ตอนที่ 196-1
เจ้าเป็นของข้าถึงจะถูกต้อง!
ปัง ปัง ปัง—–!
ในช่องว่างแห่งการทดสอบก็เหมือนกับจะถูกทำลายล้างก็ไม่ปาน แรงดึงดูดอันกล้าแกร่งสายหนึ่งทำการดูดกลืนทุกคนเข้าไปด้านใน ลากออกจากช่องว่างแห่งการฝึกฝน…
บนท้องฟ้าด้านบนของเทียนตู ท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงเจ็ดสีก็เหมือนกับถูกมือยักษ์ฝ่ามือฉีกกระชากออกอย่างแรง เผยให้เห็นรูโหว่อันบิดเบี้ยวสายหนึ่ง
เงาร่างของผู้คนนับไม่ถ้วนหัวห้อยตกลง ถูกเทตกลงมา
แน่นอนเหล่าชาวเมืองที่อยู่ห่างจากวังหลวงเหล่านั้น ก็มองเห็นเพียงแต่ว่ารูโหว่อันน่าหวั่นเกรงรูนั้น เห็นว่ามัน อยู่ๆ ก็มีของบางสิ่งร่วงตกลงมา นอกจากนั้นไม่ว่าอะไรก็มองไม่ชัด
แต่ถึงอย่างนั้นฉากภาพนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะก่อให้เกิดความตื่นตระหนกขึ้น ทำเอาเหล่าชาวเมืองของเทียนตูกลายเป็นหวาดผวานึกไปว่าวันสิ้นโลกมาถึงแล้ว
ชั่วขณะนั้นในเทียนตูก็ตกเข้าสู่ความโกลาหล
ถึงแม้ว่าทหารของอาณาจักรเซิ่งหยวนจะออกควบคุมสถานการณ์ตามที่ฝึกปรือมา แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นก็มีน้อยมาก
หอสรรพสิ่ง
“นายน้อย ทางวังหลวงเกิดเรื่องแล้ว!” บ่าวรับใช้เร่งรีบวิ่งมาตรงจุดที่หานฉายไฉ่อยู่ สีหน้าท่าทางร้อนรน
วังหลวง!
ในใจของหานฉายไฉ่กลายเป็นร้อนรน สาวเท้ายาวๆ ออกจากห้อง ออกไปยังระเบียงที่ยื่นออกไป ทอดสายตาจ้องมองไปยังท้องฟ้าบนวังหลวง
ในตอนที่รูโหว่อันน่าหวาดผวานั่นปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา นัยน์ตาคู่นั้นของเขาก็พลันหรี่เล็กลง ในดวงตารียาวปรากฏรอยกระเพื่อมสั่นไหว
ชั่วขณะนั้นเขาก็พลันกลายเป็นเงาพร่ามัวสายหนึ่ง หายลับไปจากจุดที่ยืนอยู่ พุ่งทะยานไปทางทิศทางของวังหลวง
“นายน้อย—–!” บ่าวรับใช้ที่ออกมาพร้อมกันหานฉายไฉ่ เสียงร้องเรียกยังไม่ทันเบาลง ตรงหน้าก็ไม่เหลือร่องรอยของหานฉายไฉ่แล้ว
ในตอนที่เขานึกว่านายน้อยของตนคงจากไปไกลแล้ว เสียงของหานฉายไฉ่อยู่ๆ ก็ดังสะท้อนขึ้นในหัวของเขา ทำเอาเขาตกอกตกใจ
“สั่งการลงไป คนของหอสรรพสิ่งไม่อนุญาติให้เคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า”
บ่าวรับใช้พลันสีหน้าเปลี่ยนสี เร่งรีบชันเข่าลงข้างหนึ่ง ขานรับท่าทางจริงจัง “ขอรับ!” ก็ไม่สนใจว่าการตอบรับนี้หานฉายไฉ่จะสามารถฟังได้ยินหรือไม่ เหตุผิดปกติในวังหลวงก็ทำเอาจวนพำนักของสี่ตระกูลใหญ่ในเทียนตูพากันตื่นตระหนก กลายเป็นโกลาหล
สาเหตุก็ไม่ใช่อื่นใด เพราะว่าประมุขประจำตระกูลของพวกเขาตอนนี้ล้วนแต่อยู่ในวังหลวง
และในตอนนี้ในวังหลวงก็เกิดเรื่องผิดปกติที่แม้แต่ใครก็ไม่สามารถสืบหาสาเหตุได้ ใครจะไปรู้ว่าประมุขประจำตระกูลของพวกเขาจะมีใครเกิดเรื่องหรือไม่?
ก็เหมือนกับมีการนัดหมายกันไว้ก็ไม่ปาน ทั้งสามตระกูลใหญ่นอกจากตระกูลหลานแล้วต่างพากันระเบิดพลัง ด้วยความเร็วอันสูงสุดพุ่งไปทางวังหลวง ในสายตาของชาวเมืองรอบนอกที่มองก็เหมือนกับว่าจะเห็นดาวตกสว่างจ้าปรากฏขึ้นสายแล้วสายเล่า พุ่งทะยานเข้าไปในวังหลวงอย่างต่อเนื่อง
ส่วนตระกูลหลานที่ถูกคนของตระกูลหวงฝู่และกองทัพของอาณาจักรเซิ่งหยวนรุมล้อมเอาไว้ ในชั่วขณะนั้นก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอันใด
แต่กลับเป็นเหล่าผู้อาวุโสที่ล้อมกรอบตระกูลหลานไม่กี่คนนั้น ที่พอเห็นวังหลวงเกิดความผิดปกติก็ล้วนแต่พากันสีหน้าเปลี่ยนสี ในใจเกิดกังวลขึ้นมา
“จะต้อกลับไปดูสักหน่อยหรือไม่?” ผู้อาวุโสหกเอ่ยถามขึ้น
ผู้อาวุโสอีกไม่กี่ท่านก็มีท่าทีลังเลเล็กน้อย ล้วนแต่พากันขยับสายตาไปจับจ้องตระกูลหลานที่ดูเงียบสงบ เงียบเชียบราวกับผืนนํ้าที่ไม่ไหวติง
พวกเขาก็อยากจะรู้มากว่าที่วังหลวงฝั่งนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ในเมื่อการอารักขาราชวงศ์หวงฝู่ไม่ให้ดับสูญถึงจะเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของพวกเขา แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังได้รับคำสั่งของหวงฝู่เฮ่าเทียนให้เฝ้าจับตาดูตระกูลหลานอยู่ที่นี่ ไม่อนุญาติให้ผู้ใดจากไป
ถ้าหากพวกเขาจากไปโดยพลการ ตระกูลหลานฝั่งนี้เกิดเหตุพลิกผันอะไรขึ้นมา นั้นก็ควรจะทำเช่นไร?
“ทุกท่าน” ก็ในตอนที่พวกเขากำลังลังเล นํ้าเสียงของอดีตประมุขตระกูลหลานอยู่ๆ ก็ดังขึ้นราวกับเสียงฟ้าฟาด
เสียงของเขาก็ไม่ได้คิดอำพรางปกปิด ดังสะท้อนขึ้นเหนือทั้งจวนตระกูลหลาน
แม้แต่ประมุขตระกูลหลานที่ทั้งซึมอยู่ในห้องก็ยังต้องเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ
อดีตประมุขตระกูลหลานอยู่ๆ ก็กล่าววาจา ผู้อาวุโสทั้งหกของราชวงศ์หวงฝู่ก็ล้วนแต่พากันประหลาดใจ ทั้งหกมองหน้าสบตากัน ก่อนจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ที่ก้าวยืนออกไป “มีเรื่องอะไร?”
ถ้าหากอยู่ในภาวะปกติ ปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บพอพบหน้ากัน แน่นอนว่าจะต้องกล่าวคำมากมารยาทกันสักรอบหนึ่ง
แต่ตอนนี้ในเมื่อสามารถยืนยันได้แล้วว่าตระกูลหลานมีจิตใจชั่วช้า พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับคนของตระกูลหลานอีก
ถึงต่อให้คนที่กล่าววาจาจะเป็นอดีตประมุขตระกูลหลานที่เหมือนกับว่าจะมีพลังฝึกปรือไปถึงขั้นกักเก็บขั้นสูงสุด มีพลังแก่กล้าที่สุดในหมู่ตระกูลหลานก็ตาม
การไร้มารยาทของผู้อาวุโสจากราชวงศ์ อดีตประมุขตระกูลหลานกลับไม่ได้ต่อว่าอันใด เพียงแค่สบถเสียงเย็นขึ้นอย่างไม่พอใจเสียงหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “วัง หลวงฝั่งนั้นชัดเจนว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น พวกเจ้ารู้สึกสงสัย ข้าเองก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้พวกเราออกไปดูด้วยกัน?”
“หึ เจ้าอย่าได้คิดจะใช้แผนล่อเสือออกจาถํ้า ใช้เจ้าเพียงคนเดียวดึงพวกเราออกไป หลังจากนั้นให้รุ่นเยาว์ ของพวกเจ้าเหล่านั้นหนีออกไป?” ผู้อาวุโสสามกล่าวอย่างดูแคลน
“บังอาจ! ตอนที่ข้ามีชื่อขึ้นมา เจ้าก็ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด ตอนนี้มีสิทธิ์อันใดมากล่าววาจากับข้า? ถอยไป!” ในสองคำหลังก็แฝงไว้ด้วยคลื่นเสียงดุดัน พุ่งกระแทกไป ทางผู้อาวุโสสาม
คลื่นเสียงของผู้ฝึกตนขั้นกักเก็บชั้นสูงสุดไหนเลยจะธรรมดาได้?
อธิบายเช่นนี้ก็แล้วกัน ต่อให้มีชั้นกักเก็บชั้นแรกเริ่มสิบคนก็ยังไม่สามารถเป็นคู่ต่อกรของชั้นกักเก็บระดับสูงสุดเพียงคนเดียวได้
ผู้อาวุโสสามดูจากไอพลังตอนนี้ก็เหมือนอยู่แค่ชั้นกักเก็บชั้นกลาง พอต้องเผชิญหน้ากับคลื่นเสียงของอดีตประมุขตระกูลหลานตรงๆ ชั่วขณะนั้นนัยน์ตาทั้งสองก็พลันหดเล็กลง สีหน้าเปลี่ยนสี
ในตอนที่คลื่นเสียงจะสะท้อนไปถึงผู้อาวุโสสาม ตรงหน้าของเขาก็พลันปรากฏเงาร่างสายหนึ่ง ผู้อาวุโสใหญ่ขวางรับอยู่ด้านหน้าเขา ฝ่ามือวาดออกไปหนหนึ่ง ก่อนจะสลายคลื่นเสียงของอดีตประมุขตระกูลหลานจนหายลับไปด้วยห่วงท่าสบายๆ
ผู้อาวุโสสามที่อยู่ด้านหลังผู้อาวุโสใหญ่ ลอบถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ไม่กล้ากล่าววาจาให้มากความอีก
ผู้อาวุโสใหญ่สีหน้านิ่งสงบ จ้องมองไปทางตระกูลหลาน กล่าวกับอดีตประมุขตระกูลหลาน “ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ ข้าผู้เฒ่าก็จะไปกับเจ้าสักครา”
“พี่ใหญ่!”
“ไม่ได้นะพี่ใหญ่!”
ผู้อาวุโสที่เหลือต่างพากันเกลี้ยกล่อม
ผู้อาวุโสหกกล่าวไปทางผู้อาวุโสใหญ่ “ตระกูลหลาน แต่ไหนแต่ไรมาก็เจ้าเล่ห์เพทุบาย พี่ใหญ่อย่าได้ออกไปเสี่ยงเลย”
ผู้อาวุโสใหญ่กลับโบกมือขึ้น กล่าวไปทางผู้อาวุโสเหล่านั้นเสียงตํ่าเบา “วังหลวงฝั่งนั้นเกิดเรื่องแล้ว ข้าจำเป็นจะต้องกลับไปดู พลังของข้ากับปีศาจแซ่หลานผู้นั้นมีระดับเดียวกัน ขอเพียงระวังเล็กน้อย ต่อให้เขาคิดอยากสังหารข้าจริงๆ ก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องง่ายดายอันใด พวกเจ้าห้าคนรั้งอยู่ที่นี่คอยขัดขวางการหลบหนีของคนตระกูลหลาน”
พอเห็นผู้อาวุโสใหญ่ได้ทำการตัดสินใจแล้ว ผู้อาวุโสไม่กี่ คนที่เหลือก็ไม่กล่าวอะไรให้มากความอีก ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างนิ่งเงียบ
“ว่ายังไง ปรึกษากันเสร็จแล้วรึ?” เสียงเย้ยหยันของอดีตประมุขตระกูลดังสะท้อนเข้ามา
คำกล่าวประโยคนี้ก็ทำเอาสีหน้าของผู้อาวุโสเหล่านั้นกลายเป็นไม่น่าดูขึ้น
ผู้อาวุโสใหญ่เงยหน้าสูงขึ้น “ไปเถอะ”
คำพูดพอจบลง ในส่วนลึกของจวนตระกูลหลานอยู่ๆ ก็ปรากฏเงาร่างสายหนึ่งกระโดดออกมา เงาร่างของคนผู้นั้นซูบผอม ดูแก่ชรา แต่ดวงตาคู่นั้นกลับปราดเปรื่องอย่างถึงที่สุด อีกทั้งในส่วนลึกของดวงตายังปรากฏความเป็นปรปักษ์อยู่สายหนึ่ง
บนใบหน้าของเขาประดับอยู่ด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน ทำเอาผู้’คนที่มองดูรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก
เขาก็คืออดีตประมุขของตระกูลหลาน เป็นปู่ของหลานเฟยเยว่!
อดีตประมุขตระกูลหลานพอปรากฏตัวออกมา ผู้อาวุโสใหญ่ก็ก้าวขึ้นมาด้านหน้า ต่อจากนั้นทั้งสองคนก็หายไปจากจุดที่ยืนอยู่พร้อมกัน ในตอนที่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็ได้ไปถึงรอบนอกของเขตวังหลวงแล้ว
ก้าวเดียวหนึ่งพันลี้ ความสามารถในการร่นระยะทางเช่นนี้ ก็มีเพียงคนที่พลังแตะไปถึงขั้นกักเก็บเท่านั้นถึงจะมีได้
ในตอนที่ทั้งสองคนปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ก็จ้องมองไปในแววตาของกันและกัน ซึ่งในนั้นก็ต่างเต็มไปด้วยความท้าทายอันดุดันที่ส่งให้แก่กัน
พอก้าวมาถึงขอบเขตเช่นพวกเขา ในหลินชวนก็ถือว่ายากนักที่จะได้พบเจอคู่มือ และพวกเขาต่างก็มีเหตุผลของตัวเองที่ไม่สามารถเดินทางออกจากหลินชวนไปจากตระกูล ดังนั้นก็เลยทำให้เกิดความรู้สึกเงียบเหงาที่เหล่ายอดฝีมือมักจะพานพบ
ยากนักที่จะได้พบกันคนที่มีความสามารถใกล้เคียงกัน คิดอยากจะประลองแพ้ชนะก็ถือเป็นเรื่องปกติ
ถ้าหากไม่ใช่เพราะตอนนี้สถานการณ์ไม่นำพา ไม่แน่ว่าตอนที่ทั้งสองคนพบหน้ากัน ก็จะประมือกันไปแล้ว!
“ผู้อาวุโสใหญ่หลายปีไม่ได้พบ ดูท่าว่าการฝึกปรือจะเพิ่มสูงขึ้นมาก วันหลังผู้แซ่หลานก็คงต้องขอคำชี้แนะสักหน่อยแล้ว” อดีตประมุขตระกูลหลานหัวเราะเสียง ดังก่อนจะกล่าวออกมา
ผู้อาวุโสใหญ่สีหน้าก็ยังคงเรียบเฉย กล่าวด้วยท่าทางขึงขังไม่ยอมอ่อนข้อ “ยินดีเสมอ”
ทั้งสองคนลอบประลองฝีปากกันรอบหนึ่ง ก่อนจะเดินก้าวออกไปพร้อมกันอีกครั้ง หายไปจากจุดที่ยืนอยู่
ในเวลาเดียวกัน ในเขตหวงห้ามของวังหลวง กลุ่มคนที่ถือเป็นพวกแรกๆ ที่หาวิธีช่วยเหลือ พวกหวงฝู่เฮ่าเทียน ก็พากันนิ่งชะงักยืนอยู่กับที่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเขาใครก็ไม่ได้คาดคิดว่า จุดทางเข้าของช่องว่างแห่งการทดสอบที่แต่เดิมอยู่บนท้องฟ้าของเขตหวงห้าม อยู่ๆ ก็จะถูกฉีกกระชากออกจนเกิดเป็นรูโหว่รูหนึ่ง พายุอันบ้าคลั่งที่หมุนวนอยู่ด้านในอย่างรุนแรงก็ดุดันมากจนทำให้เขาไม่กล้าเข้าใกล้
ต่อจากนั้นไม่ทันไร ก็มองเห็นตัวคนร่วงตกลงมาจากในรูโหว่นั้นทีละคนสองคน
คนที่ถูก ‘ส่ง’ ออกมาแต่ละคนก็ศีรษะวิงเวียน แม้แต่จะยืนก็ยังทรงตัวไม่อยู่ ทำได้เพียงนอนแผ่หลาอยู่กับพื้น สีหน้าซีดขาว
บ่งบอกอย่างชัดเจนว่ากระบวนการที่อยู่ๆ ถูก ‘ส่ง’ ออกมาอย่างกะทันหันนั้นทรมานมาก
กลุ่มคนที่แต่เดิมอยู่ในเขตหวงห้าม หวงฝู่ฮ่วนก็เป็นคนแรกที่ได้สติขึ้นมาก่อน ชี้นิ้วตะโกนไปทางคนผู้หนึ่งในนั้น “ไท่สื่อเกา!”
เขาพอร้องเรียกขึ้นเสียงหนึ่งก็ทำเอาหวงฝู่เฮ่าเทียนได้สติกลับมา
เขาจ้องเขม็งมองไป คนพวกนี้ที่ถูกคว้าหัวส่งออกมา ก็ไม่ใช่คนของตระกูลหลาน หอหลอมศาสตราและสำนักหมื่นอสูรหรอกรึ?
แน่นอนในนั้นก็ยังมีคนของแคว้นระดับสามพวกนั้นอยู่ด้วย แต่กลับถูกเขามองข้ามไป
ในที่สุดก็รอจนถึงตอนที่พวกคนที่เขารู้สึกชิงชังเข้ากระดูกดำปรากฏกายออกมา หวงฝู่เฮ่าเทียนร้องตวาดขึ้นเสียงดัง “ทหาร จับตัวโจรกบฏพวกนี้ไว้ให้เจิ้น!”
เขาพอสั่งการลงไปเสียงหนึ่ง กองทหารส่วนพระองค์ที่คอยเฝ้าคุ้มกันอยู่ตั้งแต่ต้น ก็พากันชักดาบออกมา ก่อนจะทำการล้อมกรอบคนทั้งหมดของตระกูลหลาน สำนักหมื่นอสูรและหอหลอมศาสตราเอาไว้
ส่วนพวกองครักษ์เขี้ยวมังกร จ้าวหนานซิง ฟ่งอวี๋เฟยที่ตกลงมาด้วยพวกนั้นก็กลับไม่มีใครสนใจ
ในรูโหว่อันน่าหวาดกลัวนั้นคนที่ตกลงมายิ่งมาก็ยิ่งน้อยลง
ประมุขตระกูลเฉินตอนเห็นลูกชายของตนที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือดตกลงมา เขาก็พลันร้องเรียกขึ้นเสียงหลง “ลูกสาม!”
ต่อจากนั้นก็ทะยานร่างบินออกไป พุ่งเข้าไปกลางอากาศรับตัวของเฉินปี้เฉิงที่กำลังตกลงมา พาเขากลับไปยังจุดที่ตระกูลของตนยืนอยู่ ก่อนจะเอาเม็ดโอสถที่พกติดตัวหยิบออกมา ไม่สนใจว่ามีจำนวนเท่าไร เอาทั้งหมดเทใส่ปากของเฉินปี้เฉิง