการณ์ที่เจ้าทำให้นางได้เลือดไปแล้ว!”
“ฝั่งของนางมีคนเพิ่มมาหลายสิบคน” มู่ชิงเกอกระซิบเบาๆ
เมื่อถูกมู่ชิงเกอเตือน ดวงตาของเจียงหลีก็หดตัวลง กวาดตามองไปยังกองกำลังของตระกูลหลานทันที
คำพูดของหลานเฟยเยว่ทำให้คนหลายฝ่ายที่ปรากฏตัวออกมาชะงักไป
แต่ก็อย่างรวดเร็ว คนของแคว้นหรงก็ทำท่าเหมือนจะดูละคร ก้าวถอยออกไปหลายก้าว คนที่เป็นผู้นำประสานมือแล้วเอ่ยกับหลานเฟยเยว่ว่า “คุณหนูหลานจะชำระหนี้แค้นส่วนตัวกับคุณชายมู่แน่นอนว่าพวกเราจะไม่เข้าไปยุ่ง แต่ว่าบนตัวของคุณชายมู่จะต้องมีแผ่นป้ายอย่างแน่นอน แผ่นป้ายเหล่านี้…”
เขายังพูดไม่จบแต่ทุกคนกลับเข้าใจถึงความหมาย
นี่ก็จะเป็นอะไรได้ในเมื่อจุดมุ่งหมายของแต่ละแคว้นที่เข้ามาแย่งชิงก็คือแผ่นป้าย
ถึงแม้ว่าจะไม่มีการปรากฏตัวของหลานเฟยเยว่ หากพวกเขาพบกับพวกมู่ชิงเกอโดยลำพังก็ต้องเกิดฉากแย่งชิงขึ้นมาอยู่แล้ว
“แผ่นป้ายข้าไม่ต้องการ” หลายเฟยเยว่เอ่ย ความหมายก็คือ ใครอยากได้ก็เอาไป
ผู้นำคณะแคว้นหรงยิ้มออกมา ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แคว้นหรงได้ตัดสินใจเรื่องการวางตัวแล้ว ไม่ว่าต่อไปจะ เกิดอะไรขึ้น สำหรับพวกเขาแล้ว ก็เป็นเพียงแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในงานชุมนุมใหญ่หลินชวน มู่ชิงเกอนำพาแคว้นระดับสามหยิ่งผยองมาตลอดเส้นทาง ตอนนี้มีคนยินยอมลงมือสั่งสอนให้ เหตุใดพวกเขาจะไม่ยินดีเล่า?
แคว้นหรงถอยไปแล้ว แคว้นอวี่ก็ถอยออกไปด้านนอกตาม สร้างระยะห่าง
เหลือแต่แควันตี๋ ผู้นำคนนั้นมีวาสนาเคยพบเจอกับมู่ชิงเกอหนึ่งครั้ง มีความรู้สึกที่ดีต่อนาง แต่หลังจากครุ่นคิดแล้ว เขาก็นำคนของแคว้นตี๋ถอยออกไปรอบนอกเช่นเดียวกัน
หลานเฟยเยว่ใช้คำว่า ‘ความแค้นส่วนตัว’ มา พวกเขาที่มีสัมพันธ์กับมู่ชิงเกอก็ไม่เหมาะที่จะลงมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขายินยอมที่จะช่วยเหลือ คนเขาก็ไม่แน่ว่าจะต้องการ
หลังจากจัดวางสมดุลแล้ว คนของแคว้นระดับสองก็ล้วนแต่ไม่ขอร่วมลุยนํ้าขุ่นนี้
การถอยของแคว้นระดับสอง ทำให้ใบหน้าของหลานเฟยเยว่ฉายแววได้ใจ นางกวาดตามองไปที่เฉินปี้เฉิง ฮวาฉินฉินแล้วก็ยังมีจิ่งเทียน
‘เพียงแค่ทั้งสามตระกูลนี้ไม่ยุ่งวุ่นวาย วันนี้ก็จะเป็นวันตายของมู่ชิงเกอ!’ นัยน์ตาของหลานเฟยเยว่ฉายแววอำมหิต
จ้าวหนานซิงเข้ามาอยู่ที่ด้านหลังของมู่ชิงเกอ เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “จะปล่อยให้นางทำเช่นนี้ต่อไปอย่างนั้นหรือ?”
มู่ชิงเกอนิ่งไม่พูดจา
หลานเฟยเยว่กล้าทำเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องมีการเตรียมการมาก่อน ลางสังหรณ์ถึงวิกฤติที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ปกคลุมไปทั่วทั้งหัวใจของมู่ชิงเกอ รากฐานของตระกูลใหญ่ทั้งสี่นางในตอนนี้ก็ไม่สามารถจะเอาชนะได้โดย เฉพาะอย่างยิ่งในนี้ยังมีเงาของสำนักหมื่นอสูรและหอหลอมศาสตราอยู่ด้วย?
“พวกเจ้าก็ออกไปเถอะ” นิ่งคิดอยู่ในใจครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้นอย่างเด็ดขาดกับจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟย
ขณะเดียวกันนางก็กวาดตาไปมองที่เจียงหลี
แต่ว่า เจียงหลีกลับรู้ว่านางจะพูดว่าอะไร จึงเอ่ยตัดบทไปตรงๆ “เจ้าให้พวกเขาจากไปข้าก็ไม่ขัด แต่ว่าเจ้าอย่าได้ไล่ข้าไปเพราะข้าเข้ามาก็เพื่อเจ้า”
คำพูดของเจียงหลีทำให้มู่ชิงเกอหวั่นไหว “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
เจียงหลีกลับยิ้มอย่างขมขื่น “หากว่าวันนี้เปลี่ยนเป็นมีคนมาหาเรื่องกับข้า เจ้าจะหนีไปหรือไม่?”
ประโยคนี้ทำให้มู่ชิงเกอไร้คำพูดที่จะกล่าว
เพราะว่า หากพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ทางเลือกของนางก็จะเหมือนกันกับของเจียงหลี นางยังไม่สามารถพูดห้ามตัวเองได้ แล้วจะไปพูดบอกคนอื่นได้อย่างไร?
พออับจนหนทาง นางก็ทำได้เพียงแค่เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “ระมัดระวังตัวให้ดี สถานการณ์ดูไม่ดีก็ให้ใช้ยันต์เคลื่อนย้ายออกไป”
“อืม” รอยยิ้มในดวงตาของเจียงหลีเพิ่มความจริงจังขึ้นหลายส่วน
“ชิงเกอ เจ้าคิดจะให้พวกเรากลายเป็นทหารหนีทัพอย่างนั้นหรือ?” ในที่สุดจ้าวหนานซิงก็พบโอกาสที่จะพูด นํ้าเสียงของเขาดูใส่อารมณ์เหมือนกำลังโกรธกับคำพูดที่มู่ชิงเกอพูดกับเขาเมื่อครู่
ฟ่งอวี๋เฟยก็มีสีหน้าเยียบเย็นไม่ยินยอมพร้อมใจกับการจัดการของมู่ชิงเกอ
สายตาของมู่ชิงเกอค่อยๆ กวาดไปอยู่ที่ฝั่งของหลานเฟยเยว่เอ่ยว่า “นี่ไม่เรียกว่าหนีทัพแต่เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์”
“อย่าพูดมาก! อย่างไรก็แล้วแต่ ข้าเป็นศิษย์พี่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้า เจ้าอย่าได้คิดจะไล่ข้าไป!” จ้าวหนานซิงเอ่ยอย่างจริงจัง
ฟ่งอวี๋เฟยก็เอ่ยว่า “ท่านยังต้องช่วยข้าตามหามู่ยี่ ตามที่มอง ความหวังก็ใกล้จะสำเร็จแล้ว จะให้คนมาเอาชีวิตของท่านไปได้อย่างไร?”
“พวกเจ้า…” มู่ชิงเกอรู้สึกอยากจะร้องไห้อย่างขมขื่น
แต่ว่าในใจกลับเกิดความรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก นางสามารถสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามจากฝั่งตระกูลหลาน นางไม่เชื่อว่าทั้งสามคนนี้จะสัมผัสไม่ได้ แต่ว่าพวกเขา ในการเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งก็ยังเลือกที่จะอยู่ข้างนาง ร่วมสู้ร่วมถอยพร้อมนาง
มู่ชิงเกอกวาดสายตาไปยังองครักษ์เขี้ยวมังกรของตนเอง สามร้อยคน บนใบหน้าของทุกคนล้วนฉายแววเด็ดเดี่ยว พวกเขาไม่เคยคิดที่จะถอยหนี คิดแต่เพียงว่าจะรบอย่างไรเพื่อคุ้มครองมู่ชิงเกอ!
มุมปากของมู่ชิงเกอโค้งขึ้นในทันใด ความภาคภูมิใจพวยพุ่งออกมาจากหัวใจพร้อมกับกำลังใจที่สูงขึ้นเทียมฟ้า ดูเหมือนว่าถึงแม้ด้านหน้าที่ยืนอยู่จะเป็นฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่าก็ไม่อาจจะเอาชนะนางได้!
ใจของมู่ชิงเกอที่เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ทำให้หลานเฟยเยว่สัมผัสได้นางมองแต่เพียงผู้นำขบวนของอีกสามตระกูล เห็นพวกเขาล้วนแต่ยืนนิ่งอยู่จึงเอ่ยอย่างไม่ชอบใจว่า “อย่างไร? พวกเจ้าทั้งสามคนอยากจะยื่นมือเข้าร่วมด้วยอย่างนั้นหรือ?”
ฮวาฉินฉินยิ้มเยาะเดินออกมาเอ่ยกับหลานเฟยเยว่ “หลานเฟยเยว่ ตอนนี้นั้นเป็นงานชุมนุมใหญ่หลินชวน ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะมาจัดการกับความแค้นส่วนตัว”
คนที่ออกมาท้าทายนางคนแรกกลับเป็นฮวาฉินฉิน?!
หลานเฟยเยว่กวาดตามองนางอย่างเยียบเย็น เอ่ยพร้อมกับท่าทางที่ดูหยิ่งยโสว่า “เจ้าถือว่าเป็นตัวอะไร? ถึงได้กล้ามาสั่งสอนข้า?”
“เจ้า!” ท่าทีของหลานเฟยเยว่ทำให้ท่าทางของฮวาฉินฉินเปลี่ยนไป “หลานเฟยเยว่ เจ้าอย่าได้ทำเกินไปนัก! เจ้ายังคิดว่าตัวเองเป็นหงส์ของตำหนักหลีกงอีกงั้นหรือ? ไม่ใช่ว่าเป็นเพียงแค่ไก่ขนหลุดที่ถูกมหาปราชญ์ละเลยตัวหนึ่งก็เท่านั้น!”
“เจ้ารนหาที่ตาย—–!” ท่าทางของหลานเฟยเยว่เปลี่ยนเป็นอำมหิตขึ้นมา ในระหว่างที่ยกมือก็เห็นแสงสีเงินที่วาววาบไป ไอพลังที่แข็งกร้าวพุ่งไปที่ฮวาฉินฉิน
ตระกูลฮวาเลี้ยงดูบุตรสาวขึ้นมานั้นก็ไม่ได้เน้นที่พลัง ความสามารถของฮวาฉินฉินนั้นไม่สู้หลานเฟยเยว่ ในระดับพลังก็ไม่ใช่คู่ต่อกรของนาง
อยู่ดีๆ หลานเฟยเยว่ก็ลงมือ พลังที่โหดเหี้ยมอำมหิตพุ่งตรงเข้ามาที่ใบหน้าของนาง ทำให้นางหวาดกลัวจนร้องออกมา เกือบใช้จะยันต์เคลื่อนย้ายของตนเอง
ปัง—–!
เสียงดังกังวานก้องไปทั่วสุสานเทวะ
การโจมตีของหลานเฟยเยว่ต่อฮวาฉินฉินถูกมู่ชิงเกอรับไว้กลางทางทำให้ไม่เกิดอะไรขึ้น
ฮวาฉินฉินลอบถอนหายใจ ส่งสายตาซาบซึ้งไปให้มู่ชิงเกอ แต่น่าเสียดายที่มู่ชิงเกอไม่ได้เหลือบมองมาที่นางเลย ที่นางลงมือก็เป็นเพียงเพราะว่าฮวาฉินฉินล่วงเกินหลานเฟยเยว่เพื่อนาง ไม่มีเหตุผลอื่น
อีกอย่างคำกล่าวของฮวาฉินฉินที่พูดกับหลานเฟยเยว่ก็ถูกใจนางมาก
ใช่ ไก่ขนหลุด การเปรียบเทียบนี้ก็ไม่เลวเลย!