Skip to content

พลิกปฐพี 217

ตอนที่ 217

ร่วมมือต้านอสูรร้าย!

ท่าไม้ตายขั้นสุดยอดของมู่ชิงเกอ

ครืน ครืน ครืน—–!

เสียงระเบิดอย่างรุนแรงดังไปรอบทิศ ทำให้ทั่วทั้งเกาะเล็กสั่นสะเทือนขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะถูกทำลายได้ตลอดเวลา

ผืนทะเลที่เผ่าอี๋ครอบครองแห่งนี้ มีความต่างจากผืนทะเลที่เผ่าปีศาจทะเลครอบครองอยู่ สีนํ้าทะเลของมันดูเข้มกว่า เกาะก็ลอยอยู่บนทะเล ไม่ได้ผุดตรงดิ่งขึ้นมาจากทะเลเหมือนกับของเผ่าปีศาจทะเล

ซากสัตว์อสูรวิญญาณที่อยู่บนชาดหาดถูกพลังที่แข็งแกร่งทำให้ลอยตัวขึ้นมาในอากาศ ส่วนหนึ่งตกเข้าไปในปากขนาดใหญ่ของฉวีอวี้ ที่เหลืออีกส่วนก็ตกลง จากกลางอากาศใส่ลงบนเกาะอย่างรุนแรง

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอวาววาบ เอ่ยกับไป๋สี่ว่า “ระวังด้วย”

ไป๋สี่พยักหน้า

มู่ชิงเกอนำโย่วเหอกับฮวาเยวี่ย ใช้ท่าก้าวดาราก่อกำเนิดถอยออกไปอย่างรวดเร็ว กลับไปยังถํ้าก่อนหน้า ส่วนไป๋สี่กลายเป็นแสงสีขาวพุ่งขึ้นไปในอากาศ ทันใด นั้นก็เกิดพายุขึ้น รูปร่างเปลี่ยนเป็นยาวและหนา กลายเป็นอสรพิษยักษ์เกล็ดสีเงิน

ลำตัวงูหนาดุจดังเสาคํ้า ยาวประมาณร้อยจั้ง บนเกร็ดของนาง วาววาบแสงสีรุ้งสะท้อนแสง บนหัวมีเขาหนามแหลมคม ดวงตาสีม่วงทอง ทอแววเยียบเย็น ปรากฏ ตัวอยู่ต่อหน้าของฉวีอวี้

“อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ!” ภายในพริบตาเดียว เสวี่ยหยาก็นึกออกถึงสถานะของไป๋สี่ ความตกตะลึงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

นางตะลึงอยู่กับที่ เงยหน้าขึ้นบนท้องพำ พึมพำว่า “คิดไม่ถึงว่าอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ซํ้ายังถือเอามนุษย์เป็นนายอีก”

หลังจากนึกถึงสถานะของไป๋สี่ได้แล้ว เสวี่ยหยาก็สามารถคาดเดาได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับมู่ชิงเกอได้ในทันที

หากพูดว่าสถานะของไป๋สี่ทำให้นางตกตะลึงแล้ว เช่นนั้นมู่ชิงเกอก็ยิ่งทำให้นางตกตะลึงได้ยิ่งกว่า เป็นเพราะอะไรกันแน่ถึงทำให้อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบที่สูงส่ง หยิ่งยโส ชอบดูแคลนมนุษย์ถือเป็นนายได้

ไป๋สี่ไปปรากฏที่ด้านหน้าของฉวีอวี้

ร่างกายของฉวีอวี้ใหญ่โตมาก พอลอยมากับลมบนท้องฟ้า ก็ดูเหมือนกับเป็นเมฆดำขนาดใหญ่ ดวงตาทั้งคู่ของมันที่ซ่อนอยู่ในความมืดมิด เปล่งแสงวาววาบออกมา ในปากเต็มไปด้วยฟันที่แหลมคม บนนั้นยังมีรอยเลือดติดอยู่ หางด้านหลังลากยาวดุจดงแส้เหล็ก หากว่าถูกโจมตี เกรงว่าร่างอาจจะแตกสลายได้เลย

“อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ…” นํ้าเสียงที่ดูช้าๆ เนิบๆ ดังออกมาจากปากของฉวีอวี้ นัยน์ตาสีม่วงทองของไป๋สี่เปล่งประกายวาววาบ พ่นคำออกมา “ฉวีอวี้ ระหว่างพวกเราเคยต่อสู้กันหรือไม่?”

“ไม่เคย” ฉวีอวี้เอ่ยตอบ

“เช่นนั้นวันนี้ไม่สู้ลองต่อสู้กับข้าดูสักตั้งดีหรือไม่?” ไป๋สี่เอ่ยอย่างขี้เล่น

“ข้าจะกิน…” ฉวีอวี้คำรามออกมา สั่นสะท้านจนทำให้ไป๋สี่เสียหลักไปชั่วขณะ ดวงตาสีม่วงทองของนาง ฉายไอสังหารเย็นยะเยือกออกมา สบถเอ่ยว่า “เอาชนะ ข้าให้ได้ก่อน หากทำได้ก็แล้วแต่เจ้าถ้าจะกิน!”

พูดจบแล้ว หางงูของนางก็สะบัดพุ่งไปยังฉวีอวี้

“จะกินเจ้า—–!” ปากกว้างของฉวีอวี้ ดุจดังถํ้าสีดำบนท้องฟ้า เขมือบลงมายังไป๋สี่

บนเกาะ ทุกคนล้วนแต่จดจ่ออยู่กับการต่อสู้เพราะว่ามันเกี่ยวพันถึงชีวิตของพวกเขา

มั่วหยางยืนอยู่ข้างกายหยินเฉินเอ่ยถามว่า “นางจะสามารถถ่วงเวลาได้หรือไม่?” ไม่ใช่ว่าเขาสงสัยในความสามารถของไป๋สี่ แต่เป็นเพราะไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็รู้สึกว่าไป๋สี่มีพลังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับฉวีอวี้ ร่างที่แท้จริงของไป๋สี่ เดิมทีก็ใหญ่โตแล้ว แต่เมื่อเทียบกับฉวีอวี้ กลับเปลี่ยนเป็นเล็กจ้อย

ความกังวลใจของมั่วหยาง หยินเฉินเพียงแค่ตอบกลับประโยคหนึ่ง “เชื่อใจงูตะกละนั่นเถอะ”

งูตะกละ?

คำพูดของหยินเฉินลอยเข้าไปในหูของเสวี่ยหยา ทำให้แววตาของนางเกิดความหวาดกลัว

ใครกันกล้าถึงขนาดนี้? กลับกล้าเรียกอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบว่างูตะกละ?

นางมองไปทางหยินเฉินอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะรู้สึกตัว นัยน์ตาสีแดงเลือดมองมาที่นาง ดวงตาสีแดงเลือดนั้นวาววาบอย่างแปลกตา ทำให้เสวี่ยหยาตะลึง

นางตื่นตะลึงพร้อมกับสัมผัสได้ถึงสถานะของหยินเฉิน ขึ้นรางๆ!

‘เป็นร่างจำแลงของสัตว์อสูรเทวะอีกตนรึ!’ เสวี่ยหยาพูดในใจ

ถอนสายตากลับ จิตใจของเสวี่ยหยายากที่จะสงบ

บนท้องฟ้า ไป๋สี่ได้ต่อสู้ปะทะกับฉวีอวี้แล้ว ล้วนแต่เป็นสัตว์เทพโบราณเช่นเดียวกัน การต่อสู้ระหว่างพวกมันจึงไม่เหมือนการต่อสู้ของผู้เยี่ยมยุทธ์เผ่ามนุษย์ที่มีกระบวนท่าต่างๆ นาๆ แต่พวกมันต่อสู้แบบป่าเถื่อนโดยตรง

ไป๋สี่ฉลาดใช้ ‘ลม’ กักขังฉวีอวี้ ส่วนร่างกายอันใหญ่โตของฉวีอวี้ก็คิดจะทำลายที่คุมขังที่ไป๋สี่สร้างขึ้น

ปากของมันมีกลิ่นคาวเลือดโชยออกมา ไป๋สี่ก็เช่นเดียวกัน

พิษร้ายทั้งสองปะทะกัน เผาไหม้บนกลางอากาศ เกิดกลิ่นเหม็นพัดโชยออกมา

กลิ่นเหม็นนั้นปกคลุมไปทั่วทั้งเกาะ ทำให้คนบนเกาะล้วนแต่อดไม่ได้ที่อยากจะอาเจียนออกมา กุมจมูกไว้

นัยน์ตาสีม่วงทองของไป๋สี่ พุ่งแสงสีทองออกไปสายหนึ่งโจมตีเข้าใส่แผ่นหลังของฉวีอวี้ แต่ว่าแม้แต่รอยแผลเดียวก็ไม่มี นี่ทำให้นัยน์ตาของไป๋สี่ฉายแววเคร่งขรึมเต็มไปด้วยความเยียบเย็น

ฉวีอวี้ใช้พลังดึงดูดตัวไป๋สี่เข้าไป คิดจะดูดนางเข้าไปภายใน

ไป๋สี่พยายามขัดขืน สะบัดหางงู ฟาดเข้าไปที่หัวของฉวีอวี้ ทำลายพลังดึงดูดของมัน

โฮก—!

ตรงกลางอากาศ เกิดเสียงคำรามอย่างโมโหของอวีฉวี้ มันสะบัดหางของตนเองไปมา หางที่ดูเหมือนแส้เหล็กนั้นฟาดอยู่กลางอากาศทำให้เกิดเสียง ‘เพียะ เพียะ’ สะบัดไปทางใดก็ล้วนเกิดเสียงแหวกอากาศจนดูคล้ายกับท้องฟ้ากำลังถูกทำลาย

การต่อสู้กลางอากาศ ทำให้หัวใจของคนบนเกาะที่มองเห็นเต้นแรงขึ้น

พวกเขาก็รู้สึกว่า พอมาอยู่เบื้องหน้าการต่อสู้ระหว่างสัตว์เทพโบราณทั้งสอง ตนเองแทบไม่มีกำลังที่จะต้านทานได้เลย

ในตอนที่กลิ่นเหม็นปกคลุมไปทั่วทั้งเกาะเล็กนั้น มู่ชิงเกอก็ได้พาโย่วเหอและฮวาเยวี่ยไปถึงภายในถํ้าแล้ว นางหันไปมองบนอากาศ มองเห็นไป๋สี่ต่อสู้กับอวีฉวี้

ฉากที่ดูน่าหวาดหวั่นนั้นทำให้นางค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น

นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงสะบัดมือ ปล่อยหยวนหยวนออกมา

“ลูกพี่ท่านแม่!” หยวนหยวนออกมาแล้วก็อดออดอ้อนออเซาะมู่ชิงเกอไม่ได้

ชุดสีเขียวสดของเขานั้นสะดุดตามาก ที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่า ก็คือเขาสวมหมวกสี่เหลี่ยม ทั้งบนหมวกยังปักดอกไม้สีชมพูเอาไว้หนึ่งดอกอีกด้วย

มู่ชิงเกอรู้สึกว่า รอหยวนหยวนดูดกลืนพญาเพลิงอีกครั้ง หลังจากเติบโตขึ้นแล้ว เขาจะต้องแก้แค้นเหมิงเหมิง ‘ปีศาจ’ ที่ทำเช่นนี้กับเขาอย่างแน่นอน!

“หยวนหยวน ข้ามีภารกิจจะมอบให้เจ้า” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างจริงจังกับหยวนหยวน

เห็นมู่ชิงเกอดูเคร่งขรึม หยวนหยวนก็สำรวมจิตใจที่คิดแต่จะเล่นในทันที ยืนตรงขึ้นต่อหน้าของมู่ชิงเกอ

ท่าทางยืนเหมือนทหารของเขาเช่นนี้ก็เลียนแบบมาจากองครักษ์เขี้ยวมังกร

“ไปช่วยไป๋สี่ แต่ตัวเจ้าเองก็ต้องระวัง” มู่ชิงเกอเงยหน้ามองกลางท้องฟ้าแวบหนึ่ง เอ่ยสั่งกับหยวนหยวน

“ขอรับ! ลูกพี่ท่านแม่!” หยวนหยวนรับคำสั่งเสียงเข้ม มู่ชิงเกอเอ่ยเตือนว่า “มีคนนอกอยู่บนเกาะ ไม่ต้องเรียกข้าว่าลูกพี่ท่านแม่”

ที่แท้ก็มีคนนอก!

หยวนหยวนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจในทันใด “เข้าใจแล้ว ลูกพี่”

“ไปเถอะ” มู่ชิงเกอลูบๆ ใต้คาง

หยวนหยวนหันกายกลับในทันที เงยหน้ามองบนท้องฟ้า การต่อสู้ด้านบนทำให้ใบหน้าเล็กขาวผ่องดุจหยกของเขาเกิดรอยยิ้มบ้าคลั่งออกมา เขากำกำปั้นน้อยๆ ของตนเองก่อนจะเอ่ยอย่างดุดันว่า “ชิ ชิ ไม่สนว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดอะไร เดี๋ยวนายน้อยผู้นี้จะไปจัดการเจ้า!”

เอ่ยคำออกไปแล้ว หยวนหยวนก็หายตัวไปจากที่เดิม

มีหยวนหยวนอยู่ข้างๆ มู่ชิงเกอก็วางใจลงได้บ้าง

นางเข้าไปในถํ้า สะบัดมือ สมุนไพรกองใหญ่แล้วก็ยังมี หม้อผลาญสวรรค์สีแดงทันใดนั้นก็ปรากฏขึ้นอยู่ในถํ้า มู่ชิงเกอชี้นิ้วมือไป บนนิ้วของนางก็เกิดเปลวเพลิงโปร่งแสงลอยออกมา เผาไหม้ไปบนหม้อหลอม เพิ่มความร้อนให้แก่หม้อผลาญสวรรค์

นางก็ไม่เข้าในว่าเหตุใดพญาเพลิงปาฮวงซูคงที่สามารถเผาไหม้ได้ทุกอย่างกลับไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อหม้อผลาญสวรรค์

หลังจากหยวนหยวนเข้าสู่โหมดของการต่อสู้แล้ว นางก็จะไม่สามารถที่จะใช้พญาเพลิงได้อีก ดังนั้นนางต้องจุดหม้อผลาญสวรรค์ให้ติดก่อน

“โย่วเหอ ฮวาเยวี่ย พวกเจ้าสองคนช่วยข้าจัดเตรียมสมุนไพร” มู่ชิงเกอสั่งการสาวใช้ทั้งสอง

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยเดินไปยังกองสมุนไพรบนพื้นในทันที รีบจัดแบ่งประเภทอย่างรวดเร็ว

หลังจากมู่ชิงเกอเริ่มเรียนหลอมโอสถแล้ว พวกนางก็ได้ช่วยจัดแบ่งสมุนไพรที่ถูกส่งมาบ้างเป็นครั้งคราว ดังนั้น เรื่องเล็กเช่นนี้ไม่ยากเกินไปสำหรับพวกนาง

“คุณชาย ท่านจะหลอมโอสถอะไร?” ฮวาเยวี่ยเอ่ยถามอย่างสงสัย

มู่ชิงเกอส่ายหน้า “ไม่ใช่หลอมโอสถ” และก็ไม่ได้อธิบายมาก หลังจากมู่ชิงเกอหาของที่ต้องการเจอแล้ว นางก็เอาสมุนไพรชนิดแรกลงในหม้อผลาญสวรรค์

การต่อสู้บนอากาศ เกิดเสียงปะทะอย่างรุนแรงไม่หยุด การต่อสู้เช่นนี้ เขย่าไปทั่วทั้งผืนทะเลใกล้เคียง สัตว์อสูรวิญญาณทั้งหมดล้วนแต่พากันหนีไปไม่เหลือสักตัว ด้วยเกรงว่าหากช้าไปเพียงก้าวเดียวอาจจะตายได้

พลังการปะทะของไป๋สี่และฉวีอวี้มีเกาะขนาดเล็กเป็นจุดศูนย์กลาง กระจายออกไปรอบทิศ พัดนํ้าทะเลแห่งความทุกข์จนเกิดเป็นคลื่นทะเลเป็นชั้นๆ อย่างต่อเนื่อง

ที่นี่ราวก็จะพบเข้ากับวันโลกาวิบัติ พลังที่แข็งแกร่งต่อสู้กัน ทำให้คนเกิดความสิ้นหวัง

“ข้ามาแล้ว—–!”

ทันใดนั้น เสียงเยาว์วัยดูไร้เดียงสาก็แทรกผ่านความสิ้นหวังและหดหู่เข้ามา

ทุกคนหันไปมอง

องครักษ์เขี้ยวมังกร มั่วหยางและคนอื่นๆ ที่รู้จักหยวนหยวนแล้ว นัยน์ตาก็ล้วนแต่เผยความยินดี ส่วนทหารเผ่าอี๋ทั้งยังมีเสวี่ยหยาที่ไม่รู้จักหยวนหยวนก็ล้วนแต่ ชะงัก มึนงง

นี่เป็นเด็กจากบ้านใครกัน?!

นี่เป็นปฏิกิริยาแรกของทหารเผ่าอี๋ ส่วนปฏิกิริยาแรกของเสวี่ยหยาก็คือ ‘บนเกาะที่โดดเดี่ยวมีเด็กมาได้อย่างไร?’ อีกอย่าง ดูเด็กคนนี้มีรูปร่างหน้าตาขาวนวลดุจหยกสลัก แค่มองก็รู้ว่าเป็นเด็กจากตระกูลที่รํ่ารวย ถึงแม้…จะแต่งตัวดูแตกต่างไปหน่อยก็ตาม

“ขวางเด็กคนนั้นไว้” ในตอนที่หยวนหยวนวิ่งมาข้างกายของพวกเขานั้น เสวี่ยหยาก็รีบเอ่ยออกมา ความคิดแรกของนาง แน่นอนว่าคือไม่อยากให้หยวน

หยวนที่เป็นเพียงเด็กน้อยเสี่ยงอันตราย

แม้ว่าหยวนหยวนจะมีความสามารถเลิศล้ำ แต่ในอายุเพียงเท่านี้ของเขา ปรากฏตัวขึ้นในการต่อสู้เช่นนั้นก็มีแต่ ตายลูกเดียว

ทหารเผ่าอี๋แน่นอนว่าทำตามคำสั่ง

แต่พวกเขายังไม่ทันได้ลงมือ องครักษ์เขี้ยวมังกรที่อยู่ใกล้กับพวกเขาก็ขวางพวกเขาเอาไว้

“องค์หญิงเสวี่ยหยา เด็กคนนี้มาช่วย” มั่วหยางอธิบายให้เสวี่ยหยาฟังประโยคหนึ่ง

เสวี่ยหยาชะงัก “ช่วย? เขาสามารถช่วยอะไร?”

“ข้าเก่งมาก! พี่สาวคนสวยอย่าได้ดูถูกข้า!” ใ ระหว่างที่นางกำลังจะพูด หยวนหยวนก็ได้กระโดดมาอยู่ตรงหน้าของนางแล้ว ทั้งยังกำกำปั้น เสวี่ยหยาอ้าปากค้างมองหยวนหยวนอย่างตกตะลึง ความเร็วของหยวนหยวน เร็วเกินกว่าที่นางคิดเอาไว้

“โฮก—–!” กลางอากาศ เกิดเสียงคำรามออกมา ไป๋สี่พลิกม้วนลำตัวกลางอากาศ ดูเหมือนจะได้รับการโจมตีอย่างหนัก

สถานการณ์ที่เกิดอย่างกะทันหัน ขัดขวางการพูดคุยถึงสถานะของหยวนหยวนในด้านล่าง

หยวนหยวนเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นไป๋สี่ได้รับบาดเจ็บ ก็สะบัดชายเสื้อในทันที คำรามใส่ฉวีอวี้ว่า “สัตว์ประหลาดขึ้เหร่! เจ้ากล้าทำร้ายพี่สาวไป๋ของข้า!”

พูดแล้ว เขาก็กระโดดทะยานออกไป ร่างกายเล็กก็ดูดุจดังลูกกระสุนพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

“ระวัง—–!” เสวี่ยหยายื่นมือออกไปคิดจะคว้าจับ แต่กลับจับได้เพียงอากาศว่างเปล่า ในตอนนี้ นางกลับมองเห็นฉากอันน่าตกตะลึง

ร่างกายเล็กๆ ของหยวนหยวนยังอยู่กลางอากาศ เปลวเพลิงสีขาวอันเย็นยะเยือกถูกพ่นออกมาจากปากของเขา ดุจดั่งมังกรน้ำแข็งพุ่งเข้าใส่ฉวีอวี้

เปลวเพลิงสีขาวนี้ เข้าไปปกคลุมเผาไหม้ลำตัวขนาดใหญ่ของฉวีอวี้อย่างรวดเร็ว

ตามที่คนบนพื้นมองดู ฉวีอวี้ดูเหมือนกับถูกปกคลุมจนกลายเป็นก้อนนํ้าแข็งขนาดใหญ่

มีหยวนหยวนลงมือ ไป๋สี่ก็ได้พักหายใจ หายวาบไปกลางอากาศ ร่างครึ่งบนกลายเป็นร่างของผู้หญิงที่เย้ายวน

นางมือกุมอก สีหน้าซีดขาว ดูแล้วเมื่อครู่ได้รับบาดเจ็บไม่เบา

นัยน์ตาสีเลือดของหยินเฉินวาววาบ เงาร่างหายไป ตอนที่ปรากฏตัวอีกครั้ง ก็ไปปรากฏตัวอยู่ข้างกายของไป๋สี่แล้ว พยุงร่างของนาง เอ่ยถามว่า “เจ้าไม่เป็นไรใช่ ไหม”

ไป๋สี่มองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างเย็นเฉียบว่า “ไม่เป็นไร”

พูดจบนัยน์ตาของนางก็ฉายแววเคร่งขรึม “ฉวีอวี้นี่ยากต่อกรเสียยิ่งกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ ที่สำคัญที่สุดก็คือผิวหนังของมันหนามากเกินไป โจมตีอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้ มันบาดเจ็บได้ ดูแล้วหากคิดอยากจะถ่วงเวลามัน ก็ทำได้เพียงแค่พวกเราทั้งสามร่วมกันต่อสู้’”

หยินเฉินพยักหน้าสีหน้าเรียบเฉย มองไปยังฉวีอวี้ที่ถูกหยวนหยวนใช้พญาเพลิงปีศาจไป๋กู่โอบล้อมเอาไว้อย่างอำมหิต

พญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ลุกไหม้ไปบนร่างของฉวีอวี้ไม่หยุด แต่ท่าทางของหยวนหยวนกลับยิ่งดูเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ เขากลอกตาไปมา ลอบส่งพญาเพลิงปาฮวงซูคงเข้าไปในเปลวเพลิงของพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ ในใจของหยวนหยวนยิ้มเย็น ‘เป็นอย่างไร? ข้าเพิ่มเชื้อไฟให้เจ้า เผาเจ้าให้ตาย! เหอะ!’

เพียงแต่ว่า ท่าทีที่ได้ใจของเขายังไม่ทันได้เผยขึ้นมาบนใบหน้า เสียงแตกเบาๆ ก็ดังออกมา ทำให้เขาชะงัก

แครก—–!

พญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ที่ปกคลุมรอบตัวของฉวีอวี้เกิดรอยแตกขึ้นในทันใด ต่อจากนั้น ภายใต้แววตาที่ดูตกตะลึงของทุกคน รอยแตกก็ตกกระจาย กลายเป็นสะเก็ดไฟเล็กๆ พุ่งไปรอบด้าน ใบหน้าเล็กๆ ของหยวนหยวนเปลี่ยนไป หลีกหลบด้วยความตกใจพร้อมทั้งดูดเปลวไฟที่ตกไปยังพื้นคืนกลับมา

ส่วนไป๋สี่ถูกหยินเฉินโอบเอวพาหลบหลีกสะเก็ดไฟบนอากาศอย่างรวดเร็ว

อยู่ดีๆ ก็ถูกหยินเฉินกอด ร่างของไป๋สี่เกิดอาการแข็งเกร็ง หันไปมองใบหน้าหล่อเหลาของหยินเฉินด้วยสีหน้าที่ดูตกใจ

ดูเหมือนนางจะคิดไม่ถึงว่าจิ้งจอกเหม็นที่ทะเลาะและเป็นศัตรูกับนางมาตลอดจะมีวันที่จะปกป้องนาง เมื่อภัยอันตรายถูกขจัดไปแล้ว หยินเฉินก็ปล่อยไป๋สี่ นัยน์ตาสีเลือดกวาดตามองความตกใจของนาง อธิบายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ข้าเพียงแต่ ทำหน้าที่ของข้า”

ท่าทางที่ดูตกตะลึงของไป๋สี่ถูกทำลายไป จิตใจเกิดอารมณ์โมโหขึ้นมา

“ว้า ว้า ว้า—–! พวกเจ้าทั้งสองอย่ามัวพลอดรักกันได้ไหม! ข้าจะรับมือไม่ไหวอยู่แล้ว!” เสียงขอร้องของหยวนหยวนดังเข้ามา

ทั้งสองคนหันมองไป มองเห็นหยวนหยวนที่กำลังถูกฉวีอวี้ไล่งับ แล้วเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “ใครกำลังพลอดรักกัน?”

พูดจบแล้ว พวกเขาก็จ้องกันแวบหนึ่ง

หยวนหยวนวิ่งมาที่ตรงหน้าของพวกเขา ทั้งวิ่งทั้งร้องว่า “เป็นเหมิงเหมิงพูด! นางบอกว่าตอนที่พวกเจ้าทะเลาะกันนั้นเป็นการพลอดรัก!”

เหมิงเหมิงที่สมควรตาย!

เหมิงเหมิงที่สมควรตาย!

หยินเฉินและไป๋สี่ด่าในใจขึ้นพร้อมกัน

มองไปทางฉวีอวี้ ทั้งสองคนก็สำรวมท่าทาง

ไป๋สี่เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เจ้ารับผิดชอบด้านซ้าย ข้ารับผิดชอบด้านขวา”

หยินเฉินนิ่งลงพยักหน้า พลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หางสีขาวเก้าหางของจิ้งจอกปรากฏออกมาด้านหลังของเขา ทำให้กลางอากาศเกิดสายลมกรรโชก

“ราชาจิ้งจอกหิมะ!” นัยน์ตาของเสวี่ยหยาหดตัวลง นึกถึงสถานะของหยินเฉินได้ในทันใด

“เขาเป็นใครกันแน่? เหตุใดอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบและราชาจิ้งจอกหิมะล้วนอยู่ล้อมรอบกายเขา? แม้แต่เด็กคนนั้น…” เสวี่ยหยาพึมพำออกมา ในใจถูกมู่ชิงเกอทำให้ตกตะลึงจนไม่อาจจะสงบลงได้

“องค์หญิง เด็กคนนั้นเป็นอะไรกันแน่?” เสียงเอ่ยถามของทหารเผ่าอี๋คนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังของเสวี่ยหยา

เสวี่ยหยาเอ่ยตอบด้วยความรู้สึกลังเลเล็กน้อย “ถ้าหากว่าข้าเดาไม่ผิดร่างจริงของเด็กคนนั้นน่าจะเป็นพญาเพลิงบางชนิด”

“พญาเพลิง!”

ทหารเผ่าอี๋ตกตะลึง

ร่างจำแลงของพญาเพลิงนั้นพวกเขารู้จัก แต่ว่าพญาเพลิงที่สามารถกลายร่างเป็นคน ทั้งยังดูมีชีวิตชีวาไม่ต่างอะไรจากคนนั้นสมควรจะแข็งแกร่งระดับไหน? สวรรค์!

ทันใดนั้น เขาก็พบว่าการคาดเดาขององค์หญิงเสวี่ยหยานั้นถูกต้อง

ความไม่ยินยอมเมื่อก่อน ล้วนแต่ถูกทิ้งไปนอกโลกนานแล้ว!

ถ้าหากพวกเขาฝืนไล่คนเหล่านั้นจากไปแล้วละก็ เกรงว่าจุดจบ ผู้ที่จะถูกสั่งสอน ถูกทุบตีจนตกนํ้านั้นจะกลายเป็นพวกเขาใช่ไหม?

ยังมีทหารที่สวมชุดดำเหล่านั้นอีก ของที่พวกเขาถือไว้ในมือ พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน

กลางอากาศ พอมีหยินเฉินและหยวนหยวนเข้าร่วมภายใต้สถานการณ์สามรุมหนึ่งนั้น ในที่สุดก็สามารถยับยั้งฉวีอวี้เอาไว้ได้ แต่อารมณ์ของมันก็ยิ่งดูรุนแรงมากยิ่ง

ความรู้สึกเช่นนี้ ไป๋สี่รับรู้ได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่เป็นเพราะว่านางกับฉวีอวี้ล้วนแต่เป็นสัตว์เทพโบราณเช่นเดียวกัน แต่เป็นเพราะถ้าหากว่ามีใครมาขวางนางตอนที่นางหิวแล้วละก็ นางก็จะโมโหจนอยากจะทำลายทุกอย่างเช่นเดียวกัน

การต่อสู้กลางอากาศ ก็ยังดูสูสีกัน โย่วเหอยืนอยู่นอกถ้ำ ถอนสายตากลับ นางเดินเข้าไปในถํ้า รายงานสถานการณ์แก่มู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง โย่วเหอถอยออกไปอีกครั้ง มองดูสถานการณ์ภายนอกต่อไป

ไกลออกไปจากเกาะโดดเดี่ยวแห่งนั้น ก็มีเกาะขนาดใหญ่อยู่เกาะหนึ่ง ราชครูของเผ่าอี๋รีบเดินเข้าไปในอาคารหรูหราตระการตาแห่งหนึ่ง

“ท่านอ๋อง ข้าเมื่อครู่ก็รับรู้ได้ว่าไอพลังในทะเลแห่งทุกข์ มีความผิดปกติ คำนวณแล้วรอบหนึ่ง มีผลลัพธ์ออกมา” ราชครูมาถึงตรงหน้าของหนึ่งชายหนึ่งหญิงแล้วเอ่ยด้วยท่าทางที่ดูตื่นตกใจ

ผู้ชาย ดูหล่อเหล่า ถึงแม้ว่าจะดูมีอายุแล้ว แต่ท่าทีกลับยิ่งดูสุขุมนุ่มลึกมากยิ่งขึ้น

ผู้หญิง งดงามสูงส่ง ใบหน้าแฝงความห้าวหาญ พลังดูไม่ด้อยไปกว่าผู้ชายด้านข้าง

ทั้งสองคนนั่งอยู่ด้วยกัน เกิดเป็นการผสมผสานที่ลงตัว ผู้ชายเป็นอ๋องผู้นำของเผ่าอี๋ ส่วนผู้หญิงก็เป็นชายาของเขา และก็เป็นแม่ทัพฝ่ายใต้ของเผ่าอี๋ เสวี่ยหยาเป็นลูกสาวของพวกเขา

ดูจากรูปร่าง เสวี่ยหยาล้วนแต่ได้จุดเด่นของพวกเขามา แต่เดิมทั้งสองคนกำลังพักผ่อนจิบชากันอยู่ คำพูดของท่านราชครูเอ่ยทำให้รอยยิ้มบนในหน้าของทั้งสองคนถูกเก็บกลับไป

อ๋องเผ่าอี๋ค่อยๆ วางถ้วยชาลง มองไปทางราชครู เอ่ยถามว่า “ดูท่า ก็คงจะไม่ใช่ข่าวดีอะไร พูดเถอะ”

ราชครูเงยหน้ามองท่านอ๋อง ท่าทางดูหวาดกลัวเอ่ยว่า “ฉวีอวี้ตื่นขึ้นแล้ว!”

เพล้ง!

ถ้วยชาในมือของพระชายาตกลงแตกกระจายไปที่พื้น นางยืนขึ้นมาอย่างตกตะลึง มองไปทางที่ราชครู “จะเป็นไปได้อย่างไร? อิงตามเวลาพันปี ฉวีอวี้ยังต้องรออีก สามปีถึงจะตื่นขึ้น!”

“จื้อ” ราชาเผ่าปลอบขึ้นมาคำหนึ่ง

พระชายาถึงได้สงบลง นั่งลงอีกครั้ง ไม่ใช่ว่านางมีความสงบไม่พอ แต่เป็นเพราะทุกครั้งที่ฉวีอวี้ตื่นขึ้นมา ก็ล้วนแต่จะเกิดหายนะ!

หลังจากเอ่ยปลอบชายาของตนเองแล้ว ท่านอ๋องถึงได้มองไปทางที่ปรึกษาใหญ่แล้วเอ่ยถาม “เจ้ามั่นใจนะว่า ฉวีอวี้ตื่นขึ้นมาแล้วจริงๆ?”

ราชครูเอ่ยว่า “ข้าคำนวณถึงสามครั้ง ผลลัพธ์ล้วนแต่เป็นเช่นเดียวกัน เพื่อที่จะไม่ให้ผิดพลาด ก็ได้ส่งอสูรเวหาออกไปสืบมาแล้ว”

คำพูดของเขาเพิ่งจะหลุดออกไป กลางอากาศก็เกิดเสียงนกร้องเรียกดังขึ้นมา

ทั้งสามคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน เห็นเพียงนกน้อยขนสีเหลืองตัวหนึ่งบินเข้ามาในตำหนักใหญ่ ตกลงไปบนฝ่ามือของราชครู

ราชครูหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไอพลังสีม่วงลอยขึ้นมาจากตัวนกน้อย เข้าไปในจมูกของราชครู ในตอนที่ไอพลังสีม่วงหายไปแล้วนั้น ราชครูก็เบิกตาขึ้นมาในทันที นัยน์ตาฉายแวววาววาบ “เป็นฉวีอวี้จริงๆ! อีกทั้งตอนนี้ก็มีคนกำลังต่อสู้กับฉวีอวี้!”

ท่านอ๋องและพระชายาดวงตาเบิกกว้างขึ้นพร้อมกัน

“ใครกันที่กล้าหาญขนาดนี้!” ท่านอ๋องเอ๋ยถาม

ราชครูส่ายหน้า เหมือนจะพูดอะไร หลังมองท่านอ๋องกับพระชายาแล้วก็มีสีหน้ายุ่งเหยิง

“เจ้ายังมีอะไรที่ยังไม่พูดอีก?” ความรู้สึกของผู้หญิงมักจะแหลมคม พระชายามองออกได้ในทันทีว่าท่าทางของราชครูดูแปลกไป

คำพูดของพระชายาดึงดูดความสนใจของท่านอ๋อง เขาเอ่ยว่า “ท่านราชครูมีอะไรก็พูดมาตามตรงเถิด”

ราชครูถอนหายใจอีกครั้ง กัดฟันเอ่ยว่า “ในข้อมูลที่อสูรเวหานำกลับมา ก็มีไอพลังขององค์หญิงเสวี่ยหยา ดูเหมือนว่า องค์หญิงเสวี่ยหยาก็อยู่ที่นั่นด้วย”

“อะไรนะ!”

“เสวี่ยหยา?!”

ท่านอ๋องและพระชายายืนขึ้นพร้อมกัน

พระชายาเหมือนจะเกิดอาการมึนศีรษะ เกือบจะยืนไม่อยู่ เสวี่ยหยาเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของนาง ถ้าหากว่า ตกเข้าไปในปากของฉวีอวี้แล้ว นางเกรงว่าคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้!

ในตอนนี้ นางไม่ใช่แม่ทัพฝ่ายใต้อะไรนั้นอีกแล้ว แต่กลับเป็นแม่ที่เป็นกังวลความปลอดภัยของลูกสาวคนหนึ่งเท่านั้น

“ทหาร เรียกชิงฝูมาพบข้า!” ท่านอ๋องพยุงแขนของพระชายา ก่อนจะตะโกนออกไปนอกตำหนัก

ไม่นาน ชิงฝูก็ก้าวยาวๆ เข้ามา

พอมองเห็นสภาพความร้อนใจในตำหนักแล้ว เขาก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย

“ชิงฝู ข้าถามเจ้า เสวี่ยหยาอยู่ที่ไหน?” ท่านอ๋องเอ่ยถามชิงฝู

ชิงฝูชะงัก เอ่ยตามจริงว่า “ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน มีกลิ่นอายเลือดลอยมาจากทางทะเล องค์หญิงเสวี่ยหยาจึงนำองครักษ์หนึ่งร้อยคนไปสืบ”

“เสวี่ยหยาไม่ได้อยู่บนเกาะจริงๆ!” หลังจากพระชายาได้ยินแล้ว สีหน้าก็ถอดสีในทันที

พอมีชิงฝูรับรอง ราชครูก็เอ่ยอย่างแน่ใจว่า “ดูท่า ข่าวสารที่สัตว์อสูรเวหาได้มานั้นไม่ผิด”

ฉวีอวี้ตื่นขึ้นแล้ว เสวี่ยหยายังบังเอิญไปอยู่ในสถานที่ที่ฉวีอวี้ตื่นขึ้นอีก…

สองข่าวนี้ ทำให้ท่านอ๋องเหมือนจะเป็นลม โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวที่สอง ยิ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนจะระเบิด

แต่เขาเป็นอ๋อง เป็นผู้นำของเผ่าอี๋ เขาจำเป็นต้องรีบตัดสินใจโดยเร็ว

ข่มความกังวลในใจลงไป ท่านอ๋องเอ่ยกับชิงฝูว่า “รีบไปตีระฆังเตือนภัย บอกทุกคนให้กลับมาที่เกาะตูเล่อ แล้วเข้ามาในวังใต้ดิน รีบไป—–!”

ชิงฝูชะงัก รู้สึกได้ถึงความร้อนใจ เขาไม่กล้าถามมากความ รีบหันกายไปจัดการเรื่องที่ท่านอ๋องมอบหมายให้ในทันที

อย่างรวดเร็ว เสียงเตือนก็ดังไปทั่วเกาะตูเล่อ

พระชายาพยายามควบคุมร่างกายที่สั่นอย่างหวาดกลัวของตัวเอง เอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “ท่านอ๋อง ท่านอยู่ดูแลประชาชน ลูกสาวของพวกเรา ปล่อยให้ข้าไปช่วย เถอะ!”

ท่านอ๋องตกตะลึง เอ่ยเสียงหลงว่า “เจ้าบ้าไปแล้ว! นี่ เป็นการไปตายนะ!”

พระชายาส่ายหน้า เผยสีหน้าที่ไม่อาจปฏิเสธได้ออกมา

“ข้าไม่ใช่ไปตาย แต่ไปช่วยลูกสาวของพวกเรา ข้าเป็นแม่ของนาง ไม่สามารถให้นางเผชิญหน้ากับฉวีอวี้คนเดียวได้”

พูดแล้ว นางก็อาศัยช่วงเวลาที่ท่านอ๋องไม่ทันตั้งตัว รีบสกัดจุดที่คอของเขาอย่างรวดเร็ว

ร่างของท่านอ๋องอ่อนระทวยลง ร่างกายขยับไม่ได้ และก็ไม่สามารถพูดได้ มีแต่ดวงตากลอกไปมา เขาพยายามส่งสายตาออกไปห้ามพระชายา แต่นางก็ไม่สนใจ

พระชายาหันไปเอ่ยกับราชครูว่า “ข้าขอฝากท่านอ๋องไว้กับเจ้าแล้ว”

“พระชายา…” ที่ปรึกษาใหญ่เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่จากคนที่พูดได้อย่างคล่องปากเช่นเขา ตอนนี้กลับกลายเหมือนเป็นใบ้

“ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ข้าไม่ได้ไปในฐานะของพระชายา และก็ไม่ได้ใช้สถานะของแม่ทัพฝ่ายใต้ไป แต่อาศัยสถานะของแม่” พระชายาพอพูดจบแล้ว ร่างกาย ของนางก็เกิดเปลวไฟลุกโหมขึ้นมา

เมื่อเปลวไฟบนร่างของนางหายไป ร่างของนางก็มีชุดเกราะสีแดงขึ้นอีกชั้น

“เสี่ยวหลวน!” พระชายาตะโกนเรียกขึ้น

หงส์เพลิงสีแดงดุจเพลิงตัวหนึ่งปรากฏตัวอยู่นอกตำหนัก

พระชายากระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังหงส์เพลิง หงส์เพลิงร้องออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็พาพระชายาลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า หายไปจากสายตาของราชครู

พระชายาเดินทางไปได้ครู่หนึ่งแล้ว ท่านอ๋องถึงได้หลุดออกมาจากอาคมบนร่าง

เขาพุ่งตัวออกไปนอกตำหนัก รองตะโกนขึ้นไปบนท้อง ฟ้า “จื๋อ—–!”

เสียงดังสะท้อนไปมาบนเกาะตูเล่อ ทำให้ทุกคนบนเกาะตูเล่อล้วนแต่หยุดการเคลื่อนไหว พวกเขามองไปทางพระราชวัง ดูเหมือนรู้สึกได้ว่าท่านอ๋องของพวกเขากำลังได้รับความเจ็บปวดที่แสนสาหัส

ปัง ปัง ปัง—–!

เงาแสงหลายสายพัวพันกันไปมา ไป๋สี่กับหยินเฉินนำ หยวนหยวน รีบถอยออกจากท้องฟ้า ตกลงบนพื้น กลับคืนร่างคน

มุมปากของพวกเขาล้วนแต่มีรอยเลือดซึม ผมก็ถูกเหงื่อทำให้เปียกชุ่ม บนเสื้อผ้าก็มีรอยขาดหลายแห่ง

มั่วหยางมองพวกเขาแวบหนึ่ง เอ่ยในทันใดว่า “องครักษ์เขี้ยวมังกรเตรียมตัว!”

องครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งห้าร้อยรีบชูกลีเนทลันเชอร์ในมือขึ้น เล็งไปที่ร่างกายใหญ่โตของฉวีอวี้

“โจมตี—–!” มั่วหยางออกคำสั่ง เลียงปืนดังไปรอบทิศ

ปัง ปัง ปัง ปัง—–!

กลีเนทลันเชอร์โจมตีเข้าไปยังร่างกายของฉวีอวี้อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะไม่ทะลุการป้องกันของมัน แต่ก็สามารถยับยั้งการเคลื่อนไหวของมันได้ก้าวหนึ่ง

โฮก—–!

ฉวีอวี้คำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ปัดพลังที่ถูกยิงเข้ามาออกไป

“น่ารังเกียจยิ่งนัก! พวกเจ้าเหล่ามดปลวกพวกนี้ ข้าจะกินให้หมด!” ฉวีอวี้คำรามอย่างโมโห ความโกรธของมัน เผาไหม้ทะเลบริเวณรอบๆ จนดูเหมือนกับนํ้า ทะเลกำลังเดือดขึ้นมา

ภายในถํ้า มู่ชิงเกอนิ่งเงียบเหมือนรูปปั้น การต่อสู้ภายนอกดูเหมือนจะไม่มีผลกระทบต่อนางเลย

นางไม่หยุดใส่สมุนไพรลงไปในหม้อผลาญสวรรค์ กลิ่นของตัวยาค่อยๆ กระจายตัวขึ้นมาจากหม้อผลาญสวรรค์

“ปิดปากและจมูกไว้” มู่ชิงเกอสั่งโย่วเหอและฮวาเยวี่ย

ทั้งสองคนรีบปิดปากและจมูกของตนเองในทันที มู่ชิงเกอหยิบขวดยาออกมาจากหน้าอกตนเองกินหนึ่งเม็ด จากนั้นก็โยนไปให้โย่วเหอ “คนหนึ่งกินหนึ่งเม็ด เก็บไว้กับตัว รออีกครู่ออกไปแล้ว แจกให้คนอื่นๆ กิน” โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยรีบกินยาลงไป จากนั้นก็แยกยาออกเป็นสองส่วน แยกกันเก็บเอาไว้

มู่ชิงเกอทิ้งสมุนไพรลงไปในหม้อผลาญสวรรค์เร็วมากยิ่งขึ้น กลิ่นที่ลอยออกมายิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เป็นกลิ่นที่หอมหวาน และก็ทำให้คนที่ดมรู้สึกเบาสบาย ท่าทางของมู่ชิงเกอดูเย็นชา เพียงแต่ไม่หยุดใส่สมุนไพรสุดท้ายลงไป

เมื่อสมุนไพรชนิดสุดท้ายถูกใส่ลงไปในหม้อผลาญสวรรค์แล้ว กลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากหม้อผลาญสวรรค์ก็มาถึงขั้นสูงสุด

ที่เหลือก็แค่ต้องรอ

มู่ชิงเกอนั่งอยู่ข้างหม้อผลาญสวรรค์ เข้าสู่สมาธิ

ในความเป็นจริงนางเข้าไปในช่องว่าง

“เจ้านาย!” เห็นมู่ชิงเกอเข้ามา เหมิงเหมิงก็รู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย

“เหมิงเหมิง มีอาวุธอะไรที่แหลมคมมากๆ หรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยปากถาม

เหมิงเหมิงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเจ้านายจะทำลายการป้องกันระดับไหน”

มู่ชิงเกอนิ่งคิดครู่หนึ่ง ถึงได้ตอบว่า “ฉวีอวี้”

“ฉวีอวี้!” เหมิงเหมิงเสียงสูงขึ้นในทันใด ใบหน้าเล็กๆ ของนางเปลี่ยนไปพร้อมกับเอ่ยว่า “เจ้านายนะเจ้านาย! เหตุใดท่านจึงไปเจอมันได้? มันขึ้นชื่อเรื่องผิว หนังหนาฆ่าไม่ตาย!”

มู่ชิงเกอหรี่ตาลง ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เจ้าก็รู้จักฉวีอวี้งั้นหรือ?”

เหมิงเหมิงพยักหน้า เอาของในมือออกมาเขย่าไปมาด้านหน้ามู่ชิงเกอ “เจ้านั่นหลับแต่ละครั้งกินเวลาไปพันปี ตื่นขึ้นมาก็คือกิน! ใครขวางมันกินก็จะถูกฆ่า” ฉึบ!

ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็จับข้อมือที่กำลังส่ายไปมาของเหมิงเหมิงไว้ได้ จ้องมองของในมือของนาง เอ่ยถามว่า “นี่คืออะไร?”

เหมิงเหมิงชะงัก เอ่ยอย่างงุนงงว่า “เจ้านายความจำเสื่อมแล้วหรือ! ถ่านดำก่อนนี้ก็คือหลังจากที่ท่านเลื่อนระดับแล้วปลดผนึกช่องว่างจึงปรากฏออกมาไง! ท่านก็ ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นมันนี่?”

นางเคยเห็น อีกทั้งยังสัมผัสมันมาก่อน เพียงแต่ นางถึงจะรู้สึกได้ว่ามันมีพลังงานที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่เคยได้รู้ว่า มันใช้งานยังไง

ตอนนี้ที่ดึงดูดความสนใจของนางก็คือลักษณะที่ดูธรรมดาของมัน

ยิ่งมอง นางก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเหมือนกับสิ่งที่ไป๋สี่เคยอธิบายถึง แร่สะเก็ดดาว!

“เจ้าเคยได้ยินแร่สะเก็ดดาวไหม?” มู่ชิงเกอจ้องมองถ่านสีดำในมือของเหมิงเหมิงแล้วเอ่ยถาม

เหมิงเหมิงกะพริบตา พยักหน้า “เป็นวัตถุดิบหลอมอาวุธขั้นสุดยอดที่หาได้ยาก พูดกันว่าหากผสมมันเพียงเล็กน้อยในวัตถุดิบหลอมอาวุธ ก็จะสามารถเพิ่มความ สามารถของอาวุธและระดับได้ถูกไหม!”

อยู่ดีๆ ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เปล่งประกาย “พูดกันว่า ผิวหนังของฉวีอวี้หนามาก มีเพียงแร่สะเก็ดดาวถึงจะสามารถทำลายได้!”

พูดจบแล้วนางก็ท้อ พึมพำว่า “แต่ว่า ตอนนี้จะไปหาแร่สะเก็ดดาวมาจากไหน?”

นางมองที่มู่ชิงเกอ เอ่ยอย่างจริงจังว่า “เจ้านาย พวกเราหนีกันเถอะ? หลีกเลี่ยงที่จะไม่ถูกเจ้านั่นกิน”

“หนี? เหตุใดต้องหนี?” มุมปากของมู่ชิงเกอเกิดรอยยิ้มขึ้นบางๆ นางปล่อยข้อมือของเหมิงเหมิง จากนั้นก็จับเอาถ่านสีดำในมือของเหมิงเหมิงมา

ความเจ็บปวดที่คุ้นเคยพุ่งเข้ามาในหัว ข่าวสารที่ดูสับสนวุ่นวายพุ่งเข้ามาในหัวของมู่ชิงเกอ

ครั้งนี้ ไม่สนว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหน มู่ชิงเกอก็กัดฟัน จับมัน

นางต้องวิเคราะห์ข้อมูล ดูว่าของสิ่งนี้คืออะไรกันแน่!

หน้าผากของมู่ชิงเกอเกิดเหงื่อซึมออกมา สีหน้าซีดขาว จนทำให้เหมิงเหมิงตกใจ “เจ้านาย ท่านรีบปล่อยมือเร็ว!”

แต่ว่า ไม่ว่าจะตะโกนอย่างไร มู่ชิงเกอก็ไม่ฟัง

เหมิงเหมิงร้อนใจ “เจ้านาย! ท่านคงไม่ได้คิดว่าถ่านดำก้อนนี้เป็นแร่สะเก็ดดาวหรอกใช่ไหม?”

“อึก!” มู่ชิงเกอกระอักเลือดออกมา สาดลงใส่ถ่านสีดำ

บนผิวแห้งสีดำมีแสงสีทองวาบและหายไปอย่างรวดเร็ว เลือดที่ติดอยู่ด้านบน ถูกดูดซับอย่างแปลกประหลาด เหมิงเหมิงตกตะลึง เอ่ยถามอย่างร้อนใจว่า “เจ้านาย ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

มู่ชิงเกอค่อยๆ เบิกตาขึ้น ส่ายหน้า

นางมองไปทางถ่านดำในมือ นางยังคงไม่ได้รับข้อมูลอะไรที่ดูมีประโยชน์ ที่สำคัญก็คือมันไม่เหมือนกับวัสดุที่ใช้หลอมอาวุธพวกนั้นในครั้งก่อนๆ ที่เพียงแค่สัมผัสก็จะรู้ว่าคืออะไร และจะหลอมอย่างไร ที่ปรากฏออกมาก็เหมือนกับการถ่ายโอนข้อมูล ข้อมูลเหล่านั้นนางดูไม่เข้าใจ มู่ชิงเกอจึงไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่

แต่ว่า อักษรที่แปลกประหลาดเหล่านั้น นางจำได้

เพราะว่านางค้นพบว่า ตัวอักษรที่แปลกประหลาดเหล่านั้น ดูคล้ายกับตัวอักษรของพวกเทพและมาร

อาจจะเป็นเพราะครั้งนี้มู่ชิงเกอไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเมื่อจับมันอีกแล้ว ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร

เหมิงเหมิงพิจารณามู่ชิงเกอแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “เจ้านาย นี่คงไม่ใช่แร่สะเก็ดดาวจริงๆ หรอกกระมัง?”

มู่ชิงเกอหยักไหล่ “ใครจะรู้?”

เหมิงเหมิงถอนหายใจ เอ่ยว่า “ข้าก็ว่าแล้ว แร่สะเก็ดดาวไหนเลยจะได้มาง่ายๆ? เมื่อก่อนเจ้านายคนก่อนก็ลำบากลำบนมากกว่าจะได้ชิ้นเล็กๆ มา ทิ้งไว้ในคลัง วัสดุหลอมอาวุธไม่ได้ใช้อะไร”

คำพูดของเหมิงเหมิง ทำให้นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกาย ดูเหมือนว่าจะจับความเกี่ยวข้องอะไรได้

“ที่นี่มีแร่สะเก็ดดาวงั้นหรือ?” มู่ชิงเกออุ้มเหมิงเหมิงขึ้นมาถาม

เหมิงเหมิงโบกมือเอ่ยว่า “เดิมทีก็มี แต่ว่าหลังจากถูกผนึกแล้ว ของด้านในนั้นก็หายไปหมด เหลือแต่เพียงถ่านสีดำก้อนนี้!”

ความสงสัยในใจของมู่ชิงเกอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าความเป็นไปได้ของการคาดเดาเริ่มสูงขึ้น

คิดครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็หยิบเหล็กดำที่ใช้หลอมอาวุธออกมาหนึ่งชิ้น

เหล็กดำนี้เป็นของที่นางใช้ตอนฝึกฝนหลอมอาวุธ ถูกนางใช้ค้อนทุบไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เปลี่ยนเป็นแข็งมาก อาวุธปกติธรรมดา ไม่อาจจะทำลายมันได้

มู่ชิงเกอนำเหล็กดำวางบนพื้น ในมือถือถ่านดำ ใช้ด้านที่ดูคมเล็กน้อยทุบลงไปที่เหล็กดำ

เคร้ง!

เมื่อมองเห็นสภาพของเหล็กดำข้างล่างของถ่านดำแล้ว มุมปากของมู่ชิงเกอก็เกิดรอยยิ้มบางๆ ขึ้นมา ภายในถํ้า มู่ชิงเกอลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาสดใสฉายแวว วาววาบ ในมือของนาง กำถ่านสีดำเอาไว้ การปรากฏตัวของถ่านดำ ทำให้โย่วเหอและฮวาเยวี่ยเกิดความสงสัย

กลิ่นหอมในหม้อผลาญสวรรค์เปลี่ยนจากเข้มเป็นจางแล้ว

มู่ชิงเกอดึงเปลวเพลิงกลับ นำยาที่หลอมออกมาได้เข้าไปในขวด วางอย่างระมัดระวัง

จากนั้นนางก็เก็บหม้อผลาญสวรรค์ แล้วก็นำโย่วเหอและฮวาเยวี่ยออกไปจากถํ้า บนเกาะ การต่อสู้กับฉวีอวี้ได้กลายเป็นรุนแรงมานานมากแล้ว ไป๋สี่กับหยินเฉินแล้วก็ยังมีหยวนหยวนอยู่ในการต่อสู้ องครักษ์เขี้ยวมังกรก็ไม่ได้ว่าง แม้แต่คนของเผ่าอี๋ก็ล้วนเข้าสู่การรบ

พวกเขาเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุดแล้ว ไม่อาจยื้อฉวีอวี้ได้ อีกต่อไป!

โฮก—–!

ฉวีอวี้คำรามออกมา อ้าปากกว้าง ในปากเกิดพลังดึงดูดที่รุนแรงกว่าหลายครั้งก่อนหลายเท่าตัว ดูดเอาต้นไม้ใบหญ้าก้อนหินบนเกาะเข้าไปในปาก

“แย่แล้ว! เจ้านี่ใช้ไพ่ตายแล้ว!” ไป๋สี่กัดฟันพูดออกมาอย่างแค้นเคือง

ไป๋สี่เพิ่งจะพูดจบ ก็รู้สึกเหมือนว่าร่างกายของตนเองถูกกระชาก ทั้งตัวลอยขึ้นไปในกลางอากาศ

ไม่เพียงแต่นางที่เป็นเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน

คนทั้งหกร้อยบนเกาะ ล้วนดุจดั่งต้นไม้ใบหญ้าก้อนหิน ถูกดูดไปกลางอากาศ ลอยเข้าไปสู่ปากอันใหญ่โตของฉวีอวี้

มองเห็นอาหารมากมายขนาดนั้นลอยเข้ามา ฉวีอวี้ก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างตื่นเต้น

เสียงร้องครั้งนี้ ทำให้แรงดูดยิ่งรุนแรงขึ้น คนหลายร้อยห่างจากปากของมันเข้าไปใกล้อีกหลายส่วน

“องค์หญิง! คนๆ นั้นละ? พวกเราสู้ตายอยู่ที่นี่นานขนาดนี้ เขาหนีไปก่อนแล้วใช่หรือไม่?”

เสวี่ยหยาที่ถูกดูดขึ้นกลางอากาศ ลอยผ่านต้นไม้ใบหญ้าข้างกาย นางพยายามขัดขืน คิดจะหลุดออกจากการดึงดูด เมื่อได้ยินประโยคนี้ ก็พูดตอบออกไปตาม ความคิดทันทีประโยคหนึ่ง “เป็นไปไม่ได้!”

คำพูดนี้พอหลุดออกไป ตัวนางเองก็ตกตะลึง

ดูเหมือนว่า นางไม่สมควรจะเชื่อใจคนที่เพิ่งจะเคยพบกันเป็นครั้งแรกถึงขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเพื่อจะอธิบายความเชื่อใจของนาง นางก็เพิ่มเติมไปหนึ่งประโยค “คนของเขาล้วนแต่อยู่ที่นี่ เขาไม่มีทางหนีไปได้”

แรงดึงดูดยิ่งรุนแรงเพิ่มขึ้นไปอีก!

คนหลายร้อยทำได้เพียงมองไปยังฟันอันแหลมคมของฉวีอวี้

‘จะตายแล้วอย่างนี้เช่นนั้นหรือ?’ ปากที่ดูบ้าคลั่งนั้น ทำให้เสวี่ยหยารู้สึกสิ้นหวัง

“อ้าก—–!”

“อ้าก—–!”

บางทีคงเป็นเพราะใกล้ความกลัวตาย ทำให้จิตใจกลายเป็นพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง เหล่าทหารของเผ่าอี๋ร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง

ในขณะที่ฉวีอวี้กำลังจะดูดกลืนเข้าไป ณ ขณะนั้น สีแดงสะท้อนสายตาก็ปรากฏเข้ามาในสายตาของทุกคน ในมือของนางมีแสงสีเงินวาววาบ พลังมหาศาลมา พร้อมกับความเฉียบคม พุ่งตรงเข้าใส่ดวงตาของฉวีอวี้

พลังนี้ก็พุ่งออกไปอย่างไร้การขัดขวาง ทำให้ฉวีอวี้ได้สติ ยกเลิกการดูดกลืน

พลังดึงดูดหายไป คนหกร้อยคนสูญเสียการควบคุม ตกลงไปบนเกาะเล็ก

“ทั้งหมดถอยไป—–!” มู่ชิงเกอร้องออกมาจากกลางอากาศ

ทำให้คนที่ตกลงไปบนพื้น ได้รับลมหายใจของการมีชีวิตคืนมา ทยอยถอยออกไป

การเชื่อฟังเช่นนี้ ดูเหมือนจะเป็นการทำตามสัญชาตญาณ ไม่ได้ผ่านการครุ่นคิด

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยรีบเข้ามา แจกยาที่มู่ชิงเกอให้ไว้แก่ทุกคนกิน

องครักษ์เขี้ยวมังกร หยินเฉิน ไป๋สี่ พวกเขาไม่ได้ลังเล กลืนยาลงไปเลย

ฝั่งเผ่าอี๋ พวกเขามองมาทางเสวี่ยหยา หลังจากเสวี่ยหยาพิจารณาครู่หนึ่งแล้วก็กลืนยาลงไป หลังจากเห็นนางกินยาแล้ว คนของเผ่าอี๋จึงทยอยกันกินยาลงไป

หลังจากกินยาพวกเขาถึงไปเงยหน้าขึ้นมองมู่ชิงเกอ

ในมือของนางถือทวนหลิงหลง ปะทะเข้ากับฉวีอวี้

แต่ที่แสดงออกมา ก็ชัดเจนมากว่าฉวีอวี้ที่ต้องให้หยินเฉินไป๋สี่และหยวนหยวนเข้าร่วมมือกันจัดการ ไม่ได้สนใจในการกระทำของมู่ชิงเกอเลย

มันเพียงแต่โมโห โมโหที่มู่ชิงเกอทำลายอาหารที่กำลังจะเข้าปากตัวเอง

มู่ชิงเกอแน่นอนว่าไม่แข็งปะทะแข็งกับมัน นางหลบหลีกไปมากลางอากาศ ภายใต้การช่วยเหลือของท่าก้าวดาราก่อกำเนิด ทำให้ฉวีอวี้จับนางไม่ได้

ทันใดนั้นนางก็พลิกตัวกลับ ทิ้งขวดหนึ่งขวดใส่ฉวีอวี้

การปรากฏตัวของขวดนั่น ดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที

ในตอนที่ขวดนั้นไปอยู่ตรงหน้าของฉวีอวี้ มู่ชิงเกอก็สะบัดทวนหลิงหลง เกิดเป็นพลังสีม่วงเทาพุ่งออกไป เล็งเข้าไปที่บนขวดนั้น ขวดถูกทำลาย ผงสีชมพูด้านใน กระจายออกมา ปกคลุมตัวฉวีอวี้

“โฮก—–!”

ในระหว่างที่ผงสีชมพูปกคลุม ก็มีเสียงคำรามของฉวีอวี้ ดังออกมา

มู่ชิงเกอรีบถอยหลัง รักษาระยะห่างจากฉวีอวี้ ผงสีชมพูปกคลุมฉวีอวี้ กลิ่นหอมชนิดหนึ่งกระจายออกไปรอบทิศ คนที่ได้กลิ่น ล้วนแต่รู้สึกสบายตัวในทันที ฉวีอวี้พยายามขัดขืน พยายามสลัดจากผงสีชมพู

“นี่คืออะไรกัน?” เสวี่ยหยาเอ่ยถามอย่างตกตะลึง

ไป๋สี่บังเอิญอยู่ข้างนาง จึงเอ่ยตอบไปว่า “ไม่รู้ แต่ของที่เขานำออกมาจะต้องมีประโยชน์อย่างแน่นอน”

พวกเขาไม่รู้ว่ามู่ชิงเกอทำอะไร ทันใดนั้น การเคลื่อนไหวของฉวีอวี้ที่อยู่ท่ามกลางหมอกสีชมพูก็ดูช้าลงเรื่อยๆ เสียงอันเหนื่อยล้าดังออกมา

จากนั้น ทุกคนก็มองเห็นฉวีอวี้พุ่งตกลงมาจากฟ้าด้วยความรู้สึกอันตกตะลึง

ตูม—–!

เสียงดังสะท้อนขึ้น ฉวีอวี้ตกลงมาบนเกาะ ครึ่งกายพาดอยู่บนชายฝั่งและอีกครึ่งหนึ่งอยู่ในนํ้า สงบลง หลังจากฉวีอวี้ตกลงมาแล้ว ผงสีชมพูก็ค่อยๆ กระจาย ไป หรือพูดได้ว่า ถูกฉวีอวี้ดูดเข้าไปในตัว

มู่ชิงเกอลงมาจากท้องฟ้า ยืนอยู่ข้างฉวีอวี้

ไป๋สี่มาปรากฏตัวข้างกายของนางในพริบตา คนอื่นๆ ก็รีบเข้ามา

พวกเขามองฉากนี้อย่างตกตะลึง ไป๋สี่เอ่ยถามแทนทุกคนว่า “เจ้าทำอะไร?”

มู่ชิงเกอเอ่ยว่า “ใช้เวลาที่พวกเจ้าถ่วงให้ หลอมยาสลบรุนแรงออกมา”

ยาสลบ!

คำตอบนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง ทวนหลิงหลงในมือของมู่ชิงเกอหายวาบไป เปลี่ยนเป็น ปลอกนิ้วบนมือ ส่วนในมือของนางก็มีถ่านสีดำปรากฏออกมา “ในเมื่อฆ่าไม่ได้ ก็ทำได้แค่ให้มันนอนต่อไปเท่านั้น”

‘ทำให้มันนอนต่อไป…’

คำพูดที่ดูง่ายดายเช่นนี้ ทำให้ทุกคนลอบโมโหในใจ คนของเผ่าอี๋มองมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง ดูเหมือนจะตะลึงที่นางคิดถึงวิธีนี้ออกมาได้ ส่วนองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ภูมิใจอย่างยิ่ง รู้สึกว่าคุณชายของพวกเขาเก่งกาจไร้เทียมทาน!

“อย่าเพิ่งรีบดีใจไป ยาสลบนี้มีผลต่อฉวีอวี้แค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น” ทุกคนยังไม่ทันได้ซาบซึ้งที่หลุดรอดออกมาจากปากของฉวีอวี้ได้ มู่ชิงเกอก็เอ่ยคำพูดที่ดูเหมือน ต้องการชีวิตคนออกมา…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version