ตอนที่ 201-3
มานี่ อยากกินลูกกวาดก็เรียกท่านพ่อ!
“เพียงแต่ว่าอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบเลี้ยงยากอยู่สักหน่อย” จู่ๆ ซือมั่วก็เอ่ยขึ้น
เอ๊ะ…เลี้ยง?
เหมือนว่ามู่ชิงเกอจะไม่ได้คิดเรื่องปัญหานี้มาก่อน แม้ว่าในช่องว่างของนางจะมีหลายสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่ว่านอกจากมอบโอสถเป็นอาหารให้พวกมันเป็นครั้ง คราว อาหารวันละสามมื้อนางก็คล้ายกับว่าไม่เคยกังวลมาก่อน
แต่คำพูดของซือมั่วทำให้มู่ชิงเกอนึกถึงภาพที่ไป๋สี่ลอบกินไข่นกก่อนหน้านี้แล้ว มุมปากกระตุกทันที กะพริบตาปริบๆ มองหน้าซือมั่ว ท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์นั้นทำเอาซือมั่วรู้สึกขบขัน เขาเอ่ยขึ้นว่า “รู้หรือไม่เพราะเหตุใดจึงเรียกว่าอสรพิษ กลืนสวรรค์?”
มู่ชิงเกอส่ายหน้าตามความสัตย์จริง
“เพราะว่านางกินเก่ง กินเยอะเท่าไหนนางก็จะเติบโตได้เร็วขึ้นเท่านั้น หากเปิดโอกาสให้นางได้กิน แม้กระทั่งท้องฟ้านางก็สามารถกลืนกินลงไปได้” ซือมั่วกล่าว
มุมปากมู่ชิงเกอกระตุกรุนแรง!
คิดไม่ถึงว่าไป๋สี่อสรพิษสาวแสนสวยตัวนั้นจะเป็นนักกินตัวฉกาจ!
แม้แต่ท้องฟ้าก็สามารถกลืนกินลงไปได้ คนจนเช่นนาง ไหนเลยจะมีปัญญาเลี้ยงดูไหว? ใบหน้าชื่นมื่นของมู่ชิงเกอหม่นหมองลงทันใด
“แต่ไม่ต้องไปกังวลมากนัก แม้ปริมาณที่อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบกินในแต่ละครั้งจะมากไปหน่อย แต่ว่าระยะห่างในแต่ละครั้งหลังจากที่ได้รับอาหารเข้าไปแล้วก็นานพอควร” ซือมั่วเอ่ยปลอบ
“นานพอควรนี่นานแค่ไหนกัน?” มู่ชิงเกอมีสีหน้าดีขึ้น นางกำลังคำนวนอยู่ในใจเงียบๆ ว่าสมบัติทั้งหมดที่นางมีพอให้ไป๋สี่กินได้กี่ครั้ง
ซือมั่วไตร่ตรองอย่างตั้งใจ ตอบว่า “ปีละหนึ่งครั้ง”
“แค่ก แค่ก!” มู่ชิงเกอถูกตนเองทำให้สำลัก
นางมองซือมั่วด้วยท่าทีน่าเวทนา “ปีละหนึ่งครั้ง?”
“อืม” หลังจากที่เห็นซือมั่วพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน มู่ชิงเกอก็ รู้สึกถึงความสิ้นหวัง หรือว่าต่อจากนี้ชีวิตของนางจะต้องวนเวียนวุ่นวายกับการหาอาหารให้ไปสี่อย่างนั้นหรือ?
เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ซือมั่วก็เอ่ยด้วยความขบขันว่า “นางสามารถออกไปหากินเองได้ไม่ต้องให้เจ้าเป็นกังวล”
สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้?!
ดวงตาของมู่ชิงเกอสว่างขึ้นมา บรรยากาศซบเซาก็เลือนหายไปในพริบตา
แต่ว่าเมื่อนึกถึงไข่นกของตนเองที่ถูกไป๋สี่แอบกินไป มู่ชิงเกอก็เอ่ยถามด้วยท่าทีกระวนกระวายใจ “นางสามารถหากินเองได้ คำกล่าวนี้สามารถอธิบายได้ว่าอย่างไร?”
ซือมั่วเอ่ยยิ้มๆ “สิ่งที่นางเห็นแล้วรู้สึกว่าน่ากิน ก็จะกินลงไปจนกว่าจะอิ่มถึงจะหยุด”
มู่ชิงเกอรู้สึกได้ว่ามุมปากตัวเองกระตุกอีกครั้ง “นางคง ไม่กินกระทั่งคนหรอกนะ?”
“อันนี้ต้องดูอารมณ์ของนาง” ซือมั่วตอบ
มู่ชิงเกอกลอกตา
เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าไป๋สี่กลายเป็นปัญหาใหญ่?
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์กังวลสิ่งใด?” ซือมั่วเอ่ยอย่างขบขัน
“ในเมื่อเจ้าเป็นเจ้านายของนาง เช่นนั้นก็สามารถตั้งกฎว่า นางกินอะไรได้ กินอะไรไม่ได้”
“นางจะฟังหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างหมดกำลังใจ ดูเหมือนว่าไป๋สี่จะเก่งกาจกว่านาง
ซือมั่วเอ่ยขึ้นว่า “อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบน้อยนักที่จะเลือกนาย แต่หากเลือกนายแล้วก็จะจงรักภักดีที่สุด ดังนั้นในจุดนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล”
พูดจบเขาก็จูงแขนมู่ชิงเกอเดินออกไปข้างนอก
“ไปไหน?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามด้วยความงงงวย
“แน่นอนว่าต้องให้อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบกินอิ่มไปหนึ่งมื้อก่อน” ซือมั่วเอ่ยตอบ
“ที่นี่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามด้วยความสงสัย
บนตำหนักหลีกงมีของให้กินเยอะขนาดนั้นเลยหรือ? ซือมั่วคงไม่ได้จะให้ไป๋สี่กินผู้คนที่มาแสวงบุญอยู่ด้านล่างเขาหรอกนะ?
หลังจากที่มู่ชิงเกอถูกซือมั่วลากมาที่ๆ คุ้นเคยแห่งหนึ่ง มู่ชิงเกอจึงได้หยุดความคิดเหลวไหลของตนเองลง
“ช่องว่างแห่งการทดสอบ?” มู่ชิงเกอยืนอยู่ในป่าต้นอู๋ถง มองเพียงแวบเดียวก็จำได้ว่าที่นี่คือที่ไหน
ซือมั่วอมยิ้มไม่ได้เอ่ยวาจา เพียงแค่เอ่ยกับนางว่า “ปล่อยอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบของเจ้าออกมาเถอะ”
มู่ชิงเกอพยักหน้าตามจิตใต้สำนึก ขณะเปลี่ยนความคิดนั้น ไป๋สี่ก็ออกมาจากช่องว่าง
ไป๋สี่ที่ออกมาไม่อยู่ในรูปลักษณ์ของอสรพิษสาวแสนสวย แต่แปลงร่างเป็นงูขาวตัวน้อยพันรัดเข้ากับแขนของนางอย่างออดอ้อนใกล้ชิดสนิทสนม ลิ้นที่แลบออกมาก็เลียแก้มมู่ชิงเกอทำเอานางรู้สึกคันหน้า
“ไป๋สี่ อย่าซน” มู่ชิงเกอเมินหน้าหนี
สายตาเย็นยะเยือกของซือมั่วปรายตามามองทำเอาร่างของไป๋สี่ชะงัก นัยน์ตาสีม่วงทองจ้องมองเขาด้วยความระแวดระวัง
ซือมั่วละสายตากลับมามองมู่ชิงเกอ ดวงตาสีอำพันเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “ให้นางไปกินเถอะ สัตว์อสูรในช่องว่างทดสอบมีมากมายพอให้นางกินจนอิ่ม มื้อนี้กินอิ่มแล้วอย่างน้อยภายในเวลาหนึ่งปีนี้เจ้าก็ไม่ต้องมากังวลเรื่องปัญหาการเลี้ยงดูนาง”
มู่ชิงเกอมองหน้าเขาด้วยอาการตกตะลึงตาค้างพูดอะไรไม่ออก
นางคิดไม่ถึงว่าซือมั่วจะเอาช่องว่างแห่งการทดสอบของหลินชวนมาเป็นสนามล่าสัตว์ของไป๋สี่
แต่นี่ก็เป็นความคิดที่ดีจริงๆ
พยักหน้ารับ มู่ชิงเกอยกแขนข้างที่ไป๋สี่พันรัดอยู่เอ่ยบอกนางว่า “ไปเถอะไป๋สี่”
ดวงตาของไป๋สี่ปล่อยแสงทันที ฟิ้ว แล้วจึงเลือนหายไปจากแขนของมู่ชิงเกอ ปรากฏเงาสีขาวกระพริบ ไป๋สี่ ปลงร่างใหญ่โตเกินใดเทียบ เป็นพญางูปกคลุมท้องฟ้า บดบังแสงอาทิตย์มุ่งไปหาสัตว์อสูรที่มีอยู่ในช่องว่างแห่งการทดสอบด้วยความเริงร่า
ที่ประสบภัยพิบัติก่อนใครคือไข่นกที่อยู่ในป่าต้นอู๋ถง!
“ใหญ่จัง!” รอจนเงาร่างไป๋สี่หายไปไกลแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้พูดออกมาสองพยางค์ด้วยอาการตะลึง
นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าร่างที่แท้จริงของไป๋สี่จะใหญ่โตถึงเพียงนี้ ตอนนั้นนางก็สามารถเข้าใจได้แล้วว่าเพราะเหตุใดนางจึงกินเก่ง!
ซือมั่วจูงมือของนางเดินทอดอารมณ์ไปในป่าต้นอู๋ถง เอ่ยกับนางว่า “เจ้าตั้งชื่ออสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบว่าไป๋สี่หรือ?”
“อืม” มู่ชิงเกอพยักหน้า
จากนั้นนางก็ย้อนถามว่า “มีปัญหาอะไรหรือไม่?”
ซือมั่วอมยิ้มแล้วส่ายหน้า “ไม่มี ฟังดูรื่นหูมาก ข้าจำได้ว่าครั้งก่อนที่เจออสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ นางไม่มีเจ้านายจึงตั้งชื่อให้ตัวเองว่ากลืนสวรรค์นางคิดว่ามันน่าเกรงขามมาก”
กลืนสวรรค์?
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก เหตุใดพอนางได้ยินชื่อนี้แล้วในหัวสมองของนางก็จินตนาการถึงลูกผู้ชายที่รูปร่างกำยำแข็งแรงผู้หนึ่ง
เอ๊ะ?
มู่ชิงเกอมองซือมั่วด้วยความตกใจ “เจ้าบอกว่าครั้งก่อนเจ้าพบนาง?”
ซือมั่วพยักหน้า
มู่ชิงเกอสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยคำถามที่ทนเก็บเอาไว้ “พูดตามตรง ปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้วกันแน่?”
ซือมั่วชะงัก รอยยิ้มบนใบหน้าถูกแทนด้วยการได้รับความอยุติธรรมในพริบตา “เสี่ยวเกอเอ๋อร์รังเกียจที่ข้าแก่หรือ?”
หึหึ…
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุกรุนแรง ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เอ่ยถามเรื่องไร้สาระอีกต่อไป
นางละสายตาย้ายไปสนใจทิวทัศน์บริเวณโดยรอบ นึกถึงความรู้สึกแปลกๆ ยามที่เข้ามาในช่องว่างแห่งการทดสอบเป็นครั้งแรก นางเอ่ยปากขึ้นว่า “เหตุใดข้าจึง รู้สึกว่าเวลาที่นี่แปลกๆ อีกอย่างการเชื่อมต่อของสถานที่แต่ละแห่งก็ปุบปับเกินไป”
“อันนี้ไม่แปลก” ซือมั่วตอบนิ่งๆ “ช่องว่างทดสอบนี้ เดิมทีเป็นเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของช่องว่างที่ข้าหามาได้โดยบังเอิญแล้วประกอบเข้าด้วยกัน ทัศนียภาพที่เจ้าเห็นเหล่านี้ที่จริงแล้วแต่ละแผ่นล้วนมาจากช่องว่างที่ต่างกัน ดังนั้นการหมุนของเวลาก็เลยไม่เหมือนกัน ส่วนที่ผนึกเชื่อมต่อก็จะหยาบไปหน่อย ข้าไม่มีเวลาที่จะค่อยๆ นำช่องว่างที่แตกละเอียดมาเชื่อมอยู่ด้วยกัน แต่เป็นหลอมช่องว่างขึ้นมาใหม่”
มู่ชิงเกอฟังด้วยความตกตะลึงอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก คำตอบนี้ เหนือความคาดหมายของนางเกินไป
ที่เหนือความคาดหมายยิ่งไปกว่านั้นคือ ซือมั่วยิ่งใหญ่เพียงใดกันแน่?
“เจ้าสร้างช่องว่างทดสอบขึ้นมาเพื่อเลือกคนไปสุสานโบราณ? เพราะเหตุใด?” จู่ๆ มู่ชิงเกอก็เอ่ยถาม
ซือมั่วชะงักฝีเท้า แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้ตอบคำถาม “ผ่านไประยะหนึ่งก่อน ข้าค่อยบอกเจ้า”
การหลีกเลี่ยงของซือมั่วทำเอามู่ชิงเกอขมวดคิ้ว
แต่ว่านางก็ไม่ได้บังคับ
ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นมาได้อีกเรื่องหนึ่ง เอ่ยกับซือมั่วว่า “เหตุใดสัตว์อสูรของที่นี่ถึงได้ดูโบราณและหายาก ไม่เหมือนกับสัตว์อสูรข้างนอก? อีกอย่างข้าพบว่าแก่นของพวกมันถูกวัตถุสีดำห่อหุ้มชั้นหนึ่ง ราวกับว่าของสิ่งนั้นเพิ่มความดุร้ายของพวกมัน”
“ในโลกใหญ่เล็กนับพันนี้ขอบเขตก็ยิ่งใหญ่กว่าที่เจ้าจิตนาการไว้นัก มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ของเหล่านี้เดิมทีก็ไม่ใช่ของที่มีอยู่ในหลินชวน เจ้าไม่รู้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” ซือมั่วอธิบายกว้างๆ ให้มู่ชิงเกอฟัง แต่ไม่ได้บอกว่าเหตุใดจึงมีวัตถุสีดำห่อหุ้มแก่นสัตว์เอาไว้
คำพูดของซือมั่ว ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง นางสัมผัสได้ว่า ราวกับเขาเลี่ยงหนักให้เป็นเบา เป็นเพราะไม่สามารถพูดได้? หรือว่ายังไม่ถึงเวลา?
ผู้ที่ตนเองยอมรับสำหรับมู่ชิงเกอแล้ว ก็ไม่เคยคิดจะไปสืบสาวเรื่องราวของพวกเขาแต่อย่างไร
ในเมื่อตอนนี้ซือมั่วไม่อยากที่จะอธิบายรายละเอียด เช่นนั้นนางก็เพียงหยุดเอาไว้เท่านั้นนางเชื่อว่าไม่ว่าคำตอบเป็นอย่างไร จะเร็วจะช้าต้องมีสักวันหนึ่งที่นางจะรู้เรื่องทั้งหมด
บางทีพอถึงเวลานั้น นางอาจจะเข้าใจด้วยตนเองโดยไม่ต้องให้ใครอธิบายก็เป็นได้
โฮกกก!
ทันใดนั้น ก็แว่วเสียงร้องโหยหวนของสัตว์ลอยมาจากที่ไกล ๆ
มู่ชิงเกอตกใจ หันไปมองทันควัน “ใช่เกิดเรื่องกับไป๋สี่หรือไม่?”
ซือมั่วจับนางไว้แน่น เอ่ยปลอบนางว่า “วางใจเถอะ อยู่ที่นี่ไม่มีสัตว์อสูรตัวไหนเป็นคู่ต่อสู้ของอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ”
“แต่ว่า…” มู่ชิงเกอยังกังวลอยู่บ้าง
ซือมั่วกลับเอ่ยว่า “ตอนนั้นนางกำลังรื่นเริงกับการกิน พวกเราเข้าไปเกรงว่าจะไปรบกวนความสุนทรีของนาง”
เมื่อซือมั่วพูดเช่นนี้ มู่ชิงเกอก็ปล่อยวางความคิดก่อนหน้านี้