ตอนที่ 198-4
ข้าจะพาเจ้าไปฆ่าล้างตระกูล!
มู่ชิงเกอถูกซือมั่วนำมาถึงท้องฟ้าด้านบนจวนตระกูลหลาน ก้มลงมองคนของตระกูลหลานดุจดั่งเทพเจ้า การมาอย่างกะทันหันของพวกเขาก็ทำให้คนของตระกูลหลานรู้สึกหวาดกลัว ครั้งนี้ซือมั่วไม่ได้ให้กู่หยาและกู่เย่ลงมือ แต่กลับลงมือด้วยตนเอง
ไม่สนใจเสียงร้องไห้ครํ่าครวญอ้อนวอนของคนตระกูลหลาน บนใบหน้าอันหล่อเหลาไร้ผู้เทียมทานของซือมั่วดูเย็นชา พลังอันแข็งแกร่งพุ่งออกมาจากมือซ้ายของเขา
เข้าโจมตีคนตระกูลหลาน
มือขวาของเขาโอบเอวมู่ชิงเกอแน่น ดูดอกไม้ไฟยามกลางวันรอบที่สองกับนาง
ปัง ปัง ปัง—–
บึ้ม บึ้ม บึ้ม—–!
อาคารของตระกูลหลาน พังทลายไปเรื่อยๆ ทุกชีวิตในตระกูลหลาน ทั้งคนและสัตว์ล้วนแต่ถูกระเบิดกลางอากาศไปเรื่อยๆ ดอกไม้ไฟสีเลือดก็แฝงไว้ด้วยความ โกรธ ให้เห็นฉากภาพที่งดงามก่อนจะจางหายไป
เสียงระเบิดดังสะท้อนไปทั่วทั้งเทียนตู มีคนจำนวนไม่น้อยที่มองเห็นฉากๆ นี้
พวกเขาใบหน้าซีดขาว ความคิดเดียวที่โผล่ออกมาก็คือ—–ตระกูลหลาน จบสิ้นแล้ว!
คนในพระราชวังก็มองเห็นฉากนี้เช่นเดียวกัน เลือดลมที่เพิ่งจะกลับคืนสู่สมดุลเมื่อครู่ก็ตกลงไปในถํ้าน้ำแข็งอีกครั้ง
ตระกูลหลานจบสิ้นแล้วจริงๆ!
จบแบบสะอาดสะอ้านหมดจด!
ที่เหลือก็คือการปรับเปลี่ยนใหม่ของขั้วอำนาจ เป็นอีกหนึ่งสงครามเลือดทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
ในครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์หวงฝู่หรือว่าตระกูลใหญ่อีกสามตระกูลก็ล้วนแต่ไม่กล้าเคลื่อนไหว พวกเขาต้องรอ รอจนมู่ชิงเกอทิ้งตระกูลหลานที่เป็นก้อนเนื้อก้อนนี้ทิ้งไปแล้ว พวกเขาถึงจะกล้าไปเก็บเกี่ยว
ไม่เช่นนั้นกลัวว่าจุดจบของตระกูลหลานจะกลายเป็นจุดจบของพวกเขา!
มีคนจำนวนไม่น้อยที่มองดูพื้นที่เปื้อนเลือดแล้วในใจคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง นั่นก็คือ ตระกูลหลานจบไปแล้ว ต่อไปจะเป็นที่ไหน? มหาปราชญ์จะกวาดล้างขุมกำลังทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ให้หมดจดจริงๆ น่ะหรือ?
“สำนักหมื่นอสูรและหอหลอมศาสตราเป็นขุมกำลังที่มีอำนาจเทียบเท่ากันกับโรงโอสถ หากว่าถูกทำลายล้างไปจริงๆ เช่นนั้นแล้วมันก็เป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่สำหรับแผ่นดินหลินชวน” หวงฝู่เฮ่าเทียนขมวดคิ้วเอ่ยอย่างเป็นกังวล
เป็นถึงฮ่องเต้ที่แข็งแกรงที่สุดในแผ่นดินหลินชวน แน่นอนว่าเขาไม่ยินยอมที่จะเห็นแผ่นดินหลินชวนถูกทำให้อ่อนแอลง
การล่มสลายสำนักหมื่นอสูรและหอหลอมศาสตราก็คือการลดทอนบรรณาการจำนวนหนึ่ง!
หวงฝู่ฮ่วนส่งยิ้มขมขื่นให้แก่เขา “การก่อตั้งหรือล่มสลายของขุมกำลังนั้นเป็นเรื่องที่ต้องเกิด เสด็จพ่อไม่จำเป็นต้องไปสนใจกับการสูญเสียตรงหน้ามาก”
หวงฝู่เฮ่าเทียนถอนหายใจ มองหวงฝู่ฮ่วน คิดจะตบๆ ไหล่ของเขาแต่กลับเห็นว่าตัวเองนั้นเปื้อนมากจึงถอนมือกลับอย่างกระดากใจ ทำได้เพียงแต่เอ่ยกับเขาว่า “เรื่องในครั้งนี้เจ้าทำได้ไม่เลว”
คิดแล้วคิดอีกเขาก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “รอเรื่องราวนี้เงียบลงแล้ว เจ้าก็สามารถขึ้นไปเคลื่อนไหวในตำหนักหลีกงได้แล้ว”
หวงฝู่ฮ่วนเข้าใจในความหมายของเสด็จพ่อของเขาในทันที เขาขบริมฝีปากไม่พูดอะไรมาก
“จากนี้จะไปไหน?” เหาะเหินไปในอากาศ มู่ชิงเกอไม่ได้ถูกลมหนาวรุกราน นางมองไปที่ซือมั่วคนที่โอบกอดนางไว้ในอ้อมอกแล้วถามขึ้น
ซือมั่วก้มหน้าลงมามองที่นาง มอบรอบยิ้มที่แพรวพราว ให้นางเอ่ยตอบว่า “แคว้นหรง”
แคว้นหรง!
ดวงตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกายขึ้นมา นัยน์ตาทอประกายอำมหิต!
ซือมั่วพานางไปแคว้นหรง จุดมุ่งหมายนั้นสามารถจินตนาการออกได้
ซือมั่วกวาดตามองนางแวบหนึ่ง เห็นนัยน์ตาของนางฉายแววสนุกก็หัวเราะขึ้นมา “มีความสุขงั้นหรือ?”
มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างไม่ลังเลว่า “การแก้แค้นไม่อาจชักช้าได้! รีบจัดการให้สะอาดสะอ้าน ข้าก็จะได้พักผ่อนให้สบายเสียที”
“หากว่าเจ้าเหนื่อยแล้ว ข้าสามารถไปส่งเจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนได้ รอเจ้าตื่นขึ้นมาแล้วทุกอย่างก็จะถูกจัดการเสร็จเรียบร้อย” ซือมั่วมองนางอย่างจริงจัง แววตาของนางฉายแววเหนื่อยล้าแล้วจริงๆ เมื่อเห็นแล้วนัยน์ตาของเขาฉายแววปวดใจ
แต่ว่า ข้อเสนอของเขาถูกมู่ชิงเกอปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “ข้าอยากจะเห็นด้วยตาของตนเอง!”
แม้ว่าคนของสำนักหมื่นอสูรและหอหลอมศาสตราที่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้จะไม่ได้มีความแค้นกับนางแต่นางก็ยังอยากเห็นด้วยตาของตนเอง!
ตัดรากไม่ถอนโคน สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดมาอาจฟื้นขึ้นได้อีกครั้ง!
หอหลอมศาสตราก็ช่างเถอะ โหลวเสวียนเถี่ยที่เป็นเจ้าสำนักได้ตายไปแล้ว ส่วนเหล่าผู้อาวุโสขั้นกักเก็บก็ล้วนตายไปมากแล้ว คนที่เหลือเหล่านั้นไม่มีภัยคุกคามใดๆ เลย
แต่ว่าสำนักหมื่นอสูร…
ไท่สื่อเกาตายแล้วแต่บิดาของเขายังอยู่! ไม่มีคำสั่งจากประมุขสำนัก อาศัยเพียงแค่เฮยมู่กับไท่ สื่อเกานั้นจะสามารถเรียกปีศาจเฒ่าขั้นกักเก็บและก็ยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับพลังขั้นสีม่วงขั้นสูงสุดตั้งมากมายให้ออกมาได้อย่างไร?
ดวงตาของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลงฉายแววอำมหิต เอ่ยกับซือมั่วว่า “พวกเราไปสำนักหมื่นอสูรก่อน”
ออกเดินทางจากอาณาจักรเซิ่งหยวนจะไปหอหลอมศาสตราหรือว่าสำนักหมื่นอสูร ระยะทางคงไม่ได้แตกต่างกันมาก
เดิมทีซือมั่วคิดว่านางจะเลือกไปหอหลอมศาสตราก่อน แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางจะเลือกไปสำนักหมื่นอสูรก่อน แต่ว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่พยักหน้า เลือกทิศทางแล้วพุ่งไปยังสำนักหมื่นอสูร
สำนักหมื่นอสูรตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกของแคว้นหรงที่ติดกับแคว้นอวี่ ที่นี่ห่างจากตัวเมืองอยู่กลางป่าทึบ
ยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ ก็มีเสียงร้องเรียกของสัตว์อสูร ทำให้คนหวาดกลัว มิน่าว่าที่นี่แทบจะไม่มีคนเลย
ตอนที่ซือมั่วพามู่ชิงเกอผ่านมาจากบนฟ้านั้นก็มองเห็นขบวนทหารของแคว้นหรง นางเอ่ยอย่างแปลกใจว่า “ขบวนทหารของแคว้นหรงนี่ คือกำลังมุ่งไปยังสำนักหมื่นอสูรใช่หรือไม่?”
ซือมั่วมองแวบหนึ่ง ไม่ได้สนใจตอบ ‘อืม’ คำหนึ่งไป แล้วก็อธิบายกับนางว่า “น่าจะเป็นหวงฝู่เฮ่าเทียนกดดันราชสำนักของแคว้นหรง ทำให้พวกเขาส่งทหารออกมา หากว่าข้าเดาไม่ผิด คงยังมีทหารอีกขบวนหนึ่งมุ่งไปทางหอหลอมศาสตรา”
มู่ชิงเกอหัวเราะเยาะ “ขบวนทหารเหล่านี้ไหนเลยจะเป็นคู่มือของสำนักเหล่านี้ได้? ก็ทำไปงั้นๆ เอง รอพวกเขาไปถึง พวกเราก็คงจัดการเรียบร้อยแล้ว”
ซือมั่วมองนางแล้วหัวเราะ เอ่ยว่า “ถ้าหากว่าเสี่ยวเกอเอ๋อรอยากดูละคร พวกเราก็สามารถพักผ่อนชั่วคราว คิดจะปรากฏตัวตอนไหนค่อยปรากฏตัว”
“อย่าเลย” มู่ชิงเกอไม่มีความสนใจเอ่ยว่า “ข้าไม่มีเวลามากมายขนาดนั้นที่จะเสียไปกับที่นี่”
นางในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีสภาพดีมาก แต่พลังจิตกลับลดน้อยถอยลง
นางไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น หรือไม่ก็เป็นเพราะผลพวงจากสงครามครั้งใหญ่ ในตอนนั้นนางคิดแค่เพียงอยากจะรีบจัดการเรื่องราวให้เร็วที่สุด แล้วจะได้กลับไปพักผ่อนฟื้นพลัง
ซือมั่วได้ยินคำพูดของนางแล้วก็ไม่ได้พูดมาก เพียงแต่ลอบเพิ่มความเร็ว
พริบตาเดียว ทั้งสองคนก็มาถึงกลางอากาศของสำนักหมื่นอสูร
“ครั้งนี้ข้าไม่อยากเห็นดอกไม้ไฟแล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ยปากบอกซือมั่วก่อน
ซือมั่วมองนางอย่างสนใจ เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นเสี่ยวเกอเอ๋อร์อยากดูอะไร?”
มุมปากของมู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มที่ดูเยียบเย็น “กู่หยารบกวนเจ้านำประมุขของสำนักหมื่นอสูรออกมา กู่เย่รบกวนเจ้านำคนอื่นๆ ของสำนักหมื่นอสูรมารวมตัวกันอยู่ที่ลานนั้น”
จากมุมสูงพวกเขาสามารถมองเห็นอาคารก่อสร้างด้านล่างอย่างชัดเจน
ที่มู่ชิงเกอชี้ไปก็คือลานที่ใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่ในสำนักหมื่นอสูร ซึ่งเพียงพอสำหรับจุคนนับหมื่นคน
กู่หยาและกู่เย่ไม่ได้ลังเล ไปทำตามคำสั่งของมู่ชิงเกอเลย
ไม่ได้เพื่ออะไรอื่น เพราะว่าพวกเขาได้เข้าใจแล้วว่ามู่ชิงเกอสำหรับซือมั่วนั้นมีความหมายอย่างไร
ในเมื่อเจ้านายของพวกเขาแน่ใจแล้ว เช่นนั้นมู่ชิงเกอก็คือนายหญิงในอนาคตของพวกเขา!
ในตอนที่มู่ชิงเกอพูดจบ คนของสำนักหมื่นอสูรถึงได้พบเห็นการปรากฏตัวของพวกเขา
เสียงร้องวุ่นวายเริ่มเกิดขึ้นในสำนัก
พวกเขาแสดงให้เห็นชัดเจนว่าไม่ได้มาดีแน่นอนว่าคน ของสำนักหมื่นอสูรก็ไม่ได้ถือว่าพวกเขาเป็นแขก
แต่ว่า ถึงพวกเขาจะมีการตอบสนองเร็วแค่ไหนก็ไม่อาจเร็วเท่ากู่หยาและกู่เย่สองคน
ม่านอาคมคุ้มกันของสำนักหมื่นอสูรยังไม่ทันได้เปิด ก็ถูกกำปั้นเดียวของกู่เย่ทุบจนระเบิด จากนั้นเขาก็เป็นดุจดั่งเงาดำวาบไปมา นำคนของสำนักหมื่นอสูรออกมา โยนลงไปบนลานที่มู่ชิงเกอชี้ไป
กู่หยาก็ทำตามคำสั่งของมู่ชิงเกอ นำตัวประมุขสำนักหมื่นอสูรที่อยู่ส่วนลึกสุดของสำนักทั้งยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นำเขาออกมาที่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอและซือมั่ว
“มหา…มหาปราชญ์!” ไท่สื่อซงแวบเดียวก็มองออกว่าเป็นซือมั่ว ดุจดังคนพูดจาติดอ่าง ตัวสั่นดุจดังนกกระทา
สำหรับมู่ชิงเกอนั้น ขอโทษด้วย เขาไม่รู้จัก
ไม่จำเป็นต้องให้กู่หยาบังคับเขา ไท่สื่อซงก็ได้คุกเข่าลงต่อหน้าซือมั่วแล้ว ภายในสำนักด้านหลังเขา ก็มีเสียงร้องดังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจ ไม่รู้ว่าไปล่วงเกินซือมั่วตรงไหน
“เจ้ารู้จักไท่สื่อเกาหรือไม่?” ซือมั่วเปิดปาก
ในใจของไท่สือซงเยียบเย็นขึ้น รีบเอ่ยว่า “เจ้าสุนัขนั่น ไม่ทราบว่าเจ้าสุนัขตัวนั้นไปล่วงเกินมหาปราชญได้อย่างไร ขอให้มหาปราชญ์โปรดชี้แนะ ข้าจะได้อบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวด”
“เขาต้องการฆ่าผู้หญิงของข้า” ซือมั่วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น
กู่หยามุมปากกระตุก
ไท่สื่อซงเกือบจะพูดอะไรไม่ออก “อะไรนะ! นี่เป็นไปไม่ได้ เจ้าเลวคนนั้นจะกล้าดีถึงขนาดนั้นได้อย่างไร!” เขาครุ่นคิดในใจว่าผู้หญิงของมหาปราชญ์คือใคร? หรือจะเป็นตระกูลหลานคนนั้น? บุตรชายของเขาจะไปฆ่านางได้อย่างไร?
“เจ้าจะบอกว่าข้าพูดโกหก?” ดวงตาที่ดูอันตรายของซือมั่วหรี่เล็กลง
ไท่สื่อซงรีบรํ่าร้องส่ายหน้า “ไม่ ไม่ ไม่ ไท่สื่อซงไม่กล้า! เจ้าเด็กเลวคนนั้นกล้าดีถึงขนาดนี้ข้ากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
“เจ้าไม่รู้งั้นหรือ? ใช่หรือ?” ซือมั่วยิ้มบางๆ ท่าทางเหี้ยมเกรียม
ไท่สื่อซงนิ่งชะงักไปชั่วขณะ รีบเอ่ยขึ้น “มหาปราชญ์ ข้าไม่รู้จริงๆ!”
นัยน์ตาของซือมั่วดูอำมหิต เอ่ยขึ้นว่า “เขาได้นำยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยออกไปจากสำนักหมื่นอสูรของเจ้า หากไม่ได้รับการอนุญาตจากเจ้า เขาจะสามารถทำได้ อย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ ไม่ ไม่! มหาปราชญ์ท่านเข้าใจผิดแล้ว ไท่สื่อเกานำผู้อาวุโสของสำนักไปก็เพื่อต่อกรกับไพร่ชั้นตํ่าของแคว้นระดับสามคนหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อไปต่อกรกับคุณหนูหลาน!” ไท่สื่อซงรีบอธิบาย
“ไพร่ชั้นตํ่าของแคว้นระดับสาม…ที่เจ้าพูดถึงก็คือมู่ชิงเกอ?” อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็นึกสนุกพูดขึ้นมา นางเพิ่งออกเสียง ไท่สื่อซงถึงได้มองมาทางด้านนาง เพียงแวบเดียวที่ได้เห็น ก็รู้สึกว่าผู้หญิงชุดแดงคนั้นงดงามจนทำให้คนอัศจรรย์ใจ ความงดงามเช่นนี้เพียงพอที่จะเขย่าจิตใจคน
จากนั้น ในใจของเขาถึงได้ทวนคำพูดเมื่อครู่ของนาง ชื่อมู่ชิงเกอนี้ ผ่านไปในหัวของเขา เขารีบเอ่ยว่า “ใช่ ใช่ ใช่ เป็นมู่ชิงเกอคนนั้น!”
รอยยิ้มของมู่ชิงเกอยิ่งดูน่าสนุกยิ่งขึ้น นางชี้นิ้วกลับมาที่ตนเอง มองไท่สื่อซงแล้วเน้นคำเอ่ยขึ้นว่า “ข้า ก็คือไพร่ชั้นตํ่าที่มาจากแคว้นระดับสามคนนั้น มู่ชิงเกอ” จากนั้น ในขณะที่ไท่สื่อซงกำลังตกตะลึง ก็ชี้นิ้วไปยังซือมั่วที่กำลังแผ่ไอความเย็นยะเยือกออกมา ยิ้มๆ แล้วเอ่ยว่า “ส่วนเขาก็คือผู้ชายของข้า”
เพล้ง!
ไท่สื่อซงดูแข็งค้างเหมือนจะเกิดการแตกหักขึ้น กู่หยาที่ฟังอยู่ด้านข้างกลอกตาขาวขึ้น ไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับความเผด็จการของคนทั้งสอง
คนหนึ่งพูดว่าบุตรชายของเจ้าต้องการฆ่าผู้หญิงของข้า
อีกคนก็ไม่ยอมกันรีบพูดว่า เขาคือผู้ชายของข้า
พูดกันเช่นนี้ ได้คิดถึงความรู้สึกของพวกเขากลุ่มคนโสดนี้บ้างหรือไม่?
ฮือ—–!
อยู่ดีๆ กู่หยาก็รู้สึกหวั่นไหว คิดอยากจะเปลี่ยนหน้าที่กับกู่เย่ เพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่ที่นี่ต่อ ในใจได้รับอาการบาดเจ็บที่รุนแรง
“เจ้าคือมู่ชิงเกองั้นหรือ?! เป็นไปไม่ได้!” ไห่ลื่อซงฟื้นขึ้นจากอาการแข็งค้าง นํ้าเสียงชัดเจนขึ้น