Skip to content

พลิกปฐพี 220

ตอนที่ 220

ประสบคลื่นยักษ์เข้าสู่โลกแห่งยุคกลาง

แสงสีม่วงเทาพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า สีสันที่ดูลึกลับและสูงส่ง แต่งแต้มเต็มไปทั่วผืนนภาของเกาะตูเล่อ แสงสายนี้พอพุ่งขึ้นไป ก็ได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนบนเกาะเอาไว้ได้ในทันที

ท่านอ๋องและพระชายายืนอยู่ที่ระเบียงมองไปยังแสงสายนั้น ราชครูก็ยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขา ดวงตาที่ทรงภูมิความรู้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

พวกเขาสบตากันและกัน ก่อนจะฉายแววยินดีขึ้นมา

บนเกาะตูเล่อ เหล่าคนที่ไม่รู้ความก็ล้วนแต่หยุดสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ รวมกันเป็นกลุ่ม ชี้ไปยังแสงบนท้องฟ้า ชี้ไปมา วิเคราะห์เหตุการณ์

“มีใครกำลังทะลวงระดับชั้นกัน?”

“กลิ่นไอช่างแข็งแกร่ง พลังจิตก็ช่างสูงส่ง!”

“เป็นใครกัน? ถึงกับสามารถสร้างปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้จากการข้ามระดับในทะเลแห่งทุกข์ได้!”

“ทิศทางดูเหมือนกับว่าเป็นทางวังหลวง หรือว่าจะเป็นองค์หญิงเสวี่ยหยา?”

“ไม่น่าใช่ ก่อนหน้านี้ มิใช่ว่าบนเกาะมีคนมากลุ่มหนึ่ง?”

เรือนโดดเดี่ยวหลังหนึ่งบนเกาะตูเล่อ ไป๋สี่ที่แต่เดิมนอนขี้เกียจอยู่บนต้นไม้ ตอนนี้กลับตื่นเต้น ตื่นขึ้นมากระโดดไกลไปทางวังหลวง นัยน์ตามีประกายสีม่วงทอง มุมปากก็เกิดรอยยิ้มขึ้น

หยินเฉินลากหยวนหยวนออกมานอกประตู ตัวใหญ่ตัวเล็กเหมือนกับรูปปั้นยืนรอคนกลับมาบ้านอยู่ที่หน้าประตู

หยวนหยวนเงยหน้ามองเขา “ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของลูกพี่ท่านแม่”

“ชิงเกอทะลวงระดับพลังอีกแล้ว” หยินเฉินเอ่ยตอบ มุมปากเผยรอยยิ้มยินดีออกมา

มั่วหยางยืนนิ่งอยู่ด้านหลังของพวกเขา เมื่อได้ยินที่พวกเขาพูด เขาก็ขบริมฝีปากเบาๆ ท่าทางเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ขึ้น ‘คุณชายแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาก็ต้องตั้งใจฝึกฝนให้หนักมากยิ่งขึ้น มิเช่นนั้นจะก้าวทันคุณชายได้อย่างไร!’

เขาหันกายกลับไปลานตรงกลางเรือน ภายในเรือนเต็มไปด้วยองครักษ์เขี้ยวมังกรที่ยืนกันอย่างมีระเบียบ เมื่อเห็นมั่วหยางเดินเข้ามา พวกเขาก็ล้วนแต่มองมาที่เขา

มั่วหยางกวาดสายตามองพวกเขาทุกคน ตะโกนออกไปอย่างเข้มงวดว่า “เริ่มฝึกฝน!”

แค่เพียงคำง่ายดายไม่กี่คำ ก็ทำให้องครักษ์เขี้ยวมังกรล้วนแต่ขยับขึ้นมาในทันที

มั่วหยางเข้าใจ พวกเขาก็เข้าใจ ถ้าหากว่าตนเองไม่ตั้งใจ ก็จะถูกทิ้งไปในอีกไม่นาน ไม่ใช่เป็นเพราะว่ามู่ชิงเกอไม่ต้องการพวกเขา แต่เป็นเพราะพวกเขาก้าวเดินไม่ทันนาง

ดังนั้น พวกเขาจะต้องพยายามให้มากขึ้น เพิ่มความจริงจังในการฝึกฝนตามตารางฝึก ต้องก้าวข้ามไปเรื่อยๆ มีเพียงแค่เป็นเช่นนั้น พวกเขาถึงจะมีสิทธิ์ที่จะเดินร่วม ทางไปกับมู่ชิงเกอได้!

ปัง—–!

เสียงระเบิดดังขึ้นกลางอากาศ

แสงที่พุ่งขึ้นท้องฟ้าสายนั้นระเบิดออกกลางฟ้า แตกกระจายไปรอบบริเวณ เหมือนกับเป็นหลังคาสีม่วงเทาขนาดใหญ่ แสงวาววาบเหล่านั้น พันเกี่ยวกันไปมาบนท้องฟ้า เกิดเป็นเหมือนรอยแตก

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยมีท่าทีเปลี่ยนไป ดูเหมือนว่า สถานการณ์นี้ก้าวผ่านขอบเขตความรู้ของพวกเขา

ท่านอ๋องชะงัก มองไปทางราชครู

นัยน์ตาของราชครูมีแววไม่อยากจะเชื่อ ในตอนที่สบตากับท่านอ๋องนั้นก็เผยแววตายินดีออกมา

ยิ่งมู่ชิงเกอแข็งแกร่งเท่าไหร่ ยิ่งเหนือกว่าที่พวกเขาคาดไว้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสชนะมากยิ่งขึ้น!

เสวี่ยหยายืนอยู่บนบันไดหน้าห้องตนเอง มองไปบนท้องฟ้าที่เหมือนดอกไม้ไฟอันงดงาม ชุดพลิ้วลม ดูเหมือนกับสามารถจะถูกพัดลอยไปได้ตลอดเวลา

ชิงฝูยืนอยู่ด้านหลังของนาง นิ่งเงียบมองนาง

องค์หญิงเสวี่ยหยางดงามมาก งดงามจนเหมือนไม่ใช่คนธรรมดา แต่กลับทำให้คนธรรมดารู้สึกจิตใจสั่นไหวได้อย่างง่ายดาย

นางเปรียบเหมือนกับเทพธิดาบนโลกมนุษย์บริสุทธิ์ไร้มลทิน

เขารู้ดีว่าตนเองไม่อาจจะครอบครองนางได้ แต่ก็ยากที่จะข่มใจของตนเองไม่ให้คิด เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ก็คงจะทำได้เพียงแต่แอบมองเงียบๆ คอยปกป้อง คอยดูแลเป็นเพื่อน…

ฉากภาพอันงดงามบนท้องฟ้าในที่สุดก็ปิดตัวลง แสงสีม่วงเทางดงามนั้นค่อยๆ หายไป จนดูเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน บนเกาะตูเล่อก็กลับมาสงบอีกครั้ง เพียงแต่ยังมีคนบางคนยังคงวิเคราะห์กันอยู่

เสวี่ยหยาถอนสายตากลับ มองไปทางชิงฝูที่อยู่ไม่ไกลออกไป

เมื่อเห็นสายตากระจ่างของนางมองมา นั่นก็ทำเอาชิงฝูชะงักไป ตื่นขึ้นมาจากอาการใจลอย

เขาหลุบตาลง ค่อยๆ ก้มหน้าทำความเคารพเสวี่ยหยา

“มีเรื่องอะไร?” เสวี่ยหยาเอ่ยถาม

นํ้าเสียงของนางดูเรียบเฉย กังวาน ดุจดังเสียงสวรรค์ ชิงฝูค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองไปที่นาง มองใบหน้าที่งดงามไร้ที่เปรียบของนาง ในที่สุดก็เอ่ยขึ้นมา “อีกไม่นานองค์หญิงก็จะจากเกาะตูเล่อไปใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

เสวี่ยหยามองไปยังสายตาที่ดูครุ่นคิดของเขา

ความสนใจของนาง ทำให้หัวใจของชิงฝูเต้นรัวดุจกลอง กลัวว่าหัวใจของตัวเองจะเผย ‘ความคิดอันมิควร’ ออกไปทางแววตา

“ใช่แล้ว ต้องไปแล้ว”

ในตอนที่ชิงฝูกำลังจะควบคุมไม่ไหวนั้น เสวี่ยหยาก็เอ่ยปากออกมา

นางถอนสายตาตรวจตรากลับ แต่ก็ไม่ได้ละสายตาจากร่างของเขา

คำตอบ ทำให้หัวใจของชิงฝูรู้สึกเจ็บปวด แม้ว่าเขาจะรู้คำตอบอยู่ก่อนแล้ว แต่ในตอนที่ได้ยินกับหูตนเอง ก็ยังคงทำให้เขายากที่จะรับได้อยู่ดี

“เช่นนั้น…องค์หญิงจะยังกลับมาอีกหรือไม่?” ชิงฝูเกิดรอยยิ้มที่ดูกระดากใจ เอ่ยถามเสียงเบา

คำถามนี้ทำให้เสวี่ยหยานิ่งเงียบไป เพราะว่านางไม่รู้ ดังนั้นจึงไม่สามารถให้คำตอบออกมาได้ ขอเพียงนางก้าวออกจากเกาะตูเล่อ ทุกอย่างของนางก็เป็นของมู่ชิงเกอ ความเป็นตัวเองของนางก็จะไม่มีอีกต่อไป

“เช่นนั้นองค์หญิงนำข้าไปด้วยได้หรือไม่?” ชิงฝูเอ่ยถ้อยคำในใจของตนเองออกมาด้วยท่าทางกระวนกระวาย

คำพูดพอหลุดออกไปแล้วเขาก็รู้สึกเสียดายแล้ว

เขาไม่ควรจะไปหวังในสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเอง แต่ในเมื่อได้หลุดปากพูดออกไปแล้ว เช่นนั้นเขาก็ถือเอาความหวังนี้ไว้ เขามองเสวี่ยหยา รอคำตอบจากนาง

แต่ว่า หลังจากเสวี่ยหยาเงียบแล้ว ก็ส่ายหน้าให้เขา “ไม่ได้”

นางเป็นเพียงคนที่ฝืนขอไปด้วย จะพาคนอื่นไปด้วยอีกได้อย่างไร?

ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เสวี่ยหยาได้ชัดเจนดีถึงสถานะของตนเองแล้ว

เรื่องที่นางไม่สมควรทำ ไม่สามารถทำ นางก็จะไม่ทำเป็นอันขาด!

เพราะนางรู้ดีว่าสำหรับมู่ชิงเกอแล้ว นางเป็นเพียงแค่แผนที่แผนหนึ่งเท่านั้น อีกอย่างแผนที่ใบนี้ก็ยังไม่สมบูรณ์อีก จำเป็นต้องรอแผนที่อีกแผ่นปรากฏถึงจะสามารถใช้ประโยชน์ได้

คำตอบของเสวี่ยหยา ทำให้ชิงฝูผิดหวัง เขามองเสวี่ยหยาแวบหนึ่ง ในที่สุดก็หันกายจากไป หลังจากชิงฝูจากไปแล้ว เสวี่ยหยาก็ยังคงยืนอยู่บนแท่นบันได มองไปยังท้องฟ้า พูดในใจกับตัวเองว่า “โลกภายนอกเกาะตูเล่อ ภายนอกทะเลแห่งทุกข์นั้นเป็นอย่างไรกัน?”

ขอบเตียง ผ้าม่านเป็นชั้นๆ รอบเตียงก็ค่อยๆ สงบลง

ดูเหมือนว่าแรงลมที่โบกพัดพวกมันจนปลิวสะบัดได้หายไปแล้ว

บนเตียง มีคนนั่งสมาธิอยู่ ในมือคู่นั้นของนางมีกองสีเทาของบางสิ่งอยู่

นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาที่สดใสสะท้อนให้เห็นความคมและส่องแสงวาววาบ เหมือนดังเป็นแสงนำทางไปข้างหน้า

พริบตาเดียว ผ้าม่านที่อยู่ตรงหน้าของนางก็กลายเป็นขี้เถ้า ตกลงไปที่พื้น

จากนั้น นางก็เก็บแสงในนัยน์ตาของนางกลับ

มู่ชิงเกอก้มหัวลง มองกองสีเทาบนมือของตนเอง

แก่นอสูรฉวีอวี้ที่เคยอยู่ในมือนางนั้นไม่เจอแล้ว แทนที่ด้วยขี้เถ้าสีเทาในมือ

พลังจิตที่มีอยู่ในแก่นอสูรฉวีอวี้ได้ถูกนางดูดจนหมดแล้ว กลายเป็นพลังจิตของตนเอง เติมเต็มร่างกายและเส้นชีพจรของนาง บีบอัดเข้าไปในจุดตันเถียนของนางหลายร้อยเท่า

มู่ชิงเกอสัมผัสได้บ้างแล้วถึงขอบเขตที่ตนเองสามารถข้ามระดับไปได้ แต่ไม่ว่านางจะพยายามแค่ไหน ก็ไม่อาจจะข้ามระดับสุดท้ายนั้นได้อยู่ดี นางสะบัดมือ ขี้เถ้าในมือสลายตกลง พร้อมกับพึมพำเอ่ยขึ้น “ดูท่า หากไม่ออกจากทะเลแห่งทุกข์ก็คงไม่สามารถข้ามระดับได้แล้ว”

ในตอนที่มู่ชิงเกอผลักประตูออกมานั้น ก็มองเห็นโย่วเหอและฮวาเยวี่ยที่เฝ้าอยู่หน้าประตูมาโดยตลอด

ทั้งสองคนแยกกันนั่งสมาธิอยู่ทางด้านซ้ายและขวา หลับตาฝึกปรือ

ดูท่าในช่วงเวลาที่พวกนางเฝ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ละทิ้งการฝึกฝนของตนเอง

มู่ชิงเกอยิ้มๆ ไม่ได้ขัดขวางการฝึกปรือของพวกนาง แต่กลับคุ้มครองพวกนางแทน

รอจนโย่วเหอและฮวาเยวี่ยตื่นขึ้นมาจากกการฝึกปรือ เผชิญหน้ากับดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของมู่ชิงเกอแล้ว ทั้งสองคนก็ยืนขึ้นอย่างดีใจ ล้อมมู่ชิงเกอเข้ามา จากซ้ายขวา ร้องขึ้นว่า “คุณชาย!”

มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ กวาดตามองนางทั้งสอง แสดงความยินดีกับพวกนางว่า “อืม ไม่เลว! พัฒนาขึ้นอีกแล้ว”

“ขอบคุณคุณชายที่ชม!” ฮวาเยวี่ยย่อตัวลงขอบคุณมู่ชิงเกออย่างขี้เล่น

โย่วเหอกลับมีนิสัยเก็บตัวหน่อย เพียงแต่ถามอย่างเคยตัวว่า “คุณชายหิวหรือยัง บ่าวจะไปเตรียมอาหารให้ท่าน”

“ไม่รีบ ข้าเก็บตัวมานานแค่ไหนแล้ว?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

“ประมาณสองเดือนเจ้าค่ะ” โย่วเหอเอ่ย

นานขนาดนั้นเชียว!

มู่ชิงเกอแปลกใจเล็กน้อย รู้สึกว่า ‘การฝึกฝนช่างทำให้คนลืมตัวเสียจริง!’ ตัวนางเองรู้สึกเพียงว่าฝึกปรือหนึ่งคืน แต่ตอนที่ตื่นขึ้นมา ก็ได้ผ่านไปสองเดือนแล้ว

นางพูดในใจ ชักช้าอยู่บนเกาะตูเล่อมานานเกินไปแล้ว ต้องเริ่มเดินทางต่อโดยเร็ว

หลังจากตัดสินใจในใจแล้วนางก็สั่งการกับโย่วเหอและฮวาเยวี่ยว่า “ไปหาพวกมั่วหยาง บอกให้พวกเขาเตรียมตัว พรุ่งนี้เช้าเริ่มเดินทาง”

“เจ้าค่ะ คุณชาย”

“เจ้าค่ะ คุณชาย!”

หลังจากคุณชายตื่นขึ้นมา ก็ต้องจากไป จุดๆ นี้พวกนางคาดการณ์ได้อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้แปลกใจอะไร

หลังจากทั้งสองคนออกจากสถานที่ที่มู่ชิงเกออยู่แล้ว ก็ มุงไปทางสถานที่ที่องครักษ์เขี้ยวมังกรอยู่

ส่วนตอนที่พวกนางเพิ่งจะจากไปได้ไม่นาน เสวี่ยหยาก็ปรากฏตัวเข้าในสายตาของมู่ชิงเกอ

“เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้ากำลังคิดจะไปพบบิดามารดาของเจ้าพอดี” มู่ชิงเกอมองเสวี่ยหยาแล้วเอ่ย

“เช่นนั้นเสวี่ยหยาจะนำนายน้อยไป” เสวี่ยหยาหลุบตาลงเอ่ย

มู่ชิงเกอเดินมาทางนาง เมื่อถึงข้างกายนางแล้ว ก็ได้เอ่ยขึ้นว่า “ที่จริงเจ้าไม่จำเป็นต้องทำตัวตํ่าต้อยต่อหน้าข้า เจ้าเคยเป็นอย่างไร ต่อไปก็ทำตัวเช่นนั้นต่อไปเถิด”

พูดแล้ว นางก็ก้าวเท้ายาวๆ เดินผ่านเสวี่ยหยาไป เสวี่ยหยาชะงัก หลังจากครุ่นคิดถึงคำพูดของมู่ชิงเกอแล้ว นางก็มีความสับสนเล็กน้อยไล่ตามเขาไป

เมื่อตามมู่ชิงเกอทันแล้ว นางก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่นำทางไป นำมู่ชิงเกอไปที่ที่ท่านอ๋องและพระชายาอยู่

“นายน้อย! ยินดีด้วยที่พลังฝึกปรือก้าวหน้า!”

เพียงแค่พบมู่ชิงเกอ ท่านอ๋องก็เข้ามาต้อนรับในทันที พระชายาพอมองเห็นเสวี่ยหยามากับมู่ชิงเกอ หว่างคิ้วก็แฝงไว้ด้วยความยินดี มู่ชิงเกอขี้เกียจที่จะเกรงใจกันไปมากับพวกเขา จึงเอ่ยกับท่านอ๋องกับพระชายาตรงๆ เลยว่า “ข้ามาบอกพวก เจ้าว่า พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปแล้ว”

ท่านอ๋องกับพระชายาไม่ได้ตกใจมากเกินไป หลังจากมู่ชิงเกอเอ่ยออกมาแล้ว ก็เอ่ยกับนางว่า “พวกเราได้เตรียมทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว ข้าวของที่จำเป็นต่อการ ดำรงชีวิตก็ล้วนขนขึ้นไปไว้บนเรือของนายน้อยเรียบร้อยแล้ว ยังมี…”

ท่านอ๋องหยุดครู่หนึ่ง หยิบแผนที่หนังสัตว์อสูรออกมาจากหน้าอกแผ่นหนึ่ง สองมือมอบให้แก่มู่ชิงเกอ “นายน้อย นี่เป็นแผนที่โลกแห่งยุคกลางฝั่งทิศใต้ ออก จากทะเลแห่งทุกข์ก็คือโลกแห่งยุคกลางเขตภาคใต้ เชื่อว่าแผนที่คงจะสามารถช่วยนายน้อยได้”

แผนที่โลกแห่งยุคกลางเขตภาคใต้!

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น รับแผนที่มา นางไม่ได้ไปถามว่าท่านอ๋องได้แผนที่นี้มาได้อย่างไร ถึงอย่างไรพวกเขาเผ่าอี๋ก็ต้องมีวิธีของเผ่าอี๋ ตัวนางเองก็ยังมีแผนที่โลกแห่งยุคกลางเขตภาคตะวันตกที่ได้จากหานฉายไฉ่เลย

ใช่แล้ว!

ตอนนั้นคนที่มีแผนที่ต้องการยาระดับสมบัติ โอสถจักรพรรดิ จากหอสรรพสิ่งเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน หานฉายไฉ่ก็ได้เอ่ยตอบตกลงแทนนางไปแล้ว บอกว่าภายในสามปีจะส่งมอบโอสถจักรพรรดิให้

พริบตาเดียว ก็ห่างจากเวลานัดหมายสามปีไม่ไกลแล้ว ยาระดับสมบัติในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนาง แต่หลังจากเข้าสู่โลกแห่งยุคกลาง หลังจากนางแก้ไขปัญหาเรื่องของตระกูลเล่อได้แล้ว ถึงจะสามารถหลอมโอสถจักรพรรดิออกมาได้ แล้วก็ค่อยส่งมอบให้หอสรรพสิ่งในโลกแห่งยุคกลาง ทำการแลกเปลี่ยนให้สำเร็จ

สายตาของมู่ชิงเกอมองไปยังแผนที่ในมือ

ส่วนบนของแผนที่เขียนไว้ว่า ‘เขตภาคใต้’ บนแผนที่แบ่งแยกเป็นเมืองต่างๆ เต็มไปหมดทั้งยังมีสัญลักษณ์ปลีกย่อย เมื่อดูแผนที่แล้ว มู่ชิงเกอก็รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของเขตภาคใต้

นี่เป็นเพียงแต่เขตภาคใต้เท่านั้น!

ถ้าหากนับเอาทั้งโลกแห่งยุคกลาง…ก็เหมือนกับหลินชวนก็ยังเทียบไม่ได้

กวาดตามองแผนที่แวบหนึ่ง มู่ชิงเกอก็เก็บเข้ามา นางมองไปทางท่านอ๋อง เห็นเพียงแต่เขายิ้มมาให้

ในใจยิ้มเย็น มู่ชิงเกอเอ่ยว่า “ในเมื่อจัดเตรียมเรียบร้อยดีแล้ว เช่นนั้นข้าก็กลับก่อนล่ะ”

พูดแล้วนางก็หันกายจากไป

นางไปแล้ว เสวี่ยหยากลับยังไม่ได้จากไป

พระชายากับท่านอ๋องมองมาทางเสวี่ยหยา ท่านอ๋องมีท่าทางที่เรียบเฉย ไม่ได้เผยร่องรอยของความลังเลหรือเสียใจออกมา ท่านอ๋องเอ่ยกับนางว่า “เสวี่ยหยา เจ้ารู้ชะตาชีวิตของตนเองหรือไม่?”

“เสวี่ยหยารู้ดี” เสวี่ยหยาพยักหน้าเบาๆ

ท่านอ๋องพยักหน้าอย่างพอใจ เอ่ยขึ้นอีกว่า “ถึงแม้ว่าเจ้าจะรู้แล้ว ข้าก็ยังคงต้องขอเตือนเจ้าอีกรอบ เจ้าเป็นบ่าวของนายน้อย เป็นผู้คุ้มครองของนายน้อย นี่ไม่ผิด แต่ว่าในขณะเดียวกันเจ้าก็ยังเป็นผู้ชี้นำ ทำหน้าที่แทนพวกเราทุกคน ดูว่านายน้อยเป็นผู้สืบทอดที่เหมาะสมหรือไม่ ในขณะเดียวกันในตอนที่ใกล้ชิดกับนายน้อยคนอื่นนั้น เจ้าก็ต้องสุขุมและมีสติ ทำการเปรียบเหล่านายน้อยทุกคน รู้ให้แจ่มแจ้งถึงข้อมูลของแต่ละคน”

เสวี่ยหยาขบริมฝีปาก พยักหน้า

หลังจากที่ท่านอ๋องพูดจบ พระชายาก็ลากเสวี่ยหยาออกไปอีกทาง พร้อมกับพูดว่า “ลูกแม่ แม่จะไปเก็บของพร้อมกันกับเจ้า”

หลังจากออกจากครรลองสายตาของท่านอ๋องแล้ว พระชายาถึงได้พูดกับเสวี่ยหยาว่า “พวกของบิดาเจ้ามีความคิดซับซ้อนเกินไป เสวี่ยหยาเจ้ารู้ไว้ก็พอว่าแม่ต้องการให้เจ้ามีความสุข ตอนนี้นายน้อยไม่ได้ต้องการเจ้า นั้นดีแล้ว อย่างน้อยก็สามารถทำให้เจ้าชัดเจนในจิตใจของตัวเองหลังจากที่ใกล้ชิดกับเขา หากหลังจากที่เจ้ากับนายน้อยใกล้ชิดกันแล้ว เกิดความรัก ก็ไม่ต้องไปสนใจเรื่องอะไรอีก มอบใจทั้งใจให้กับเขา สนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ก็พอแล้ว หากว่าไม่หวั่นไหวหรือว่าเกิดชอบพอนายน้อยคนอื่น…” พระชายาไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ว่าดวงตาของนางเผยความคิดที่อยู่ในใจออกมา เสวี่ยหยาได้ยินมาถึงตรงนี้แล้วในใจก็รู้สึกเยียบเย็นขึ้นมา

นางรู้ดี ความเห็นแก่ตัวนั้นใครๆ ก็มี แต่ก็คิดไม่ถึงว่ามารดาของตนเองจะมีความกล้าถึงขนาดนี้!

แน่นอนว่าตระกูลมู่ไม่ได้มีนายน้อยแค่คนเดียว สมควรจะพูดว่า คนที่ถูกเลือก ล้วนแต่เป็นผู้สมัครเป็นนายน้อย เป็นผู้สืบทอดของตระกูลมู่

กฎที่ตระกูลมู่ตราเอาไว้ เป็นเกมการฆ่าที่โหดร้าย และผู้ที่ชนะคนสุดท้ายถึงจะได้เป็นนายน้อยที่แท้จริง! ผู้สืบทอดคนอื่นๆ ต้องตายหรือไม่ก็ต้องรับใช้นายน้อยที่แท้จริง

กฎนั้นดูโหดร้าย เสวี่ยหยาก็คิดไม่ออกว่าตั้งแต่เริ่มต้นนั้นมีสถานการณ์ที่โหดร้ายเช่นไร ถึงได้บีบบังคับให้ตระกูลมู่ต้องตั้งกฎเช่นนี้ขึ้นมา!

แน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ก็ล้วนแต่เพื่อความรุ่งเรืองของตระกูลมู่ เมื่ออยู่ต่อหน้าภาพรวมอันกว้างใหญ่เช่นนี้ทุกอย่างก็ล้วนแต่สามารถมองข้ามไปได้

ก็เหมือนกับเหล่าผู้สืบทอดที่ไม่รู้อะไร แต่เดิมพวกเขาก็คิดว่าตนเองเป็นผู้ถูกเลือก คิดไม่ถึงว่า ที่แท้พวกเขาก็เป็นเพียงหนอนที่ถูกใส่ลงไปในถ้วยเพื่อที่จะเลือกตัวที่แข็งแกร่งที่สุด ที่เหลือล้วนแต่เป็นก้อนหินให้เหยียบขึ้นมา

ส่วนเผ่าอี๋ทั้งหมด ก็จะจงรักภัคดีต่อนายน้อยที่แท้จริงเท่านั้น

ในตอนก่อนที่ผลลัพธ์จะปรากฏออกมา พวกเขาก็จะสนับสนุนการแข่งขันอันโหดร้ายของพวกเขา แต่ว่า ในตอนที่นายน้อยที่แท้จริงปรากฏ ผู้ถูกเลือกทุกคนพ่ายแพ้ หรือตายไปแล้ว พวกเขาก็จะยินยอมพร้อมใจอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนายน้อยที่แท้จริง!

“เสวี่ยหยา เจ้าจำคำพูดของข้าได้หรือไม่?” ความเงียบของเสวี่ยหยา ทำให้พระชายาเอ่ยขึ้น

เสวี่ยหยาได้สติ มองไปในดวงตาของมารดา นางเข้าใจในความจริงจังในนั้น

ในที่สุด ภายใต้สายตาจริงจังคู่นั้น นางก็พยักหน้าขึ้น

พระชายายิ้ม เอ่ยกับนางว่า “เด็กดีของข้า หลังออกไปจากเกาะตูเล่อแล้ว ต้องรู้จักดูแลตนเอง”

แสงสว่างของวันๆ หนึ่ง ค่อยๆ ผ่านไป ในที่สุดก็สามารถเริ่มเดินทางได้อีกครั้ง ทำให้ในใจของมู่ชิงเกอเกิดความตื่นเต้นขึ้นมา

ถ้าหากว่าข่าวสารที่เผ่าอี๋ให้มานั้นไม่ผิด เดินทางไปในทะเลแห่งทุกข์ประมาณสามเดือนก็จะสามารถมองเห็นชุมชนของโลกแห่งยุคกลางได้แล้ว

“โลกแห่งยุคกลาง…” มู่ชิงเกอพึมพำออกมา มือของนางลูบเบาๆ บนกระดิ่งที่หว่างเอว ทันใดนั้น กระดิ่งก็ดังออกมาเบาๆ หลังจากที่มู่ชิงเกอได้ยินถึงเสียงของกระดิ่งแล้ว มุมปากก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ร่างกายเปลี่ยนเป็นรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา นางเขย่ากระดิ่งเบาๆ อย่างขี้เล่น เสียงกระดิ่งกังวานและชัดเจน เสียงของตัวกระดิ่งดังสะท้อนออกไป ลอยไปอย่างเสรี ข้ามผ่านกาลเวลาที่แตกต่าง เข้าไปในโลกที่ดูพร่ามัวแห่งหนึ่ง

‘ติ๊ง—–!’

เสียงสดใสของกระดิ่งดังขึ้นในความพร่ามัว ขับไล่หมอกควันตรงหน้าออก เผยให้เห็นแสงสว่างที่อยู่ด้านใน ซือมั่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ขนาดมหึมาที่ดูทรงอำนาจและน่าเกรงขาม ชุดสีขาวบนร่างถูกแทนที่ด้วยสีดำทมิฬ ผมยาวถูกมัดรวบสูงขึ้น ครอบด้วยมงกุฎที่ดูวิจิตรตระการตา

ใบหน้าของเขายังคงสมบูรณ์แบบราวกับมีทิวทัศน์ที่งดงามมากที่สุดบนโลกถูกรวบรวมเอาไว้ไร้ที่ติ ทำให้คนอยากจะพินิจพิเคราะห์ให้ละเอียด

บนมือของเขา มีกระดิ่งสีทองอยู่ ปลายด้ายของกระดิ่งถูกผูกติดไว้ที่เอว

เขามองกระดิ่งในมือ หว่างคิ้วเผยรอยยิ้มอ่อนโยนที่เหล่าลูกน้องไม่เคยพบเห็นออกมา

หลังจากเสียงกระดิ่งหายไปแล้ว เขาก็รออยู่อย่างยาวนานก็ไม่ได้มีเสียงอีก

ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้เขาไม่พอใจ เขากำกระดิ่งในมือ ก่อนจะเขย่าอย่างขุ่นข้องไปสองครั้ง เสียงกระดิ่งลอยออกไป สะท้อนตามเส้นทางเดิม เข้าไปยังกระดิ่งที่หว่างเอวของมู่ชิงเกอ ทำให้กระดิ่งของนางสั่นเบาๆ เกิดเป็นเสียงกระดิ่งอันสดใสสองครั้ง

เสียงกระดิ่งสะท้อนไปที่ข้างหูของมู่ชิงเกอ มุมปากของนางโค้งขึ้นเบาๆ หว่างคิ้วแฝงความได้ใจเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้สนใจกระดิ่งอีก ไม่ส่งเสียงกลับ

ซือมั่วที่จ้องกระดิ่งในมือรอคอยอย่างยาวนานในที่สุด ใบหน้าของเขาก็กลายเป็นขึงขังท่าทางระอา เขาพึมพำเบาๆ “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ซุกซนเกินไปแล้ว เพิ่งจะจากไปไม่นานก็ไม่คิดถึงข้าแล้ว? ดูท่าข้าคงต้องหาเวลาว่างไปทำให้เสี่ยวเกอเอ๋อร์ลืมข้าไม่ได้ตลอดกาลถึงจะถูก!”

บนเกลียวคลื่นของทะเลแห่งความทุกข์ เรือยักษ์ของมู่ชิงเกอ ตั้งแต่แล่นออกจากแคว้นกู่วู่ของหลินชวน ไม่ทันรู้ตัวก็ล่องลอยอยู่ในทะเลแห่งทุกข์มาจนเกือบจะครบสิบเดือนแล้ว

หลังจากชุมชนของเกาะตูเล่อหายไปจากสายตาของทุกคนนั้น พวกเขาก็ได้เริ่มเดินทางใหม่อีกครั้ง

เพียงแต่ว่า ตอนนี้บนเรือมีคนเพิ่มมาด้วยหนึ่งคน นั่นก็คือองค์หญิงแห่งเกาะตูเล่อ เสวี่ยหยา

นางขึ้นมาบนเรือในสถานะบ่าวของมู่ชิงเกอ

ออกจากเกาะตูเล่อแล้ว นางก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด ที่จะโศกเศร้าโดดเดี่ยว แต่นางยังคงความเย็นชา แยกตัวเองออกนอกจากความเศร้าที่เข้ามารบกวน

นางยังคงเป็นองค์หญิงเสวี่ยหยาที่สูงส่ง เย็นเยียบดุจพระจันทร์เช่นเดิม

ดวงตาคู่นั้น ยังคงกระจ่างชัด ดึงดูดคนที่มองให้หลงใหลได้เช่นเดิม

เสวี่ยหยายืนอยู่บนดาดฟ้าส่วนหัวเรือ ยืนหยัดรับลม สายลมพัดกระโปรงของนางพลิ้วขึ้น พัดชายผ้าสะบัดไปมา ผมของนางยังคงถูกม้วนขึ้นสูง มีเพียงแต่ปิ่นปักผมสีทองถูกเปลี่ยนเป็นสีเงินที่ดูด้อยกว่า

แต่นั่นก็ไม่ได้ลดทอนความงดงามของนางลงเลย

ในมือของนาง มีกระบี่สีฟ้านํ้าแข็งอยู่เล่มหนึ่ง

บนฝักตกแต่งอย่างสวยงาม ฝังอัญมณีที่มีสีสันงดงามและบริสุทธิ์

ในตอนที่นางนำกระบี่เล่มนี้ขึ้นมาบนเรือนั้น มู่ชิงเกอก็รับรู้ในทันทีว่ากระบี่เล่มนี้เป็นยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ ระดับไม่ตํ่าไปกว่าทวนหลิงหลงของนางเลย

ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะชิ้นนี้ทำให้มู่ชิงเกอมองระดับความรํ่ารวยสมบัติของเผ่าอี๋ใหม่อีกครั้ง

แน่นอนว่า นอกจากเสวี่ยหยาแล้ว ท่านอ๋องก็ยังให้คนแบกหีบหลายหีบขึ้นมาบนเรือ

หลังจากเปิดออกมาแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้พบว่าด้านในนั้นก็เป็นหินที่มีพลังจิต เพียงแต่หินเหล่านี้มีพลังเก็บสะสมเยอะไม่สู้หินที่นางนำออกมาจากช่องว่างแห่งการทดสอบ

หลังจากนั้น ท่านอ๋องถึงได้บอกแก่นางว่า หินเหล่านี้เป็นศิลาวิญญาณชั้นตํ่า ภายในโลกแห่งยุคกลางใช้เป็นเงินตราแลกเปลี่ยน และก็สามารถใช้ฝึกปรือได้ เพียงแต่ ผลลัพธ์ไม่ค่อยดี

นอกจากศิลาวิญญาณชั้นตํ่าหลายสิบหีบแล้ว ก็ยังมี ห้าหีบที่บรรจุศิลาวิญญาณชั้นกลาง สามหีบที่บรรจุศิลาวิญญาณชั้นสูง และหีบเล็กใบหนึ่งที่บรรจุศิลา วิญญาณชั้นยอด

ตามที่ท่านอ๋องพูด หินเหล่านี้เป็นค่าใช้จ่ายให้กับนางในโลกแห่งยุคกลาง

ท่านอ๋องบอกนางว่า ภายในโลกแห่งยุคกลาง ศิลาวิญญาณชั้นตํ่าหนึ่งร้อยก้อน*สามารถแลกศิลาวิญญาณชั้นกลางได้หนึ่งก้อน ศิลาวิญญาณชั้นกลางสิบก้อนแลกศิลาวิญญาณชั้นสูงได้หนึ่งก้อน ศิลาวิญญาณชั้นสูงสิบก้อนแลกศิลาวิญญาณชั้นยอดได้หนึ่งก้อน และตามปกติก็หามาได้ยากมาก

(ศิลาวิญญาณชั้นต่ำ 100 ก้อน = ศิลาวิญญาณชั้นกลาง 1 ก้อน

ศิลาวิญญาณชั้นกลาง 10 ก้อน = ศิลาวิญญาณชั้นสูง 1 ก้อน

ศิลาวิญญาณชั้นสูง 10 ก้อน = ศิลาวิญญาณชั้นยอด 1 ก้อน

ศิลาวิญญาณชั้นต่ำ 10,000 ก้อน = ศิลาวิญญาณชั้นยอด 1 ก้อน)

คำนวณดูแล้ว ศิลาวิญญาณชั้นต่ำหนึ่งหมื่นก้อนถึงสามารถแลกศิลาวิญญาณชั้นยอดได้หนึ่งก้อน ส่วนทรัพย์สมบัติที่มู่ชิงเกอนำออกมาจากหลินชวนนั้น อยู่ในโลกแห่งยุคกลางก็เพียงแต่สามารถใช้กินข้าว จองห้อง จากนั้นก็แลกเปลี่ยนเป็นศิลาวิญญาณชั้นต่ำ ถ้าหากต้องการร่วมการประมูลหรือการซื้อขายขนาดใหญ่โดยทั่วไปจะต้องใช้ศิลาวิญญาณเป็นตัวแลกเปลี่ยน ยากที่จะปฏิเสธความเมตตาจากท่านอ๋อง มู่ชิงเกอแน่นอนว่าไม่ปฏิเสธ

หลังจากออกจากเกาะตูเล่อแล้ว นางก็ลอบพิจารณาศิลาวิญญาณแต่ละหีบ

ในตอนที่นางเดินไปถึงหีบเล็กของศิลาวิญญาณชั้นยอดนั้น ก็ขมวดคิ้วขึ้น ไอพลังที่ศิลาวิญญาณเหล่านี้กระจายออกมา ดูเหมือนกับก้อนหินที่นางนำออกมาจากช่องว่างแห่งการทดสอบไม่มีผิด

มู่ชิงเกอหยิบศิลาวิญญาณชั้นยอดจากหีบขึ้นมาหนึ่งก้อน พิจารณาไปรอบหนึ่ง แล้วก็เอาศิลาวิญญาณที่เอาออกมาจากช่องว่างแห่งการทดสอบมาเทียบ

ความยินดีปรากฏขึ้น ทำให้นางยิ้มออกมา

“ช่างเป็นความเหนือความคาดหมายที่น่ายินดี!” มู่ชิงเกอพูดกับตัวเอง จากศิลาวิญญาณชั้นยอดที่ท่านอ๋องมอบให้ทำให้นางแน่ใจแล้วว่า กองศิลาวิญญาณที่นางนำออกมาจากช่องว่างแห่งการทดสอบนั้นล้วนแต่เป็นศิลาวิญญาณชั้นยอด

ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็มีความรู้สึกรวยภายในคืนเดียวขึ้นมา

มุมปากของนางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ทำให้โย่วเหอและฮวาเยวี่ยที่อยู่ข้างกายของนางมองด้วยความสงสัย

“คุณชาย ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” ฮวาเยวี่ยอดไม่ได้ที่จะถามออกไป

มู่ชิงเกอยิ้มและเอ่ยว่า “ไม่เป็นอะไร อีกทั้งสบายดีมากเชียวล่ะ!” นางเพียงแต่เสียใจ เสียใจที่ไม่ได้เอาออกมาเยอะกว่านี้

“โย่วเหอ ฮวาเยวี่ย” มู่ชิงเกอเรียกคนทั้งสอง “เจ้าเอาศิลาวิญญาณพวกนี้แบ่งเป็นกลุ่มๆ ศิลาวิญญาณชั้นตํ่า 100  ศิลาวิญญาณชั้นกลาง 5 ก้อน ศิลาวิญญาณชั้นสูง 3 ก้อนรวมไว้เป็นหนึ่งถุง แบ่งให้ทุกๆ คน”

ศิลาวิญญาณชั้นยอด บนร่างขององครักษ์เขี้ยวมังกรแต่เดิมก็มีอยู่แล้ว ล้วนแต่นำออกมาจากช่องว่างแห่งการทดสอบ

เพียงแต่ว่า แต่ก่อนไม่รู้คุณค่า จึงนำมันมาใช้ฝึกปรือฝีมือเท่านั้น

นำศิลาวิญญาณออกแบ่งเพราะมู่ชิงเกอไม่อยากให้คนของตนเอง เดินทางอย่างยาจกเกินไป มีศิลาวิญญาณติดกายบ้าง หากต้องการใช้แล้ว ก็จะได้ไม่ต้องอับอาย จนเกินไป

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยรีบจัดการตามที่มู่ชิงเกอสั่งในทันที ในตอนนี้ไป๋สี่ก็มาที่ห้องพัก พิงกรอบประตูท่าทางเกียจคร้าน สองมือกอดอก มองมู่ชิงเกออย่างพิงพอใจที่จะได้เห็นเรื่องวุ่นวาย

มู่ชิงเกอมองนาง ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

ดูเหมือนว่า นางไม่เข้าใจว่าความพึงพอใจที่จะได้เห็นเรื่องวุ่นวายของไป๋สี่นั้นมาจากไหน

เดินไปทางประตู มู่ชิงเกอเอ่ยว่า “ไม่มีใครเคยพูดเลยหรือว่ารอยยิ้มของเจ้านั้นน่าหมั่นไส้มาก!”

ไป๋สี่ยังคงยิ้มไปทางมู่ชิงเกอ แขนนุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูกของนางกอดไปยังแขนของมู่ชิงเกอ พิงไปที่บนบ่าของนาง เอ่ยด้วยเสียงออดอ้อนว่า “เสวี่ยหยานางนั้น เจ้าคิดจะจัดการกับนางอย่างไร?”

“อะไรคือจัดการอย่างไร?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น

ไป๋สี่กลับยิ้มขึ้นมา “แม้แต่ข้าที่เป็นงูยังเข้าใจเลย เจ้ายังมาแกล้งโง่อีกหรือ?” ไป๋สี่ชี้ไปที่แผ่นหลังของเสวี่ยหยาที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าของเรือ แล้วหัวเราะเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “นางเป็นผู้หญิงของเจ้านะ! ”

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุกขึ้น ไม่ได้ไปพูดอธิบายอะไร แต่ว่านับจากผ่านคืนนั้นไปแล้ว นางเชื่อว่าเสวี่ยหยาต้องรู้แล้วว่านางสำหรับตนแล้วเป็นอะไร

“ชิงเกอ ข้าก็อยากเป็นผู้หญิงของเจ้าบ้าง!” อยู่ดีๆ ไป๋สี่ก็กอดแขนของมู่ชิงเกอแน่นขึ้น เอ่ยอย่างออดอ้อน

มู่ชิงเกอกลอกตาขาวขึ้น ยิ้มเย็นเอ่ยกับนางว่า “เอาละ! คืนนี้มารับใช้ที่ห้อง”

ไป๋สี่ยิ้มอย่างหว่านเสน่ห์ “ยินดีอย่างยิ่ง”

มู่ชิงเกอสลัดมือของไป๋สี่ออก เดินไปหาเสวี่ยหยาที่บนดาดฟ้า

เมื่อเดินเข้าไปใกล้แล้ว นางถึงมองไปยังกระบี่ของเสวี่ยหยาแล้วเอ่ยขึ้น “ถือยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะไปโลกแห่งยุคกลางเลยอย่างนั้นหรือ?”

“ได้ยินมาว่าถึงแม้ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะนั้นทุกคนในโลกแห่งยุคกลางไม่ได้มีกันทุกคน แต่ก็ไม่ได้แปลกอะไรที่จะพบเห็น” เสวี่ยหยาเอ่ยตอบ

มู่ชิงเกอรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าตนเองนั้นมีความรู้ที่น้อยไป

นางมองไปยังปลอกนิ้วของตนเอง นางยังคงคุ้นเคยที่จะให้ทวนหลิงหลงอยู่ในลักษณะนี้มากกว่า น่าจะดูดีกว่านางถือทวนเดินไปเดินมาในเมืองมาก

เสวี่ยหยาหันมองนาง

เรือนร่างของเสวี่ยหยานั้นถือว่าสูงมากแล้วในบรรดาผู้หญิง แต่เมือเทียบกับมู่ชิงเกอแล้วก็ยังดูเตี้ยกว่านางครึ่งศีรษะ

ขบริมฝีปาก สายตาของเสวี่ยหยามองลงไปยังกระบี่ในมือของตนเอง

ทันในนั้น เกิดแสงวาบสีฟ้า กระบี่ที่ดูงดงามดึงดูดสายตาก็กลายเป็นปิ่นปักผมที่เรียบง่ายให้เสวี่ยหยาหยิบไปปักบนผม

“บิดามารดาของข้าล้วนแต่หวังจะให้ข้าใช้รูปร่างหน้าตากำหนดฐานะบ่าวของตนเอง อย่างน้อยก็ต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าบ่าวคนอื่น พวกเขาบอกว่าบ่าวสำหรับเจ้า นายแล้วก็เป็นสถานะที่พิเศษ ไม่เพียงแต่เป็นบ่าว แต่หากข้าสามารถมีสถานะในใจของเจ้าได้ สำหรับพวกเขาแล้ว สำหรับทั้งเผ่าอี๋แล้วก็ล้วนแต่เป็นคุณไม่มีโทษ” เสวี่ยหยาเอ่ย จ้องมองดวงตาของมู่ชิงเกอ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอมีแต่ความเงียบสงบ ไม่ได้มีอะไรแปลกไปจากคำพูดของเสวี่ยหยา

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว เสวี่ยหยาถึงได้พูดต่อว่า “แต่จากที่ข้ามอง หากข้าคอยช่วยเหลือเจ้า สามารถช่วยเจ้าคิดแผนการได้ อาศัยความสามารถของตนเองทำให้เจ้ายอมรับ ก็สามารถนำพาความรุ่งเรืองมาให้แก่ตระกูลของข้าได้เช่นกัน”

นํ้าเสียงของนางจริงจังมาก ท่าทางก็ดูจริงจัง

มู่ชิงเกอมองนาง ผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงได้เผยรอยยิ้มออกมา “เจ้ามีความคิดที่ฉลาดกว่าบิดามารดาของเจ้าเสียอีก”

พูดจบแล้ว นางก็หันกายจากไป

เพิ่งจะเดินไปสองก้าว มู่ชิงเกอก็หยุดลง เอ่ยกับเสวี่ยหยาว่า “แผนที่บนร่างกายของเจ้า ข้าจะใช้วิธีพิเศษในการเอามันมา จะไม่ให้เจ้าต้องฝืนใจ ทำในสิ่งที่เจ้าไม่เต็มใจ”

พูดจบแล้ว นางก็ก้าวเท้าจากไป

เสวี่ยหยามองเงาแผ่นหลังของเขา ท่าทางเปลี่ยนเป็นสับสนซับซ้อนขึ้นมา

มีเสวี่ยหยานำทาง รวมกับความสามารถนำทางอัตโนมัติของเรือยักษ์ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะง่ายขึ้น

ทุกวันที่เรือยักษ์แล่นไปข้างหน้า เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกร ก็กลับไปสู่คืนวันแรกเริ่ม ทุกวันฝึกปรือฝีมือ ฝึกฝนตามวิธีต่างๆ และที่เพิ่มขึ้นมาคือเลี้ยงดูอสูรเวหาของตนเอง

ส่วนตัวมู่ชิงเกอเองก็ฝึกปรือต่อ เหนื่อยแล้วก็หลอมยา หลอมอาวุธ แล้วก็หมกมุ่นเรื่องการโจมตีกลุ่มขององครักษ์เขี้ยวมังกร เรื่องวิชาโจมตีแบบกลุ่มนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน ตอนนี้เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ใช้วิชาโจมตีแบบกลุ่มที่ มู่ชิงเกอคิดขึ้นมาฝึกฝนไปเงียบๆ และก็ยังมีฝึกความเข้าใจซึ่งกันและกันในกลุ่มเล็ก

ไป๋สี่กับหยินเฉินก็ยังคงทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์เช่นเดิม หยวนหยวนถูกมู่ชิงเกอเก็บกลับช่องว่างไปเป็นเพื่อนเหมิงเหมิง

เสวี่ยหยาที่อยู่บนเรือก็เงียบมาก เพียงแค่เฝ้าดูพรรคพวกของมู่ชิงเกออยู่เงียบๆ มีบางครั้งก็ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เวลาอีกส่วน นางก็ฝึกปรือฝึกฝน

วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ทะเลแห่งทุกข์ดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่ทุกคนก็รู้ดีว่า พวกเขาห่างจากโลกแห่งยุคกลางไม่ไกลแล้ว ยิ่งใกล้โลกยุคกลางเข้าไปมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งเร่งฝึกฝนฝีมือมากยิ่งขึ้น

พริบตาเดียว เวลาสามเดือนก็ผ่านไป

อสูรเวหาของเหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรก็เติบโตขึ้นมา สามารถพาพวกเขาบินขึ้นท้องฟ้าได้ช่วงสั้นๆ แล้ว เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ค่อยๆ รู้สึกชอบความรู้สึกที่อยู่บนท้องฟ้า การฝึกฝนในทุกๆ วันจึงเพิ่ม ‘การฝึกบิน’ ขึ้นมา

“ให้ทุกคนรออยู่บนดาดฟ้า” มู่ชิงเกอสั่งมั่วหยาง

รอจนนางออกมาจากห้องโดยสารนั้น องครักษ์เขี้ยวมังกร รวมถึงโย่วเหอ ฮวาเยวี่ย เสวี่ยหยาก็ล้วนยืนอยู่บนดาดฟ้าแล้ว

คนครบแล้ว มู่ชิงเกอก็สะบัดมือ บนดาดฟ้าก็พลัน

ปรากฏกองแผ่นป้ายที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบ

แผ่นป้ายเหล่านี้ก็ราวกับทำขึ้นจากหยกขาว ตลอดทั้งแผ่นมีสีขาวหิมะดูเหมือนกับเป็นเนื้อครีมที่กำลังสั่นกระเพื่อมไปมา

บนด้านหน้าของแผ่นป้าย สลักคำว่า ‘องครักษ์เขี้ยวมังกร’ เอาไว้แถวด้านบนว่างเปล่า มีเพียงแต่ลวดลายที่งดงามทั้งสี่มุม

“เอาไปคนละอัน” มู่ชิงเกอชี้ไปทางแผ่นป้ายแล้วเอ่ย

เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรหยิบเอาแผ่นป้ายมาไว้ในมือ สุดท้ายบนดาดฟ้าก็มีแผ่นป้ายเหลืออยู่สามอัน ด้านบนไม่ได้สลัก ‘องครักษ์เขี้ยวมังกร’ เอาไว้ แต่กลับสลักชื่อของพวกนางสามคนที่เหลือ

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น โย่วเหอและฮวาเยวี่ยก็รีบหยิบแผ่นป้ายที่เป็นของตนเองขึ้นมาในทันที

เสวี่ยหยาอยู่ในความสงสัยแต่ก็หยิบของตนเองขึ้นมา จากนั้น มู่ชิงเกอถึงได้เอ่ยว่า “ใส่พลังจิตของตนเองลงในแผ่นป้ายของพวกเจ้า”

ทุกคนทำตามที่นางพูด ส่งพลังจิตเข้าไปในแผ่นป้าย ไม่นาน บนด้านที่ว่างเปล่านั้น ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น บนป้ายของเหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ปรากฏชื่อของพวกเขาแต่ละคนขึ้นมา ส่วนบนแผ่นป้ายของพวกโย่วเหอสามคนก็เผยลวดลายที่ดูลึกลับออกมา

ทุกคนมองแผ่นป้ายในมืออย่างสงสัย แล้วก็พาเอาดวงตาที่สงสัยมองไปยังมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอยกมือขึ้นต่อหน้าของพวกเขา ป้ายหยกอันหนึ่งก็ตกลงมาจากมือนาง บนหยกมีสายห้อยไว้กับมือนาง “แผ่นป้ายนี้จะจดจำไอพลังของพวกเจ้า เพียงส่งพลัง จิตเข้าไป ก็สามารถรับรู้ได้แล้วว่าพวกเจ้ามีสภาพการณ์เป็นอย่างไร”

นางนิ่งครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อว่า “พูดอย่างจริงจังก็คือสามารถรู้ได้ว่าพวกเจ้าเป็นหรือตาย ถ้าหากว่าตาย ไอพลังก็จะหายไป สถานการณ์ภายในโลกแห่งยุคกลางจะเป็นอย่างไรนั้น พวกเราล้วนแต่ไม่รู้ ทุกอย่างล้วนเริ่มจากศูนย์ ประโยชน์ของแผ่นป้ายนี้ไม่ได้มีเพียงแต่รับรู้ว่าเป็นหรือตายเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ สื่อสารกันระหว่างพวกเราได้”

มู่ชิงเกอพูดแล้ว ก็เคาะป้ายหยกในมือของตนเองสามครั้ง ทันใดนั้นหยกในมือของคนอื่นๆ ก็เปล่งแสงขึ้นสามครั้ง มู่ชิงเกอเคาะอีกครั้ง ป้ายหยกในมือของทุกคน ก็ส่องแสงขึ้นอีกหนึ่งครั้ง

ฉากที่ดูแปลกประหลาดทำให้เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรล้วนแต่ตกตะลึง

มู่ชิงเกอพูดต่อว่า “แผ่นป้ายนี้พวกเจ้าต้องติดกายเอาไว้ ห้ามหายเด็ดขาด ต่อไป ข้าจะบอกพวกเจ้าว่าแสงสว่างแต่ละครั้งนั้นหมายถึงอะไร พวกเจ้าต้องใช้เวลาอันสั้นนี้ ทำความเข้าใจให้ได้ทั้งหมด ต่อไปหากออกไปปฏิบัติภารกิจ ก็ใช้แผ่นป้ายหยกติดต่อกันส่งข่าวสาร”

คำพูดของมู่ชิงเกอ ทำให้ดวงตาขององครักษ์เขี้ยวมังกรล้วนแต่เปล่งประกายออกมา

ทุกๆ คนล้วนแต่มองป้ายหยกในมือของตนเองอย่างพิจารณา เคาะๆ กันลองดู มองว่าป้ายหยกของคนอื่นๆ มีปฏิกิริยาอย่างไร

ความกระตือรือร้นของพวกเขา มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ไปขัด

เพียงแค่เดินไปทางมั่วหยาง เอาแผ่นกระดาษที่เขียนไว้นานแล้วมอบให้แก่เขา

“ด้านบนนี้เขียนความหมายของสัญลักษณ์แสงว่าสว่างขึ้นกี่ครั้งหมายถึงอะไร หลังจากเจ้าเรียนรู้แล้ว ก็มอบให้พวกเขา ก่อนเข้าไปสู่โลกแห่งยุคกลาง ต้องเข้าใจให้หมด”

“ขอรับ คุณชาย!” มั่วหยางรับแผ่นกระดาษที่มู่ชิงเกอส่งให้

มู่ชิงเกอมองไปทางโย่วเหอกับฮวาเยวี่ย แล้วก็ยังมีเสวี่ยหยา เอ่ยกับพวกนางสามคนว่า “พวกเจ้าก็เรียนด้วยกัน”

“เจ้าค่ะ!”

“เจ้าค่ะ!”

“เจ้าค่ะ คุณชาย”

นางทั้งสามรับคำแล้วก็เดินไปทางมั่วหยาง

หลังจากพูดสิ่งที่สมควรพูดไปหมดแล้ว มู่ชิงเกอก็กลับไปที่ห้องโดยสาร นางไม่ได้เตรียมไว้ให้กับไป๋สี่และหยินเฉิน เพราะว่าการสื่อสารระหว่างพวกนางนั้น มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าแผ่นป้าย ดังนั้นจึงไม่จำเป็น

ต่อจากนั้นอีกสามวัน เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ล้วนแต่ตั้งใจเรียนรู้ แผ่นป้ายของมู่ชิงเกอดูเหมือนว่าจะส่องสว่างอยู่ตลอดเวลา

‘สมุดบันทึกรหัส’ ที่มู่ชิงเกอมอบให้นอกจากจะเป็น บรรดาคำสั่งต่างๆ แล้วก็เป็นบางคำที่สำคัญ อย่างเช่น เขตภาคใต้ ตระกูลเล่อ เขตภาคตะวันตก ตระกูลซาง…

หากแสงวาบหลายชุดรวมกัน ก็คือประโยคหนึ่ง แสดงความหมายของการส่งข่าวสาร

นี่ดูคล้ายกับระบบที่นางเคยเรียนเมื่อชีวิตที่แล้ว ดูเหมือนจะเป็นการรื้อฟื้นความรู้ขึ้นมา มองป้ายหยก มู่ชิงเกอก็รู้ว่ายังมีข้อเสียอีกมาก แต่ว่า มันก็คือวิธีที่ดีที่สุดในการสื่อสารระยะไกลในตอนนี้ ถ้าหากต้องการที่ดีกว่า ก็คงต้องให้นางพัฒนา อุปกรณ์สื่อสารของชาติที่แล้วขึ้นมาในต่างโลกโลกนี้แล้ว โทรศัพท์? โทรเลข?

แต่ว่า ของเหล่านี้ล้วนแต่ต้องการสัญญาณ

นางไม่มีเวลาจะไปพัฒนาสัญญาณหรือตั้งสัญญาณในโลกนี้

ส่ายหน้าไปมา มู่ชิงเกอค่อยพาความใจลอยของตนเองกลับมา

ทันใดนั้น ป้ายหยกของนางก็ส่วางวาบขึ้นมาอย่างรวดเร็วห้าครั้ง

นัยน์ตาของนางสั่นไหว หยิบป้ายหยกขึ้นมาเดินออกไปด้านนอก

ความหมายของการส่องแสงอย่างรวดเร็วห้าครั้งก็คือ ‘ให้รีบมารวมกัน’

เมื่อมองแวบแรก มู่ชิงเกอก็คิดว่าเป็นการฝึกฝนของทุกคน แต่เมื่อคิดอีก ก่อนที่จะสว่างวาบขึ้น แผ่นป้ายก็ไม่ได้ส่องแสงมานานมากแล้ว ดังนั้นนางจึงเดินออกมา

มาถึงบนดาดฟ้า มู่ชิงเกอเห็นทุกคนรวมตัวกันอยู่บนหัวเรือ

‘เป็นอะไรกันที่ดึงดูดความสนใจของทุกคน?’

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว เดินไปทางพวกเขา

“คุณชาย!” โย่วเหอพบเห็นมู่ชิงเกอก่อนใคร ร้องเรียกขึ้นในทันที

ทุกคนรีบเก็บสายตากลับ แยกออกเป็นสองทาง ปล่อยที่ว่างตรงกลางให้มู่ชิงเกอ เดินไป

มู่ชิงเกอไปจนถึงด้านหน้า เค้าโครงบนแผ่นดินก็ปรากฏอย่างเลือนรางท่ามกลางสายหมอก ดูเหมือนว่าด้านหลังหมอกนั้นเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง

“นั่นคือโลกแห่งยุคกลางอย่างนั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามเสียงเข้ม

ไป๋สี่ยืนอยู่บนหอสำรวจเอ่ยตอบว่า “ถ้าหากว่าพวกเรา ไม่ได้มาผิดทาง ก็น่าจะใช่”

‘ในที่สุด…ก็มาถึงแล้วหรือ?’ มู่ชิงเกอมองโครงร่างของแผ่นดินที่ดูเลือนรางนั้น ใจเกิดความตื่นเต้นขึ้นมา

เสวี่ยหยาเอ่ยขึ้นในตอนนี้ว่า “หากดูจากระยะห่าง น่าจะประมาณสองวันที่พวกเราจะเข้าไปสู่เขตน้ำตื้น เมื่อถึงเขตนํ้าตื้น ผ่านอีกครึ่งวันก็สามารถขึ้นฝั่งได้แล้ว”

ภายในเสียงของนางก็แฝงความคาดหวังเอาไว้

นางก็ไม่เคยออกจากเกาะตูเล่อ ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางทะเลแห่งทุกข์มาโดยตลอด โลกแห่งยุคกลางยิ่งเป็นที่ที่นางไม่เคยไปเหยียบมาก่อน

“ฝั่งนั้นคืออะไร!” ทันใดนั้นหยินเฉินที่ยืนอยู่หอสำรวจอีกฝั่งก็ชี้ไปทางด้านหลังแล้วก็ตะโกนขึ้นมา

ทุกคนหันไปมอง ทันใดนั้นก็พลันมองเห็นคลื่นทะเลขนาดใหญ่หลายร้อยจั้ง เคลื่อนที่มาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว

คลื่นยักษ์!

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง!

“แย่แล้ว! เป็นคลื่นยักษ์! พวกเราต้องรีบออกจากอาณาเขตของคลื่นยักษ์ คลื่นยักษ์ใหญ่ถึงขนาดนี้ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน หากหนีไม่พ้น พวกเราคงจะถูกพัด ม้วนลงใต้ทะเลอย่างแน่นอน!” เสวี่ยหยารีบเอ่ย

เพียงพริบตาเดียวมู่ชิงเกอก็ไปปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหน้าห้องโดยสาร นางใส่พลังจิตของตนเองลงในแผงควบคุม เอ่ยสั่งกับทุกคนว่า “ทุกคนรีบเก็บของ นำสัตวอสูรเวหาของพวกเจ้าไปด้วย”

นางได้เตรียมพร้อมรับมือแล้ว หากว่าความเร็วของเรือไม่สู้ความเร็วของคลื่นยักษ์ก็จะต้องทิ้งเรือ ขี่สัตว์อสูรเวหา หลบหนีคลื่นยักษ์

ถึงแม้ว่าตัวมู่ชิงเกอเองจะไม่มีสัตว์เวหา แต่ว่าเสวี่ยหยามี

นกสีครามของนางนั้นเร็วมาก แบกคนสองคนไม่เป็นปัญหา

มู่ชิงเกอสะบัดมือ เก็บไป๋สี่และหยินเฉินเข้าไปในช่องว่าง หลังตัวเองกลับไปห้องโดยสารเก็บทุกอย่างเข้าสู่ช่องว่าง แล้วก็ค่อยกลับมาบนดาดฟ้าเรือ ความเร็วของเรือยักษ์ถึงขีดสุด แต่ก็เร็วไม่สู้คลื่นยักษ์ที่พุ่งเข้ามาด้านหลัง ดูเหมือนว่าด้านหลังคลื่นยักษ์ที่พวกเขาเห็น ยังซ่อนคลื่นยังที่รุนแรงมากกว่าอยู่อีก และที่น่ากลัวอย่างแท้จริงก็ซ่อนตัวอยู่ใต้ทะเล

“ไม่ทันการณ์แล้ว!” เสวี่ยหยาเอ่ยกับมู่ชิงเกอ นางเกิดในทะเลแห่งทุกข์พบเห็นคลื่นยักษ์มาไม่รู้กี่ครั้ง คำพูดของนาง มู่ชิงเกอก็เชื่ออย่างไม่ลังเล

มู่ชิงเกอเอ่ยกับองครักษ์เขี้ยวมังกรแล้วก็ยังมีโย่วเหอกับฮวาเยวี่ยว่า “ทุกคนหนีไป จุดมุ่งหมายคือเขตภาคใต้ของโลกแห่งยุคกลาง หากว่าหลงทางแยกกัน ก็ให้ใช้ แผ่นป้ายในการติดต่อสื่อสาร”

“คุณชาย!”

ทุกคนไม่ยอมทิ้งนางหนีไป

มู่ชิงเกอกลับเอ่ยอย่างจริงจังกับพวกเขาว่า “มีเพียงแต่พวกเจ้าจากไปอย่างปลอดภัยแล้ว ข้าถึงสามารถไปได้อย่างวางใจ”

คำพูดนี้ทำให้ชายฉกรรจ์ทั้งห้าร้อยนายดวงตาแดงกํ่า

พวกเขาไม่ชักช้าอีกต่อไป เพราะว่าหากยังชักช้า ก็จะทำให้มู่ชิงเกอเสียเวลา

องครักษ์เขี้ยวมังกรแล้วก็ยังมีโย่วเหอกับฮวาเยวี่ย ขี่สัตว์อสูรเวหาของตนเอง พุ่งลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ส่วนในตอนนี้คลื่นยักษ์ลูกแรกก็ไล่มาถึงท้ายเรือแล้ว

มู่ชิงเกอปลดปล่อยพลังจิตไปปะทะกับคลื่นยักษ์ตรงๆ

นางต้องหยุดยั้งคลื่นยักษ์มอบเวลาให้แก่องครักษ์เขี้ยวมังกร!

เสวี่ยหยาอยู่ด้านหลังนาง เรียกนกสีครามออกมาเตรียมพร้อม

ตู้ม—–!

เสียงการปะทะครั้งใหญ่ดังขึ้น คลื่นยักษ์ระลอกแรกถูกพลังของมู่ชิงเกอสลายไป แต่ยังไม่ทันรอให้นํ้าทะเลตกลงมา คลื่นยักษ์ลูกที่สองก็โถมเข้ามา พุ่งเข้าโอบล้อมมู่ชิงเกอ…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version