Skip to content

พลิกปฐพี 218

ตอนที่ 218

คุณชาย นางเป็นของท่านแล้ว!

“อย่าได้ดีใจเร็วไปนัก ยาสลบนี้อย่างมากก็มีผลแค่ทำให้ฉวีอวี้สลบไปหนึ่งก้านธูปเพียงเท่านั้น” กลุ่มคนยังไม่ทันได้ดีใจที่สามารถหนีรอดจากปากของฉวีอวี้ไปได้ มู่ชิงเกอก็พลันกล่าวประโยคดับความหวังขึ้นมาประโยคหนึ่ง กลุ่มคนสีหน้านิ่งชะงัก เบิกตากว้างจับจ้องมองไปที่เขา

มู่ชิงเกอลูบๆ ปลายจมูกของตน ก่อนจะยักไหล่เอ่ยขึ้น “นี่ก็เป็นฤทธิ์ยาที่ร้ายแรงที่สุดแล้ว”

ถ้าหากฉวีอวี้ สามารถจัดการได้ง่ายๆ ขนาดนั้น แล้วมันยังจะสามารถมีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนานเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า?

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็รีบหนีกันเถอะ” เสวี่ยหยากล่าวเสนอแนะขึ้นมา เวลาหนึ่งก้านธูปก็ไม่สามารถหนีไปได้ไกลมากเท่าไร แต่ว่าเปรียบกับการรอความตายอยู่ที่นี่แล้วก็ดีกว่าเป็นไหนๆ

แต่ว่า…

“องค์หญิงเสวี่ยหยา อสูรเวหาของพวกเราก็ตกตายไปหมดแล้ว” ชาวเผ่าอี๋คนหนึ่งก้าวออกมาเอ่ยเตือนขึ้น

เสวียหยาคิ้วเลิกขึ้นน้อยๆ นี่ก็ถือเป็นปัญหาตึงมืออย่างหนึ่ง ไม่มีอสูรเวหา พวก นางก็ไม่สามารถหนีไปได้ไกล ส่วนเสี่ยวชิงของนางตอนนี้ก็อ่อนล้ามาก ไม่มีทางบินไปพร้อมกับการรับนํ้าหนักที่มากเกินไปได้

ไม่ทันรู้ตัว สายตาของนางก็เคลื่อนขยับไปทางมู่ชิงเกอ “ท่านในเมื่อมีวิธีทำให้ฉวีอวี้สลบได้ เช่นนั้นก็ต้องมีวิธีหลบหนีออกไป” เสวี่ยหยาเอ่ย

มู่ชิงเกอยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก “วิธีหลบหนีนั้นก็ไม่มี แต่ก็มีความเสี่ยงหนึ่งที่ควรน่าจะลอง”

คำพูดของนางก็ทำให้กลุ่มคนขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ

มู่ชิงเกอไม่ได้เร่งรีบลงมือ แต่เป็นกล่าวขึ้นกับเสวี่ยหยา “แน่นอน พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเลี่ยงอันตรายเป็นเพื่อนข้า ตอนนี้ก็สามารถจากไปได้ บางทีก็อาจจะมีโอกาสรอด”

“พูดเสียง่ายดาย พวกเราตอนนี้จะหนีไปได้อย่างไร?”

เผ่าอี๋ฝั่งนั้นก็มีคนเปล่งเสียงพึมพำออกมา

เสวี่ยหยาหันหน้ามองไป ใช้สายตาตักเตือนมองไปทางเขาสายตาหนึ่ง

หลังจากนั้นถึงมองกลับมาทางมู่ชิงเกอ เม้มริมฝีปาก พลางกล่าวขึ้น “ขอไม่ปิดบังท่าน ตอนนี้พวกเราก็สูญเสียอสูรเวหาไปเกือบหมดแล้ว ไม่สามารถจากไปได้ เขตทะเลแห่งนี้นั้นกว้างขวางมาก นอกจากที่นี่แล้วก็ไม่มีเกาะให้พักเท้าได้ชั่วคราวอีก หากอาศัยเพียงแค่การเหาะเหินไป เกรงว่าก็จะไปได้ไม่ไกลเท่าไร ต่อให้หนีพ้น การไล่ตามของฉวีอวี้ แต่สุดท้ายก็ต้องใช้พลังจนหมด แล้วตกลงไปในทะเลอยู่ดี”

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ อยู่ๆ ก็กล่าวออกมาประโยคหนึ่ง “ดูท่า เผ่าอี๋ก็จะแตกต่างกับเผ่าปีศาจทะเลอยู่บ้าง”

เสวี่ยหยานิ่งชะงักไป ไม่เข้าใจถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของนาง

แต่ว่าไป๋สี่กลับฟังเข้าใจ ที่มู่ชิงเกอหมายถึงก็คือ เผ่าอี๋ถึงแม้จะอยู่ในทะเลแห่งนี้ แต่กลับไม่ได้วิวัฒนาการจนสามารถเดินทางในนํ้าได้ เหมือนกับเผ่าปีศาจทะเลเช่นนั้น และก็ไม่อาจสู้รบในนํ้าได้

“เอาเถอะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็มาเดิมพันด้วยกันสักครั้ง” มู่ชิงเกอขบริมฝีปาก หมุนเล่นก้อนถ่านสีดำๆ ในมือ

“นี่คืออะไร? ก้อนถ่านรึ?” สายตาของไป๋สี่ร่วงตกไปที่ถ่านสีดำในมือของมู่ชิงเกอ เอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย

เสวี่ยหยาหันมองไปทางนาง ในแววตาเช่นเดียวกันเต็มไปด้วยความสงสัย

มู่ชิงเกอกลับไม่ได้เอ่ยอธิบายกับพวกนาง แต่เป็นถือถ่านสีดำเดินไปทีละก้าว…ทีละก้าว เดินเข้าไปหาฉวีอวี้

ฉวีอวี้นั้นหลับสนิทมาก ลมหายใจสมํ่าเสมอ พอเข้าไปใกล้แล้วก็ยังสามารถดมได้กลิ่นหอมๆ ของยาสลบอยู่ ทำให้ผู้คนรู้สึกง่วงงุน ถ้าหากไม่ใช่เพราะมู่ชิงเกอกินยาแก้มาก่อน ทั้งยังมีร่างกายที่พิเศษ เกรงว่ายังไม่ทันได้เดินไปถึงตรงหน้าของฉวีอวี้ ก็คงจะหลับใหลไปแล้ว

“ไป๋สี่” มู่ชิงเกอที่เดินไปด้านหน้าของฉวีอวี้ อยู่ๆ ก็หยุดลงพร้อมกับร้องเรียกเสียงหนึ่ง

ไป๋สี่นิ่งชะงัก เร่งรีบเดินมาที่ด้านหน้านาง

มู่ชิงเกอจับจ้องไปทางฉวีอวี้พลางเอ่ยขึ้น “จุดตายของเจ้านี่อยู่ที่ไหน? ข้าต้องการปลิดชีพในกระบวนท่าเดียว!” นางระหว่างที่พูดก็หันมองไปทางไป๋สี่ แววตาเย็นเยียบ ไป๋สี่มองไปทางนางอย่างตกตะลึง กล่าวขึ้นเสียงหลง “เจ้าบ้าไปแล้ว! หากไม่มีแร่สะเก็ดดาว พวกเราก็ไม่มีทางทะลวงการป้องกันของมันได้ ถ้าหากผลีผลามลงมือ ก็เกรงว่าจะไปกระตุ้นมันให้ตื่นขึ้น พอถึงตอนนั้นก็คงมีปัญหาใหญ่แล้ว”

มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นอย่างไม่สนใจ “ถ้าหากว่าข้ามีมันเล่า?”

ไป๋สี่นิ่งงันไป สายตาตกลงไปยังก้อนถ่านสีดำในมือนาง มุมปากเลิกขึ้นน้อยๆ “เจ้าคงไม่ใช่จะกำลังบอกข้าว่า ก้อนถ่านสีดำนี้ก็เป็นแร่สะเก็ดดาวกระมัง?”

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น ไม่ได้กล่าวปฏิเสธ

ไป๋สี่ส่ายหน้าไปมา เอ่ยว่า “ถึงแม้ว่าของชิ้นนี้จะมีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับแร่สะเก็ดดาวมาก แต่เจ้าก็ต้องรู้ว่าแร่สะเก็ดดาวนั้นเป็นสมบัติหายากมากชนิดหนึ่ง อีกอย่างมันก็ผ่านมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว? ข้าขอแนะนำเจ้าว่าอย่าได้ไปเสี่ยงเลย!”

“เจ้าเพียงแค่บอกข้าว่าจุดตายของมันอยู่ตรงไหนก็พอ” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง สายตาตกลงไปยังร่างอันใหญ่โตของฉวีอวี้อีกครั้ง

“เจ้าจะทำเช่นนี้จริงๆ หรือ?” ในแววตาของไป๋สี่กลายเป็นสลับซับซ้อนขึ้น ถามยืนยันไปทางมู่ชิงเกออีกครั้ง

มู่ชิงเกอพยักหน้า

ไป๋สี่กัดฟันเอ่ย “เจ้าต้องรู้นะว่าเป็นเพราะเลือดของเจ้า ข้าถึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา ถ้าหากเจ้าตายไป ข้าก็จะเป็นอิสระ สามารถกำจัดโซ่ตรวนนี้ลง แต่ถ้าหากเจ้าไม่ อยากตาย ข้าก็สามารถพาเจ้าหนีไปได้ ต่อให้ฉวีอวี้ตื่น ขึ้นมาก็ไม่แน่ว่าจะตามมาได้ทัน อีกอย่างพวกเราก็สามารถซ่อนตัวอยู่ในช่องว่างของเจ้า รอเวลาผ่านไป สามเดือน รอจนฉวีอวี้จำศีลลงอีกครั้ง พวกเราก็ค่อยออกมา ชัดเจนว่าเจ้าไม่ต้องไปเสี่ยงอันตราย”

มู่ชิงเกอหันหน้ามองไปทางนาง ในแววตากระจ่างเต็มไปด้วยความเย็นเยียบสายหนึ่ง “ไป๋สี่ ข้าไม่เคยบอกเจ้าหรือว่า ข้าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง?”

ในนํ้าเสียงของนางแฝงไว้ด้วยอารมณ์คุกรุ่นอยู่หลายส่วน

“เจ้าเคยพูด!” ไป๋สี่เอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “แต่ว่าเจ้านั้นมีพรสวรรค์สูงลํ้า ทั้งยังเป็นที่รักของโชคชะตา แน่นอนว่าจะต้องกลายเป็นบุคคลสำคัญในอนาคต เพื่อคนอื่น เจ้าก็เต็มใจที่จะไปเสี่ยงอันตรายนี้งั้นหรือ? ถึงแม้ว่าจะต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่?”

มู่ชิงเกอหัวเราะขึ้นไร้เสียง หลังจากหยุดหัวเราะ นางก็ใช้น้ำเสียงที่จริงจังเอ่ยขึ้นกับไป๋สี่ “ถ้าหากข้าทอดทิ้งคนของข้าเวลาเผชิญหน้ากับอันตราย แล้วเช่นนั้นจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้อย่างไรเล่า?”

ไป๋สี่ทั่วร่างสั่นสะท้าน ในใจราวกับว่าถูกบางสิ่งบางอย่างกระแทกเข้าอย่างจัง

“บอกข้ามา จุดตายของมันอยู่ที่ไหน?” มู่ชิงเกอกล่าวเสียงขรึม

ไป๋สี่แววตาสลับซับซ้อน ท้ายที่สุดก็ยังให้ความร่วมมือ ชี้ไปทางบริเวณหัวราบเรียบของฉวีอวี้ “แก่นอสูรของมันอยู่ในสมอง ขอเพียงเจ้าสามารถควักมันออกมาได้ มันก็จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”

มู่ชิงเกอมองไปยังหัวของฉวีอวี้…

หัวของฉวีอวี้ก็มีความกว้างเกือบหนึ่งจั้ง แล้วแก่นอสูรของมันอยู่ตรงไหนกัน?

“ตรงกลางระหว่างดวงตาคู่นั้นของมัน” ไป๋สี่เม้มริมฝีปากพลางกล่าวเสริมขึ้นอีกประโยคหนึ่ง

มู่ชิงเกอมองไปที่นาง มองออกถึงความกังวลในแววตาของนาง ยิ้มเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องกังวล เจ้าต้องมั่นใจในตัวข้า”

พอกล่าวจบ นางก็เดินไปที่ด้านหน้าของฉวีอวี้ ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างดวงตาทั้งสองข้างของมัน

สายตาของมู่ชิงเกอจับจ้องไปยังบริเวณหว่างคิ้วของฉวีอวี้ มือทั้งสองข้างกำก้อนถ่านสีดำยกสูงขึ้น

“ถ้าหากเจ้าสามารถสังหารมันได้จริงๆ แล้วได้รับแก่นอสูรของมันมา ขอเพียงดูดกลืนพลังที่อยู่ด้านในนั้น นั่นก็จะมีผลดีต่อเจ้ามาก” ไป๋สี่อยู่ๆ ก็เอ่ยปากออกมา ผลดีงั้นรึ?

มู่ชิงเกอนัยน์ตาทั้งสองข้างหรี่เล็กลง ในแววตาปรากฏประกายแหลมคมขึ้น

ชั่วขณะนั้นนางก็ใส่พลังเข้าไปในก้อนถ่านสีดำ มือทั้งสองข้างที่ยกสูงขึ้นกดลงอย่างรุนแรง

ซีก—–!

เลือดทะลักออก!

เสียงถูกแทงดังสะท้อนออกมา ทำเอาดวงตาทั้งสองข้างของไป๋สี่ที่อยู่ใกล้ที่สุดพลันกลายเป็นเบิกกว้างขึ้น มองไปทางมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง ไม่สิ สามารถกล่าวได้ว่า นางนั้นมองไปทางก้อนถ่านสีดำในมือของมู่ชิงเกออย่างตกตะลึงต่างหาก

“เป็นแร่สะเก็ดดาวจริงๆ?!” ไป๋สี่ตกตะลึงอย่างถึงที่สุด

ในขณะเดียวกัน ที่ด้านหลังคนของเผ่าอี๋ก็ร้องขึ้นมาอย่างตกตะลึง “เขาจะฆ่าฉวีอวี้!”

“โฮก—–!”

ความเจ็บปวดก็ทำให้ฉวีอวี้ขึ้นตื่นขึ้นมา พอมันตื่นขึ้น พลังกดดันรอบด้านก็กลายเป็นรุนแรงขึ้นกว่าเดิม พลังกดดันก็เหมือนภูเขาลูกยักษ์กดทับลงมา สั่นสะเทือนจนกลุ่มคนบนเกาะไม่อาจทรงตัวได้ ทำได้เพียงคุกเข่าอยู่กับพื้น ปากกระอักเลือด

ส่วนคนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดก็เป็นมู่ชิงเกอ

นางอยู่ใกล้กับฉวีอวี้มากที่สุด ในตอนที่ฉวีอวี้ตื่นขึ้นมา แล้วร้องเสียงคำรามเกรี้ยวกราดนั้นทำให้หูของนางเกือบจะระเบิดออก

ฉวีอวี้มองมาทางนาง ในดวงตาของมันก็ถูกย้อมเต็มไปด้วยเลือด แต่นั้นก็ไม่ได้ส่งผลต่อความดุดันของมัน ทั้งยังมีความชิงชังที่มอบให้กับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอขบฟัน จับก้อนถ่านสีดำเอาไว้แน่น ใช้แรงดึงขยับมัน ทำให้บาดแผลกลายเป็นกว้างขึ้น

ทันใดนั้น ความเจ็บทรมานก็ทำให้ฉวีอวี้ต้องร้องคำรามขึ้นอีกครั้ง ลอยจากพื้นดินขึ้นไปบนท้องฟัา และก็พามู่ชิงเกอพุ่งไปสู่ฟากฟ้าด้วย

“ชิงเกอ!” ไป๋สี่คิดอยากจะไปช่วยมู่ชิงเกอ แต่กลับถูกพลังกดดันของฉวีอวี้ดีดสะท้อนจะลอยคว้างออกไปหลายจั้ง

“คุณชาย—–!”

“ชิงเกอ!”

บนพื้นมีเสียงร้องตื่นตระหนกของกลุ่มคนดังขึ้น

แม้แต่เสวี่ยหยาก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงมู่ชิงเกอขึ้นมา

มู่ชิงเกอพออยู่ตรงหน้าของฉวีอวี้ ก็ยิ่งทำให้เห็นชัดถึงความเล็กจ้อย ร่างกายตัวเล็กๆ ถูกพาขึ้นไปบนท้องฟ้า ทั้งหมดล้วนอาศัยเพียงมือคู่นั้นที่กำก้อนถ่านสีดำเอาไว้คู่นั้นถึงทำให้ไม่ร่วงตกลงมา

ฉวีอวี้สะบัดหัวอย่างรุนแรง คิดอยากจะสะบัดนางออกไป

แต่ว่า มู่ชิงเกอก็เหมือนกับติดแน่นกับตัวมันอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าทำยังไงก็สะบัดไม่หลุด

ฉวีอวี้ที่กำลังเกรี้ยวกราดก็สะบัดหางที่เหมือนแส้ของตน ฟาดเข้ามา ฟาดตีไปบนแผ่นหลังของมู่ชิงเกออย่างดุดัน

เพียงแค่ครั้งเดียว เสื้อผ้าตรงแผ่นหลังของมู่ชิงเกอก็ถูกฟาดจนขาด เผยให้เห็นแผ่นหลังออกมาแผ่นหนึ่ง แต่ว่าแผ่นหลังของนางก็ไม่ได้เรียบเนียนเหมือนกับที่คาดคิดเอาไว้ แต่เป็นแหลกเละไม่น่าดู

การโจมตีนี้ก็ทำเอามู่ชิงเกอร้องเสียงสบถออกมาเสียงหนึ่ง

ส่วนคนบนพื้นก็พากันกลายเป็นสีหน้าซีดขาว หัวใจเต้นระรัวขึ้นมา

แน่นอนคนของเผ่าอี๋ที่กังวลที่สุดไม่ใช่ความปลอดภัยของมู่ชิงเกอ แต่เป็นกลัวเขาพ่ายแพ้ หากไม่สามารถสังหารฉวีอวี้ได้ เช่นนั้นพวกเขาทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็ล้วนแต่ ต้องตกตายตามไปด้วย

ความเจ็บปวดอันรุนแรงบนแผ่นหลังถึงแม้จะปวดแสบปวดร้อนเป็นอย่างยิ่งแต่สีหน้าของมู่ชิงเกอก็ยังเยียบเย็น ไม่ได้ปล่อยมือ แต่กลับกันกลับกลายเป็นกำแน่นมากขึ้น นี่ทำเอาฉวีอวี้เกรี้ยวกราดขึ้นมา

หางของมันฟาดทีละสายสองสายไปบนตัวของมู่ชิงเกอ คิดอยากจะบีบบังคับให้เขาปล่อยมือ แต่มู่ชิงเกอกลับกำก้อนถ่านนั่นเอาไว้แน่น ขบกราม พยามยามโน้ม ตัวของตนเข้าไปสุดแรง

ในตอนที่มือของนางสัมผัสโดนบาดแผลตรงหว่างคิ้วของฉวีอวี้ นางก็ไม่ลังเลที่จะยื่นมือเข้าไป คว้าจับไปที่แก่นอสูรที่อยู่ด้านใน ก่อนจะกระชากดึงมันออกมาด้านนอก!

“โฮก—–!”

ความหวาดกลัวที่มีต่อความตาย ความเกรี้ยวกราดที่ถูกลอบโจมตี ความทรมานที่ถูกดึงแก่นอสูรออกไปจากร่าง นี่ทำเอาฉวีอวี้นำพามู่ชิงเกอพลิกสะบัดร่างไปมาอยู่กลางท้องนภา

หางเรียวยาวของมัน รัดแน่นไปบนตัวของมู่ชิงเกอ ก่อนจะรัดบีบเข้าหากัน

ราวกับว่า มันอยากจะรัดมู่ชิงเกอให้แตกกระจายเป็นเศษซาก

ความรู้สึกขาดอากาศไหลแล่นขึ้นมาจากด้านในร่างกาย ทำเอาสีหน้าของมู่ชิงเกอพลันกลายเป็นสีม่วงคลํ้า นางขบฟันก่อนจะใช้แรงเฮือกสุดท้าย กระชากดึงสายจุดเชื่อมต่อสุดท้ายระหว่างฉวีอวี้กับแก่นอสูรออก

“ก๊าซ—–!”

เสียงร้องโหยหวนอันสิ้นหวังที่แฝงไว้ด้วยความเจ็บแค้น และไม่ยินยอมสะท้อนดังออกมาจากปากของฉวีอวี้ บนตัวเกาะที่พังทลาย พลังกดดันที่กดทับอยู่บนตัวกลุ่ม คนค่อยๆ ผ่อนเบาลง ทำให้พวกเขากลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง

“ชิงเกอ—–!”

“ชิงเกอ—–!”

“ลูกพี่—–!”

“คุณชาย—–!”

ในช่วงขณะที่สามารถกลับมาเคลื่อนไหวได้ กลุ่มคนที่มีความเกี่ยวข้องกับมู่ชิงเกอก็ล้วนแต่พุ่งทะยานออกไป

ไป๋สี่กับหยินเฉิน แล้วก็หยวนหยวนก็ล้วนแต่ทะยานร่างขึ้นไปกลางอากาศ พุ่งไปทางมู่ชิงเกอ

“เขาสังหารฉวีอวี้ได้จริงๆ!” เสวี่ยหยามองไปทางร่างของฉวีอวี้ที่ร่วงตกลงมาจากฟ้า ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

ร่างของฉวีอวี้พุ่งกระแทกเข้ากับผืนทะเลเข้าอย่างจัง

ในชั่วขณะนั้นที่มันร่วงกระแทกเข้ากับผิวนํ้า ณ ตอนนั้น พระชายาของเผ่าอี๋ก็ได้ขี่หงส์เพลิงรุดมาถึง และก็ได้เห็นเหตุการณ์ที่ฉวีอวี้ร่วงตกลงไปในทะเลกับตา และในเวลาเดียว ก็มีเงาร่างสีแดงสายหนึ่งร่วงตกลงมาพร้อมกันกับฉวีอวี้ด้วย เพียงแต่ฝั่งนั่นก็มีคนมากมายกำลังพุ่งเข้าไปหา พุ่งเข้าไปรับเงาร่างสีแดงสายนั้น เกิดอะไรขึ้น!

พระชายาของเผ่าอี๋ในแววตาเต็มไปความตกตะลึง

แต่นางก็สามารถมองหาเงาร่างของลูกสาวของตนเจอบนตัวเกาะที่ถูกฉวีอวี้ทำลายจนมีสภาพเละเทะได้อย่างรวดเร็ว

“เสวี่ยหยา!” นางร้องเรียกขึ้นเสียงเบา บังคับหงส์เพลิงพุ่งไปทางตัวเกาะ

“ชิงเกอ!” ไป๋สี่โผล่ไปรับตัวมู่ชิงเกอเอาไว้ได้ก่อนก้าวหนึ่ง

“แค่ก แค่ก” มู่ชิงเกอกระอักเลือดออกมาอึกหนึ่ง บนตัวถูกเลือดย้อมเอาไว้จนหมด บนแผ่นหลังเต็มไปผิวเนื้อเละเทะ ส่วนในมือของนางนั้นก็ยังถือ ‘ก้อนถ่าน’ กับแก่นอสูรของฉวีอวี้เอาไว้

ไป๋สี่ประคองมู่ชิงเกอร่อนกายลงไปอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกันนางก็สังเกตเห็นถึงหงส์เพลิงที่บินเข้ามา จากที่ไกลๆ

นางมองไปทางหยินเฉิน หยินเฉินพยักหน้าเงียบๆ จ้องมองไปยังผู้มาเยือนอย่างระมัดระวัง

“ลูกพี่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง! ฮือ ฮือ ฮือ…” ใบหน้าเล็กๆ ของหยวนหยวน ทาบทับด้วยความเศร้าสร้อย พอเห็นสภาพยํ่าแย่ของมู่ชิงเกอ ก็รู้สึกเสียใจอย่างถึงที่ สุด

มู่ชิงเกอฝืนยกยิ้มขึ้นมาสายหนึ่ง เอ่ยขึ้นกับพวกเขา “ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่พักผ่อนสักนิดก็ดีขึ้นแล้ว”

นางสัมผัสได้ว่าตอนนี้บาดแผลกำลังค่อยๆ สมานตัวเอง

แต่ว่าฉวีอวี้ก็ช่างโหดเหี้ยมนัก อีกนิดเดียวก็เกือบจะบีบรัดจนอวัยวะภายในของนางแหลกเละแล้ว กระดูกก็เกือบจะแตกละเอียด

“ข้าพาเจ้ากลับไปพักผ่อนในถํ้า’’ไป๋สี่เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง ก่อนจะประคองพามู่ชิงเกอไปอีกทาง พระชายาของเผ่าอี๋ก็สังเกตเห็นได้ถึงจุดนี้ แต่ก็เพียงแค่มองดูแวบเดียวเท่านั้น ก่อนจะหันไปสนใจที่ตัวบุตรสาวของตน

“เสวี่ยหยา!” ในตอนที่ใกล้จะถึงตัวเกาะ พระชายาของเผ่าอี๋ก็ร้องเรียกขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจ

เสวี่ยหยาที่ยืนอยู่บนตัวเกาะพอเห็นมารดาของตนปรากฏตัวออกมา ก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเร่งรีบไปรับหน้า “ท่านแม่!”

“เสวี่ยหยา เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” พระชายาของเผ่าอี๋จับจูงไปที่แขนของเสวี่ยหยา ก่อนจะกวาดตามองไปทางนางอย่างร้อนใจ

เสวี่ยหยาส่ายหน้า “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร”

นํ้าเสียงของนางเพิ่งจะกลับมาสูงศักดิ์ดังเดิม ราวกับว่าจะกลับกลายไปเป็นองค์หญิงที่งามสง่าของเผ่าอี๋พระองค์นั้น

“พระชายา!”

พวกทหารของเผ่าอี๋หลังจากเห็นพระชายาของตน ก็เร่งรีบกันเดินเข้ามาถวายบังคม

พระชายาเผ่าอี๋กวาดมองไปทางพวกเขาสายตาหนึ่ง “ลำบากพวกเจ้าแล้ว”

หลังจากนั้นนางถึงค่อยหันมองไปทางพวกองครักษ์เขี้ยวมังกรที่ยืนสีหน้านิ่งขรึมอยู่อีกมุมหนึ่ง

ขั้นสีม่วงห้าร้อยคนนี้ทำเอานัยน์ตาของนางหดเล็กไปครู่หนึ่ง

นางมองไปทางเสวี่ยหยา ราวกับต้องการจะหาคำตอบจากนาง

“ท่านแม่พวกเขาเป็น…” เสวี่ยหยาเอ่ยเรื่องที่ประสบออกมาอย่างคร่าวๆ

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” พระชายาหลังจากฟังจบก็ทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ‘ดูท่า คนที่ร่วงตกลงมาเมื่อตอนที่รุดเข้ามา ก็สมควรเป็นเจ้านายของคนพวกนี้’ เผชิญหน้ากับฉวีอวี้ มีฐานะเป็นเจ้านายยืนตระหง่าน ออกเผชิญหน้า ทำการปกป้องผู้ติดตามเอาไว้ด้านหลัง มนุษย์เช่นนี้ก็ยากนักที่จะได้พบพาน!

พระชายายิ้มขึ้นน้อยๆ เอ่ยขึ้นกับเสวี่ยหยา “ในเมื่อพวกเจ้าได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา เช่นนั้นพวกเราก็จะต้องตอบแทน”

เสวี่ยหยาเอ่ยขึ้นกับพระชายา “ท่านแม่ ข้าเคยให้คำมั่นเอาไว้ว่าหากรอดจากเรื่องนี้มาได้ ข้าก็จะไปขอร้องกับเสด็จพ่อ ให้เขายอมให้พวกเขาผ่านน่านน้ำของพวกเราไป”

พระชายาตบไปที่แผ่นหลังของนางเบาๆ เอ่ยว่า “เรื่องนี้เอาไว้ค่อยหารือทีหลัง”

ทำไมต้อง เอาไว้หารือทีหลัง ?

เสวี่ยหยาเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ราวกับว่าไม่ค่อยเข้าใจความคิดที่แอบแฝงในคำพูดของมารดาตน

พระชายาเดินไปทางองครักษ์เขี้ยวมังกร กวาดตามองไปรอบหนึ่งก่อนที่สายตาจะตกไปยังตัวของมั่วหยาง ทันใดนั้นเอง เส้นแสงสองสายก็ร่วงตกลงมาจากฟ้า หยินเฉินกับหยวนหยวนร่วงตกลงที่ข้างกายซ้ายขวาของมั่วหยาง

พวกเขาทั้งสองพอปรากฏตัวออกมานั้นก็ทำเอานัยน์ตาของพระชายาไหววูบขึ้นสายหนึ่ง ก่อนที่อยู่ๆ จะเผยรอยยิ้มออกมา “อย่าเพิ่งเข้าใจผิดไป เจ้านายของพวกเจ้าช่วยลูกสาวและทหารเผ่าอี๋ร้อยคนของข้าเอาไว้ ข้ามาแสดงความขอบคุณ”

“เจ้านายของพวกเราไม่อยู่ พระชายามีคำพูดใด โปรดรออีกสักครู่แล้วค่อยพูดเถอะ” มั่วหยางเอ่ยขึ้นเสียงขรึม

ตามจริงแล้ว นอกจากเวลาอยู่ต่อหน้ามู่ชิงเกอที่ค่อนข้างไว้มารยาทกิริยา นอกนั้นไม่ว่าพูดคุยกับใคร เขาก็ล้วนแต่ท่าทางนิ่งขรึมเย็นชา

กาตอบกลับของเขาก็ทำเอารอยยิ้มตรงมุมปากของพระชายานิ่งชะงักไป

ในตอนนั้นเอง เสวี่ยหยาก็เดินเข้ามาพามารดาของตนไปอีกทาง

พอเดินไปไกลแล้ว เสวี่ยหยาถึงได้เอ่ยถามขึ้น “ท่านแม่ ท่านคิดจะทำอะไร?”

พระชายามองไปทางลูกสาวของตนเอ่ยขึ้นกับนาง “คนกลุ่มนี้ถึงกับสามารถสังหารฉวีอวี้ได้ พลังที่มีก็ไม่อาจดูเบาได้ ที่มาก็จะต้องไม่ธรรมดา”

ในจุดนี้เสวี่ยหยาเข้าใจ

แต่ว่าที่นางไม่เข้าใจก็คือ นี่มีอันใดเกี่ยวข้องกับเผ่าอี๋ของนาง?

สำหรับเผ่าอี๋แล้ว คนกลุ่มนี้เป็นเพียงแค่แขกผู้มาเยือน พวกเขาก็เพียงแค่เดินทางผ่านที่แห่งนี้ก็เท่านั้น บางทีในภายหลังแม้จะพบหน้ากันก็คงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว ทำไมจะต้องไปสืบหาความเป็นมาหรือเบื้องหลังของพวกเขาด้วย?

มู่ชิงเกอก็ไม่ได้จากไปนาน

นางเพียงแค่เปลี่ยนเป็นชุดสะอาดตัวใหม่ หลังจากกินยารักษาลงไปเม็ดหนึ่ง ฟื้นฟูปรับสภาพร่างกายของตนแล้ว ก็พาไป๋สี่เดินกลับไปที่ชายฝั่ง

แก่นอสูรของฉวีอวี้ตอนนี้ก็ถูกนางเก็บเอาไว้ในช่องว่างก่อนชั่วคราว

ถึงแม้ไป๋สี่จะบอกว่าหลังจากนางดูดกลืนพลังของมันก็จะมีเป็นผลดีเป็นอย่างมาก แต่นั่นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นตอนนี้

ไป๋สี่บอกว่าก่อนหน้าเหมือนกับจะมีคนของเผ่าอี๋รุดมาถึง อีกทั้งยังขี่หงส์เพลิง น่าจะมีที่มาไม่ธรรมดา พวกองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ยังอยู่ที่ริมชายฝั่ง นางจำต้องออกไปตรวจดูสถานการณ์

“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าฉวีอวี้จะถูกเจ้าฆ่าตาย” ระหว่างที่เดิน ไป๋สี่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง

มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ ขึ้นอย่างไม่ใส่ “ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่สามารถคงอยู่ได้ยืนยาว พวกมันล้วนแต่มีจุดอ่อน ขอเพียงจับจุดอ่อนได้ จะฆ่าก็ไม่ยากแล้ว”

“เจ้าตอนนี้ก็พูดเสียง่ายดาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนั้น พวกเราก็ต่างหลังเหงื่อเย็นแทนเจ้ากันทั้งนั้น?” ไป๋สี่เอ่ยเสียงกระเซ้าขึ้น

หากไม่ใช่เพราะร่างกายของมู่ชิงเกอมีความพิเศษ แล้วจะไปทนรับกับความโหดเหี้ยมของฉวีอวี้ได้อย่างไร?

อย่าคิดว่าตอนนี้ที่เห็นมู่ชิงเกอเหมือนกับปกติไม่มีเรื่องราวใด แต่จริงๆ แล้วนั้นก็เป็นเพียงสภาพภายนอกที่ดูดีเท่านั้น ถ้าหากให้ลงมืออีก แม้แต่พลังจิตก็คงไม่มีทางใช้ออกมาได้

“ล้วนแต่ผ่านไปแล้ว” มู่ชิงเกอมุมปากยกขึ้นด้วยรอยยิ้มจางๆ ในรอยยิ้มเต็มไปด้วยความโล่งใจไร้กังวล

สถานการณ์ที่เห็นว่าจะต้องตายในทุกๆ ครั้ง หลังจากบุกฝ่ามันมาได้ หากหันมองกลับไป ก็จะล้วนแต่รู้สึกว่ามันไม่นับเป็นอันใด

ริมชายฝั่ง พระชายาของเผ่าอี๋ถึงแม้จะถูกเสวี่ยหยาขัดขวางการสืบข้อมูลเกี่ยวกับพวกมู่ชิงเกอ แต่ในใจก็ยังลอบครุ่นคิดถึงที่มาที่ไปของพวกเขาเหล่านี้ จากทิศทางที่พวกเขามา ก็น่าจะมาจากหลินชวน และจากหลินชวน คนที่สามารถพาองครักษ์ขั้นสีม่วงห้าร้อยนายบุกมาที่ทะเลแห่งทุกข์ด้วยกันได้ จริงๆ แล้วก็จะมีเบื้องลึกเบื้องหลังเช่นไร? อีกอย่างอีกสองคนนอกจากนั้นก็เหมือนกับจะไม่ธรรมดา

ผมสีเงินนัยน์ตาสีแดงก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมีได้

ยังมีเด็กน้อยที่ราวกับหยกแกะสลักผู้นั้น พอมาอยู่ตรงหน้าก็มีพลังกดดันไม่ธรรมดายิ่งนัก ไม่มีทางที่จะเป็นเด็กธรรมดาๆ ได้

“ท่านแม่ พวกเขาล้วนแต่ไม่ใช่มนุษย์” เสวี่ยหยาเอ่ยขึ้นที่ข้างหูของพระชายา

ตรงจุดนี้ก็ไม่ได้ทำให้พระชายารู้สึกแปลกใจ ในใจของนางก็มีการคาดเดาในทางนี้อยู่บ้าง

“ชายผู้นั้นน่าจะเป็นร่างจำแลงของราชาจิ้งจอกหิมะ ส่วนเด็กนั่นก็เหมือนจะเป็นพญาเพลิง” เสวี่ยหยาก็เอ่ยขึ้นอีกประโยคหนึ่ง

“ราชาจิ้งจอกหิมะ! พญาเพลิง!” ครั้งนี้ก็ทำเอาพระชายาของเผ่าอี๋ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

เสวี่ยหยากล่าวเสริมขึ้นอีกประโยคหนึ่ง “ยังมีอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ”

“อะไรนะ!”

พระชายาสูดลมหายใจเย็น มองไปทางเสวี่ยหยา เอ่ยขึ้นเสียงกดตํ่า “เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ?”

เสวี่ยหยาพยักหน้าท่าทางจริงจัง

“อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ ราชาจิ้งจอกหิมะ พญาเพลิง ทั้งยังมีกองกำลังที่ไม่อ่อนด้อยไปกว่าทหารเผ่าอี๋ของพวกเรา คนผู้นั้นจริงๆ แล้วเป็นใครมาจากไหน กันแน่?” พระชายาเอ่ยกระซิบกระซาบขึ้นกับตัวเอง ดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆ หรี่เล็กลง

“คุณชาย!”

เสียงร้องเรียกอยู่ๆ ก็ดังขึ้น ขัดจังหวะพระขายาที่กำลังครุ่นคิดตรึกตรอง นางเงยหน้ามองไปทางคนที่มา ก่อนจะเห็นเสื้อผ้าชุดสีแดงสะดุดตา

ไม่ผิด นั่นเป็นคนที่นางเห็นตอนเร่งรุดเข้ามา

ข้างกายของนางมีไป๋สี่ประกบอยู่ด้านข้าง ในตอนที่สายตาของพระชายามองผ่านไป นางก็สบถเสียงเย็นขึ้นสายหนึ่งพร้อมกับมองย้อนกลับมา

ในสายตาของนางแฝงไว้ด้วยความเป็นศัตรูอันเข้มข้น นั่นก็ทำเอานัยน์ตาของพระชายากลายเป็นเยียบเย็นขึ้นมาหลายส่วน

หลังจากเดินเข้ามาใกล้แล้ว นางก็เคลื่อนสายตากลับไปยังมู่ชิงเกอ

ในตอนที่นางเห็นชัดเจนถึงรูปลักษณ์ของนาง นัยน์ตาคู่นั้นของนางก็พลันหดเล็กลง ราวกับว่าถูกมู่ชิงเกอทำให้ตกตะลึง

เพียงแต่ในนาทีถัดไป นางก็สัมผัสได้ว่ากระแสเลือดในร่างของตนราวกับถูกบางอย่างพุ่งกระชากอย่างไรอย่างนั้น เกิดเป็นความรู้สึกที่เหมือนกันกับตอนที่เสวี่ยหยารู้สึกเมื่อแรกพบมู่ชิงเกอ ความรู้สึกสายนั้นพลันพวยพุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

อยู่ต่อหน้ามู่ชิงเกอ นางถึงกับมีความรู้ชนิดหนึ่งราวกับว่าอยากจะคุกเข่ายอมสยบอยู่ต่อหน้าเขา!

ความรู้สึกนี้เสวี่ยหยาบางทีอาจจะไม่รู้ว่ามันหมายถึงสิ่งใด แต่พระชายาของเผ่าอี๋ก็ไม่ใช่แค่พระชายาของเผ่าอี๋ทั้งเผ่าเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นขุนศึกทิศใต้ที่ทำการควบคุมน่านน้ำทิศใต้ นางรู้อย่างชัดเจนว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนั้นมีสาเหตุจากอะไร!

“ขอถามได้หรือไม่ว่าท่านมีแซ่ว่าอันใด?” พระชายาอยู่ๆ ก็เปิดปากถามมู่ชิงเกอ ในนํ้าเสียงของนางก็แฝงเอาไว้ด้วยความตื่นเต้นยินดีอยู่รางๆ ทั้งยังมีความรู้สึกอื่นๆ ผสมปนเปอยู่อีก

มู่ชิงเกอนิ่งชะงักไป คิ้วเรียวเลิกสูงขึ้นเล็กน้อย นางมองไปทางพระชายาของเผ่าอี๋ ถึงจะมองออกถึงความตื่นเต้นยินดีที่แอบซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด แต่ก็ยัง งงงวยไม่เข้าใจ

“ข้าแซ่มู่” สำหรับแซ่นั้นก็ไม่ได้มีอะไรให้ต้องปิดบัง คงไม่มีทางเป็นไปได้ว่าคนของเผ่าอี๋พวกนี้เคยเป็นศัตรูคู่แค้นของตระกูลมู่ ตอนนี้พอได้พบกับศัตรูแล้ว ก็ เลยอยากจะแก้แค้นกระมัง!

ตามที่นางรู้มา หลังจากที่ตระกูลมู่ย้ายถิ่นฐานไปที่หลินชวนก็ไม่เคยมีคนเดินทางจากมาอีกเลย

แล้วจะไปมีความแค้นกับเผ่าอี๋ได้อย่างไร?

“แซ่มู่! เป็นแซ่มู่จริงๆ ด้วย!” พระชายาของเผ่าอี๋ กลายเป็นปีติยินดีและมีสีหน้าสลับซับซ้อนขึ้นมา

มู่ชิงเกอตอนนี้ก็ยิ่งสงสัยขึ้น กลายเป็นไม่เข้าใจว่าทำไมแซ่ของตนถึงทำให้พระชายาของเผ่าอี๋กลายเป็นตื่นเต้นยินดีเช่นนี้ได้

“มู่!” เสวี่ยหยาก็กลายเป็นสงสัยไปครู่หนึ่ง ก่อนที่อยู่ๆ นางจะคิดอะไรขึ้นมาได้ เบิกตาทั้งสองข้างมองไปทางมารดาของตน “ท่านแม่ หรือว่าเป็น…”

พระชายากำมือของนางเอาไว้ ขัดคำพูดของนาง

เสวี่ยหยาขบเม้มริมฝีปากแน่น มองไปทางมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง สีหน้าทันใดนั้นกลายเป็นสลับซับซ้อนขึ้นมา

พระชายาเดินขึ้นด้านหน้าก้าวหนึ่ง เอ่ยขึ้นกับมู่ชิงเกอ “ในเมื่อท่านต้องการข้ามผ่านทะเลผืนนี้ เช่นนั้นไม่สู้ตามพวกเราไปที่เกาะตูเล่อด้วยกันก่อน พานพบกับศึกใหญ่มาเช่นนี้ อีกทั้งคุณชายมู่ยังสังหารฉวีอวี้ขจัดภัยร้ายให้พวกเรา พวกเราเผ่าอี๋ตามมารยาทแล้วก็ควรจะตอบแทนดีๆ สักครั้ง คุณชายมู่ก็สามารถพาคนของท่านไปได้ พักผ่อนรักษาตัวอยู่บนเกาะของพวกเราสักช่วงเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นค่อยเดินทางต่อ”

มู่ชิงเกอมองไปทางนางอย่างสงสัย ราวกับกำลังครุ่นคิด ถึงความจริงจากคำพูดของนาง

หลังจากผ่านไปอึดใจหนึ่ง นางถึงค่อยพยักหน้าขึ้น “เช่นนั้นก็รบกวนแล้ว”

หากจะผ่านทะเลผืนนี้ก็จำเป็นจะต้องเดินทางผ่านเผ่าอี๋ ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามเอ่ยปากเชิญมาเองเช่นนี้ ยังจะต้องไปสนเรื่องอันตรายอุปสรรค

อันใด บุกฝ่าออกไปก็ไม่ใช่ว่าได้แล้ว

ทั้งสองฝ่ายเมื่อตกลงกันได้ มู่ชิงเกอก็เรียกเรือยักษ์ออกมา กลุ่มคนพากันก้าวขึ้นไปบนตัวเรือ แม้แต่พระชายาของเผ่าอี๋ก็ยังไม่ใช้หงส์เพลิง แต่เดินทางไปพร้อมกันกับพวกเขา

หลังจากขึ้นมาบนเรือแล้ว ไป๋สี่ก็ลอบเอ่ยขึ้นกับมู่ชิงเกอ “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่า หลังจากที่เจ้าบอกแซ่ของเจ้าออกไปแล้ว คำพูดของพระชายาผู้นั้นแฝงไว้ด้วยความนอบน้อมอยู่บ้าง”

ในจุดนี้มู่ชิงเกอก็สัมผัสได้เช่นกัน ดังนั้นถึงได้รู้สึกงุนงงอยู่ในตอนนี้

“บางทีบรรพบุรุษของตระกูลมู่อาจจะเคยมีบุญคุณต่อพวกเขา?” เหตุผลข้อนี้ก็ถือว่าเป็นไปได้มาก เหมือนกับว่าจะเป็นเหตุผลเดียวที่เอามาใช้อธิบายในตอนนี้ได้ “ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังรู้สึกว่าพวกเขามีอะไรแปลกๆ เจ้าก็ระวังให้ดี อย่าได้ถูกความงามทำให้หลงใหลมัวเมา!” ไป๋สี่พอกล่าวจบ ก็หันมองไปทางเสวี่ยหยาอย่างคลุม เครือแวบหนึ่ง

มู่ชิงเกอเบ้ปากขึ้น กล่าวไปทางไป๋สี่อย่างเอือมๆ “ถ้าหากพูดถึงความงาม หากข้าจะหลงก็ควรหลงเจ้าก่อน!”

ระหว่างที่พูด นางก็ยื่นมืออกไปเชยคางของไป๋สี่

“งั้นดีเลย! ข้านั้นยินดีที่สุด” ไป๋สี่ในแววตาเต็มไปด้วยความเย้ายวน ร่างกายนุ่มนิ่มพุ่งซบไปในอกของมู่ชิงเกอ แต่น่าเสียดาย มู่ชิงเกอกลับไม่เสียดายหยกถนอมบุปผาแม้แต่น้อย เบี่ยงกายหลบไป๋สี่ที่จะซบเข้ามาในอก

ไป๋สี่ที่พบกับความว่างเปล่าก็ได้แต่เพียงถลึงตามองมู่ชิงเกออย่างแง่งอนสายตาหนึ่ง

ตัวเรือนั้นใหญ่มาก คนของเผ่าอี๋กับคนของมู่ชิงเกอนั่งแยกย้ายกันไป ไม่ได้เป็นเพราะอยู่บนเรือลำเดียว แล้วกลายเป็นมีความสัมพันธ์ที่แน่นแพ้นต่อกัน

แต่พระชายาของเผ่าอี๋นางนั้น ก็มักจะจับจ้องมาที่มู่ชิงเกออยู่เป็นครั้งคราว ในแววตาฉายแววตาพินิจตรึกตรอง ไม่ได้ทำการหลบซ่อนปิดบังแม้แต่น้อย

พอมีเผ่าอี๋คอยบอกเส้นทาง เรือของมู่ชิงเกอก็ค่อยๆ แล่นเข้าไปใกล้เกาะหลักของเผ่าอี๋ขึ้นเรื่อยๆ

เกาะตูเล่อ

ในตอนที่พวกเขามองเห็นตัวเกาะตูเล่อที่เต็มไปด้วยเงียบสงบ นั่นก็ทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจนัก เสวี่ยหยามองไปทางพระชายา

มู่ชิงเกอก็มองไปทางนางเช่นกัน พอเห็นเช่นนั้นพระชายาก็กล่าวอธิบายว่า “ตอนที่ข้าออกไปจากเกาะตูเล่อ ท่านราชครูก็ได้ทำนายออกมาว่า ฉวีอวี้ตื่นจากการจำศีลขึ้นแล้ว ภาพตรงหน้า ก็คงเป็นเพราะพวกเขายังไม่ได้รับข่าวที่ว่าฉวีอวี้ตกตายไปแล้ว ยังคงซ่อนอยู่ที่ชั้นใต้ดินของวังหลวง”

หลังจากอธิบายเสร็จ พระชายาก็หันไปสั่งการกับเสวี่ยหยา “ไปเชิญเสด็จพ่อของเจ้ากับท่านราชครูมา ข้าจะพาคุณชายมู่เข้าไปรอที่วังหลวงก่อน”

“เพคะ” เสวี่ยหยาตอบรับเบาๆ เสียงหนึ่ง หันมองไปทางมู่ชิงเกอหนหนึ่ง ก่อนจะเรียกนกสีครามออกมา นกสีครามในตอนนี้ก็ได้ฟื้นฟูพลังมามากแล้ว รับตัวเสวี่ยหยาบินไปทางเกาะตูเล่อ หลังจากมองส่งเสวี่ยหยาจากไป พระชายาก็หันไปกล่าว กับมู่ชิงเกอ “คุณชายมู่เชิญตามข้ามาเถอะ คนของท่าน อีกสักครู่จะมีคนมารับรอง”

มู่ชิงเกอยิ้มน้อยๆ หันไปกล่าวกับพระชายา “นํ้าใจของพระชายาข้านั้นซาบซึ้งนัก แต่ว่า คนของข้านั้นมีจำนวนมากเกินไป ถ้าหากขึ้นไปบนเกาะโดยตรง เกรงว่าจะไปสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็นขึ้น ไม่สู้รั้งอยู่ที่บนเรือก่อน”

พระชายายิ้มขึ้นบางๆ ไม่ได้ฝืนบังคับแต่อย่างใด

เพียงแค่สั่งการให้คนของเผ่าอี๋ รออยู่ด้านข้างรับรองคนขององครักษ์เขี้ยวมังกร

ส่วนมู่ชิงเกอนั่นตามพระชายาลงจากเรือไป

“ชิงเกอ ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า” ไป๋สี่เดินออกไปขวางทางของสองคนเอาไว้

มู่ชิงเกอมองไปทางนางอย่างลํ้าลึกสายตาหนึ่ง ยิ้มขึ้นน้อยๆ “เจ้าคอยที่นี่แหละ ข้าวางใจ”

‘ข้าวางใจ’ สามคำนี้ก็ทำให้ไป๋สี่ร่างกายนิ่งชะงัก

นางเข้าใจความต้องการของมู่ชิงเกอ ไม่ได้ดื้อรั้นต่อไปอีก เพียงแค่ส่งสายตากำชับเตือนนางว่าให้ระวังตัว

ท่าทีของทั้งสองคนก็ตกอยู่ในสายตาของพระชายาทั้งหมด แต่นางก็ไม่ได้พูดกล่าวอะไรให้มากความ เพียงแต่ยิ้มอ่อนๆ มองไปทางมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอจากไปแล้ว เดินตามหลังของพระชายาขึ้นไปบนเกาะตูเล่อ

เกาะตูเล่อนั้นใหญ่มาก ถ้าหากรอบด้านไม่ได้ถูกทะเลแห่งทุกข์ล้อมรอบเอาไว้ คนที่ยืนอยู่ด้านบนก็เกรงว่าจะคิดว่าตนนั้นกำลังยืนอยู่บนแผ่นดินใหญ่

คนบนเกาะก็เหมือนกับที่พระชายาบอกเอาไว้เช่นนั้น ซ่อนตัวอยู่ที่ชั้นใต้ดินของวังหลวง หลีกหนีจากฉวีอวี้ ดังนั้นทั่วทั้งเกาะโล่งว่างเป็นอย่างมาก ไม่มีไอชีวิตของผู้คนแม้แต่น้อย

ตรงกลางของเกาะก็ยังมีสิ่งปลูกสร้างที่โออ่าอยู่กลุ่มหนึ่ง น่าจะเป็นที่ประทับของอ๋องแห่งเกาะตูเล่อ!

“คุณชายมู่ เชิญ” พระชายาเดินนำทางอยู่ด้านหน้า พามู่ชิงเกอเข้าไปในกลุ่มของสิ่งปลูกสร้าง

สิ่งปลูกสร้างของเกาะตูเล่อก็ไม่ได้หรูหราฟูฟ่ามากเกิน ไป แต่ก็ถือว่ายังดูออกได้ถึงอารยะธรรมที่มีสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ลวดลายของเครื่องประดับหรือการจัดวางพวกนั้นก็ล้วนแต่มีกลิ่นไอที่ทำให้รู้สึกถึงกาลเวลาที่ยาวนานชนิดหนึ่ง

มู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ในตัวตำหนักก็กวาดมองไปรอบๆ สายตาหนึ่ง รู้สึกสงสัยอยู่ถึงความเป็นมาของเผ่าอี๋

จากปากของปีศาจทะเลสาวทาลิซ่า นางก็รู้ว่าชนเผ่าอี๋นั้นไม่ใช่ประชากรดั้งเดิมของทะเลแห่งทุกข์ แต่ย้ายมาอยู่ที่นี่เมื่อหลายพันปีก่อน

แต่ว่า พวกเขาทำไมจะต้องย้ายถิ่นฐานมาที่ทะเลแห่งทุกข์ด้วย? ทำไมต้องมาอยู่ที่ทะเลแห่งทุกข์?

ในระหว่างที่มู่ชิงเกอกำลังสงสัย ด้านหลังของนางก็มีเสียงก้าวเท้าสะท้อนดังเข้ามา

นางพอหันหลังมองไป ก็ได้ยินพระชายาที่ยืนอยู่ด้านหลังของนางร้องเรียกขึ้นมาเสียงหนึ่ง “ท่านอ๋อง”

พอสายตาปรับภาพได้แล้ว ก็เห็นว่าคนที่มานั้นมีสามคน และหนึ่งในนั้นก็คือเสวี่ยหยา

อีกสองคน คนหนึ่งร่างสูงใหญ่องอาจ ดูน่าเกรงขาม

ส่วนอีกคนเส้นผมขาวหงอก ใบหน้าซูบผอม ดูจากระยะก่อนหลังในการก้าวเดินของพวกเขา ก็สามารถคาดเดาได้อย่างชัดเจนว่าใครกันแน่ที่เป็นอ๋อง

ในตอนที่มู่ชิงเกอพินิจมองไปทางพวกเขา พวกเขาก็กำลังพินิจมองมู่ชิงเกอเช่นกัน

ในตอนที่เห็นมู่ชิงเกอในสายตาแรก ท่านอ๋องกับราชครูก็พลันดวงตาหดเล็กลงอย่างรุนแรง ทั้งยังฉายแววตกตะลึงออกมา

ท่านอ๋องก็ถึงกับยกมือของตัวเองขึ้นอย่างไม่รู้ตัว กุมไปที่หน้าอกของตน

ราวกับว่าที่ตรงนั้นสัมผัสได้ถึงการสั่นกระเพื่อมของกระแสเลือด

ท่าทีของทั้งสองคน ก็ทำให้มู่ชิงเกอค่อยๆ หรี่ตาเล็กลง

ถ้าหากเป็นแค่พระชายาที่มีสภาพเช่นนี้ ก็ไม่ถือว่าเป็นอันใด แต่ว่าคนที่มีฐานะเป็นอ๋อง อีกทั้งคนก่อนหน้าที่พระชายาสั่งให้ไปตาม ชายแก่ผมหงอกผู้นั้นที่เป็น ราชครูของเผ่า ฐานะของทั้งสองก็ถือว่าไม่ธรรมดา ทำไมพอหลังจากเห็นนางแล้วถึงได้สภาพเป็นเช่นนี้?

หรือว่าตระกูลมู่จะมีความเกี่ยวข้องอันใดกับเผ่าอี๋จริงๆ? มู่ชิงเกอคิดคำนวนขึ้นในใจ

“นี่…” ท่านอ๋องมองไปทางพระชายาของตนอย่างตกตะลึง

พระชายาพยักหน้าขึ้นน้อยๆ เดินผ่านข้างกายของมู่ชิงเกอไปยังด้านข้างของท่านอ๋องกับราชครู กล่าวขึ้นเสียงกดตํ่า “คุณชายผู้นี้แซ่มู่”

มู่!

แซ่นี้ที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจมานานนับพันปี ในตอนที่ปรากฏมาตรงหน้าของพวกเขาอีกครั้ง กลับทำให้ท่านอ๋องกับราชครูอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจลึกๆ เข้าไป ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างขึ้น เสวี่ยหยาที่ยืนอยู่ด้านหลังของทั้งสามคน สีหน้านิ่งสงบ ทำเพียงแค่ลอบจ้องมองมู่ชิงเกออยู่เงียบๆ แววตาสลับ

ซับซ้อน

ท่านอ๋องมองไปทางราชครู ในแววตาของราชครูก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง

เขาพยักหน้าเบาๆ ให้ท่านอ๋อง ก่อนจะเดินขึ้นมาด้านหน้า หันไปกล่าวกับมู่ชิงเกอ “ขอถามคุณชายมู่หน่อยได้ไหมว่าท่านมาจากที่ใด?”

มู่ชิงเกอสะกดข่มความสงสัยในใจเอาไว้ เอ่ยตอบ “หสินชวน”

หลินชวน!

หลินชวน!

ฝ่ามือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของราชครูลอบสั่นไหวขึ้นเบาๆ เขาก็ถามขึ้นอีกครั้ง “บรรพชนของคุณชายเป็นคนหลินชวนหรือไม่?”

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาของนางจ้องมองไปทางราชครู ภายใต้แววตารอคอยของเขา คายคำพูด เรียบๆ ออกไปคำหนึ่ง “ใช่”

ใช่?

ในแววตาของท่านอ๋องกับพระชายาทอแววผิดหวังขึ้นรางๆ เสวี่ยหยากะพริบตาปริบๆ ในใจอยู่ๆ ก็ไหลแล่นขึ้นมาด้วยความโล่งอก ทั้งยังมีความรู้สึกสลับซับที่แฝงไว้ด้วยความผิดหวัง

“ใช่?” ราชครูขมวดคิ้วเป็นปม เขาค่อยๆ ส่ายหน้าไปมา เอ่ยกระซิบกระซาบขึ้นกับตัวเอง “ความรู้สึกเมื่อครู่นั่นไม่มีทางผิด”

หลังจากกล่าวประโยคนี้จบ นํ้าเสียงของเขาก็กลายเป็นจริงจังขึ้นหลายส่วน เอ่ยไปทางมู่ชิงเกอ “คุณชายไม่ต้องคิดมาก พวกเราไม่ได้คิดร้ายต่อท่าน”

คำพูดของเขาทำให้ในแววตาของท่านอ๋องกับพระชายา ทอแววประกายความหวังขึ้นอีกครั้ง

ทีนี้มู่ชิงเกอก็ยิ่งกลายเป็นสงสัยมากขึ้นแล้ว นางเอ่ยถามขึ้น “มู่ แซ่นี้สำหรับพวกท่านแล้วมีความหมายถึงสิ่งใด?”

ราชครูกลับไม่ได้ตอบคำถาม แต่เป็นหยิบถ้วยสีขาวเล็กๆ ออกมาใบหนึ่ง สีผิวของมันเรียบเนียนดุจหยก ส่องประกายมันวาว ก็ไม่รู้ว่าจัดทำขึ้นมาจากวัสดุชนิด ใด มือทั้งสองข้างยื่นมาตรงหน้าของมู่ชิงเกอ เอ่ยถามว่า “คุณชายเต็มใจที่จะหยดเลือดสักหยดหรือไม่?”

“หยดเลือด?” มู่ชิงเกอดวงตาทั้งสองข้างหรี่เล็กลง คิดยังไงก็ไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังทำสิ่งใด’?

“คุณชายโปรดวางใจ มันไม่มีทางมีผลร้ายใดๆ ต่อท่าน!” ราชครูก็เหมือนจะกลัวว่ามู่ชิงเกอจะปฏิเสธ เร่งรีบกล่าวขึ้น แต่พอเห็นมู่ชิงเกอยังนิ่งเฉยไม่ขยับ เขาก็ กล่าวขึ้นอีกครั้ง “ได้ยินมาว่าคุณชายมาที่ทะเลแห่งทุกข์ก็เพราะว่าจะไปยังโลกแห่งยุคกลาง ถ้าหากคุณชายยอมให้ความร่วมมือกับพวกเราสักครั้ง ข้าก็จะช่วย ขอให้ท่านอ๋องของพวกเราเปิดทางให้ท่าน”

คำหลอกล่อนี้สำหรับมู่ชิงเกอแล้วก็ถือว่าน่าเย้ายวนนัก ถ้าหากหยดเลือดหนึ่งหยดแล้วสามารถเดินทางผ่านไปได้ นั่นก็ถือว่าเป็นข้อเสนอที่คุ้มค่ามาก เพียงแต่ตาแก่ผู้นี้มีอำนาจตัดสินได้จริงๆ รึ?

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไปทางอ๋องของเผ่า

ท่านอ๋องพอถูกนางจ้องมองไป สีหน้าก็พลันเปลี่ยนสี เร่งร้อนเอ่ยขึ้น “คุณชายโปรดวางใจ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง ข้าก็ล้วนแต่เปิดทางให้ท่าน”

มู่ชิงเกอสายตาจ้องมองไป ก่อนจะกวาดมองไปยังพวกเขาทีละคน…ทีละคน

ในที่สุด ภายใต้สายตารอคอยของพวกเขา นำเอามือขวาที่อยู่ด้านหลังยกขึ้นมา วางไปบนขอบถ้วย ปลอกนิ้วบนนิ้วชี้ข้างขวาของนาง ก็ทำให้ในแววตาของราชครูทอแววตกใจรางๆ ขึ้นสายหนึ่ง

มู่ชิงเกอใช้ปลอกเล็บในส่วนที่แหลมคมทิ่มเบาๆ ไปที่นิ้วโป้งของตนเอง ทิ่มจนเกิดเป็นบาดแผลเล็กๆ

เลือดสีแดงสดไหลหยดลงจากปากแผล หยดร่วงลงไปในถ้วยเล็กๆ ใบนั้น

เลือดของมู่ชิงเกอพอหยดลงไปในถ้วยเล็กๆ นั้น ราชครูก็ทำเหมือนสมบัติลํ้าค่าก็ไม่ปานค่อยๆ ดึงมันกลับอย่างเบามือ

“เสวี่ยหยารีบไปทำแผลให้คุณชาย” ท่านอ๋องเอ่ยจัดแจงขึ้นกับเสวี่ยหยา

มู่ชิงเกอมุมปากยกขึ้นมา เอ่ยปฏิเสธขึ้น “ไม่เป็นไร นี่ก็ไม่ได้นับว่าเป็นบาดแผลอันใด”

ราชครูก็ยังคงจ้องเขม็งไปที่ถ้วยในมือ เคร่งเครียดราวกับว่าไม่อยากจะพลาดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไปแม้แต่นิดเดียว

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพวกเขาที่ทำเช่นนี้จริงๆ แล้วต้องการอะไร?

“รวมกันแล้ว! รวมกันแล้ว!” ทันใดนั้นเอง ราชครูก็กลายเป็นตื่นเต้นยินดีขึ้นมา เขาเอาถ้วยในมือยื่นไปที่ ด้านหน้าของท่านอ๋องกับพระชายา นี่ก็ทำให้แววตาของ พวกเขาที่ได้เห็นปรากฏการณ์ในถ้วยเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

มู่ชิงเกอก็กลายเป็นสงสัยขึ้นมา อยากรู้มากว่าเลือดของตัวเองนั้นจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงได้ทำให้พวกเขาตกตะลึงกันขนาดนี้

แต่ว่ายังไม่ทันรอให้นางชะเง้อมองไปดูก็สัมผัสได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่ร่วงตกมายังร่างของตน

นางหันหน้ามองไป ก่อนจะสบเข้ากับนัยน์ตากระจ่างใสคู่นั้นของเสวี่ยหยา

เอ๋~! มองข้าทำไมกัน?

มู่ชิงเกอก็ไม่เข้าใจถึงสายตาที่เสวี่ยหยาใช้จ้องมองตน ว่ามันมีความหมายเช่นใด

ส่วนอีกด้านหนึ่ง พ่านอ๋องกับพระชายาหลังจากมองเห็นปรากฏการณ์ด้านในถ้วยแล้ว ก็กลายเป็นตื่นเต้นยินดี ขึ้นมา

“ใช่แน่! ไม่มีทางผิดพลาดได้!” พ่านอ๋องเอ่ยขึ้นนํ้าเสียงสั่นพร่า

พระชายาก็กลายเป็นตื้นตันขึ้นมา คว้าจับไปที่ฝ่ามือของท่านอ๋อง “พวกเราในที่สุดรอจนมาถึงวันนี้!”

“นี่…” มู่ชิงเกอใบหน้าเต็มไปด้วยความงงงวย อดไม่ได้ที่จะร้องเอ่ยขึ้น

ราชครูพลิกหมุนกาย มองไปทางมู่ชิงเกอ

บนใบหน้าซูบผอมของเขาเพราะว่าความตื่นเต้นยินดีมากเกินไปก็เลยกลายเป็นบิดเบี้ยวไม่น่าดูอยู่บ้าง ซึ่งมันก็ทำเอามู่ชิงเกอตกใจผวาไปครู่หนึ่ง

“คุณชาย ท่านดู…,” ราชครูใบหน้าแย้มยิ้ม ส่งถ้วยใบเล็กๆ นั่นมาที่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ ดู? ดูอันใด? ก็ไม่ใช่เลือดของนางหรอกรึ

มู่ชิงเกอบ่นอุบอิบในใจ แต่ก็ยังมองไปอย่างรู้สึกสงสัย ชั่วขณะนั้น นัยน์ตาทั้งสองข้างของนางก็กลายเป็นหดเล็กลง ‘นี่มันบ้าอะไรกัน! เลือดของข้าเล่า?’

ในถ้วยก็ขาวสะอาด ไม่ได้มีรอยเลือดแม้แต่น้อย

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไป สีหน้าเยียบเย็น จ้องเขม็งไปทางราชครู แววตาเต็มไปความเย็นยะเยือก

“คุณชายอย่าเพิ่งโกรธไป! ฟังข้าพูดก่อน!” ราชครูเร่งร้อนกล่าวขึ้น

“จริงๆ แล้วนี่มันเรื่องอะไรกันแน่?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วแน่นพลางเอ่ยถาม

เผ่าอี๋เผ่านี้ยิ่งได้สัมผัส ก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกประหลาดใจ ทั้งยังความมีท่าทีแปลกๆ พวกนั้นอีก ถ้าหากเป็นไปได้ นางก็อยากจะด่าสักประโยคหนึ่ง ‘พวกสติไม่สม ประกอบ!’

ราชครูสูดหายใจลึกๆ เข้าไปสายหนึ่ง สงบสติอารมณ์ของตน

ค่อยๆ เอาถ้วยเล็กๆ ส่งมาตรงหน้าของมู่ชิงเกออีกครั้ง เอ่ยขึ้นกับเขา “นี่เป็นถ้วยที่ใช้กระดูกทำขึ้น ขอเพียงเป็นหยดเลือดที่มีสายเลือดเดียวกันถึงจะสามารถแทรกซึมหลอมรวมเข้าไปได้”

มู่ชิงเกอนัยน์ตาทั้งสองข้างพลันหดเล็กลง

นางฟังเข้าใจถึงคำพูดของราชครู สามารถกล่าวได้ว่า คนที่ถูกเอากระดูกมาทำเป็นถ้วยใบนี้ก็มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับนาง?

หลังจากนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง สีหน้าของนางก็กลายเป็นนิ่งขรึมขึ้นมา “เผ่าอี๋ของพวกเจ้าสังหารบรรพบุรุษตระกูลมู่ของข้า?”

ไม่เช่นนั้นจะอธิบายเรื่องถ้วยกระดูกในมือของพวกเขาได้อย่างไร? คงไม่ใช่ว่าคนของตระกูลมู่ กระชากกระดูกของตัวเองออกมา แล้วมอบให้พวกเขาทำเป็นถ้วยหรอกกระมัง?

“ไม่—–! ไม่ใช่เช่นนั้น! พวกเราไม่มีทางกล้า!” ราชครูร้องขึ้นเสียงตระหนก

ท่านอ๋องตอนนี้ก็ได้ก้าวออกมา ก่อนที่ทันใดนั้นจะคุกเข่าทั้งสองข้างไปที่ด้านหน้าของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอดวงตาเบิกกว้าง แน่นอนว่าต้องหลบเลี่ยงการคุกเข่าให้ตนของเขาในครั้งนี้

ท่านอ๋องมองไปทางมู่ชิงเกอ เอ๋ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย “คุณชาย พวกข้ารออยู่ที่มานานนับพันปี ในที่สุดก็รอจนพบท่าน!”

นี่มันเรื่องบ้อบออันใด!

มู่ชิงเกอเหมือนกับว่าจะได้รับเรื่องที่น่าตกตะลึงเรื่องหนึ่ง

นางสีหน้าเคร่งขรึม สายตาค่อยๆ เคลื่อนจากตัวของท่านอ๋องมองไปยังตัวของราชครู จากตัวของราชครูมองไปยังตัวของพระชายา สุดท้ายกวาดตามองจากตัวของเสวี่ยหยา ตกไปยังท่านอ๋องที่ตรงนั้น

“พวกท่าน…คงไม่ได้ป่วยกระมัง” ชั่วขณะนั้น มู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์

ถ้าหากเป็นคนอื่นพูดคำคำนี้ ก็เกรงว่าคงจะถูกตบฉาดหนึ่งจนตกตายไป ณ ตรงนี้แล้ว

อย่าได้มองว่าอ๋องเผ่าอี๋พวกเขาเหมือนกับจะมีระดับการฝึกฝนอยู่แค่ขั้นกักเก็บชั้นสูงสุดเชียว เพราะนั้นก็เป็นเพราะว่าพลังกดดันของทะเลแห่งทุกข์ที่ได้สะกดข่มเอาไว้ ไม่ว่าใครที่มาถึงที่นี่ ระดับการฝึกฝนก็จะถูกกดไปอยู่ที่ชั้นกักเก็บ

แน่นอน ถ้าหากเป็นคนที่ระดับการฝึกฝนไม่ถึงขั้นกักเก็บ แน่นอนว่าจะสามารถรักษาระดับการฝึกฝนของตัวเองเอาไว้ได้

แต่ว่าคำกล่าวที่ดูไร้มารยาทนี้เป็นมู่ชิงเกอที่พูดออกมา พวกเขาก็ทำได้เพียงรับเอาไว้!

“คุณชาย มีเรื่องราวมากมายที่ตัวท่านในตอนนี้อาจจะยังไม่เข้าใจ แต่ในภายหลังแน่นอนว่าจะต้องได้เข้าใจ ท่านเพียงแค่รู้เอาไว้ว่า พวกเราไม่มีทางทำร้ายท่าน มี เพียงแต่จะช่วยเหลือท่าน นี้ก็เพียงพอแล้ว!” ท่านอ๋องเอ่ยวาจาอัน ‘ลึกลับซับซ้อน’ ขึ้นกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอหรี่แววตาเล็กลง ยิ้มเย็นพลางเอ่ยขึ้น “ข้าแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยรับความช่วยเหลือที่มาอย่างแปลกประหลาด”

การตอบกลับของนาง ก็ทำให้ท่านอ๋อง พระชายา ราชครูต่างกันพากันนิ่งชะงักไป

มู่ชิงเกอสีหน้าเย็นชา เอ่ยขึ้นกับพวกเขาไม่กี่คน “ที่ควรถามก็ถามแล้ว ที่ควรดูก็ดูแล้ว ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรอีก ก็ปล่อยให้พวกเราจากไป”

พอต้องเผชิญหน้ากับพวกป่วยทางจิต มู่ชิงเกอก็คิดว่า การจากไปจะเป็นแผนการที่ดีที่สุด!

“ช้าก่อน!” ท่านอ๋องเอ่ยปากขัดขึ้น มู่ชิงเกอยิ้มเย็นชาขึ้นมา “ทำไม? คิดกลับคำพูดรึ?”

“ไม่ใช่!” ท่านอ๋องเร่งรีบอธิบาย “คุณชายจะไปก็ได้ แต่ว่าได้โปรดพาตัวเสวี่ยหยาจากไปด้วย”

หา!

มู่ชิงเกอก็รู้สึกเหมือนกับว่าในหัวของตนถูกอะไรรัดแน่นอยู่ นางมองไปทางเสวี่ยหยาอย่างประหลาดใจ เห็นเพียงนางเม้มริมฝีปากนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา มุมปากก็ยกขึ้นน้อยๆ เอ่ยขึ้นเน้นยํ้าทีละคำ “เพราะ-อะ-ไร!”

ท่านอ๋องมองไปทางมู่ชิงเกอ เช่นเดียวกันใช้เสียงที่แน่วแน่จริงจัง “เพราะว่านางตั้งแต่ลืมตาดูโลกก็เป็นคนของท่าน!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version