Skip to content

พลิกปฐพี 219

ตอนที่ 219

บุปผาหยก แผนหญิงงาม

โอ๊ย! นี่มันเรื่องบ้าบออะไรเนี่ย!

เป็นคนของนางมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกน่ะรึ? นางกับนาง นั้นก็ถูกขวางกันไว้ด้วยทะเลแห่งทุกข์ผืนหนึ่ง นางทั้งคู่เนี่ยนะจะมีสายสัมพันธ์ต่อกัน?!

“ท่านอ๋อง ข้าไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านพูด” สีหน้าของมู่ชิงเกอค่อยๆ ฉายแววจริงจังขึ้น แววตากระจ่างคู่นั้นถูกย้อมด้วยความโกรธนิดๆ

ท่านอ๋องส่ายหน้าเบาๆ บอกกับมู่ชิงเกอว่า “เรื่องนี้พูดแล้วก็ยาวนัก คุณชายพักที่นี่ต่ออีกสักสองสามวัน หายเหนื่อยแล้วเราค่อย…กล่าวรายละเอียดก็ได้”

“ไม่จำเป็นแล้ว!” มู่ชิงเกอปฏิเสธทันที นางเหลือบตามองไปยังท่านอ๋อง

ท่านอ๋องและพระชายา พร้อมทั้งราชครูและเสวี่ยหยา ต่างพร้อมใจกันปิดทาง เอาไว้ มู่ชิงเกอพอเห็นเช่นนั้นก็หมุนตัวเดินตรงไปทางเก้าอี้อย่างว่าง่าย สุ่มเลือกสักหนึ่งตัวแล้วนั่งลง พร้อมพูดขึ้นมาอย่างไม่ให้ตั้งตัวว่า

“มีอะไรจะพูดก็รีบพูด ถ้าไม่มีก็ให้ข้ากลับซะ แล้วก็…ข้า ไม่พานางไปด้วยแน่!” เมื่อพูดจบก็มองตรงไปยังเสวี่ยหยา

เสวี่ยหยานิ่งเงียบไปราวกับรูปปั้น ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา หาใช่เพราะคำพูดที่บิดาของนางเอ่ย แต่เป็นเพราะการขับไล่ไสส่งของมู่ชิงเกอ

ราวกับนางเป็นของเล่นชิ้นหนึ่งที่กำลังรอคอยชะตากรรมอยู่

การขับไล่ไสส่งของมู่ชิงเกอ ทำให้ท่านอ๋องและราชครูจนปัญญา

สุดท้ายแล้วก็ทำได้เพียงประนีประนอม

ราชครูเคลื่อนตัวไปยืนด้านหน้า เอ่ยกับมู่ชิงเกอด้วยความนอบน้อมว่า “คุณชาย…บางทีเราควรเรียกท่านว่า นายน้อย จะเหมาะสมกว่า”

คำพูดนั้นของราชครูได้ลบล้างความโกรธจากนัยน์ตา ของมู่ชิงเกอออกไป

หลังจากนั้น ใบหน้าของนางไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ยังคงสงบเยือกเย็น รอให้ราชครูพูดต่อ

ราชครูยืดตัวขึ้นมองออกไปยังขอบฟ้าด้านนอกราวกับ กำลังครุ่นคิด เสียงอบอุ่นของชายแก่เริ่มเล่าเรื่องราว เสียงแบบนั้นก็เหมือนกับกำลังเล่านิทานปรำปราที่เล่า กันมาแต่โบราณ

“มู่ เป็นตระกูลที่มีเกียรติยิ่งใหญ่ เมื่อนานมาแล้ว มันยิ่งใหญ่และกล้าแกร่งมาก สามารถกางล้อมแผ่นฟ้ากว้างไว้ได้ ตระกูลทั้งหลายต่างอยู่ภายใต้อักษรมู่ ไม่ใช่เพียงเพื่อต้องการได้รับการปกป้อง แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพราะความเลื่อมใสศรัทธาด้วยในเวลาเดียวกัน แต่ทว่า ตระกูลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่อย่างมู่ ก็ยังเกิดวิกฤติ วิกฤติครานั้น ทำให้ตระกูลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่เช่นตระกูลมู่ และอีกหลายตระกูลต้องดับสูญ จนกระทั่งค่อยๆ หายสาบสูญไป! ในตอนนั้นผู้นำของตระกูลมู่ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะหนีออกจากแผ่นดินเกิด ในตอนที่พวกเขาจากไปนั้นได้พาคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่สุดไปด้วย ทั้งยังทำการทำนายเอาไว้ ทำนายความเป็นไปต่อจากนั้นมาอีกพันปี สุดท้ายแบ่งข้ารับใช้เป็นสองกลุ่ม รอคอยวันที่นายน้อยจะกลับมาอย่างสงบ ให้นายน้อยพาพวกข้ารับใช้กลับแผ่นดินเกิด” ราชครูในที่สุดก็เล่าจนจบ

ใช่ มันก็เป็นแค่เรื่องเล่า

เมื่อมู่ชิงเกอพอได้ฟังจนจบ ก็รู้สึกเหมือนกับว่านี่ก็เป็นนิทานเรื่องหนึ่ง ก็เหมือนกับตำนานหรือนิทานพวกนั้นที่สืบหาความจริงไม่ได้ที่นางเคยได้ยินมา

แต่ว่า คำพูดของราชครูนั้นกลับทำให้ท่านอ๋องและพระชายานํ้าตาคลอท่าทางเศร้าใจ เสวี่ยหยาก็ใจลอย ไม่แน่ใจว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์กับเรื่องที่ราชครูเล่าไป หรือ กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่กันแน่

มู่ชิงเกอมองแล้วก็พยักหน้า พูดออกมาหนึ่งประโยค “อืม เล่าได้ไม่เลวนี่ จบแล้วใช่หรือไม่” ปฏิกิริยาของมู่ชิงเกอทำให้พวกราชครูทั้งสามคนต่างตะลึงงัน

แต่พอต้องเผชิญหน้ากับคำถามของนาง ราชครูก็รู้สึกตัวและพยักหน้ากลับไป

เมื่อราชครูพยักหน้าแล้ว มู่ชิงเกอก็ขยับตัวลุกขึ้นยืน “ฟังจบแล้ว ข้าเองก็ควรกลับได้แล้วกระมัง”

“นายน้อย! หรือว่าท่านไม่เชื่อ?” ราชครูเข้าขวางหน้ามู่ชิงเกอพร้อมกางแขนกันเขาไว้ใบหน้าวิตกกังวล คล้ายกับว่าถ้ามู่ชิงเกอไม่เชื่อกันแล้ว เขาก็จะใช้ความตายยืนยันความจริง

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบ มองไปยังราชครู

แววตาของนางกระช่างชัดและสงบ ทำให้ราชครูที่กำลังร้อนใจค่อยๆ สงบลง “เรื่องเล่าที่ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง เจ้าจะให้ข้าเชื่ออะไร?” มู่ชิงเกอพูดออกมาอย่างเย็นชา

ราชครูอ้าปากจะพูด หลุบตามองต่ำถอนหายใจ แต่พูดอะไรไม่ออก

ท่านอ๋องลุกขึ้นยืน เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “นายน้อย พวกเราเองก็อยากบอกท่านทุกอย่าง แต่มันยังไม่ถึงเวลา มีบา เรื่องที่ท่านเองยังไม่ควรทราบ”

มู่ชิงเกอค่อยๆ มองไป พลางคิดในใจ ‘พูดแบบนี้อีกแล้วรึ? เหมือนกับว่า ไม่ว่านางจะพยายามมากแค่ไหน แข็งแกร่งขึ้นเพียงใด ก็มักจะมีคนคอยเตือนแบบนี้ตลอด ท้ายที่สุดก็นางไม่รู้อะไรสักอย่าง เพื่อความปลอดภัยของนางเอง’

เมื่อเห็นมู่ชิงเกอเงียบไป ท่านอ๋องจึงถือโอกาสเอ่ยขึ้นว่า “นายน้อย เพียงเพราะรอคอยท่านเผ่าอี๋เราถึงได้รั้งอยู่ที่ทะเลแห่งทุกข์และตอนนี้ข้างนอกนั่นก็ยังมีเผ่าอี๋อีกกลุ่มของพวกเรารออยู่ที่ทะเลทรายท่องวิญญาณ รอคอยทายาทของตระกูลมู่อยู่”

ในทะเลทรายท่องวิญญาณยังมีคนอีกกลุ่มอยู่งั้นรึ?

มู่ชิงเกอค่อยๆ หันกลับไปมองท่านอ๋อง ณ เวลานี้ เหมือนนางจะเชื่อที่พวกเขาพูดแล้ว นางถามกลับว่า “เหตุใดต้องรอข้า พวกท่านยังรอคอยให้ข้านำพาพวกท่านกลับบ้านอยู่จริงๆ น่ะรึ?”

ท่านอ๋องเอ่ยขึ้นว่า “ทั้งหมดนี้เป็นชะตาฟ้าลิขิต ตระกูลมู่เองนั้นอพยพเข้าไปที่หลินชวน ส่วนพวกเราก็ถูกปล่อยไว้ท่ามกลางทะเลทรายท่องวิญญาณและทะเลแห่งทุกข์ แบ่งพวกเราออกเป็นสองกลุ่ม ทั้งสองแห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่สามารถใช้เดินทางผ่านจากหลินชวนไปโลกแห่งยุคกลางได้ ที่ทำเช่นนี้ก็เพี่อเป็นการทดสอบและรอคอย หลายพันปีที่ผ่านมาเราทำได้แค่รอคอยอย่างเงียบๆ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง! เรื่องจะกลับไปยังแผ่นดินเกิดนั้นไม่เร่งรีบ เพียงแต่ตอนจะจากไปก็ขอให้ท่านพาเสวี่ยหยาไปด้วย เดินทางจัดการเรื่องราวของท่านต่อไป รอจนถึงวัน ที่พลังของท่านสามารถฝึกปรือจนถึงขั้นสูง นั่นก็คือวันที่พวกเราจะหวนคืนสู่บ้านกัน”

“เหตุใดข้าต้องพาเสวี่ยหยาไปด้วยเล่า?” มู่ชิงเกอยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างหยอกเย้า

ครั้งนี้พระชายาเอ่ยออกมาว่า “นายน้อย พวกเราเองก็เป็นบ่าวรับใช้ของนายท่าน ตามธรรมเนียมแล้ว เมื่อเสวี่ยหยาเกิดมา ก็ถูกกำหนดไว้ให้เป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้ ท่าน ไม่ใช่แค่นาง ในทะเลทรายท่องวิญญาณก็อาจจะมีสักคนที่เป็นข้ารับใช้ของนายน้อยอยู่ก็ได้หากมีโอกาส ข้าอยากให้นายน้อยไปที่ทะเลทรายท่องวิญญาณสัก

ครั้ง หาตัวเขาให้เจอ”

“ทำไมต้องติดตามข้า?” มู่ชิงเกอยิ้มมาดร้าย

นางไม่เคยเจอผู้หญิงแข่งกันเพื่อเป็นข้ารับใช้ขนาดนี้! เสวี่ยหยาเป็นองค์หญิงของเผ่ามิใช่รึ?

“ไม่ทำไม นี่เป็นหน้าที่ของนาง” พระชายาพยักหน้าตอบ

“เสวี่ยหยาเป็นลูกสาวท่าน นางเป็นองค์หญิงอยู่ดีๆ แต่จะให้นางมารับใช้ข้า ท่านถามความเห็นนางบ้างรึยัง” มู่ชิงเกอกล่าว

คำพูดนี้ทำให้เสวี่ยหยาเงยหน้าขึ้นมองมู่ชิงเกอ

แต่พระชายายังยืนหยัดในความคิดของตนพร้อมกล่าวว่า “ได้เป็นข้ารับใช้ของนายน้อย ถือเป็นวาสนาอันใหญ่ ยิ่ง ป็นเกียรติยิ่งกว่าฐานะตอนนี้เสียอีก!”

‘บ้ากันไปใหญ่แล้ว!’

มู่ชิงเกอแขวะในใจ

นางหรี่ตามองแล้วพูดขึ้นว่า “หมายความว่าถ้าข้าต้องการจะจากไป ก็ต้องพาเสวี่ยหยาไปด้วยเช่นกัน ใช่หรือไม่? ”

ท่านอ๋อง พระชายา และราชครูได้แต่เงียบ พวกเขาไม่ได้ตอบคำถามของมู่ชิงเกอโดยตรง แต่ท่าทางที่แสดงออก ก็ชัดเจนแล้วว่าคำตอบคือแน่นอน!

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ นางเดินไปหยุดอยู่ต่อหน้าเสวี่ยหยา ยื่นมือออกไปเชยคางนางขึ้น บังคับให้เงยหน้ามองตน ระยะห่างระหว่างทั้งคู่ลดลง จนกระทั่งสามารถรับรู้ลม หายใจของกันและกัน

สัมผัสในระยะใกล้แบบนี้ก็ได้ทำลายความนิ่งขรึมของเสวี่ยหยา ดวงตาของนางฉายแววความสับสนออกมา

แต่มู่ชิงเกอกลับยกยิ้มขึ้น นํ้าเสียงไม่ค่อยน่าฟัง “นางงดงามขนาดนี้ไม่ใช่ว่าจะอยู่ข้างกายข้าไม่ได้ แต่ว่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่ต้องมาอยู่ข้างกายข้านั้นหมายความว่า อย่างไร ”

สายตานางกวาดมองเรือนร่างของเสวี่ยหยา ทำให้คนด้านหน้าตัวสั่นราวกับถูกปลดเปลื้องอาภรณ์ออกสิ้น เปลือยกายยืนอยู่ต่อหน้ามู่ชิงเกอ

ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เสวี่ยหยาสีหน้าว้าวุ่น ทำการต่อต้านโดยไม่รู้ตัว

มู่ชิงเกอกลับยิ้มขึ้นมาอย่างได้ใจรอยยิ้มหนึ่ง นางปล่อยคางของเสวี่ยออก หมุนกายเดินหันไปกล่าวกับพวกท่านอ๋องว่า “ข้าถ้าพานางจากไป ความเป็นความตายของนางก็จะไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับพวกเจ้าอีก ข้าอยากจะทำอย่างไรกับนาง ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องของข้า ข้าสามารถรังแกนาง สามารถเหยียดหยามนาง ไปจนถึงขั้นสามารถสังหารนางได้”

ท่านอ๋องกับพระชายาต่างพากันหลุบสายตาลง เม้มริมฝีปากไม่กล่าววาจา

แต่ท่านราชครูกลับเงยหน้ามองขึ้นมา ก่อนที่อยู่ๆ จะเอ่ยขึ้น “นายน้อยได้รับชิ้นส่วนของเคล็ดวิชาเทวะแล้วบ้างหรือยัง?”

เคล็ดวิชาเทวะคำนี้พออยู่ๆ ปรากฏออกมา ก็ทำเอานัยน์ตาทั้งสองข้างมู่ชิงเกอพลันหดเล็กลง กลิ่นไอของมู่ชิงเกอทันใดนั้นกลายเป็นสุขุมเย็นยะเยือกขึ้น ในสายตาที่มองไปทางราชครูเต็มไปด้วยไอสังหาร แต่ถึงอย่างนั้น ราชครูที่ตกอยู่ภายใต้สายตาของเขา กลับหัวเราะขึ้นมา ในแววตาของเขาทอประกายลํ้าลึก และปราดเปรื่อง เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางทรงภูมิว่า “ดูท่านายน้อยก็จะได้รับชิ้นส่วนของเคล็ดวิชาเทวะมาแล้ว ข้า ที่สามารถรู้เรื่องเคล็ดวิชาเทวะได้เช่นนี้นายน้อยก็ยังไม่ เชื่อคำพูดของพวกข้าอีกงั้นรึ?”

มู่ชิงเกอหันมองไปทางเขา มองไม่ออกถึงความรู้สึกใดๆ

ราชครูชี้นิ้วไปทางเสวี่ยหยาพลางเอ่ยขึ้นกับมู่ชิงเกอ “เคล็ดวิชาเทวะนั้นแบ่งเป็นสามส่วน ส่วนบนนั้นก็เป็นส่วนที่ตระกูลมู่เก็บเอาไว้เอง ส่วนเคล็ดวิชาส่วนกลางนั้น ตอนที่ออกจากบ้านเกิดก็ถูกตระกูลมู่รับรู้เบาะแสแล้ว ตอนนี้เบาะแสก็อยู่บนตัวของเสวี่ยหยา หรือว่านี่ก็ไม่มีค่าพอที่จะให้นายน้อยพานางไป?”

คำกล่าวของราชครู ก็ทำเอาในแววตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกายวาววับขึ้น โครงหน้ากลายเป็นเย็นชาดุจนํ้าแข็ง

ยามคํ่า เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรล้วนแต่ลงมาจากเรือกันหมดแล้ว ถูกพาไปในตัวเกาะตูเล่อ

พวกเขาไม่ได้พบกับมู่ชิงเกอ มีเพียงแค่คำพูดที่นางฝากมา บอกให้พวกเขาพักอยู่บนเกาะตูเล่อเป็นการชั่วคราว ทั้งยังบอกมั่วหยางอีกว่าให้เร่งรีบฝึกฝนไม่อาจชักช้าหรือละเลยเป็นอันขาด

ไป๋สี่และหยินเฉินแล้วก็หยวนหยวนถูกนางปล่อยทิ้งไว้ที่ข้างกายขององครักษ์เขี้ยวมังกร

ส่วนตัวมู่ชิงเกอเอง ก็กำลังนั่งอยู่ในวังหลวงของเกาะตูเล่อ บนบัลลังก์ตัวนั้นที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ปกครอง ตอบรับการคารวะของกลุ่มคน!

สายตาของมู่ชิงเกอกวาดมองไปยังพวกคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น นอกจากท่านอ๋องกับพระชายา แล้วก็ราชครูที่พบในตอนกลางวันแล้ว ก็ยังมีผู้ชายเพิ่มขึ้นมาอีกสามคน

จากรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาก็ดูมีอายุไม่ต่างจากท่านอ๋องมากนัก

แต่ว่าตอนนี้มู่ชิงเกอก็เหมือนจะกลายเป็นฉลาดขึ้นแล้ว ในช่วงระเวลาที่อยู่ในชาติภพใหม่นี้ อย่าไปถูกเปลือกนอกหลอกลวงเอา ภายใต้ใบหน้าเยาว์วัยเช่นนี้ จะต้องแอบซ่อนไว้ด้วยหัวใจดวงหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามีชีวิตมานานเท่าไร

ซือมั่วก็สามารถยืนยันในข้อนี้ได้ดีที่สุด!

จนถึงตอนนี้มู่ชิงเกอก็ยังไม่รู้ว่า ผู้ชายของตนนั้นจริงๆ แล้วมีอายุเท่าไรกันแน่!

พวกเขาถือเป็นผู้ที่รับผิดชอบดูแลน่านนํ้าทิศเหนือ ออก ตกทั้งสามทิศของเผ่าอี๋ จนถึงตอนนี้มู่ชิงเกอถึงค่อยรู้ว่า ขุนศึกทั้งสี่ทิศของเผ่าอี๋ใช้สัตว์เทพทั้งสี่ทิศมาตั้งชื่อ!

สัตว์ทั้งสี่ทิศที่ว่าก็แบ่งเป็น มังกร พยัคฆ์ หงส์เพลิง กิเลน

ทิศใต้ที่พระชายารับผิดชอบก็คือหงส์เพลิง ดังนั้นที่นางใช้เป็นพาหนะก็คือนกหลวนซึ่งมีเชื้อสายใกล้ชิดกับหงส์เพลิง

ทั้งหกคนคุกเข่าอยู่บนพื้น สายตาที่มองไปทางนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ ก็มีความปลื้มปิติที่มู่ชิงเกอเข้าใจว่าเป็นผลมาจากการรอคอยนับพันปีในที่สุดก็ประสบผลสำเร็จ

นางก็ไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงได้เชื่อถือนาง ไม่ได้มีท่าทางลังเลแม้แต่น้อย

‘หรือว่า เพียงแค่เพราะเลือดหยดเดียวหยดนั้นของข้า?’ มู่ชิงเกอเพิ่งจะนึกขึ้นได้ในใจ

“นายน้อย ช่วงนี้ก็โปรดพักอยู่ที่บนเกาะแห่งนี้ก่อน ข้าได้ยินพระชายาบอกว่า นายน้อยสามารถสังหารฉวีอวี้ลงได้ เช่นนั้นก็จะต้องสูญเสียพละกำลังไปไม่น้อย นายน้อยก็ไม่จำเป็นต้องรีบจากไป” ท่านอ๋องเอ่ยขึ้นกับมู่ชิงเกออย่างนอบน้อม

“ได้” ครั้งนี้มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ปฏิเสธอีก

นางหากจะจากไปอย่างน้อยก็ต้องทำความเข้าใจเรื่องเคล็ดวิชาเทวะให้ชัดเจน

“นายน้อยคงจะเหนื่อยแล้ว ไม่สู้ไปพักผ่อนก่อน พวกเราก็ได้เตรียมห้องรับรองเอาไว้พร้อมแล้ว ทั้งยังมีนํ้าร้อนที่ใช้อาบนํ้า” ราชครูเอ่ยขึ้น

“สาวใช้ของข้าเล่า?” มู่ชิงเกออยู่ๆ ก็เอ่ยถามขึ้น

การปรนนิบัติของโย่วเหอกับฮวาเยวี่ยนางก็ได้คุ้นชินแล้ว ถ้าหากให้คนของเผ่าอี๋มาปรนนิบัตินางอาบนํ้า นางไม่ชิน

ราชครูยิ้มขึ้นน้อยๆ เอ่ยตอบเขา “โย่วเหอกับฮวาเยวี่ย แม่นางทั้งสองได้ไปรอคอยอยู่ในห้องแล้ว”

พอได้ฟังประโยคนี้มู่ชิงเกอก็พยักหน้าขึ้นเบาๆ ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ มีพระชายาเป็นคนนำทาง นำทางออกไปจากตำหนักใหญ่

มู่ชิงเกอหลังจาก จากไปแล้ว คนบนพื้นถึงค่อยลุกยืนขึ้น ก่อนจะส่งสายตาให้กันและกัน

“พวกเราแน่ใจนะว่าจะเลือกเขา?” แม่ทัพมังกรเอ่ยขึ้นกับท่านอ๋องและราชครูไปตรงๆ

ที่เหลืออีกสองคนก็มองไปทางพวกเขา

ราชครูเดินออกไปด้านข้างอย่างเงียบเชียบ หยิบเอาอุปกรณ์ทำนายออกมาจากแขนเสื้อ เริ่มทำการทำนาย ในตอนที่เขากำลังทำนาย ท่านอ๋องก็เอ่ยขึ้นกับทั้งสาม คน “พวกเราไม่สามารถรอต่อไปได้อีกแล้ว คนคนเดียวนี้ พวกเราก็ได้รอมานับพันปี ถ้าหากไม่เลือกตอนนี้ คนถัดไป ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอถึงเมื่อไร”

“แต่ว่า เขาจะชนะไปถึงท้ายที่สุดได้หรือ? นายน้อยที่คนอื่นๆ เลือก แน่นอนว่าจะต้องไม่ธรรมดา ดินแดนนี้ที่พวกเราอยู่แต่เดิมก็ต่ำต้อยอยู่มากมายนัก…” ขุนศึกพยัคฆ์ พูดออกไปตรงๆ

ท่านอ๋องผ่อนลมหายใจ “ปีนั้นที่ตระกูลมู่เลือกใช้วิธีนี้ ก็เพราะต้องการหาผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาจากการแย่งชิงที่ดุเดือด นำพาพวกเราบุกฝ่ากลับไป ทวงคืนทุกอย่างที่เป็นของตระกูลมู่ ทวงคืนของทั้งหมดที่เป็นของพวกเรา! แต่ก็เกรงว่าแม้แต่ตระกูลมู่ก็จะไม่รู้ว่า การรอ ครั้งนี้รอทีก็ใช้เวลานับพันปี!”

“ดูท่า พวกเราก็คงจะไม่มีทางเลือกแล้ว” ขุนศึกกิเลนเปิดปากเอ่ยขึ้น

ท่านอ๋องพยักหน้า เอ่ยขึ้นกับทั้งสามคน “เสวี่ยหยาก็จะรั้งอยู่ที่ข้างกายของเขา นอกจากไปเป็นสาวใช้ของเขาก็ยังคอยเป็นผู้สังเกตการณ์ นางก็จะช่วยพวกเราตรวจสอบว่านายน้อยผู้นี้ผ่านเกณฑ์หรือไม่ ในเวลาเดียวกันก็จะได้มีโอกาสพบปะกับนายน้อยคนอื่นๆ”

“นายน้อยหากว่าเลือกแล้ว ก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก นอกเสียจากว่านายน้อยที่พวกเราเลือกจะถูกผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ ฆ่าตาย ไม่เช่นนั้นพวกเราก็จะทำได้เพียงติดตามเขาไปตลอดการ การเดิมพันครั้งนี้ก็สุ่มเสี่ยงยิ่งนัก!” ขุนศึกมังกรเอ่ยขึ้น

ท่านอ๋องไม่ได้พูดอันใดอีก แต่เป็นเคลื่อนสายตาไปที่ตัวราชครูที่กำลังทำการทำนายอยู่ ที่เหลืออีกสามคนก็ขยับสายตาเลื่อนไปที่ตัวของราชครู ราวกับหวังว่าผลการทำนายของเขาจะสามารถมอบความมั่นใจให้พวกเขาได้

ใครจะรู้ราชครูอยู่ๆ ก็กระอักเลือดออกมาอึกหนึ่ง ร่างล้มเอนลงไปด้านหลัง

“ท่านราชครู—–!” ท่านอ๋องตกตะลึง เร่งรีบออกไปรับตัวเขาเอาไว้

ขุนศึกอีกสามคนก็เร่งรีบล้อมเข้าไปอย่างรวดเร็ว มองไป

ทางราชครูอย่างเคร่งเครียด เครายาวสีดอกเลาของราชครูตอนนี้แปดเปื้อนไปด้วย เลือด ฝ่ามือผอมแห้งของเขายกขึ้นอย่างสั่นไหว ชี้ไปยังอุปกรณ์ทำนายโชคชะตาที่ตกอยู่บนพื้น ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง เอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง “ชะตาฟ้า! ชะตาฟ้าของผู้ยิ่งใหญ่!”

“ฮ่าๆๆๆๆๆ…”

ทันใดนั้นราชครูก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังสั่นออกมา เอ่ยขึ้นราวกับเสียสติ “ศิษย์พี่ ดูท่าครั้งนี้ข้าในที่สุดก็จะชนะท่านครั้งหนึ่งแล้ว!”

“ท่านราชครู!”

พวกของท่านอ๋อง ล้วนแต่จ้องมองไปทางเขาสีหน้าประหลาดใจ

รอจนอารมณ์ของท่านราชครูกลับไปสงบดังเดิมแล้ว เขาก็ถึงค่อยกำแน่นไปที่ฝ่ามือของท่านอ๋อง เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี “ท่านอ๋อง ครั้งนี้ พวกเราเลือกถูกคนแล้ว! ”

ท่านอ๋องนัยน์ตาคู่นั้นพลันเบิกกว้าง ขุนศึกที่เหลืออีกสามคนก็กลายเป็นหยุดหายใจ

ตำหนักทันใดนั้นกลายเป็นเงียบกริบลง พวกเขาก็กำลังรอคอยคำพูดต่อไปของท่านราชครู

“ข้ามองไม่เห็นเส้นโชคชะตาของเขา พอลองฝืนทำนายดู กลับถูกพลังตีกลับ พวกเจ้ารู้ไหมว่าในโลกนับหมื่นนับพันนี้ มีเพียงคนประเภทเดียวที่พวกเราผู้เฝ้ามองทำนายไม่ได้! นั้นก็คือ….” ราชครูอยู่ๆ ก็พลันปิดปากสนิท แววตากระเพื่อมสั่นไหว

ทันใดนั้นเอง เสียงฟ้าร้องคำรามก็พลันดังขึ้นมา

เสียงฟ้าร้องที่มาอย่างกะทันหันก็ราวกับว่าจะเป็นการกำชับเตือนราชครู!

ราชครูแววตาล่องลอย ส่ายหน้าพลางเอ่ยขึ้น “พูดไม่ได้ พูดไม่ได้ คำคำนั้นไม่สามารถพูดได้ มันไม่ใช่สิ่งที่โลกนี้จะสามารถทนรับได้!”

คำพูดของเขาพูดออกมาได้คลุมเครือนัก

แต่ว่าความนัยในคำพูดเหล่านี้กลับทำให้พวกท่านอ่อง ทั้งสี่คนลอบคาดเดาได้ถึงคำตอบ!

พวกเขาทั้งสี่คนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในแววตาของแต่ละคนลอบส่งสัญญาณให้กัน!

ผ่านไปชั่วอึดใจหนึ่ง ท่านอ๋องถึงได้กล่าวกับพวกเขาไม่กี่คน “จากวันนี้เป็นต้นไป พวกเราก็จำเป็นจะต้องช่วยสนับสนุนนายน้อยอย่างสุดกำลัง!”

ขุนศึกทั้งสามพยักหน้าขึ้นอย่างขึงขัง

ราชครูลุกยืนขึ้น ขมวดคิ้วพลางเอ๋ย “นายน้อยตอนนี้จะ ไปที่โลกแห่งยุคกลาง เกรงว่าในช่วงนี้ก็คงไม่อาจไปที่ทะเลทรายท่องวิญญาณได้ เพื่อที่จะไม่ให้ถูกคนอื่นๆ ตัดหน้าไปก่อน…” เขามองไปทางท่านอ๋องพลางกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ท่านจะต้องส่งคนไปยังทะเลทรายท่องวิญญาณเพื่อตามคนที่เหลือพวกนั้น นำตัวบ่าวรับใช้ที่พวกเขาเตรียมไว้ให้นายน้อยเดินทางไปที่โลกแห่งยุคกลาง พาไปที่ข้างกายของนายน้อย!”

“ทำอย่างนี้จะดีรึ? ไม่ใช่ว่าจะเป็นการขัดต่อกฎของตระกูลมู่?” ท่านอ๋องเอ่ยขึ้นอย่างลังเล

ราชครูกลับส่ายหน้า เอ่ยขึ้นอย่างตั้งมั่น “ตอนแรกที่ตระกูลมู่ให้พวกเราจากหนึ่งแบ่งเป็นสอง ก็คงเป็นเพราะว่ากลัวจะคลาดกัน การแบ่งเช่นนี้ไม่ว่านายน้อยจะเดินทางออกจากหลินชวนจากจุดไหน ก็จะล้วนแต่ต้องพบเจอกับคนของพวกเรา หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามชะตากรรม แต่ก็ไม่ได้กล่าวเอาไว้ว่าหลังจากเลือกตัวนายน้อยแล้ว พวกเราจะไม่สามารถลอบช่วยเหลือ เล็กๆ น้อยๆ ได้”

“ท่านอ๋อง ข้าจะไปด้วยตัวเองสักครั้ง” ขุนศึกมังกรเอ่ยปากขึ้น

ท่านอ๋องก็ไม่กล่าวยืดเยื้อต่อ เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว “ได้!”

ขุนศึกมังกรก็เร่งรีบจะออกไปเตรียมตัว แต่กลับถูกท่านอ๋องเรียกหยุดเอาไว้ก่อน “อย่าเพิ่งรีบร้อนไป รอจนนาย

น้อยเข้าสู่โลกแห่งยุคกลางแล้ว ค่อยออกเดินทาง” ขุนศึกมังกรไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจความต้องการของท่านอ๋อง

เป็นบ่าวรับใช้เหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรนั้นก็ต้องมีแบ่งสูงต่ำ

รอหลังจากที่เสวี่ยหยากับนายน้อยมีสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นต่อกันแล้ว ก็ค่อยให้บ่าวรับใช้ของทะเลทรายท่องวิญญาณฝั่งนั้นรุดไปหา พอเป็นเช่นนี้ สถานะของเสวี่ยหยาก็จะไม่ได้รับผลกระทบอันใด

การคิดเล็กคิดน้อยของท่านอ๋อง ก็ถือว่าออกมาจากมุมมองของผู้เป็นพ่อ

เสวี่ยหยาก็เป็นสมบัติลํ้าค่าที่พวกเขาประคับประคอง เฝ้าดูจนเติบโต พวกเขาก็แน่นอนว่าไม่รู้สึกว่าท่านอ๋องที่ทำเช่นนี้นั้นไม่ถูกต้อง แม้แต่ท่านราชครูก็ยังไม่เอ่ยปากคัดค้าน ไม่ได้กล่าวเตือนท่านอ่องให้เห็นภาพรวมเป็นสำคัญ

มู่ชิงเกอตามพระชายาเดินเข้าไปในวังครู่หนึ่ง ก่อนที่จะถูกพาไปยังด้านหน้าห้องแห่งหนึ่งที่ดูโอ่อ่าหรูหรา พระชายาย่อกายน้อยๆ ไปทางมู่ชิงเกอ “นายน้อย ข้าก็ ไม่ขอรบกวนท่านพักผ่อนแล้ว”

พอกล่าวจบ นางก็ค่อย หมุนกายเดินจากไป

มู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ด้านนอก มองส่งนางจากไป แต่คิ้วก็ยังขมวดอยู่น้อยๆ

คนพวกนี้ก็ไม่ได้มีความคิดร้ายอันใดต่อนาง นางนั้นสัมผัสได้ แต่ว่าพวกเขาก็ไม่ได้พูดความจริงทั้งหมดกับนาง ในเมื่อพวกเขายังมีการไว้ตัวสงวนคำพูด เช่นนั้น นางก็ไม่มีทางไปบอกพวกเขาว่าตนเองนั้นได้รับเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนมาครบถ้วนสมบูรณ์ มู่ชิงเกอแววตาวาววับขึ้นสายหนึ่ง หมุนกายเดินผลักประตูเข้าไป

ประตูห้องพอถูกเปิดออก มันก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังออกมา

กลิ่นหอมสดชื่นสายหนึ่งที่ทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มพลันพัดโชยเข้ามา นี่ก็ทำเอามู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่ค่อยชอบใจเท่าใดนัก

นางพอก้าวเดินเข้าไป ประตูใหญ่ทันใดนั้นก็ปิดสนิทลงด้วยตัวเอง

ฉากภาพตรงหน้าก็ทำให้นางต้องเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ในห้อง บนเสาคํ้าก็แขวนเต็มเอาไว้ด้วยผ้าโปร่งสีแดง ทั้งยังมีแสงเทียนสลัวๆ ขับเสริมให้ในตัวห้องเหมือนกับ ภาพมายาก็ไม่ปาน

“โย่วเหอ” มู่ชิงเกอร้องเรียกเสียงเบาขึ้นเสียงหนึ่ง ไม่เห็นมีการตอบกลับ นางก็เรียกเสียงเบาขึ้นอีกเสียงหนึ่ง “ฮวาเยวี่ย”

ที่ตอบกลับนางนั้นก็มีเพียงแต่ความเงียบ

หญิงสาวทั้งสองนางไม่ได้อยู่ในห้องรอนางกลับเข้ามา!

ราชครูหลอกนาง?

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว แต่กลับปฏิเสธการคาดเดานี้ เพราะว่านี่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญอันใดที่จะต้องหลอกลวงนาง

มู่ชิงเกอเดินเข้าไปในตัวห้อง ก่อนที่อยู่ๆ จะสัมผัสได้ถึงเสียงลมหายใจอันแผ่วเบา

มีคน!

มู่ชิงเกอแววตาไหววูบ มุ่งเดินไปทางเสียงลมหายใจ เดินผ่านผ้าโปร่งเป็นชั้นๆ เข้าไป นางเดินทะลุเข้าสู่ห้องด้านหลัง จุดนี้ก็เป็นห้องนอน ที่ปรากฏต่อหน้าของนางก็เป็นเตียงขนาดใหญ่เตียงหนึ่ง ตัวเตียงถูกยกสูงขึ้นจากบนพื้น มันถูกวางไว้บนแท่นยกสูง

สี่ทิศของแท่นยกสูง ก็ถูกล้อมรอบเอาไว้ด้วยรั้ว ทั้งยังมีบันไดที่ใช้เดินขึ้นไปบนเตียง

บนแท่นยกสูง ก็มีผ้าม่านโปร่งผืนบางร่วงตกลงมาคลุมเตียงเอาไว้เป็นชั้นๆ บดบังภาพบนเตียงเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสามารถมองเห็นได้เลือนราง

เสียงลมหายใจนั้นก็ดังสะท้อนมาจากบนเตียง

หรือว่าจะมีคนอยู่บนเตียง?

การคาดเดานี้ก็ทำเอามู่ชิงเกอหัวใจกระตุก!

ทันใดนั้นเองนางก็เหมือนจะคาดเดาได้ว่าเผ่าอี๋จริงๆ แล้วต้องการทำอันใด!

นางขึ้นไปบนแท่นยกสูงอย่างรวดเร็ว แหวกผ้าม่านออกมาในทันใด ฉากภาพบนเตียงทันใดนั้นก็ปรากฏขึ้นต่อหน้านาง

บนเตียง ร่างหยกนอบราบ ความงดงามสูงล้ำอย่างหาใดเปรียบมิได้ เส้นเว้าโค้งปรากฏขึ้นตรงหน้านางอย่างชัดตา ผ้าบางบนกายก็ทำให้ผิวเนียนดุจหิมะของนาง เผยให้เห็นอยู่รางๆ

นางกำลังหันหลังให้มู่ชิงเกอ เผยเพียงแค่แผ่นหลังผืนหนึ่งที่ทำให้คนตกอยู่ในภวังค์

มู่ชิงเกอยืนอยู่ที่ขอบเตียง สายตาเรียบเฉยจ้องมองไปที่นาง

ที่นางไม่รู้ก็คือ คนบนเตียงภายใต้ความตึงเครียดก็กำลังค่อยๆ ลืมตาขึ้น ในแววตาเผยความเจ็บปวดที่ถูกชะตาชีวิตบงการ มือทั้งสองข้างนั้นกอดรัดไปที่ชุดโปร่งบาง บนตัวเอาไว้แน่นไม่กล้าคิดต่อไปว่าต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร

“องค์หญิงเสวี่ยหยานี่มันหมายความว่ายังไงกัน?” มู่ชิงเกอเปิดปากถามขึ้น

ไหล่เรียบเนียนของร่างบางบนเตียงสั่นสะท้าน โครงหน้างดงามกลายเป็นซีดขาว นางเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ได้ตอบกลับ

ไม่ได้แสร้งทำเป็นน่าสงสาร แต่เป็นไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับเช่นไร

ความเงียบของคนบนเตียงก็ทำให้ในแววตาของมู่ชิงเกอทอแววนึกสนุกขึ้นมา มุมปากของนางยกขึ้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ยกแขนขวาขึ้นยื่นไปทางคนที่อยู่บนเตียง

ปลอกนิ้วที่แปลงมาจากทวนหลิงหลงนั่นช่างคมกริบและแหลมคม

มันค่อยๆ ลากดึงผ้าโปร่งที่ปกคลุมอยู่บนตัวของร่างบาง จนเผยให้เห็นแผ่นหลังที่เนียนขาวผืนนั้น

สายลมยามราตรีพัดโชยมา ทำเอาแผ่นหลังผืนนั้นสั่นไหวขึ้นเบาๆ เสวี่ยหยาปิดตาทั้งสองข้างเอาไว้แน่น มือทั้งสองข้างคว้าจับไปที่แขนเสื้อโปร่งบางของตนเองอย่างสุดชีวิต มู่ชิงเกอยิ้มเจ้าเล่ห์นิ้วชี้คลายออก ผ้าโปร่งลู่ตกลงไป ตกลงไปคลุมแผ่นหลังของเสวี่ยหยาเอาไว้อีกครั้ง ความอบอุ่นที่คืนกลับมานี้ก็ทำให้เสวี่ยหยารู้สึกโล่งอก ดวงตาค่อยๆ เปิดออก แต่ว่ายังไม่ทันได้รอให้ดวงตากระจ่างทั้งสองของนางเผยแววโล่งใจ

นิ้วมือที่ใส่ปลอกนิ้วเอาไว้ ก็พลันลูบไล้มาตามเส้นเว้าโค้งของตัวนางที่นอนอยู่บนเตียง ขยับเคลื่อนไปมาบนตัวของนาง

การกลั่นแกล้งที่เต็มไปด้วยความหวาบหวามนี้ ทำให้หัวใจของเสวี่ยหยาเต้นระรัวขึ้นไม่กล้าสูดลมหายใจแรงๆ

ส่วนสายตาของมู่ชิงเกอยิ่งมากลับยิ่งกลายเป็นเย็นเยียบ

“องค์หญิงเสวี่ยนี่คือกำลังเสนอตัวเองอยู่รึ?” มู่ชิงเกอเปิดปากขึ้นในนํ้าเสียงแฝงไว้ด้วยความเย็นชาและเย้ยหยัน

คำกล่าวนี้ก็ราวกับว่าจะทิ่มแทงเข้าไปในใจส่วนลึกของเสวี่ยหยา

ร่างที่กอดตัวเองแน่นของนางก็พลันสั่นไหวขึ้นมา

“องค์หญิงเสวี่ยหยานอนอยู่บนเตียงของคนอื่นเช่นนี้ ก็อาจจะทำให้ผู้ชายปกติทั่วไปคนหนึ่งทำเรื่องที่ปกติสามัญบางอย่างออกมาได้” มู่ชิงเกอก็เน้นเสียงหนักที่คำว่า ‘ปกติ’ สองพยางค์เป็นพิเศษ

“หรือจะบอกว่า องค์หญิงเสวี่ยกำลังรอคอยมันอยู่?” มู่ชิงเกอเอ่ยหยอกเย้าขึ้นอีกครา

คำกล่าวดูแคลนในที่สุดก็ทำให้ความรู้สึกนึกคิดของเสวี่ยหยากลายเป็นพังทลาย

ในแววตากระจ่างชัดของนางลุกโชนขึ้นด้วยไฟโทสะ แผดเผาสติสัมปชัญญะของนาง นางทันใดนั้นโบกมือขึ้น พุ่งฟาดมันไปทางมู่ชิงเกอที่อยู่ด้านหลัง พลังสีม่วงเทา พุ่งทะยานออกจากฝ่ามือของนาง พุ่งกระแทกไปที่ใบหน้าของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอก็ราวกับจะคาดเดาได้ตั้งแต่แรก ร่างกายเบี่ยงหลบน้อยๆ หลบการโจมตีนี้ไปได้

เสวี่ยหยาพลิกกายคุกเข่าขึ้นมาบนเตียง แขนยาวทั้งสองข้างพุ่งโจมตีไปทางมู่ชิงเกออย่างต่อเนื่อง มู่ชิงเกอก็ใช้แค่ฝ่ามือเดียวรับการโจมตีของนางเอาไว้ ทำลายท่าโจมตีของนาง ก่อนที่ทันใดนั้นจะคว้าจับไปที่ข้อมือของนาง กระชากดึงนางเข้ามาสู่อกของตน

เสวี่ยหยาร้องเสียงตระหนกขึ้นเสียงหนึ่ง ร่างกายเสียหลักพุ่งตกไปในอ้อมอกของมู่ชิงเกอ

แต่ในช่วงเวลาสุดท้ายนั้น ก็ถูกมู่ชิงเกอพลิกหมุนกาย ให้แผ่นหลังของนางกระทบเข้าไปในอกของมู่ชิงเกอ

ไม่ ไม่ได้กระทบเข้าไปที่อก

เพราะว่าในตอนที่นางจะสัมผัสไปถึงอกของมู่ชิงเกอ ฝ่ามือข้างหนึ่งก็บิดหมุนไปที่ข้อมือซ้ายของนาง บิดมันไปแนบไว้ที่หลังของนาง ส่วนฝ่ามืออีกข้างหนึ่งก็ขยับดันไปที่ตัวนางไม่ให้พุ่งเข้ามาด้านในต่อ

แต่หากมองจากภายนอกแล้ว ก็เหมือนกับว่ามู่ชิงเกอจะบิดมือของนางทั้งสองข้างของนางแล้วดึงเข้าไปในอก

แต่ในความเป็นจริงแล้วนางก็รู้ว่าตัวเองจริงๆ แล้วก็ไม่ได้สัมผัสโดนเนื้อกายของเขา

“ปล่อยข้า” เสวี่ยหยาพยายามดิ้นรน แต่กลับค้นพบว่า ตัวเองไม่สามารถออกแรงได้

มู่ชิงเกอขยับไปที่ข้างหูของเสวี่ยหยา ลมหายใจพ่นรดไปที่ผิวไหล่ที่เผยออกมาสู่ด้านนอกของนาง หัวเราะเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง “องค์หญิงเสวี่ยหยากำลังทำอันใด? เชื้อเชิญ หรือว่ายั่วยวน?”

เสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังอยู่ข้างหู ทั้งยังคำพูดหยอกเย้านั่น ก็ทำเอาผิวกายของเสวี่ยหยาเกิดเป็นสีชมพูแต่งแต้มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ที่หูของนางเริ่มกลายเป็นร้อนผ่าวขึ้นมา แววตากลายเป็นกระวนกระวาย

เสวี่ยหยาตอนนี้ก็กำลังคุกเข่าอยู่บนเตียง แขนทั้งสองข้างถูกมู่ชิงเกอเกาะกุมเอาไว้

ท่านี้ก็ทำให้ผ้าโปร่งบนตัวไหลลู่ลงมาไม่น้อย และเผยผิวกายของนางออกมามากยิ่งขึ้น

มู่ชิงเกอหลุบตากวาดมองไปที่ร่างบางสายตาหนึ่ง เอ่ยหยอกเย้าขึ้น “หุ่นดีไม่เลว”

“เจ้า…!” เสวี่ยหยาทั้งโมโหทั้งอับอาย ทั้งหงุดหงิดทั้งร้อนใจ แต่กลับดิ้นไม่หลุดแม้แต่น้อย

“องค์หญิงเสวี่ยก็ยังไม่ได้บอกข้าเลยว่า ท่านมาที่ห้องของข้าเพราะเหตุใด?” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นที่ข้างหูนาง

เสวี่ยหยาเม้มริมฝีปาก ดวงตาทั้งสองข้างทอแววระเรื่อขึ้น แฝงไว้ด้วยความไม่ยินยอมสายหนึ่ง ท่าทางราวกับไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างถึงที่สุด “ทำไมข้าถึงมา เจ้าในใจก็ไม่รู้แม้แต่นิดเลยรึ? เจ้าคิดว่าข้าเต็มใจที่จะมาด้วยเรื่องเช่นนี้งั้นหรือ?”

“ในเมื่อไม่เต็มใจแล้วทำไมจะต้องฝืนตัวเองด้วยเล่า?” มู่ชิงเกอสบถขึ้นมาอย่างไม่ชอบใจเสียงหนึ่ง

เสวี่ยหยาไม่เห็นสีหน้าอารมณ์ของมู่ชิงเกอ แต่ก็ยังพอฟังออกถึงวาจาถากถางในคำพูดของนาง เสวี่ยหยายิ้มเยาะขึ้นมา ล้มเลิกที่จะขัดขืนอีก ยอมให้มู่ชิงเกอเกาะ กุม “เจ้าคิดว่าข้ามีทางเลือกรึ?”

มู่ชิงเกอกลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีทางสงสารแม้แต่น้อย “อย่าได้ใช้วาจาเช่นนี้มาเอ่ยกับข้า เรื่องราวของเจ้าก็ไม่ใช่ข้าที่เป็นคนบีบคั้นเจ้า”

เสวี่ยหยาเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา “ข้าเกิดขึ้นมาก็คือ เพื่อรอคอยเจ้านี่ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้าเลยหรือ?”

“โปรดอย่าได้เอาคำพูดเช่นนี้มากล่าวกับข้า ความผิดข้อนี้ข้าไม่มีทางรับไว้ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยได้รู้ถึงการคงอยู่ของพวกเจ้า ข้าก็แค่อยู่ดีๆ ก็ถูกพวกเจ้ายกขึ้นไปยัง ตำแหน่งนายน้อยอะไรนั่นก็เท่านั้น” มู่ชิงเกอยิ้มเยาะเอ่ย

เสวี่ยหยาเม้มริมฝีปาก ฝ่ามือทั้งสองข้างสะบัดหนีอีก

แต่พอเห็นว่ามู่ชิงเกอยังคงไม่คิดปล่อยนาง นางก็เอ่ยขึ้นอย่างนึกโมโห “ปล่อยข้า ข้าจะให้เจ้าดูของสิ่งหนึ่ง แล้วเจ้าจะเข้าใจ”

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือทั้งสองข้างลง

เสวี่ยหยาพอสัมผัสได้ว่าการเกาะกุมถูกคลายออก และคนด้านหลังก็กำลังถอยออกไป

ยังไม่รอให้นางหันกลับไป ด้านนอกม่านกั้นก็ดังขึ้นมา ด้วยเสียงของมู่ชิงเกอ “ใส่เสื้อผ้าให้ดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

เสวี่ยหยาหันกายมองไป ก่อนจะจะเห็นเพียงม่านโปร่งผืนบางที่ลู่ตกลงส่ายไปมา ด้านในม่านก็ไม่มีเสียงของมู่ชิงเกอดังขึ้นอีก

มู่ชิงเกอนั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านนอก เทชาถ้วยหนึ่งให้ตนเอง กระดิกเท้าไปมา ในมือก็ถือเล่นถ้วยชา นางจ้องมองไปยังม่านผืนบางที่ขยับพลิ้วไหวเบาๆ กำลังครุ่นคิดว่าเสวี่ยหยาก็กำลังจะบอกอะไรนาง

ผ่านไปไม่ทันไร เสวี่ยหยาก็แหวกม่านออกมา เดินออกมาด้านนอก

นางพอยืนอยู่บนแท่นยกสูง มองปราดเดียวก็สามารถมองเห็นมู่ชิงเกอที่กำลังนั่งจิบชาอยู่บนเก้าอี้

ส่วนมู่ชิงเกอก็กำลังมองมาทางนาง เสวี่ยหยาเหมือนยังเป็นเซียนสาวที่ขาวสะอาดบริสุทธิ์ผู้นั้น ไร้ซึ่งมลทินและการแปดเปื้อน ถึงแม้ว่าบนตัวของนางจะห่มคลุมด้วยผ้าผืนบางที่ทำให้คนมองลอดผ่านไปได้

มู่ชิงเกอนัยน์ตาหรี่เล็กลง เอ่ยกระเซ้าขึ้น “เสื้อผ้าไม่ใส่ให้หนาๆ หน่อยรึ?”

เสวี่ยหยาครั้งนี้ก็ไม่สนใจคำถากถางของนางอีก แต่เป็นเดินลงจากเตียง เดินไปทางห้องด้านใน “ตามข้ามา”

มู่ชิงเกอแววตาไหววูบ วางถ้วยชาในมือลง ลุกยืนขึ้น ก่อนจะเดินตามด้านหลังของเสวี่ยหยาไป

พอเดิมตามเสวี่ยหยาผ่านไปยังทางเดินด้านหลัง มู่ชิงเกอก็พลันสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่พุ่งโชยออกมา

หลังจากผลักประตูเข้าไปแล้ว นางถึงค่อยรู้ว่า ที่แท้ในนี้ก็ยังมีบ่อนํ้าร้อนอยู่อีกแห่งหนึ่ง

นํ้าของบ่อนํ้าร้อน ก็ไหลออกมาจากช่องหิน ก่อนจะตกรวมกันไปในบ่อ บนผิวนํ้าก็ระเหยโชยไอร้อนขึ้นมาจางๆ ในห้องแห่งนี้ ก็ได้ถูกไอร้อนของบ่อนํ้าร้อนปกคลุมจนดูพร่ามัวไปหมด เสวี่ยหยาเดินไปหยุดลงที่ด้านข้างของบ่อนํ้าร้อน ก่อนที่อยู่ๆ จะหันมามองมู่ชิงเกอ ในแววตากระจ่างชัดคู่นั้นก็ทอแววกระดากอายเล็กน้อย “หันหลังกลับไป”

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ แต่ก็ยังหันไปตามที่บอก หันหลังให้นาง

พอแน่ใจว่ามู่ชิงเกอไม่ได้แอบมองแล้ว เสวี่ยหยาก็ค่อยปลดผ้าโปร่งผืนบางบนตัวของตนออก

มือทั้งสองของนางพอคลายออก ผ้าโปร่งทันใดนั้นก็ลู่ลงไปตามร่างกายของนาง ตอนนั้นเอง บนตัวของเสวี่ยหยา ก็ไม่มีอะไรปิดบังอีก นางก้าวลงบันได เดินเข้าไปในบ่อนํ้าร้อน ก่อนจะพาร่างของตนแช่ลงไปในนํ้า

ไอร้อนพวยพุ่งขึ้นจากในบ่อ ทำการปกคลุมโอบล้อมตัวนางเอาไว้ด้านใน ภายใต้การปลุกเร้าของบ่อนํ้าร้อน ผิวหนังของนางก็กลายเป็นแดงกํ่าขึ้นอย่างรวดเร็ว

มู่ชิงเกอพอได้ยินเสียงเหมือนมีคนลงไปในนํ้า ก็สามารถคาดเดาได้แล้วเสวี่ยหยาจะทำอันใด

นางเพียงแค่ปิดตาสองข้างของตนรอคอยอย่างสงบ รอให้เสวี่ยหยาเปิดปาก

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงของเสวี่ยหยาก็พลันสะท้อนดังเข้ามา “ได้แล้ว”

มู่ชิงเกอเปิดเปลือกตาทั้งข้างขึ้น ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนกายมองไปทางบ่อนํ้าร้อน

“เข้ามา” เสียงของเสวี่ยดังขึ้นมาจากด้านในบ่อนํ้าร้อนอีกครั้ง

เท้าของมู่ชิงเกอลังเลเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดก็ยังเดินไปที่ขอบบ่อนํ้าร้อน พอเข้าไปใกล้นางก็สามารถมองเห็นแผ่นหลังของเสวี่ยหยา

ทันใดนั้นเอง ร่างของนางก็เกิดสั่นไหว ดวงตาพลันเบิกกว้างขึ้น

ที่ทำให้นางตกตะลึงก็ไม่ใช่ภาพเย้ายวนที่เสวี่ยหยาแช่อยู่ในบ่อนํ้าร้อน แต่เป็นแผ่นหลังของนางที่ถูกไอร้อนเข้าแทรกซึมเข้าไปนั้น มันค่อยๆ ปรากฏภาพวาดออกมาภาพหนึ่ง

ภาพวาดนั้นก็เหมือนกับเป็นแผนที่ฉบับหนึ่ง

เป็นแผนที่ของสิ่งใดกัน?

ในหัวของมู่ชิงเกอทันใดนั้นก็พลันนึกย้อนไปถึงคำพูดคำนั้นของราชครูที่บอกว่า ‘เบาะแสของเคล็ดวิชาเทวะอยู่บนตัวเสวี่ยหยา!’

หรือว่านี่ก็คือ…

“เห็นแผนที่บนหลังของข้าหรือยัง? มันก็คือแผนที่ที่เอาไว้ตามหาเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง แต่บนตัวของข้านั้นก็มีเพียงแค่ครึ่งเดียว” คำพูดของเสวี่ยหยาก็ถือเป็นการยืนยันการคาดเดาของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอยกมุมปากขึ้น นางก็คิดไม่ถึงว่าคนของเผ่าอี๋จะเอาเบาะแสของเคล็ดวิชาเทวะวาดไปบนแผ่นหลังของเสวี่ยหยาเช่นนี้

เสวี่ยหยาอยู่ๆ ก็ลุกยืนขึ้นมาจากในนํ้า

มู่ชิงเกอ เร่งรีบหันหลังกลับ

ถึงแม้นางจะเป็นสตรี แต่ในสายตาของเสวี่ยหยา นางนั้นก็เป็นบุรุษ นางชัดเจนว่าต้องคำนึงถึงความรู้สึกของเสวี่ยหยาด้วย

ด้านหลังก็ดังสะท้อนมาด้วยเสียงก้าวออกมาจากบ่อนํ้า ผ่านไปชั่วครู่ เสวี่ยหยาก็ได้ใส่เสื้อผ้าจนเสร็จ เดินมาที่ด้านหน้าของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอเอ่ยออกไปตรงๆ “ให้ข้าดูแผ่นหลังของเจ้าอีกครั้ง”

เสวี่ยหยาก็ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธ แต่เป็นหันหลังกลับอย่างเชื่อฟัง หันแผ่นหลังให้มู่ชิงเกอ

แต่ว่าภายใต้ผ้าผืนบางนั้นกลับไม่มีภาพวาดอะไรหลงเหลืออยู่อีก

ไม่มีแล้ว! ทำไมถึงไม่มีแล้ว?

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น ‘หรือว่าจะเห็นได้เพียงตอนอยู่ใต้นํ้า? ไม่ ไม่น่าใช่! น่าจะเป็นเพราะอุณหภูมิ! มีเพียงตอนที่อุณหภูมิของร่างกายนางเพิ่มสูงขึ้น ภาพภาพนั้นถึงค่อยปรากฏออกมาให้เห็น’

ในตอนที่มู่ชิงเกอกำลังคาดเดา เสวี่ยหยาก็หันหน้ากลับมาหานาง

“ไม่มีประโยชน์เจ้าไม่มีทางมองเห็นอีก” เสวี่ยหยาเอ่ยขึ้นกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปากไม่กล่าววาจา เพียงแค่เลิกคิ้วมองไปทางนาง

เสวี่ยหยาเอ่ยขึ้น “ภาพติดตัวนี้ในตอนที่ข้าเกิดก็ถูกประทับลงมาแล้ว มีเพียงตอนที่อาบนํ้าเท่านั้นถึงจะมองเห็น และถ้าหากอยากจะได้ภาพภาพนี้ อยากให้รูปภาพ ประทับเข้าสู่สมองของเจ้านั้นก็มีเพียงวิธีเดียว”

“วิธีอะไร” มู่ชิงเกอเร่งร้อนเอ่ยถามขึ้น

เสวี่ยหยาเม้มริมฝีปาก เงยหน้ามองไปทางมู่ชิงเกอก่อน จะเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “ต้องได้รับพรหมจรรย์จากข้า”

มู่ชิงเกอใบหน้าแข็งค้าง! ในใจมีความคิดอยากกู่ร้องขึ้นมาสายหนึ่ง!

เสวี่ยหยาก็ไม่ได้สังเกตเห็นถึงท่าทีไม่ปกติของมู่ชิงเกอ เพียงแต่คิดจะเอ่ยวาจา “มีเพียงทำเช่นนั้น ภาพวาดนี้ บนตัวของข้าถึงจะไหลแล่นเข้าไปในสมองของเจ้า แล้วก็ประทับอยู่ไปตลอดกาล ดังนั้น เจ้าคิดว่าข้าคืนนี้ที่รอเจ้าอยู่ในห้องแห่งนี้ก็เพราะเหตุใดกัน? คนของเผ่าข้าก็อดรนทนไม่ไหวที่จะอยากให้เจ้าได้รับเบาะแสของเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางนั้นไป ดังนั้น เจ้ายังคิดว่าข้ามีสิทธิ์ให้เลือกอะไรอีกรึ? ต่อให้ข้าต้องการขัดขืน เจ้าก็คิดจะให้ข้าขัดขืนอย่างไร? เจ้าจะยอมทิ้งเบาะแสของเคล็ดวิชาได้หรือ?”

เสวี่ยหยาก็พรั่งพรูคำถามออกมาไม่หยุด ในแววตาฉายแววเย้ยหยันใส่ตนเอง แล้วก็มีความรู้สึกเย้ยหยันต่อมู่ชิงเกอ

ราวกับว่า มู่ชิงเกอที่อยู่ต่อหน้านาง ก็เป็นเพียงคนที่แสร้งทำเป็นสุภาพบุรุษก็เท่านั้น

พอได้ฟังต้นสายปลายเหตุทั้งหมดแล้ว เขาก็คงจะเหมือนกับผู้ชายคนอื่นเช่นนั้น ดึงนางไปที่เตียง ในทางกลับกันนางก็เป็นเพียงบ่าวรับใช้ของเขา ไม่ว่าเจ้านายจะให้นางทำอะไร นางก็ล้วนแต่ไม่อาจต่อต้านได้!

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น แววตากระจ่างหันมองไปทางนาง “เคล็ดวิชาเทวะ ข้าไม่มีทางละทิ้ง”

‘เป็นอย่างที่คิด…’ สายตาเย้ยหยันในแววตาของเสวี่ยหยายิ่งกลายเป็นเข้มขึ้น

“แต่ พรหมจรรย์ของเจ้าข้าไม่มีทางพรากมันมา” มู่ชิงเกอก็กล่าวขึ้นอีกประโยคหนึ่ง

คำกล่าวประโยคนี้ก็ทำให้เสวี่ยหยานิ่งชะงักไป นางมองมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง ก่อนจะค้นพบในแววตาของเขาไม่มีความคิดหยาบช้าแต่อย่างใด แต่กลับยังคงฉายแววกระจ่างชัดอยู่เช่นเดิม

ทันใดนั้นเอง นางก็กลายเป็นนิ่งอึ้งไป

มู่ชิงเกอเดินผ่านข้างกายของนางไป เดินไปพลางพูดกล่าวไปพลาง “เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ ข้ารู้สึกง่วงขึ้นมาบ้างแล้ว”

จนกระทั่งมู่ชิงเกอเดินจากไปแล้ว เสวี่ยหยาถึงได้ตื่นขึ้นจากภวังค์

ในท้ายที่สุดนางก็เดินออกไปจากห้องของมู่ชิงเกอ เดินกลับไปยังห้องของตนเอง

มู่ชิงเกอตอนนี้ก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ในหัวเอ่ยทวนคำพูดของเสวี่ยหยาซํ้าไปซํ้ามา หากต้องการได้รับเบาะแสของเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง ก็มีเพียงแค่การ

พรากพรหมจรรย์ของนางมาเท่านั้นรึ?

มู่ชิงเกอหัวเราะเสียงเย็นออกมาเสียงหนึ่ง

ไม่ต้องพูดว่านางนั้นไม่สามารถพรากพรหมจรรย์ของเสวี่ยหยา ต่อให้นางจะเป็นผู้ชายจริงๆ ก็ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นออกไปได้

ตอนนี้เรื่องที่ทำให้นางปวดหัวก็มีอยู่สองข้อ

หนึ่งก็คือจะเอาแผนที่บนตัวเสวี่ยหยามาไว้ในมือได้เช่นไร แล้วก็ยังมีอีกข้อหนึ่ง แผนที่อีกครึ่งส่วนที่เหลือก็อยู่ไกลถึงทะเลทรายท่องวิญญาณ แต่นางตอนนี้จะต้องเดินทางไปที่โลกแห่งยุคกลาง แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปเอามัน?

ที่สำคัญก็คือ ฝั่งนั้นก็คงไม่ใช่ว่าจะใช้วิธีพิสดารอันใดถึงจะทำให้นางได้รับแผนที่เช่นเดียวกัน!

มู่ชิงเกอเบ้ปากขึ้น

นางก็หมดคำพูดจะกล่าว เตรียมบ่าวรับใช้โดยมีจุดประสงค์แอบแฝงเช่นนี้เอาไว้ให้นาง นี่เพื่อสิ่งใดกัน!

เรื่องที่พูดคุยกับพวกราชครูและท่านอ๋องพวกเขา หากเอาไปรวมกับความเป็นมาของตระกูลมู่ที่ท่านปู่เล่าไว้เมื่อตอนก่อนหน้า นางก็เหมือนกับจะสามารถแน่ใจได้ว่าพวกเขาไม่ได้หาคนผิด และตระกูลมู่เมื่อครั้งอดีตอันยาวนานก็เหมือนกับว่าจะเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ตระกูลหนึ่ง

เพียงแต่ว่า เพราะอะไรถึงตกตํ่า เพราะอะไรถึงได้วางหมากเช่นนี้นางล้วนแต่ไม่เข้าใจเลยสักนิด

แต่ว่านางนั้นยังไม่รีบ ไม่ว่าช้าหรือเร็วจะต้องมีสักวันหนึ่งที่นางเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด

มู่ชิงเกอเก็บความนึกคิดทั้งหมดกลับ ก่อนจะหยิบแก่นอสูรของฉวีอวี้ออกมา

ในแก่นอสูรก้อนนี้ก็แอบแฝงไว้ด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่สายหนึ่ง

ไป๋สี่ก็เคยบอกเอาไว้ว่า หากดูดกลืนพลังพวกนั้นก็มีจะผลดีต่อนางอย่างใหญ่หลวง

มู่ชิงเกอตอนนี้ก็ตัดสินจะจัดการกับเรื่องนี้ก่อน

รวบรวมสมาธิ มือทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอกอบกุมไปที่แก่นอสูรของฉวีอวี้ปิดตาลง ไม่ทันไร แก่นอสูรของฉวีอวี้ก็ค่อยๆ เปล่งประกายแวววับขึ้นมา ไอพลังบริสุทธิ์เป็นสายๆ ถูกดึงออกมาจากด้านในแก่นอสูร พุ่งเข้าไปยังร่าง

กายของมู่ชิงเกอ

เสวี่ยหยาพอกลับมาถึงห้องของตัวเองแล้ว กลับได้เห็นเข้ากับคนผู้หนึ่งที่ไม่สมควรจะอยู่ที่นี่ ท่าทางประหลาดใจ “ท่านแม่!”

พระชายาเดินเข้ามาหานาง กวาดมองตัวนางสายตาหนึ่ง ลากดึงแขนของเสวี่ยหยาก่อนจะจูงนางเข้าไปในห้อง

“ท่านแม่ท่านทำไมถึงอยู่ที่นี่?” เสวี่ยหยาเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ

พระชายายิ้มเอ่ยว่า “ก็รู้ว่าเจ้าจะต้องถูกนายน้อยปฏิเสธ ดังนั้นก็เลยตั้งใจมารอเจ้าที่นี่” ระหว่างที่พูด นางก็ผ่อนลมหายใจออกมาสายหนึ่ง “เสด็จพ่อกับราชครูของเจ้าพวกเขาก็รีบร้อนเกินไป”

เสวี่ยหยาหลุบตาลง บนใบหน้าสะอาดบริสุทธิ์ก็มองไม่ออกถึงความรู้สึกใดๆ

“เสวี่ยหยา เจ้าโทษพวกเราหรือไม่?” พระชายาเอ่ยกับนาง

เสวี่ยหยาเงยหน้ามองขึ้นไป มองไปทางพระชายาก่อน จะส่ายหน้าช้าๆ “นี่ก็เป็นชะตาของข้า ไม่ได้คิดโทษใคร” พระชายามองไปทางนางอย่างรักใคร่ นิ่งเงียบไปนานถึงค่อยเอ่ยว่า “บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตาของเจ้า ข้าก็ดูออกว่านายน้อยไม่ใช่คนที่เจ้าชู้หลายใจ คืนนี้เขาที่ไล่เจ้าออกมาก็สามารถยืนยันในข้อนี้ได้”

เสวี่ยหยาเม้มริมฝีปาก ไม่ได้กล่าววาจา นางก็ไม่ได้บอกถึงคำพูดที่มู่ชิงเกอบอกไว้ว่า ‘ไม่มีทางพรากพรหมจรรย์ของนาง’ เล่าให้ท่านแม่ฟัง

“เช่นนี้ก็ดี พวกเจ้าก็ค่อยๆ ทำความรู้จักกันไป รอจนถึงตอนที่ความรู้สึกแนบแน่นแล้ว เรื่องบางเรื่องมันก็จะเกิดขึ้นเอง” พระชายาเอ่ยกับเสวี่ยหยา

เสวี่ยหยาเผยรอยยิ้มฝืนๆ ออกมา

พระชายาก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “เจ้าหลังจากที่จากไปกับนายน้อย ก็จะต้องดูแลเขาให้ดี ไม่อาจให้เขาเป็นอะไรได้ ในเวลาเดียวกัน ก็จะต้องทำให้เขาก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว แข็งแกร่งขึ้นมา คู่มือของเขาก็ไม่ได้อ่อนแอ!”

เสวี่ยหยา เม้มริมฝีปากพร้อมกับพยักหน้า

“ใช่แล้ว เสด็จพ่อของเจ้าพวกเขาก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะส่งขุนศึกมังกรไปที่ทะเลทรายท่องวิญญาณ พาตัวบ่าวรับใช้ของนายน้อยอีกคนไปที่โลกแห่งยุคกลาง ช่วยให้นายน้อยได้รับเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางโดยเร็วที่สุด ก่อนหน้าที่คนผู้นั้นจะไปถึง เจ้าก็จะต้องพัฒนาความสัมพันธ์กับนายให้ดียิ่งขึ้น” พระชายาเอ่ยกำชับขึ้นกับนาง

เสวี่ยหยาค่อยๆ เงยหน้ามองไป มองไปทางมารดาของตน “บ่าวรับใช้อีกคน…”

พระชายาทอดถอนใจออกมา “อย่าได้โทษไปบิดาของเจ้า เขากลัวว่าจะทำให้นายน้อยเสียเวลา แต่ว่าเขาก็สั่งให้ขุนศึกมังกรออกเดินทางหลังจากที่พวกเจ้าไปถึงโลกแห่งยุคกลางแล้ว เวลาที่หามาได้นี้ก็ต้องดูความสามารถของเจ้าแล้ว”

เสวี่ยหยานิ่งเงียบไม่กล่าววาจา

พระชายาเอ่ยแนะนำขึ้น “เสวี่ยหยา เจ้าอย่าได้คิดว่าการเป็นบ่าวจะเป็นการลดเกียรติเจ้า เจ้าไม่เคยได้อยู่ในช่วงเวลารุ่งโรจน์ตอนนั้น ดังนั้นก็เลยไม่สามารถเข้าใจได้ บ่าวถึงแม้จะเป็นสิ่งของของเจ้านาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ถือว่ามีสถานะที่สูงส่งมาก ความสัมพันธ์กับเจ้านายแต่ไห แต่ไรมาก็สนิทชิดเชื้อกว่าผู้หญิงของเจ้านายพวกนั้น ถ้าหากเจ้ามีความสามารถ ก็ควรทำให้ในใจของนายน้อยตั้งมั่นอยู่ที่ตัวเจ้าเพียงคนเดียว’’

“ท่านแม่” เสวียหยาเอ่ยขัดคำพูดของพระชายา ภายใต้สีหน้าลึกลํ้าของพระชายา นางเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าควรจะทำอย่างไร ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวล”

เห็นนางไม่อยากฟังต่อ พระชายาก็ไม่กล่าวต่อให้มากความอีก

หนึ่งคืน ก็ผ่านไปโดยไม่อะไรเกิดขึ้น วันที่สองมู่ชิงเกอก็ไม่ได้ปรากฏตัว ถึงแม้ว่าโย่วเหอกับฮวาเยวี่ยจะมาปรนนิบัตินางที่ห้อง ก็ยังไม่สามารถเข้าไปด้านในได้

วันที่สามมู่ชิงเกอก็ไม่ได้ออกมา โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยก็รู้หน้าที่เฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูไม่ยอมให้ใครเข้าไปรบกวน

วันที่สี่…

วันที่ห้า…

พวกองครักษ์เขี้ยวมังกรที่อยู่บนเกาะตูเล่อก็ฝึกฝนไปพลางเลี้ยงดูอสูรเวหาของตนไปพลาง

ไป๋สี่กับหยินเฉินบางเวลาก็ไปดูมู่ชิงเกอบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พบตัวคน

คนของเผ่าอี๋ก็ไม่ได้เข้าไปรบกวน มีเพียงเสวี่ยหยาที่บางครั้งก็จะไปยืนที่หน้าประตูห้องของมู่ชิงเกออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงค่อยเดินจากไป

วันเวลา เช่นนี้ ไม่ทันไรก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน

อสูรเวหาของพวกองครักษ์เขี้ยวมังกรตอนนี้ก็เจริญเติบโตขึ้นเป็นวัยเด็ก เริ่มที่จะสยายปีกออกมาบ้างแล้ว วันนี้ไอพลังกล้าแกร่งสายหนึ่งอยู่ๆ ก็พุ่งทะลวงออกมา จากห้องของมู่ชิงเกอ ทะยานขึ้นไปบนท้องนภา ก่อนจะพุ่งทะลุเข้าสู่หมู่เมฆ…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version