ตอนที่ 197-3
มีมหาปราชญ์หนุนหลังก็ช่างสุขสบายนัก!
”เสื้อผ้า! เอาเสื้อผ้าให้ข้า!” หลานเฟยเยว่ร้องเสียงแหลม ท่าทีบ้าคลั่งยิ่งมายิ่งหนักหนาขึ้น
ความเย็นที่กระทบผิว กับสายตาพวกนั้นที่ชอนไชมาบนร่างของนาง ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้นางกลายเป็นบ้าคลั่ง
ถึงแม้ว่านางจะเสียโฉม แต่ว่าเรือนร่างที่เย้ายวนผู้คนพวกนั้นก็ยังเพียงพอที่จะทำให้คนบางจำพวกเกิดความคิดอกุศลขึ้น สายตาอันอุกอาจพวกนั้นก็ไม่มีแววของ ความเกรงกลัว ล้วนแต่เต็มไปด้วยความหื่นกระหาย พากันจับจ้องไปบนร่างของหลานเฟยเยว่
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วมองไปทางซือมั่ว เห็นนัยน์ตาสีอำพันของเขาราบเรียบ ไม่ได้เป็นเพราะหลานเฟยเยว่แล้วเกิดเปลี่ยนแปลงใดๆ ในใจก็ลอบยินดีขึ้นมาสายหนึ่ง
นางรู้ว่าซือมั่วกำลังลงโทษหลานเฟยเยว่ ใช้วิธีการที่หญิงสาวหวาดกลัวและรู้สึกอัปยศที่สุดไปทำการลงทัณฑ์ เปรียบกับการสังหารนางด้วยดาบหรือว่าประหารนางทิ้งแล้วทำให้คนเกรงกลัวมากกว่ายิ่งนัก
นางเห็นว่าร่างกายของหลายเฟยเย่ว์กำลังสั่นเพราะ ความหวาดกลัวและอับอาย พยายามคิดหาทางหลบ
แต่น่าเสียดาย นางทำได้เพียงยืนอยู่ต่อหน้าของสายตาฝูงชนเช่นนี้ ยืนให้พวกเขามองดู ไม่สามารถจากไปได้ การกระทำอันเล็กๆ น้อยๆ ของซือมั่วช่างเหมาะสมกับคำว่า ‘โหดเหี้ยม’ ยิ่งนัก
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์คิดอยากให้นางตายยังไง?” ซือมั่วอยู่ๆ ก็เอียงสายตามองมา มองมาทางนาง นํ้าเสียงและท่าทีผ่อนคลายนั่นก็ราวกับกำลังถามนางว่า เย็นนี้จะกินอะไรก็ไม่ปาน เสียงถามไถ่ที่อ่อนโยนเช่นนี้พอตกลงสู่หัวใจของฝูงชน ก็ล้วนแต่ทำให้จิตใจของพวกเขาสั่นสะท้าน พวกเขาก็กำลังรอคอยคำตอบของมู่ชิงเกอ ทั้งยังพากันคาดเดาว่านางจะยอมเผยด้านที่โหดเหี้ยมของตนต่อหน้าซือมั่วหรือไม่
ในเมื่อหญิงสาวที่อ่อนโยนดุจสายนํ้าถึงจะเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าชายหนุ่ม
องค์มหาปราชญ์แข็งแกร่งถึงขนาดนั้นแล้ว หญิงสาวที่ชอบก็สมควรจะอ่อนโยน จิตใจดีมีเมตตา ชอบช่วยเหลือผู้คนถึงจะถูกต้อง!
แต่พวกเขาคงลืมไปแล้วว่า มู่ชิงเกอแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ใช่คนจิตใจอ่อนโยนและมากเมตตาอันใด
และแน่นอนก็ไม่ได้ใจกว้างมากเท่าใด! มีแค้นต้องชำระนี่ก็เป็นกฎเหล็กในการใช้ชีวิตของนาง! โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่นางมาถึงต่างโลกที่อาศัย ความแข็งแกร่งในการสร้างกฎเกณฑ์ใบนี้ กฎข้อนี้ยิ่งนานวันก็ยิ่งฉายชัดขึ้น
คนที่ล่วงเกินนางและคิดฆ่านางก็ยังไม่เคยมีใครถูกปล่อยให้รอดมาก่อน!
มุมปากของมู่ชิงเกอยกสูงขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มนึกสนุกขึ้นมาสายหนึ่ง
นางยกมือขึ้นมา ช่วงที่พลิกหมุนมัน เม็ดโอสถที่ดูสวยงามเม็ดหนึ่งก็พลันปรากฎขึ้นในมือของนาง
“นี่เรียกว่าโอสถหน้ากากโฉมงาม คนที่กินมันลงไปก็จะรู้สึกคันยุบยับตามผิวหนังของตนจนยากจะทนไหว จนถึงขั้นต้องใช้สองมือของตนถลกผิวหนังออกมา แล้วตกตายไปในท้ายที่สุด คนตายไปแล้วแต่เหลือทิ้งผิวหนังเอาไว้ ดังนั้นมันก็เลยถูกเรียกว่าหน้ากากโฉมงาม เจ้าที่ชอบความงามขนาดนั้น ข้าก็คิดว่านี่จะเป็นจุดจบที่เหมาะสมที่สุดกับเจ้า” มู่ชิงเกอก็ใช้นํ้าเสียงเงียบสงบที่สุดบรรยายสรรพคุณของเม็ดโอสถในมือให้หลานเฟยเยว่
หลานเฟยเย่วก็ฟังจนจิตใจตื่นตระหนก ในแววตาเขียนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ส่ายหน้าถอยหลังไปไม่หยุด คนของตระกูลหลานมองไปทางนางอย่างเคียดแค้นแต่ ไม่กล้าเอ่ยวาจา ทำได้เพียงลอบใช้สายตาจับจ้องอย่างนางเหี้ยมเกรียม
อดีตประมุขตระกูลหลานร่างกายนิ่งชะงัก ร้องคำรามไปทางนาง “เจ้า หญิงเพศยาที่จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต หญิงเช่นเจ้าจะไปเหมาะแก่การปรนนิบัติองค์มหา ปราชญได้อย่างไร”
ใช่! โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!
ต่อให้หลานเฟยเยว่จะมีความผิดที่ควรได้รับการลงโทษ แต่วิธีการตายเช่นนี้พวกเขาเหล่าชายหนุ่มพอได้ฟังแล้ว ก็ยังรู้สึกเกรงกลัว รู้สึกได้ถึงขนกายที่ตั้งลุกชัน แล้วหญิงสาวที่รักความงามผู้หนึ่งเล่า?
คนที่ไม่รู้จักมู่ชิงเกอดีก็จะคิดว่านางนั้นโหดเหี้ยม แม้แต่คนที่หลงใหลนาง เคยกล่าวคำมั่นว่าหากไม่ใช่นางก็จะไม่แต่งอย่างคุณหนูตระกูลฮวา ตอนนี้ก็ยังมีสี หน้าซีดขาวซบอยู่ในอกมารดาของตน มองไปยังโอสถหน้ากากโฉมงาม ในใจตื่นตระหนก แต่สำหรับคนที่รู้จักมู่ชิงเกอดี กลับรู้สึกว่าเรื่องเช่นนี้ปกติมาก
หลานเฟยเยว่แต่เดิมก็ควรจะตายไปเช่นนี้! ซึ่งคนพวกนี้ก็ได้แก่ จ้าวหนานซิง ฟ่งอวี๋เฟย หานฉายไฉ่ เจียงหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งองครักษ์เขี้ยวมังกร
การกำจัดศัตรูก็จะต้องกำจัดที่จุดอ่อนของศัตรู พวกเขาให้ความสำคัญสิ่งใดก็ให้ทำลายสิ่งสิ่งนั้น ทำลายจิตใจของพวกเขาก่อนจากนั้นค่อยรับเอาชีวิตของพวกเขาไป สิ่งเหล่านี้แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นบรรทัดฐานของมู่ชิงเกอมาโดยตลอด
คนจำนวนไม่น้อยต่างหันมองไปทางซือมั่ว
พวกเขาต่างพากันคาดเดาจิตใจขององค์มหาปราชญ์ว่าจะเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อนางหรือไม่พอใจนางเพราะความโหดเหี้ยมของมู่ชิงเกอหรือไม่ แต่พวกเขาก็ได้ละเลยจุดจุดหนึ่งไปว่าองค์มหาปราชญ์ในใจของพวกเขาก็เป็นเพียงองค์มหาปราชญ์ที่อยู่ในจิตใจของพวกเขา ซือมั่วตัวจริงๆ ก็ไม่มีใครเคยได้ประสบ และรู้จักมาก่อน
“จิตใจโหดเหี้ยม? อำมหิตไร้เยื่อใย? ปรนนิบัติ?” มู่ชิงเกอทวนคำพูดของอดีตประมุขตระกูลอย่างนึกสนุก
นางมองไปทางซือมั่ว เลิกคิ้วพลางเอ่ยถามขึ้น “ข้าจิตใจโหดเหี้ยมหรือไม่? อำมหิตหรือไม่?”
ซือมั่วที่มองไปทางนางกลับไม่มีทางโมโหแต่อย่างใด แต่เป็นแสดงท่าทีว่าในโลกนี้เขาก็สนใจหลงใหลเพียงคนคนเดียว “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ในใจของข้าก็ถือว่ามีจิตใจเมตตามากเกินไป ถึงได้ทำให้คนพวกนี้กล้ารังแกเจ้า หลังจากนี้ก็อย่าได้ใจอ่อนอีก เวลาจัดการกับศัตรูก็จะต้องจัดการจนชาติหน้าพวกเขาก็ยังไม่อยากเผชิญหน้ากับเจ้า จัดการถอนรากถอนโคน”
นี่ยังเรียกว่าใจอ่อน?! นี่ยังเรียกว่าจิตใจเมตตา?
องค์มหาปราชญ์ มุมมองความคิดของท่านถูกมู่ชิงเกอทำให้บิดเบี้ยวแล้วหรือไง?
ฝูงชนพากันสูดลมหายใจ!
ท่านแข็งแกร่ง ท่านจึงทำตามใจได้ พวกเราจะยังพูดอะไรได้อีก? ดูงิ้วสนุกอยู่เงียบๆ ก็แล้วกัน…
หวงฝู่เฮ่าเทียนกับหวงฝู่ฮ่วนลอบส่งสายตาให้กัน ในใจล้วนแต่พากันหวาดเกรง
ถ้าหากมู่ชิงเกอเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ผลลัพธ์ที่จะตามมานั้น…พอคิดคิดดูแล้วพวกเขาก็รู้สึกหลังคอกลายเป็นเย็นยะเยือกขึ้นมา!
“ข้าปรนนิบัติเจ้ารึ?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น รอยยิ้มแฝงแววเยียบเย็นอยู่สายหนึ่ง
ซือมั่วเลิกคิ้ว ก่อนจะส่ายหน้าเอ่ยขึ้น “เป็นข้าที่รักตามใจเจ้า”
คำตอบของซือมั่วก็ทำเอาฝูงอ้าปากค้างจนกระแทกลงกับพื้น
นี่ยังเป็นองค์มหาปราชญ์ที่พวกเขารู้จักอยู่หรือไม่? องค์มหาปราชญ์ที่มีนิสัยสุขุมน่ายำเกรงผู้นั้นเล่า? โปรดกลับมาด้วยเถิด!
ไม่เพียงแค่คนทั่วไปที่นิ่งอึ้งตกตะลึง แม้แต่ขุมกำลังทั้งสามที่เข้าร่วมการฆ่าสังหารมู่ชิงเกอก็ยังนิ่งอึ้งตกตะลึง เพียงแค่อาศัยท่าทีปกป้องทนุถนอมที่องค์มหาปราชญ์แสดงออกมาตรงหน้านี้ พวกเขาก็ราวกับจะสัมผัสได้ถึงจุดจบอันน่าอนาถของตนเองได้แล้ว
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของอดีตประมุขตระกูลหลานกลายเป็นบิดเบี้ยวขึ้นอย่างรุนแรง แต่ก็ยังทำได้แค่จับจ้องมู่ชิงเกออย่างชิงชัง ไม่รู้ว่าควรจะพูดตอกกลับเช่นไร
มู่ชิงเกอเชิดคางสูงขึ้น เก็บรอยยิ้มกลับ ก่อนจะร้องเรียกขึ้น “กู่หยา”
กู่หยา? นามของท่านใต้เท้าทมิฬ!
นางถึงกับกล้าเรียกนามของใต้ทมิฬออกมาตรงๆ?
จะต้องรู้ก่อนว่าใต้เท้าทมิฬนั้นก็ไม่รู้ว่ารับใช้องค์มหาปราชญ์มานานเท่าไรแล้ว ถือเป็นการคงอยู่ที่คนมาทีหลังไม่อาจเปรียบเทียบได้? ใต้เท้าเคยไว้หน้าใครด้วย รึ?
ในตอนที่คนจำนวนไม่น้อยกำลังรอดูมู่ชิงเกอถูกตีแสกหน้า ใต้เท้าทมิฬที่สูงส่งเย็นชา สีหน้าไร้อารมณ์มาโดยตลอดในจิตใจของผู้คน กลับเดินออกมาจากด้านหลัง เดินมาที่ตรงหน้านาง
“คุณชาย” กู่หยาท่าทางเคารพนอบน้อมก็เหมือนกับตอนที่อยู่ต่อหน้าซือมั่วอย่างไรอย่างนั้น
ท่าทางของกู่หยาก็ให้ผู้คนสูดลมหายใจลึกเข้าไปอีกครั้ง
นี่หมายความถึงสิ่งใด? ใต้เท้าทมิฬยอมรับสถานะของคุณชายมู่? อีกทั้งดูจากท่าทางระหว่างพวกเขาก็เหมือนกับว่าจะไม่ได้เพิ่งรู้จักกัน
มู่ชิงเกอเอาโอสถโฉมงามในมือส่งให้แก่กู่หยา
กู่หยายื่นมือออกไปรับมันเอาไว้ เข้าใจความต้องการของนาง เขาก็ไม่ได้ถามอันใดให้มากความ พริบตาพุ่งตรงไปยังหลานเฟยเยว่ที่กำลังถูกความกลัวเข้าปกคลุม และกำลังก้าวถอยไปไม่หยุด
ผิวหนังที่ไร้สิ่งปิดบังภายในสายตาของกู่หยาก็ไม่แตกต่างจากโครงกระดูกสีแดงเลือดแต่อย่างใด
“ไม่ ข้าไม่เอา! ข้าไม่กินมัน เจ้าออกไป เจ้าออกไป!” หลานเฟยเยว่วาดมือปัดป้อง ก็ได้ลืมที่จะปกปิดส่วนลับของตนไปเนิ่นนานแล้ว ชั่วขณะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างของนางล้วนแต่ถูกเปิดเผยต่อหน้าของฝูงชนจนหมดจด
ต่อให้นางไม่ตายแต่ก็ถือว่าได้ถูกทำลายแล้ว ถูกทำลายจนไม่มีเหลือ!
แต่ว่าการต่อต้านของนางยังจะมีประโยชน์รึ?
กู่หยาลงมือด้วยตัวเอง อดีตประมุขตระกูลหลานก็ทำได้แค่เป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง นี่ก็คือสาเหตุที่มู่ชิงเกอไม่ใช้องครักษ์เขี้ยวมังกรของตัวเองแต่เป็นใช้คนของซือมั่ว
ภายใต้การตีแสกหน้าเช่นนี้ การใช้กู่หยากับกู่เย่ผลลัพธ์ก็ถือว่าดีที่สุด
“ไม่เอา—–! องค์มหาปราชญ์ช่วยข้าด้วย—–! ช่วยเฟยเยว่ด้วย——! ฮือๆ—–!” หลานเฟยเยว่ถูกไอพลังของกู่หยาสะกดให้อยู่กับที่
ปากของนางถูกง้างให้เปิดออก กู่หยาดีดนิ้วเบาๆ โอสถโฉมงามในมือร่วงตกเข้าไปในปากของหลานเฟยเยว่
“แค่ก แค่ก” ตัวโอสถพอเข้าสู่ปากก็พลันละลาย
ต่อให้หลานเฟยเยว่จะกลับมาเคลื่อนไหวได้ แต่นั่นก็กลายเป็นไม่ทันการณ์แล้ว
กู่หยาหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจก็หมุนกายจากไป กลับไปยังจุดที่ตัวยืนอยู่ตอนแรก ท่าทางราวกับว่าไม่เคยขยับกายไปไหนมาก่อนก็ไม่ปาน