Skip to content

พลิกปฐพี 192-2

ตอนที่ 192-2

กลุ่มสุนัขเฒ่าที่หน้าด้าน

การโจมตีถูกขัดขวาง ก็ทำให้สีหน้าภายใต้ผ้าคลุมหน้าของหลานเฟยเยว่ แปรเปลี่ยน หว่างคิ้วดูดุร้ายมองไปที่มู่ชิงเกอ “เหอะ ยังคงเป็นประเภทชายหว่านเสน่ห์จริงๆ ยังไม่ทันไรก็เริ่มรักหยกถนอมบุปผาเสียแล้วหรือ?”

มู่ชิงเกอขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับนาง

เจียงหลีกลับไม่ยอม ยิ้มเยาะและพูดตรงๆ ว่า “ข้าที่เป็นภรรยาอย่างถูกต้องยังไม่ได้หึงหวง เหตุใดคุณหนูหลานจึงเริ่มหึงหวงก่อนเลียแล้ว? เจ้ากัดมู่ชิงเกอของข้าไม่ปล่อยเสียที เป็นเพราะอิจฉาใบหน้าที่งดงามของเขา หรือว่าเคืองที่เขาไม่มองเจ้ากันแน่?”

“พูดไร้สาระ!” หลานเฟยเยว่พูดอย่างแค้นเคือง

แต่ว่าในใจกลับรู้สึกหวั่นเกรง

นางแน่นอนว่าไม่ได้ชอบมู่ชิงเกอ แม้ว่าเขาจะโดดเด่นแค่ไหนแต่ภายในใจของหลานเฟยเยว่คนที่สามารถเป็นสามีของนางได้นั้นจากต้นจนสุดท้ายก็มีเพียงแค่ท่านมหาปราชญ์คนเดียว

อย่างไรก็ตามนางกลับรู้สึกหวั่นเกรงในคำกล่าวของเจียง หลี

นางกวาดตามองไปที่ใบหน้าอันงดงามไร้ที่เปรียบของมู่ชิงเกอ ในใจก็ค่อยๆ เกิดความอิจฉาขึ้นมา ใบหน้านี้เหตุใดถึงได้งดงามกว่านางได้?

เขาอาศัยใบหน้านี้ทำให้มหาปราชญ์หลงใหลอย่างนั้นหรือ?

ทำลายมัน! จะต้องทำลายมัน!

หลานเฟยเยว่สัมผัสได้ถึงเสียงร้องที่กู่ก้องอย่างบ้าคลั่งที่ดังออกมาจากใจของนาง ในชั่วพริบตานั้น ดูเหมือนว่านางจะควบคุมไม่อยู่ แส้ในมือสะบัดตรงไปที่ใบหน้าของมู่ชิงเกอ

อยู่ดีๆ นางก็บ้าคลั่งขึ้นมาทำให้คนของฝั่งมู่ชิงเกอล้วนแต่ตกใจ

มู่ชิงเกอกลับหันกายเบาๆ หลบการโจมตีของหลานเฟยเยว่ได้อย่างง่ายดาย ในตอนที่แส้ที่ถูกสะบัดออกไป แล้ววกจะกลับมาโจมตีต้านหลังของมู่ชิงเกออีกครั้งนั้น มันก็ถูกนางคว้าจับเอาไว้ได้

“เอ? เปลี่ยนแส้เส้นใหม่แล้วหรือ?” มู่ชิงเกอกวาดตามองดูแส้จ้องมองแวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ตระกูลหลานถือว่าร่ำรวยมั่งคงจริงๆ”

แส้เส้นใหม่ของหลานเฟยเยว่กลับเป็นยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติ!

ส่วนระดับก็ไม่ได้ตํ่าไปกว่าอันก่อนหน้านี้เลย แส้ได้ถูกมู่ชิงเกอจับไว้ได้อีกครั้ง หลานเฟยเยว่รู้สึกว่าตัวเองได้รับความอัปยศที่ยากจะทานทนใช้พลังจิตพุ่งเข้าสู่ แส้ทำให้แส้แตกสลายไป

เสียงแตกกระจายดังออกมา แส้ชั้นสมบัติเส้นใหม่ก็ได้ถูกทำลายแตกเป็นหลายส่วนทั้งอย่างนี้

ส่วนสีหน้าของหลานเฟยเยว่ก็ซีดขาว เห็นได้ชัดว่าการทำลายแส้เมื่อครู่ก็ไม่ได้ทำให้นางมีสภาพที่ดีเท่าไหร่ คนที่อยู่ในสถานการณ์ล้วนแต่มองนางอย่างแปลก ประหลาด ในใจของคนจำนวนไม่น้อยก็มีคำพูดประโยคหนึ่งดังขึ้นมาพร้อมกัน ‘คนรวยเอาแต่ใจ!’

มู่ชิงเกอเหลือบมองแส้ที่อยู่บนพื้นอย่างเสียดาย ดูแคลนการกระทำของหลานเฟยเยว่

ตอนนั้นเองเสียงอันเย็นชาของหลานเฟยเยว่ก็พลิ้วลอยมา “ขอแค่เป็นสิ่งที่เจ้าเคยสัมผัสแล้ว ข้าก็ล้วนแต่ไม่ต้องการ” ในนํ้าเสียงค่อยๆ กลายเป็นรังเกียจ ดูหมือนกับว่า

มู่ชิงเกอเป็นตัวแพร่โรคระบาด

มู่ชิงเกอกะพริบตา ยกมือขึ้นลูบๆ จมูก

ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ แล้วละก็ ซือมั่วก็ไม่รู้ว่าถูกตนเองจับไปกี่ครั้งแล้ว หลานเฟยเยว่ยังจะต้องการอีกไหม?

แน่นอน สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่แวบผ่านหัวของนางไปก็เท่านั้น

“คุณหนูใหญ่ อย่าลืมเรื่องสำคัญ!”ทันใดนั้น ในกลุ่มคนของตระกูลหลานก็มีคนเอ่ยเตือนเสียงเบาๆ ออกมาประโยคหนึ่ง

ประโยคนี้ทำให้นัยน์ตาของหลานเฟยเยว่ได้สติขึ้นมานิดหน่อย

และก็ทำให้มู่ชิงเกอและคนอื่นๆ เกิดความสงสัย

พวกเขามองไปยังคนที่เอ่ยปาก แต่ว่าคนๆ นั้นซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคน ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเป็นใคร อีกอย่าง นี่เป็นการค้นพบครั้งใหม่ของมู่ชิงเกอว่า คนของฝั่งตระกูลหลานนั้นไอพลังดูเหมือนจะยุ่งเหยิงมาก

นี่เป็นเพราะเหตุใด?

มู่ชิงเกอลอบขมวดคิ้วอย่างไม่ทิ้งร่องรอย หลานเฟยเยว่ใจเย็นลงมา มองไปทางฮวาฉินฉินอย่างข่มขู่หนหนึ่ง ส่วนคนที่โดนมองก็จ้องตอบกลับอย่างไม่เกรงกลัว ดูเหมือนกำลังพูดว่า ถ้าหากหลานเฟยเยว่กล้าทำร้ายนาง ตระกูลฮวาจะไม่ปล่อยนางเอาไว้อย่างแน่นอน

จากนั้นหลานเฟยเยว่ก็กวาดสายตาไปมองที่เฉินปี้เฉิงที่ ยังคงรักษาความนิ่งสงบอยู่ เอ่ยอย่างเยียบเย็นขึ้นว่า “เฉินปี้เฉิง ตลอดเวลาเจ้าก็สนใจแต่เรื่องการฝึกพลัง เรื่องความแค้นของบางคน เจ้าก็คงจะไม่ยื่นมือเข้ามาสอดกระมัง”

ในบรรดาคนของสี่ตระกูลใหญ่ ที่ทำให้นางหวาดเกรงมากที่สุดก็คือเฉินปี้เฉิง เพียงแค่เขาถอยออกไป เช่นนั้นอัตราความสำเร็จในการเอาชีวิตของมู่ชิงเกอก็จะยิ่งใกล้ขึ้นไปอีกก้าวหนึ่ง

ดูเหมือนนางจะลืมไปว่ามู่ชิงเกอนั้นเป็นเป็นคนที่เอาชนะเฉินปี้เฉิงได้

เฉินปี้เฉิงเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาคู่นั้นของเขาดูแข็งกร้าว มองหลานเฟยเยว่อย่างสงบ

ภายในสายตาของเขา อยู่ดีๆ หลานเฟยเยว่ก็รู้สึกใจสั่นกลัวขึ้นมา นางก็ไม่เคยยอมรับมาก่อนว่ามีพรสวรรค์ในการฝึกฝนที่แตกต่างจากเฉินปี้เฉิง แต่ว่าในตอนนี้นางก็รู้สึกว่านางไม่มีความกล้าพอที่จะต่อสู้กับเฉินปี้เฉิงเลย สายตาของเขาดูน่ากลัวเกินไป คนเช่นนี้ดูเหมือนว่าเกิดขึ้นมาเพื่อต่อสู้โดยเฉพาะ

นอกจากการต่อสู้แล้วก็จะไม่มีเรื่องอื่นหรือใครที่จะสามารถสั่นคลอนหัวใจของเขาได้!

ล้วนพูดแล้วว่าคนที่มีความตั้งใจนั้นน่ากลัว ในที่สุดหลานเฟยเยว่ก็ได้รับประสบการณ์นี้มาแล้ว

“คนของตระกูลเฉิน ทั้งหมดถอย ใช้ยันต์เคลื่อนย้ายออกไป” ในที่สุดเฉินปี้เฉิงก็เอ่ยปากประโยคนี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยเกิดความแปลกใจ และก็ทำให้หลานเฟยเยว่ดีใจ ส่วนมู่ชิงเกอเพียงแค่ขมวดคิ้วบางๆ อย่างไม่เข้าใจ

ถอยออกสามารถอธิบายได้ แต่ว่าเหตุใดจึงต้องถอยออกจากช่องว่างทดสอบด้วย?

ต้องการที่จะแก้ปัญหาเช่นนี้เลยหรือ?

เหล่าผู้กล้าของแคว้นระดับสองที่ถอยไปด้านข้างอยู่ก่อน แล้วล้วนแต่มองเฉินปี้เฉิงอย่างสงสัย

ส่วนเฉินปี้เฉิงที่พูดกับคนของตระกูลเฉิน ถ้าพูดหนึ่งก็ไม่เคยเป็นสอง ไม่อาจจะขัดขืนได้ ดังนั้นหลังจากที่เสียงของเขาหลุดออกไป คนของตระกูลเฉินก็ไม่มีใครที่ลังเล

ค่อยๆ ทยอยใช้ยันต์เคลื่อนย้ายหายไปจากที่เดิม “ดูท่ายันต์เคลื่อนย้ายจะไม่มีปัญหา” เจียงหลีลอบเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอกลับไม่ได้เอ่ยปาก นางเพียงแต่คิดว่า ไพ่สุดท้ายของตระกูลหลานยังไม่โผล่ออกมาก็ไม่ควรที่จะเคลื่อนไหวโดยพลการ

คนของตระกูลเฉินหายไปจากช่องว่างแห่งการทดสอบ นี่ทำให้หลานเฟยเยว่โล่งใจ แต่ว่าในตอนที่นางพบว่าเฉินปี้เฉิงยังยืนอยู่ที่เดิมนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เหตุใดเจ้าจึงยังอยู่ที่นี่อีก?”

ท่าทีของเฉินปี้เฉิงกลับเงียบสงบเดินมาทางมู่ชิงเกอ เขาไม่ได้สนใจหลานเฟยเยว่แต่กลับอธิบายกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าเป็นคู่มือที่หาได้ยาก ก่อนที่ข้าจะเอาชนะเจ้าได้ เจ้า ก็ไม่อาจสิ้นใจ”

จากนั้นเขาก็มองไปที่เจียงหลี พูดประโยคที่ทำให้นางตกตะลึงออกมา “หวงฝู่ฮ่วนให้ข้าดูแลเจ้า”

เจียงหลีกับหวงฝู่ฮ่วน?

ดวงตาของมู่ชิงเกอฉายแววเจ้าเล่ห์ขึ้นแวบหนึ่ง ดูเหมือนว่านางจะได้กลิ่นของความรัก

“เจ้าอย่าได้คิดเรื่องไร้สาระ! ข้าไม่ได้มองเขาเลย!” เจียงหลีเข้าใจสายตาของมู่ชิงเกอ ลอบยื่นมือออกไปหยิกเอวของนางเล็กน้อย

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะมองนางแวบหนึ่งไม่ได้พูดจา

นางเอ่ยกับเฉินปี้เฉิงว่า “เจ้าไม่ต้องอยู่ ข้าจะไม่ตายอย่างแน่นอน วางใจเถอะข้ารอที่จะต่อสู้กับเจ้า’’

แต่ว่าเฉินปี้เฉิงกลับยังยืนอยู่ข้างกายมู่ชิงเกออย่างดื้อดึง กวาดตาจ้องมองตระกูลหลานอย่างเยียบเย็น

ฉากนี้มองดูแล้วก็ทำให้หลานเฟยเยว่โมโหมาก ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

คำพูดของเฉินปี้เฉิงก็เหมือนกับการตบหน้านาง!

มีเฉินปี้เฉิงนำ ฮวาฉินฉินก็สั่งการว่า “คนของตระกูลฮวารับคำสั่ง ใช้ยันต์เคลื่อนย้ายถอยออกไป ห้ามขัดคำสั่ง ออกไปแล้วบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดในนี้ให้ประมุขฟัง ให้นางไปถามเอาความกับประมุขตระกูลหลาน”

“นายหญิงน้อย!” เหล่าสาวงามตระกูลฮวาไม่ได้ถูกอบรมอย่างเข้มงวดอย่างตระกูลเฉิน

การตัดสินใจของฮวาฉินฉินทำให้พวกนางเป็นกังวล

แต่ว่าภายใต้ความแข็งขืนของฮวาฉินฉินพวกนางก็ยังคงทยอยใช้ยันต์เคลื่อนย้ายออกไปจากช่องว่างแห่งการทดสอบ

เช่นเดียวกัน ฉากนี้ก็ทำให้หลานเฟยเยว่ชิงชัง

ในอกของนางเกิดความไม่สบายใจ ในใจก็เดียดแค้นบิดาของตนเองที่ไม่เหี้ยมโหดพอ หากว่าตั้งแต่ตอนเริ่มยอมรับตามข้อเสนอแนะของนาง นางก็คงจะ สามารถทำให้ทุกคนที่นี่ลงหลุมไปพร้อมกันกับมู่ชิงเกอได้!

อะไรคือทำเรื่องใหญ่เกินไปจะทำให้ผู้คนเกิดความสงสัย? อะไรคือไม่อาจจะล่วงเกินตระกูลอื่นๆ พร้อมกัน เพราะจะทำให้ตระกูลหลานถูกติฉินนินทา? ทั้งหมดล้วน แล้วแต่เป็นเพียงแค่ข้ออ้างของคนที่มีจิตใจอ่อนแอ!

ดูเหมือนว่าหลานเฟยเยว่จะโมโหมากขึ้น

ในเวลานี้จิ่งเทียนของตระกูลจิ่งก็เอ่ยปากออกมา “คนของตระกูลจิ่งรับคำสั่ง ใช้ยันต์เคลื่อนย้ายออกไป”

เขาก็ตัดสินใจอยู่ต่อเช่นเดียวกัน

การเลือกของจิ่งเทียนทำให้มู่ชิงเกอแปลกใจเล็กน้อย ไม่ใช่แค่นาง แม้แต่จ้าวหนานซิงก็มองจิ่งเทียนอย่างไม่เข้าใจ ดวงตาเผยแววครุ่นคิดออกมา

จิ่งเทียนค่อยๆ เดินไปหยุดลงข้างกายของมู่ชิงเกอ เขาไม่ได้หันไปมองใบหน้าที่โกรธเคืองจนแทบจะกลายเป็นสีม่วงของหลานเฟยเยว่ แต่กลับเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ข้าอยู่ต่อไม่ใช่เป็นเพราะว่าพวกเราล้วนแต่เป็นคนของโรงโอสถเช่นเดียวกัน แต่เป็นเพราะว่าข้าเชื่อในคำพูดของบิดาให้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าดีกว่าสร้างความแค้น ในเมื่อต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เช่นนั้นก็ต้องทำเหมือนกับการมอบฟืนกลางหิมะซึ่งมันดีกว่าการมอบดอกไม้ให้มากนัก”

มู่ชิงเกอยังไม่ได้พูดอะไร หลานเฟยเยว่ก็เอ่ยอย่างชิงชังว่า “มอบฟืนกลางหิมะ? จิ่งเทียนเจ้าไม่กลัวว่าแม้แต่ชีวิตก็ต้องมอบให้เลยหรืออย่างไร?”

จิ่งเทียนเอ่ยตอบว่า “ข้ายังมียันต์เคลื่อนย้าย” ความหมายในคำพูดของเขาก็คือ เขาสามารถสู้รบร่วมกับมู่ชิงเกอ แต่ก็ไม่ได้ตัดสินใจจะร่วมตายกับมู่ชิงเกอ

ความตรงไปตรงมานี้ทำให้คนไร้คำพูดที่จะต่อ

พูดถึงความเย่อหยิ่ง จิ่งเทียนกับหลานเฟยเยว่นั้นเป็นคนประเภทเดียวกัน ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาจะไม่มีความกระตือรือร้นที่จะเอาชนะมู่ชิงเกอแล้ว แต่ในนํ้าเสียงก็ยังคงรักษาความเย่อหยิ่งเอาไว้อยู่

เพียงแต่ว่าความเย่อหยิ่งนี้ไม่ได้ทำให้คนรังเกียจเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

คำพูดของจิ่งเทียนทำให้มู่ชิงเกอกลืนคำที่เดิมคิดจะพูดคืนกลับลงไป

ในเมื่อจิ่งเทียนก้าวออกมาเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับนาง การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เช่นนี้ นางก็ไม่จำเป็นต้องไปปลอบโยนอะไรเพื่อแสดงความขอบคุณ

นางกับคนเช่นจิ่งเทียนยากที่จะเป็นเพื่อนกันได้ แต่ว่าหากเป็นคนที่มีผลประโยชน์ร่วมกันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ในตอนนี้ทุกคนก็แบ่งกันออกเป็นสามกลุ่ม

นอกจากสองฝั่งที่เผชิญหน้ากันแล้ว ที่เหลือก็เป็นผู้ชมจากแคว้นระดับสอง

พวกเขาไม่สามารถจากไปได้เพราะว่าพวกเขาล้วนแต่โลภในแผ่นป้ายบนตัวของมู่ชิงเกอ

ดังนั้นพวกเขาจะต้องอยู่ต่อรอทั้งสองฝ่ายต่อสู้จนได้ข้อสรุป แล้วค่อยปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ทำการแย่งชิงแผ่นป้ายมา

การตัดสินใจเช่นเดียวกันนี้ก็ปรากฏขึ้นในใจของคนแคว้นหรง แคว้นอวี่และแคว้นตี๋ สายตาที่มองหน้ากันเต็มไปด้วยความเกลียดชังและหวาดระแวง

“เฉินปี้เฉิง ฮวาฉินฉิน จิ่งเทียน พวกเจ้าตัดสินใจที่จะร่วมลุยนํ้าขุ่นนี้เอง เช่นนั้นก็อย่าได้เสียใจภายหลังก็แล้วกัน!” หลานเฟยเยว่ตะคอกออกมา

ท่าทีของเฉินปี้เฉิงไม่มีร่องรอยของความหวั่นไหว จิ่งเทียนก็ยิ้มอย่างเย่อหยิ่ง

ฮวาฉินฉินยังไม่ยอมตายใจส่งสายตาเต็มไปด้วยความรักให้มู่ชิงเกอ ดูเหมือนว่าคิดจะใช้การร่วมเป็นร่วมตายในครั้งนี้ทำให้นางได้ความรู้สึกดีๆ จากมู่ชิงเกอ

“หลานเฟยเยว่ เจ้าอยากจะทำอย่างไร?” ในที่สุดมู่ชิงเกอก็เอ่ยปาก

ใจที่คิดอยากจะฆ่าของหลานเฟยเยว่จากเริ่มต้นจนสุดท้ายก็ไม่ได้ปิดบัง ที่นางอยากถามก็คือ หลานเฟยเยว่อยากจะฆ่านางอย่างไร?

“ข้าต้องการทำอย่างไรงั้นหรือ?’’ หลานเฟยเยว่ยิ้มเยาะ ล้วงเอาถุงผ้าที่นางนำมาด้วยออกมาจากเอว

ไม่เพียงแต่นาง คนสิบกว่าคนในกลุ่มของตระกูลหลานก็ล้วงเอาถุงผ้าออกมาจากร่างของตนเองเช่นเดียวกัน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version