Skip to content

พลิกปฐพี 204-2

ตอนที่ 204-2

ชิ้นส่วนบันทึก สิ่งของของซือมั่ว

“คุณชาย นี่มัน…” มั่วหยางเองก็ถูกภาพตรงหน้าทำให้ตื่นตระหนก เอ่ยด้วยความประหลาดใจ

มู่ชิงเกอไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแค่หรี่ตาลงครุ่นคิดถึงจุดประสงค์ของเขาวงกต

เมื่อเข้ามาในสุสาน พวกเขาก็ถูกแยกจากกัน เข้าคนละประตูย่อมประสบด่านอุปสรรคต่างกัน เขาวงกตนี่ราวกับเป็นปลายทางของด่านอุปสรรค นี่มันสื่อความหมาย ว่าอย่างไรกัน?

‘ภาพการณ์ของเศษซากโบราณ ถึงแม้ซือมั่วจะไม่เคยเข้ามาด้วยตนเอง แต่ว่าย่อมต้องเคยได้ยินเรื่องราวผู้ที่เคยเข้ามาในนี้มาก่อนในเมื่อต้องการจะหาของก็จำเป็น ต้องสืบค้นให้ทั่วทั้งสุสาน’ มู่ชิงเกอคิดเงียบๆ

ทันใดนั้นส่วนลึกนัยน์ตานางก็เป็นประกาย มองดูเขาวงกตแล้วเอ่ยกับตนเองในใจว่า “หรือว,าที่นี่จะเป็นจุดเชื่อมต่อทางเข้าทั้งหมด? ขอเพียงเดินออกไปจากเขา

วงกตก็สามารถไปถึงอีกบริเวณหนึ่งของสุสาน?” ความคิดนี้ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูง

นางลูบกระดิ่งข้างเอวเบาๆ ตัดสินใจ “เข้าไป”

พูดจบนางก็สาวเท้าก้าวเข้าไปตรงทางเข้าเขาวงกต มั่วหยางและคนอื่นๆ ก็ตามไปติดๆ

พอเข้ามาภายในเขาวงกต ก็กลายเป็นสูญเสียทิศทางไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีเบาะแสใดๆ ให้สืบค้น

มู่ชิงเกอเองก็ไม่ได้ใจร้อน เพียงแค่เดินในเขาวงกตตามอารมณ์ เก็บเส้นทางที่เดินผ่านไว้ในใจเงียบๆ เดินไปได้ประมาณครึ่งวัน มู่ชิงเกอและคนอื่นๆ ก็มองเห็น ทางออกทางหนึ่ง นางลังเลชั่วครู่ก่อนจะเดินออกมาจากทางออก

เมื่อออกมาจากเขาวงกต สายตาของทุกคนก็กระจ่างแจ้งขึ้นมาในบัดดล

พวกเขาปรากฏตัวขึ้นในลานกว้างขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง บริเวณขอบลานกว้างเป็นบันใดเชื่อมต่อกัน ด้านบนสุดบันไดเป็นตำหนักสุดโอ่อ่าหลังหนึ่ง

ยืนอยู่บนลานกว้าง ภาพตรงหน้าอยู่ๆ ก็กลายเป็นพร่ามัว ราวกับว่าทะลุมิติย้อนกลับไปในยุคสมัยหมื่นพันปี ก่อนซึ่งไม่รู้ว่าเป็นยุคสมัยใด มองเห็นผู้คนมากมายหลั่งใหลเข้ามาฝึกวิชา แลกเปลี่ยนความรู้กันยังสถานที่แห่งนี้

เงาร่างคนมายาเหล่านั้นผ่านพวกเขาไปอย่างไม่ขาดสาย เหมือนมองไม่เห็นพวกเขา ทำแต่ธุระของตนเอง

ทุกคนต่างสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ ดูสง่า

ทันใดนั้นสายลมก็พัดผ่าน ภาพมายาเหล่านี้ก็ปลิวหายไปกับสายลม หลงเหลือไว้เพียงตำหนักและลานกว้างที่ทรุดโทรมเก่าคร่ำครึและไร้ชีวิตชีวา

“เกรงว่าที่นี่ถึงจะเป็นสิ่งปลูกสร้างหลักของเศษซากโบราณในกาลก่อน” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นฉับพลัน ประตูด่านอุปสรรค รวมถึงสิ่งของข้างในเหล่านั้นที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ คล้ายกับเป็นเพียงบททดสอบเท่านั้น

มีเพียงผู้ที่ผ่านบททดสอบ ผ่านเขาวงกตเข้ามาถึงที่นี่ ถึงจะนับว่าเป็นผู้มีวาสนา สามารถเล่าเรียนและฝึกยุทธ์ของที่นี่ได้

ซือมั่วเคยบอกว่า สุสานโบราณกาลก่อนเป็นเพียงด่านฝึกฝนที่ถูกทิ้งร้าง

ด่านฝึกฝนเป็นสถานที่ถ่ายทอดวิชาให้ศึกษาเล่าเรียน ย่อมไม่มีกับดักที่เอาไว้ใช้สังหารคน และแน่นอน การฝึกวิชาของยุคนั้นพอเทียบกับการฝึกยุทธ์ของคนปัจจุบัน ย่อมแต่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นหากเป็นผู้ที่ระดับพลังยุทธ์ต่ำเกินไปเข้ามาที่นี่ สำหรับพวกเขาแล้วเรียกได้ว่าเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต

แต่สำหรับมู่ชิงเกอผูซึ่งระดับพลังยุทธ์มาถึงระดับนี้แล้ว ไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก “เข้าไปดูข้างในเถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นหนึ่งประโยค ก่อนจะเดินไปทางตัวตำหนัก มั่วหยางและคนอื่นๆ เดินตามอยู่ด้านหลัง สังเกตความสงบเงียบรอบบริเวณ

ตัวตำหนักใหญ่ก็ได้ทรุดโทรมมาเป็นเวลานานแล้ว ไม่หลงเหลือสิ่งของมีค่าใดๆ

สิ่งเดียวที่ ทำให้มู่ชิงเกอประทับใจคืออักษรที่แขวนอยู่ตรงกลาง บนนั้นมีเพียงคำเดียวคือ ‘จุดกำเนิด’

เหตุใดจึงเป็น ‘จุดกำเนิด’ และ ‘จุดกำเนิด’ หมายถึงสิ่งใด? เหตุใดจึงถูกแขวนไว้ที่นี่ เหมือนกับหลักการของด่านฝึกฝนนี้อย่างไรอย่างนั้น?

มู่ชิงเกอพกความสงสัย ออกไปจากตำหนักเดินไปด้านหลัง

จากนั้น พอออกมาจากตัวตำหนัก ดวงตาของมู่ชิงเกอก็เขม็งเกร็ง

ที่วางอยู่ด้านหน้านาง เป็นเขาวงกตอีกแล้ว!

เพียงแต่ว่าครั้งนี้ภายใต้ต้นไม้แห้งเฉานอกเขาวงกตมี กระดานหมากหยกขาว ตำแหน่งหมากที่วางอยู่ด้านบน ราวกับถูกจัดวางไว้โดยเฉพาะ

มู่ชิงเกอเดินตรงเข้าไปที่กระดานหมาก

แต่ว่านางเป็นผู้ไม่มีความรู้เรื่องการเดินหมาก คิดแล้วคิดอีกนางก็เรียกมั่วหยาง

ถึงอย่างไร มั่วหยางก็เคยเล่าเรียนในสำนักศึกษา การเดินหมากสำหรับเขาแล้วน่าจะไม่ใช่เรื่องยาก

มั่วหยางมองดูสักพัก จมอยู่ในความคิดตามดูใจตนเอง

กระทั่งหยาดเหงื่อไหลออกมากลับคิดหาวิธีแก้หมากไม่ออก เขามองหน้ามู่ชิงเกอเอ่ยอยากจนปัญญา “คุณชาย นี่ดูคล้ายกับไม่สมบูรณ์ข้าน้อยแก้ไม่ออก”

คำตอบของมั่วหยาง ทำเอามู่ชิงเกอถึงกับขมวดคิ้ว

แน่นอนว่านางย่อมไม่ถือโทษโกรธเคืองมั่วหยางที่แก้หมากไม่ได้ แต่ว่ากำลังคิดว่าหากแก้ไม่ได้ยังมีวิธีไหนที่สามารถไขความลับหมากนี้ได้บ้าง

มู่ชิงเกอเดินไปที่กระดานหมาก เพ่งมองบนกระดานนั้น

เป็นหมากไม่สมบูรณ์หรือไม่นางไม่เข้าใจ ยิ่งไม่เข้าใจวิธีการแก้หมาก

แต่ว่าหลังจากที่ดูไปสักพัก จู่ๆ สายตานางก็เป็นประกาย มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย

“ไปกันเถอะ” มู่ชิงเกอกลับหลังเดินห่างออกมาจากกระดานหมาก มุ่งหน้าเดินไปทางเขาวงกต ฝีเท้าของนางเต็มไปด้วยความมั่นใจและสงบ

มั่วหยางและคนอื่นๆ ต่างพากันแปลกใจ มีแววสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ตามติดๆ

“คุณชาย ท่านแก้หมากได้แล้วหรือ?” หลังจากเข้ามาในเขาวงกต มั่วหยางเห็นมู่ชิงเกอเดินผ่านเขาวงกตอย่างชำนิชำนาญก็เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย

“เปล่า” มู่ชิงเกอเอ่ยตามตรง

เอ๊ะ!

ร่างของมั่วหยางแข็งค้าง มองนางด้วยความตกตะลึง

มู่ชิงเกอเอ่ยยิ้มๆ “ข้าเดินหมากไม่เป็น ย่อมไม่สามารถแก้หมากไม่สมบูรณ์ของยุคโบราณได้ ความจริงข้าไม่ได้มองว่ามันเป็นกระดานหมาก เพียงแค่มองหมากสีดำ และหมากสีขาวเป็นทางเป็นทางตายในเขาวงกตเท่านั้นเอง”

ถูกมู่ชิงเกอสะกิดเพียงเล็กน้อย มั่วหยางก็เกิดปัญญาสว่างวาบขึ้นมา

เขาเอ่ยเสียงหลง “มันไม่ใช่หมากไม่สมบูรณ์อะไร แต่เป็นแผนที่ของเขาวงกต!”

มู่ชิงเกอพยักหน้าน้อยๆ “ข้าไม่เป็นหมาก ดังนั้นจึงไม่ถูกทำให้สับสน เจ้าเข้าใจเรื่องหมาก ในครั้งแรกที่เห็นก็คิดหาวิธีแก้หมาก กลับหลงกลเข้าไป ละเลยสิ่งที่ปรากฏให้เห็นตรงๆ ของมัน ผู้ที่วางหมากกระดานนี้ดูท่าน่าจะต้องการทดสอบความสามารถในการเปลี่ยนทิศทางคิดวิเคราะห์ของคน”

อะไรคือความสามารถในการเปลี่ยนทิศทางคิดวิเคราะห์ มั่วหยางน้อยก็แสดงออกถึงความไม่เข้าใจ

มู่ชิงเกอก็ไม่ได้อธิบายรายละเอียดมากนัก เพียงแค่ บอกว่า “หากผู้ที่มองเห็นกระดานหมาก มัวแต่เสียเวลาในการคิดค้นหาวิธีว่าจะแก้หมากได้อย่างไร ไม่รู้จักพลิกแพลงออกนอกกรอบแล้วล่ะก็ เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ก็คงมองเส้นทางที่อยู่บนนั้นไม่ออก ยากที่จะเดินออกจากเขาวงกต เพียงเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนความคิดในการมอง เรื่องๆ เดียวกันบางทีอาจได้รับคำตอบ”

เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรฟังด้วยความเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ถึงแม้ว่าคำศัพท์บางคำที่คุณชายเอ่ยออกมาจะทำให้พวกเขารู้สึกไม่คุ้นเคย ไม่เข้าใจ

แต่ว่าก็เข้าใจเหตุผลอย่างหนึ่ง จากนี้เวลาเจอเรื่องอะไร ถ้าหากเส้นทางนี้ไม่ราบรื่นก็ลองเปลี่ยนเป็นเส้นทางอื่นดู บางทีอาจราบรื่นก็ได้!

มีการนำทางของกระดานหมากแล้ว มู่ชิงเกอก็นำองครักษ์เขี้ยวมังกรออกจากเขาวงกตได้อย่างง่ายดาย ปรากฏตัวในสถานที่แห่งหนึ่งคล้ายกับสนามฝึกซ้อม

นี่ทำให้มู่ชิงเกอผิดหวังอยู่บ้าง

นางมิได้มาเที่ยวเล่นแต่มาหาสมบัติ ให้นางไปโผล่สถานที่ ที่มีค่ากว่านี้หน่อยได้หรือไม่? ยกตัวอย่างเช่น คลังสินค้า! ห้องลับ! คลังสมบัติ! พิพิธภัณฑ์อาวุธ! สถานที่ทำนองนี้?

สนามฝึกซ้อมแห่งหนึ่ง จะมีสมบัติอะไรกัน?

เดินชมรอบหนึ่งอย่างรวดเร็ว มู่ชิงเกอก็กลับออกมาด้วยความผิดหวังตามคาด

ส่วนกระดิ่งที่แขวนไว้ข้างเอวนางก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นั้น แสดงว่าสิ่งของที่ซือมั่วต้องการไม่ได้อยู่ที่นี่ คิดดูก็เป็นตามนั้นซือมั่วยังรู้สึกว่าเป็นสิ่งของสำคัญ แล้วจะมีใครนำมันมาไว้ในสนามฝึกซ้อม?

แต่ว่า นางก็ไม่ได้จากไปอย่างรีบร้อน

มีประสบการณ์จากกระดานหมากก่อนหน้านี้แล้ว นางรั้งอยู่บริเวณทางเข้าของเขาวงกตแห่งใหม่หาเบาะแสอย่างละเอียด

แต่ว่าที่แห่งนั้นอกจากแผ่นหินสิ่งที่สลักคล้ายกับเคล็ดวิชาฝึกซ้อมหนึ่งชิ้นแล้วก็ไม่มีสิ่งของอื่น

ค้นหาแล้วหนึ่งรอบ มู่ชิงเกอก็นำสายตาไปไว้บนแผ่นหินด้านนั้น

‘เคล็ดวิชาแห่งฟ้า เปรียบเคล็ดวิชาดุจชีวิต วิชานับหมื่น มาจากจุดกำเนิดเดียวกัน จากจุดกำเนิดก่อเกิดสรรพสิ่ง สำคัญที่ย้อนกลับไปยังแก่นที่มา เกิดเป็นวิชาหมื่นพัน ย้อนกลับเป็นหนึ่ง…หนึ่งเกิดสอง สองเกิดสาม สามสี่ขัดแย้ง ห้าหกร่วมกำเนิด…’

อ่านเคล็ดวิชาบนแผ่นหินเงียบๆ มู่ชิงเกอก็ยิ่งขมวดคิ้ว อักษรเหล่านี้เข้าไปในห้วงความคิดของนาง มีความรู้สึกคล้ายจะใช่คล้ายจะไม่ใช่ ราวกับว่านางเข้าใจแล้วแล้วก็ราวกับว่าไม่เข้าใจอะไรเลย

จ้องอยู่เป็นนานในห้วงความคิดของนางเหลือเพียงหนึ่ง หนึ่งสองสอง สามสามสี่ วนไปวนมาในห้วงความคิดของนาง

ทันใดนั้น ความงุนงงในแววตาของนางก็เลือนหาย เปล่งประกายสว่างวาบ

นางมองดูแผ่นหินเนิ่นนาน ก่อนจะหมุนกายเข้าไปในเขาวงกต

“หนึ่งเกิดสอง สองเกิดสาม สามสี่ขัดแย้ง ห้าหกร่วมกำเนิด…” มู่ชิงเกอปากก็ท่องไป ฝีเท้าที่ก้าวก็เปลี่ยนไป ประหลาดอยู่บ้าง คล้ายกับเป็นฝีเท้าที่ลึกลับชนิดหนึ่ง มั่วหยางและคนอื่นๆก็ตามรอยเท้าของมู่ชิงเกอ ทยอยตาม มู่ชิงเกอยิ่งเดินยิ่งเร็วขึ้น ที่ๆ นางผ่านไปเหลือเพียงเงาลางๆ

ทุกครั้งที่มั่วหยางและคนอื่นๆ คิดว่าตามทันแล้ว สุดท้าย ก็เป็นเพียงเงาลางๆ

ระหว่างที่ตามติดบนเส้นทางเขาวงกต เหลือเพียงเงาลางๆ เป็นขบวนของมู่ชิงเกอ มั่วหยางและคนอื่นๆ ในที่สุดมู่ชิงเกอก็ย่างเท้าออกมาจากทางออกของเขาวงกต นางยืนอยู่ที่เดิม แววตามีชีวิตชีวาเอ่ยขึ้นว่า “ก้าวดาราก่อกำเนิด!”

คิดไม่ถึงว่าเขาวงกตนี้จะต้องใช้ฝีเท้าพิเศษถึงจะสามารถออกมาได้

ส่วนเคล็ดวิชาของการก้าวเท้านี้ก็ซ่อนอยู่ในป้ายหิน ไม่เพียงเท่านี้ มันยังเป็นยุทธวิธีการก้าวเท้าอันแสนงดงามชนิดหนึ่ง!

มู่ชิงเกอมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า เมื่อฝึกการก้าวที่มีชื่อว่า ‘ก้าวดาราก่อกำเนิด’ นี้จนถึงขั้นสูงสุด แม้แต่ซือมั่วก็ยากที่จะตามจับเงาของนางได้!

‘ก้าวดาราก่อกำเนิด’ ไม่ใช่ชื่อที่นางคิดขึ้นมาเอง แต่ว่าเป็นหลังจากที่นางฝึกจนชำนาญ ก็ปรากฏขึ้นเองในห้วงความคิดของนางตอนที่ทะยานออกมาจากทางออกของเขาวงกต

พวกมั่วหยางไล่ตามมาทัน หยุดอยู่ด้านหลังนาง

เช่นเดียวกันใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

“มั่วหยาง ฝีเท้าเมื่อครู่จำได้แล้วหรือไม่?” มู่ชิงเกอเชิดปากเอ่ยถาม

มั่วหยางพยักหน้ารับ นัยน์ตาฉายความตื่นเต้นจางๆ มู่ชิงเกอหมุนตัวเอ่ยกับพวกเขาทั้งเจ็ดว่า “จำไว้ให้ดี นี่ เรียกว่าก้าวดาราก่อกำเนิด หลังจากกลับไปแล้วมอบ หมายให้พวกเจ้าไปไปถ่ายทอดให้กับองครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งหมด ทุกคนมีหน้าที่ต้องศึกษา จะลงเป็นรายการสอบประเมินด้วยก็ได้”

เคล็ดวิชาของก้าวดาราก่อกำเนิดไม่ยาก มีเพียงวิธีเดียวที่จะฝึกมันถึงขั้นสูงสุดนั่นคือการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง

เคล็ดวิชาของท่าก้าวนี้ ก็ห่างไกลกับวิชาการก้าวของภายนอกเหล่านั้นมากนัก

มู่ชิงเกอตัดสินใจเด็ดขาดที่จะนำมันเป็นหลักสูตรที่องครักษ์เขี้ยวมังกรต้องฝึกฝน อีกทั้งเอาเข้าเป็นรายการสอบประเมินอย่างถาวร

“ขอรับ! คุณชาย!” มั่วหยางรับคำหนักแน่น

พอได้รับก้าวดาราก่อกำเนิด มู่ชิงเกอก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที นางเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ไปกันเถอะ ดูสิว่าสถานที่แห่งนี้มันเป็นที่ใดกัน จะนำมาซึ่งการผจญภัยแบบไหนให้พวกเรา!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version