Skip to content

พลิกปฐพี 229

ตอนที่ 229

ผู้ต้องอสนีบาตทั้งสาม

ภายในช่องว่าง กลางหอคอยที่สามารถเร่งความเร็วในการฝึกปรือได้นั้น มู่ชิงเกอกำลังนั่งสมาธิอยู่ตรงกลางของชั้นสาม

ตามพลังฝึกปรือตอนนี้ของนาง ทำได้เพียงเดินมาถึงชั้นที่สามเท่านั้น คิดจะเดินขึ้นไปไกลกว่านี้ เกรงว่าจำเป็นต้องให้นางข้ามผ่านระดับถึงระดับสีเงินก่อน

รอบกายของนาง มีไป๋สี่ หยินเฉินและหยวนหยวนนั่งขัดสมาธิอยู่ด้วย

บนใบหน้าของไป๋สี่และหยินเฉินฉายแววหนักใจเล็กน้อย มีเพียงแต่หยวนหยวนที่ดวงตาสดใสคู่นั้นดูมึนงง มองไปรอบกายอย่างสงสัย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เดิมทีเขาเล่นกับเหมิงเหมิงอยู่ด้านนอกแต่กลับถูกไป๋สี่ลากเข้ามาที่นี่ บอกว่าให้เขามาฝึกปรือเป็นเพื่อนลูกพี่ท่านแม่

ฝึกปรือเป็นเพื่อนลูกพี่ท่านแม่ เขายินดี เพียงแต่ว่า เพราะเหตุใดลูกพี่ท่านแม่จึงต้องการให้เขามาฝึกปรือเป็นเพื่อนด้วย?

“ชิงเกอ เจ้าแน่ใจว่าจะลองจริงๆ ใช่ไหม?” ไป๋สี่กวาดตา มองมู่ชิงเกออย่างเคร่งขรึม เอ่ยถามอีกครั้ง

มู่ชิงเกอส่งยิ้มกลับ พยักหน้ายอมรับ

หยินเฉินขมวดคิ้วเอ่ยชักจูงว่า “ชิงเกอ งูตัวนี้ความจำยังไม่ได้กลับมาครบทั้งหมดวิธีที่คิดออกมาไม่แน่ว่าจะถูกต้อง เหตุใดจึงต้องเสี่ยงด้วย? ฝึกปรือภายในหอคอยนี้ แม้แต่ทำคนเดียวก็เพิ่มความเร็วอยู่แล้ว”

“ถุ้ย จิ้งจอกเหม็น ข้าเข้าใจว่าเจ้ากำลังชักจูงไม่ให้ชิงเกอเสี่ยงอันตราย แต่เจ้าก็อย่าได้กล่าววาจาดูถูกข้าจะได้หรือไม่? คิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าจริงๆ รึ?” ไป๋สี่เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่ดูเยียบเย็นออกมา

หยินเฉินมองนางอย่างดุดันแวบหนึ่ง ก่อนจะพาสายตากลับไปมองที่มู่ชิงเกออีกครั้ง สายตาเช่นนี้ดูเหมือนว่าจะกำลังยั่วยุไป๋สี่ แน่ใจว่านางทำอะไรเขาไม่ได้

ไป๋สี่กัดฟันขึ้น นัยน์ตากวาดไปมองหยินเฉินอย่างเย็นยะเยือก

มู่ชิงเกอชินแล้วกับท่าทางของพวกเขาทั้งสอง และก็ไม่ได้ไปสนใจ เพียงแต่เอ่ยตอบคำพูดของหยินเฉิน “คู่ต่อกรของข้าไม่เคยมาจากอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แม้พวกเจ้าจะคิดว่าภายในรุ่นเดียวกับข้านั้น ข้าถือว่าไม่เลวแล้ว แต่ว่าสำหรับข้าแล้ว ยังไม่เพียงพอ”

นางจำเป็นต้องก้าวเดินไปเรื่อยๆ เพื่อไปถึงตรงหน้าของชายผู้นั้น อาการบาดเจ็บของชายผู้นั้นส่งผลต่อหัวใจและความรู้สึกของนาง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นางก็ไม่อยากทำให้ไม้แก่หมื่นปีนั้นรอนานเกินไป

ในเมื่อนางตัดสินใจจะกอดเขาเอาไว้แล้ว ก็ไม่คาดหวังให้ความเหงาเข้าไปเกี่ยวพันเขาอีก!

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ยิ่งขึ้น ไม่อนุญาตให้ขัดขืน

ไป๋สี่ลอบสบสายตากันกับหยินเฉินอย่างหมดหนทาง

“พวกเจ้าทั้งสองคนทำไมต้องทำเป็นลังเลด้วย ลูกพี่ท่านแม่ต้องการฝึกปรือพวกเราก็แค่ทำเป็นเพื่อนเท่านั้นเองมิใช่หรือ” หยวนหยวนเอ่ยอย่างมึนงง

ไม่ใช่ว่าเป็นเพียงแค่ฝึกปรือพลังเท่านั้น เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมท่าทางของทุกคนจึงดูเคร่งขรึมขนาดนี้

ไป๋สี่จ้องไปทางเขา ขบฟันเอ่ยว่า “เจ้าเด็กน้อย เจ้าจะเข้าใจอะไร? วิธีนี้สามารถทำให้ตอนที่พวกเราทั้งสี่ฝึกปรือพลังนั้น สามารถฝึกปรือได้เร็วขึ้นสี่เท่า แต่ถ้าหากเกิดอันตรายขึ้น ความเสี่ยงทั้งหมดจะเป็นลูกพี่ท่านแม่ของเจ้าที่เป็นคนรับมันไปแค่คนเดียว”

“อะไรนะ!” สีหน้าของหยวนหยวนเปลี่ยนไปในทันที จากนั้นก็ส่ายๆ หน้า “ลูกพี่ท่านแม่ เสี่ยงอันตรายเช่นนั้น พวกเราอย่าฝึกปรือเลยดีหรือไม่?”

มู่ชิงเกอส่ายหน้า “หยวนหยวน เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป ข้ามีแผนการในใจแล้ว”

“งูตะกละ ถ้าหากว่ามู่ชิงเกอมีอะไรเกิดขึ้น ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่” ทันใดนั้นหยินเฉินก็มองไปยังไป๋สี่อย่างแค้นเคือง

“ข้าก็เช่นกัน!” ใบหน้าขาวนวลน่ารักของหยวนหยวนก็หันมองไป ยืนอยู่ข้างเดียวกันกับหยินเฉิน

“ทุกอย่างนี้ไม่เกี่ยวกับไป๋สี่ นางเพียงแต่ทำตามคำสั่งของข้า ถึงแม้ว่าจะเกิดอะไรที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้นจริงๆ พวกเจ้าก็ห้ามโทษนาง” มู่ชิงเกอตัดบทพูดของหยินเฉินและหยวนหยวน

ครั้งนี้ไป๋สี่กลับไม่ได้ต่อปากต่อคำกับหยินเฉิน แต่กลับเอ่ยอย่างจริงจังกับมู่ชิงเกอว่า “ชิงเกอ ถ้าหากว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าจริงๆ ไม่ต้องรอให้พวกเขามาโทษ ข้าก็ โกรธแค้นตัวเองมากแล้ว”

ความหนักใจของทั้งสามทำให้มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

นางโบกมือทั้งสองข้าง ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน? ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียหน่อย พวกเจ้ากลับทำตัวเสียดูเหมือนว่าข้าได้กลายเป็นคนพิการไปแล้วสะอย่างนั้น ต้องมีความมั่นใจในตนเอง และก็มั่นใจในตัวข้าบ้าง”

คำพูดของมู่ชิงเกอ ทำให้ทั้งสามคนเงียบลง

แต่ว่า จิตใจก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นมา รอจนทุกคนค่อยๆ สงบลงแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “เอาละ เริ่มเถอะ ตอนนี้ที่ข้าขาดแคลนมากที่สุดก็คือเวลา!”

ไป๋สี่ หยินเฉินแล้วก็ยังมีหยวนหยวนสบตามองกันและกัน

เมื่อรู้ว่าไม่สามารถเปลี่ยนความตั้งใจของมู่ชิงเกอได้แล้ว ก็ทำได้เพียงยอมรับชะตากรรม

“ชิงเกอ เจ้าจำเอาไว้ด้วยว่าถ้าหากในระหว่างการฝึกปรือรู้สึกได้ว่ามีจุดติดขัด หรือไม่ก็รู้สึกปวดชีพจร ก็ให้ รีบหยุดในทันทีอย่าได้เสี่ยง” ไป๋สี่เอ่ยกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอพยักหน้า หลับตาลงเข้าสู่การฝึกปรือ

ไป๋สี่ หยินเฉินและหยวนหยวนก็เริ่มต้นฝึกปรือพร้อมกันกับนาง

วิธีของไป๋สี่ก็คือ อาศัยพันธสัญญาระหว่างหยินเฉินกับมู่ชิงเกอเป็นสะพานในการเชื่อมโยง จากนั้นก็อาศัยร่างกายของไป๋สี่เป็นสื่อขจัดความไม่สอดคล้องกันระหว่างพวกเขา

เพราะว่าไป๋สี่นั้นจุติขึ้นมาด้วยเลือดของมู่ชิงเกอ มีความรู้สึกและแนบชิดกับมู่ชิงเกอโดยธรรมชาติ ง่ายดายที่จะหลอมรวมพลังเข้าด้วยกัน

หยวนหยวนถูกวางไว้จุดท้ายสุดของทั้งสาม มีเพียงแต่ความสัมพันธ์ของเขากับมู่ชิงเกอเท่านั้นที่อ่อนที่สุด เขาติดตามมู่ชิงเกอ เริ่มต้นจาก ‘แรกเห็นเมื่อถือกำเนิด’ บวกกับที่เขาเป็นพญาเพลิง มีพลังไม่เสถียรมากที่สุด ดังนั้น จึงถูกวางเอาไว้ท้ายสุด

รูปแบบเช่นนี้ เป็นระบบการโคจรพลังแบบใหม่ นำเอาพลังจิตที่ฝึกปรือของแต่ละคนออกมานอกร่างกาย สื่อสารสัมพันธ์กัน ก็จะได้ผลลัพธ์ในการเพิ่มความเร็วในการฝึกปรือ

ถ้าหากในระหว่างการดำเนินการ เกิดเหตุเหนือความคาดหมายอย่างกะทันหัน การติดต่อสื่อสารถูกตัดขาด หรือพลังจิตย้อนกลับ มู่ชิงเกอก็จะได้รับการโจมตี สะท้อนกลับที่รุนแรงที่สุด

อันตรายและโชควาสนาล้วนแต่เกิดขึ้นมาพร้อมกัน โอกาสใดๆ ก็ไม่อาจได้มาโดยไร้ความเสี่ยง

สิ่งที่ตัดสินก็คือ คุ้มค่าหรือไม่เท่านั้น

รูปแบบการฝึกปรือเช่นนี้สำหรับมู่ชิงเกอแล้ว คุ้มค่ามาก!

นางยอมที่จะเสี่ยงและก็มั่นใจว่าตัวเองจะทำสำเร็จได้!

ทั้งสี่คนที่กำลังอยู่ภายในระหว่างการฝึกปรือ ค่อยๆ มีแสงพลังจิตลอยออกมานอกร่างกาย บิดตัวเป็นสายแสงเชื่อมโยงสื่อสารระหว่างพวกเขา

พลังจิตเหล่านี้ตกลงบนหัวของพวกเขาทั้งสี่ ดุจดังหลังคาแบบโปร่งแสง ล้อมร่างของพวกเขาไว้ตรงกลาง เกิดแสงวาววาบ พลังจิตเหล่านี้ดูเหมือนว่ากำลังพยายามผสานกลิ่นอายระหว่างพวกเขาเข้าด้วยกัน แต่ว่าวิธีฝึกปรือเช่นนี้ไม่เคยมีใครลองทำมาก่อน ทันใดนั้นใบหน้าของทั้งสี่คนก็ฉายแววเจ็บปวดออกมา เกิดแสงสีแดงแปลกประหลาดส่องสะท้อนบนใบหน้าของพวกเขา

แสงสีแดงนี้มาอย่างกะทันหัน มาโดยไม่คาดคิด การปรากฏตัวของมัน ทำให้พลังจิตที่ล้อมตัวของทั้งสี่กลายเป็นไม่เสถียรขึ้นมา

พลังจิตในหอคอยนั้นแข็งแกร่งมาก ทั้งเวลาก็แตกต่างจากภายนอก แรงกดดันจากพลังจิตบนร่างของทั้งสี่ก็ขยายตัวไปด้านข้างในฉับพลัน ทำให้ไอพลังจิตทั้งช่อง ว่างเกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นมา เหมิงเหมิงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ทันใดนั้นก็มาปรากฏตัวอยู่ภายในชั้นสาม ในตอนที่นางมองเห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวของทั้งสี่แล้ว ก็ตื่นตกใจเป็นอย่างมาก ไอพลังจิตที่สับสนและปฏิเสธกันเช่นนี้ พัวพันเข้าด้วยกัน เหมิงเหมิงหลุดเสียงร้องออกไป “พวกเจ้าทำบ้าอะไรกัน! จะพากันฆ่าเจ้านายอย่างนั้นหรือ?”

นางเป็นจิตวิญญาณแห่งอาวุธของช่องว่าง นางไวต่อแรงกดดันของพลังจิตในช่องว่างมากที่สุด

ในตอนนี้นางได้รับรู้ถึงแรงกดดันจากพลังจิตที่รุนแรงมากมาย ที่เหมือนกับหัวสว่านเล็กๆ พุ่งเข้ามาหามู่ชิงเกอ คิดจะเจาะเข้าไปในชีพจรทำลายเส้นชีพจรของนาง

ใบหน้าของมู่ชิงเกอเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวขึ้นมาริมฝีปาก เม้มแน่น มีเลือดซึม

สีหน้าของไป๋สี่ หยินเฉินแล้วก็ยังมีหยวนหยวน ถึงแม้ว่าจะไม่น่าดูแต่ก็ไม่อาจจะเทียบเท่านางได้ ร่องรอยบนใบหน้าของพวกเขามีความกังวลเพิ่มขึ้นมา

รู้สึกได้ว่าหยินเฉินจะสะบัดร่าง ฝืนหยุดการฝึกปรือ ไป๋สี่ก็ลืมตาขึ้นในทันที นัยน์ตาสีดำกลายเป็นสีม่วงทอง นางตะคอกเอ่ยว่า “อย่าได้ทำอะไรโดยพลการ! เจ้าฝืนออกไป ไม่เพียงแต่ไม่อาจช่วยนางแต่ยังเป็นการทำร้ายนางให้ตายอีก!”

‘ทำร้ายนางให้ตาย!’

คำๆ นี้ ทำให้กลิ่นอายของหยินเฉินเปลี่ยนไปในทันที เขาเบิกดวงตาสีเลือดขึ้นฉายแววแค้นเคืองมองไปยังไป๋สี่

ดูเหมือนกับว่าไป๋สี่เป็นศัตรูที่ทำร้ายมู่ชิงเกอให้ตายก็ไม่ปาน

ไป๋สี่สบถอย่างดูแคลนออกไป “เก็บสายตาที่น่ารำคาญ ของเจ้ากลับไป”

หยินเฉินเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาว่า “ในเมื่อวิธีที่คิดยังไม่สมบูรณ์ เจ้าก็ไม่สมควรพูดออกมา”

“ทุกโอกาสล้วนแต่มากับความเสี่ยง เจ้าข้าก็สามารถเสี่ยงเพื่อพลังฝึกปรือได้ เหตุใดชิงเกอจะไม่สามารถทำได้? นางไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพวกเรา ยิ่งไม่ได้ต้องการ การปกป้องดูแลเป็นพิเศษ!” ไป๋สี่เยาะเย้ย

คำพูดของนางทำให้นัยน์ตาของหยินเฉินเกิดคลื่นทะเลเลือด

ในตอนนี้ หยวนหยวนก็เบิกตาขึ้น ตำหนิทั้งสองคนอย่างกังวลใจว่า “พวกเจ้าทั้งสองคนทะเลาะกันพอแล้วหรือยัง? ไม่เห็นหรือว่าลูกพี่ท่านแม่กำลังทรมาน? ยังไม่รีบคิดหาวิธีช่วยนางอีก”

“พูดได้ไม่เลว! พวกเจ้าหนึ่งงูหนึ่งจิ้งจอก อายุรวมๆ กัน ก็ไม่รู้ว่ากี่ปีแล้ว ยังรู้ความไม่สู้เด็กน้อย!” เหมิงเหมิงกระโดดออกมา เอ่ยกับทั้งสองคน

หยวนหยวนมองสาวน้อยที่งดงามข้างกาย เถียงกลับไปว่า “ข้าไม่ใช่เด็กน้อย!”

“เวลานี้ยังจะมาคิดเรื่องนี้อีกงั้นรึ?” เหมิงเหมิงกลอกตาขาวมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยกับเขาด้วยใบหน้าที่ดูจริงจัง

“พวกเจ้าในตอนนี้ต้องสงบจิต รักษาความสมดุลของกลิ่นอายพลัง”

สายตาของไป๋สี่กับหยินเฉินปะทะกันกลางอากาศอย่างดุเดือด

หลังจากปะทะแล้ว นางก็หลบสายตา เอ่ยเสียงเข้มว่า “พวกเราในตอนนี้ต้องรวมใจรวมพลังผสานไอพลังให้เป็นหนึ่ง ถึงจะสามารถช่วยชิงเกอได้”

พูดแล้ว นางก็ถอนหายใจออกมา ค่อยๆ หลับตาลง

หยินเฉินเหลือบตามองนางแวบหนึ่ง และก็หลับตาลงเช่นกัน

ในที่สุดทั้งสองคนก็หยุดทะเลาะกัน หยวนหยวนกับเหมิงเหมิงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาพร้อมกัน

ความกดดันจากพลังจิตภายในชั้นสามค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงบลงภายใต้การควบคุมของทั้งสาม ไม่ได้บ้าคลั่งเหมือนเมื่อตอนก่อนหน้านี้อีก ส่วนมู่ชิงเกอก็รู้สึกสบายขึ้นมาหน่อย

เพียงแต่ว่าไม่รอให้นางโล่งใจออกมาก็มีขุมกำลังที่แข็งแกร่งพุ่งมาอย่างกะทันหัน ปะทะเข้าที่หัวใจของนางอย่างรุนแรง

พลังชนิดนี้ ดูเหมือนว่าไม่ใช่พลังภายในร่างกายของตนเอง หลังจากปะทะเข้ากับหัวใจของมู่ชิงเกอแล้ว ก็ทำให้หัวใจของนางหยุดชะงักไปชั่วครู่ เลือดทั้งร่างกายถูกดูดกลับไปยังหัวใจ

ลมหายใจของมู่ชิงเกอสะดุด สีหน้าขาวซีด!

ชีพจรในร่างของนาง ดูเหมือนว่าจะถูกแช่แข็ง บนนั้น ปรากฏรอยแตกภาวะล่มสลายเกิดขึ้นเพียงในเวลาพริบตา!

ภายในหัวของมู่ชิงเกอ พลังพิเศษสายฟ้าเหมือนรับรู้ได้ ว่าเจ้านายมีภัยอันตราย มันขยับเคลื่อนไหวสายฟ้าสีแดงหลายสายของมันเอง พุ่งไปยังหัวใจของมู่ชิงเกอ

สายฟ้าสีแดงนี้หากว่ามู่ชิงเกอพบเห็นมันก็จะต้องรู้สึกคุ้นเคย

สายฟ้าสีแดงนี้ก็คือสายฟ้าในครั้งก่อนที่นางช่วยเหลือหยินเฉินทะลวงชั้น มันคือเคราะห์อัสนีที่เข้าไปในร่างของนางในตอนนั้น อิงตามที่ไป๋สี่เอ่ย เคราะห์อัสนีนี้จะปรากฏให้เห็นได้ยาก เพียงแค่ปรากฏก็คือการปลุกพลังของสายเลือดชั้นสูงขึ้น

ก็เป็นเพราะการปรากฏของเคราะห์อัสนี ทำให้ไป๋สี่เกิดความสงสัยในที่มาของหยินเฉิน

ส่วนมู่ชิงเกอกลับไม่รู้ว่ามีชีพจรเคราะห์อัสนีสายหนึ่ง เข้าสู่ร่างกายของนางผสานเข้ากับพลังพิเศษสายฟ้าที่นางมี

สายฟ้าสีแดงพุ่งเข้าไปยังหัวใจที่หยุดเต้นของมู่ชิงเกอ

สายฟ้าที่ไหลมาอย่างกะทันหันเติมเต็มไปทั้งหัวใจอย่างรวดเร็ว กระตุ้นหัวใจที่หยุดชะงักให้กลับคืนมาเต้นอีกครั้ง เลือดก็นำสายฟ้าไหลเวียนไป กลับไปสู่เส้นเลือดของมู่ชิงเกอ

ซือ ซือ ซือ—–!

เสียงสายฟ้าไหลดังออกมา

ไป๋สี่ หยินเฉินและหยวนหยวนล้วนแต่เบิกตาขึ้น สีหน้า ปลี่ยนไปในทันที พลังจิตที่เชื่อมโยงระหว่างพวกเขา กลับเกิดสายฟ้าไหลเข้ามา สายฟ้าไหลเข้าไปภายในร่างกายของพวกเขา ดูเหมือนจะเผาเลือด ผิวหนังแล้วก็ยังมีกระดูกของพวกเขา ความรู้สึกชาๆ คันๆ เช่นนี้ คนที่ไม่เคยได้สัมผัสก็ไม่อาจจะรับรู้และสามารถเข้าใจได้ ไม่เพียงเท่านั้น สายฟ้าที่ไหลออกมาจากมู่ชิงเกอยังดูดพวกเขาเอาไว้แน่นจนไม่อาจขยับตัวไปไหนได้เลย

สีหน้าของไป๋สี่เปลี่ยนเป็นตกตะลึง สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ได้ออกไปจากการควบคุมของนางแล้ว

ตอนนี้ นางทำได้เพียงคาดเดาว่า ร่างกายของมู่ชิงเกอมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้นั้นนำเรื่องดีหรือร้ายมา นางไม่แน่ใจ!

“ในเมื่อแยกไม่ออก เช่นนั้นก็สงบจิตใจฝึกปรือพลังต่อ”

หยินเฉินมองไป๋สี่กับหยวนหยวนแล้วพูดออกมาหนึ่งประโยค หลับตาลง

ไป๋สี่กับหยวนหยวนนิ่งลงครู่หนึ่ง จากนั้นก็หลับตาตามไป

พลังของสายฟ้าเปลี่ยนแปลงเลือดของมู่ชิงเกออย่างไร้สุ่มเสียง ดูเหมือนว่าจะไปปลุกพลังบางอย่างในตัวนางที่กำลังหลับให้ตื่นขึ้น การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ตัวนางเองไม่รู้เลยการเปลี่ยนแปลงนี้กลับทำให้เคล็ดวิชาเทวะส่วนบนที่หลับใหลในหัวของนางเกิดการตอบสนอง เคล็ดวิชาเทวะว่ากันว่าเป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าเทพ

ส่วนบนปรับเปลี่ยนร่างกาย ส่วนกลางชำระล้างและฝึกปรือพลัง ส่วนล่างเป็นมหาเคล็ดวิชาเทวะทั้งสามพันบท!

ได้รับหนึ่งส่วนแล้วฝึกส่วนนั้นจนถึงขั้นสุดก็จะสามารถกลายเป็นแข็งแกร่งอย่างไร้เทียมทานได้แล้ว หากว่ามีใครสามารถเรียนรู้ได้ทั้งสามส่วน ก็จะสามารถสร้างประวัติการณ์ที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน เพียงแค่สะบัดมือก็จะสามารถทำลายโลกได้ทั้งโลก ไร้คู่ต่อกรในสามพันโลกขนาดเล็ก สามพันโลกขนาดกลาง และสามพันโลกขนาดใหญ่ จนถึงขั้นสามารถสร้างโลกขึ้นมาได้

แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล่า

เพราะว่า นับตั้งแต่โบราณมา ไม่มีใครสักคน ไม่มีเทพตนใดที่ได้รับเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนกลางล่างครบทั้งสาม และแสดงศักยภาพสูงสุดของมันออกมาได้

ยิ่งไม่มีใครรู้ว่าวิธีการพัฒนาร่างกายในเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนและส่วนกลางนั้นอิงมาจากการฝึกพลังของเผ่ามาร

ภายในโลกนับพันนี้การฝึกปรือและพัฒนาร่างกายที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือการฝึกพลังของเผ่ามาร!

เส้นเลือดที่เปลี่ยนแปลงได้ค่อยๆ กระตุ้นให้เคล็ดวิชาเทวะส่วนบนเปิดออก…

อักษรสีทองที่มู่ชิงเกอไม่เคยมองเห็นมาก่อน อักษรของเผ่าเทพโบราณ เกิดแสงสว่างสีทองออกมาในทันใด โอบล้อมอยู่ในหัวของนาง

ในพริบตามู่ชิงเกอก็เหมือนกับว่าได้เข้าไปอยู่ในทะเลอันอบอุ่น

ความรู้สึกและการรับรู้ของนางเหมือนกับได้แยกออกจากร่างกาย ร่างกายยังคงเคลื่อนไหวฝึกปรือต่อ ส่วนการรับรู้กลับตกเข้าไปในทะเลของเหล่าแสงสีทองพวกนั้น

แสงวาววาบสีทองค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนไป เกิดเป็นรูปร่างเงาคนสูงใหญ่ ‘เบื้องหน้า’ ของมู่ชิงเกอ ทุกๆ เงาร่างล้ว แต่กำลังแสดงท่าทางที่ดูแปลกประหลาด ในระหว่างที่ พวกเขากำลังแสดงท่วงท่า เส้นสายสีทองเล็กๆ ก็ไหลอยู่ในร่างกายของพวกเขา ดุจดั่งพลังจิตที่กำลังเคลื่อนไหว

มู่ชิงเกอ ‘มองดู’ ทั้งหมดอย่างตกตะลึง ดูเงาร่างที่ล้อมนางเอาไว้ตรงกลาง

หัวของนางดูเหมือนว่าจะหยุดชะงักในพริบตานี้ สมาธิของนางล้วนถูกนำมาจดจ่ออยู่กับสิ่งสิ่งเดียว นั้นก็คือการจดจำท่าร่างเหล่านี้!

“เป็นไปไม่ได้! นี่มันเป็นไปไม่ได้! นี่มันดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!”

เงาร่างเหล่านั้นค่อยๆ ถูกมู่ชิงเกอจดจำ ตอนที่เปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นนั้น เส้นสายสีทองเหล่านี้ก็ทำให้นางตกตะลึงอย่างเหนือความคาดหมาย

ดูเหมือนกับว่าความรู้ที่เคยมีมาล้วนแต่ถูกทำลายไปเสียอย่างนั้น ดูเหมือนกับอยู่ดีๆ อาจารย์ก็บอกเจ้าอย่างเคร่งครัดว่า ทั้งหมดที่เจ้าเรียนมานั้นล้วนแต่เป็นของปลอม เบื้องหน้าที่เห็นสิถึงเป็นของจริง

หลักการเช่นนี้ก็ทำเอามู่ชิงเกอมึนงง ถูกดูดออกมาจากทะเลความรับรู้

“อึก!”

มู่ชิงเกอกระอักออกมา ร่างกายก็ถูกผลักออกจากการฝึกปรือ

นางค่อยๆ เบิกดวงตากว้าง

ตอนนี้เอง นางยังไม่ทันที่จะไปสนใจประสบการณ์ครั้งแรกของการฝึกปรือด้วยความเร็วสี่เท่า เพราะภายในหัวของนางยังคงมีภาพยังตกค้างของเหล่าเงาร่างและเส้นสายชีพจรของมันอยู่

นัยน์ตาที่สดใสของนางก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงและในใจก็เต็มไปด้วยคำถาม

‘นี้เป็นความลับของเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนงั้นหรือ?’ มู่ชิงเกอพึมพำออกมา ในที่สุดนางก็เข้าใจเนื้อหาบนเคล็ดวิชาเทวะส่วนบน แต่ว่าหลังจากเข้าใจแล้ว ก็ยิ่งทำให้นางเกิดความสงสัย

ความรู้ปกติบอกนางว่า ถ้าหากทำตามวิธีบนเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนดำเนินการฝึกฝนร่างกาย เกรงว่าเพิ่งจะเริ่ม ร่างกายของนางก็คงจะระเบิดจนตายแล้ว

แต่ว่า จากเหตุผลก็บอกนางว่า ซือมั่ววิจารณ์เคล็ดวิชาเทวะไว้อย่างสูง เช่นนั้นนี่ก็คงไม่ใช่หนังสือที่ใช้ฆ่าคนอย่างแน่นอน!

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นซือมั่วก็ต้องห้ามไม่ให้นางฝึกปรืออย่างเด็ดขาดแล้ว เผ่าอี๋ก็คงจะไม่เอาเบาะแสเกี่ยวกับเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง ใช้วิธีที่พิเศษ วาดไว้บนแผ่น หลังของเสวี่ยหยา กลายเป็นขุนศึกที่ภักดี

ความคิดวนเวียนไปในหัวของมู่ชิงเกอ

มีบางปัญหาที่เวลาเพียงครู่เดียวไม่อาจแก้ไขได้

นางเงยหน้าขึ้น แต่ภาพที่ปรากฏเข้ามาในสายตา กลับทำให้นัยน์ตาของนางหดตัวลง จากนั้นก็ถูกเติมเต็มด้วยความประหลาดใจ

“เจ้า…พวกเจ้าเป็นอะไรไป?” มู่ชิงเกอกะพริบตา หลังจากแน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่ได้สายตาพร่าไป ก็เอ่ยถามอย่างแปลกใจ

ตรงหน้าของนาง ไป๋สี่ หยินเฉินและหยวนหยวนยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนับตั้งแต่เริ่มฝึกปรือมา

แต่เส้นผมบนหัวของพวกเขากลับชี้ตั้งขึ้นท้องฟ้า แล้วก็ยังมีควันลอยออกมา แถมมีกลิ่นเหม็นไหม้

พวกเขาทั้งสามดูเหมือนกับถูกสายฟ้าฟาด หน้าตาดำมะเมี่ยม ไหนเลยจะมีใบหน้าหล่อเหลางดงามเช่นก่อน?

เหมิงเหมิงก็ไม่รู้ว่ามาอยู่ภายในชั้นสามตั้งแต่เมื่อไหร่ สายตาเต็มไปด้วยความเห็นใจมองดูพวกเขา

“เจ้ายังจะถามพวกเราอีกหรือ?” ไป๋สี่มองมู่ชิงเกออย่างงอนๆ

หยินเฉินถอนหายใจออกมา หลบสายตาออกไป

หยวนหยวนยิ่งเอ่ยอย่างอดสูออกมาว่า “ลูกพี่ท่านแม่ หยวนหยวนทำผิดอะไรท่านถึงได้ใช้สายฟ้าลงโทษ? ฮือ ฮือ ฮือ ครั้งหน้าหยวนหยวนจะไม่เล่นกับท่านแล้ว!”

มู่ชิงเกอมึนงง

นางชี้มือกลับมายังจมูกของตนเอง เอ่ยถามอย่างไม่แน่ ใจ “ข้า?”

นางใช้สายฟ้าใส่พวกเขางั้นหรือ? หรือว่าในระหว่างการฝึกปรือพลังพิเศษสายฟ้าของนางสามารถออกอาละวาดได้เอง?

สีหน้าของมู่ชิงเกอเปลี่ยนจากสีหน้าที่ดูประหลาดใจเป็นมึนงง ไม่ได้มีความทรงจำใดๆ เลย ที่นางจดจำได้เพียงอย่างเดียวก็คือเงาร่างที่ปรากฏขึ้นจากเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนภายในทะเลแห่งการรับรู้

“ใช้สายฟ้าใส่พวกข้าก็ถือว่าแล้วไป แต่คิดจะหนีก็ยังขยับไม่ได้ทำได้แต่เพียงถูกเจ้ารังแกเช่นนี้ช่างน่าเจ็บใจนัก!” ไป๋สี่กัดฟัน สายตาที่มองมู่ชิงเกอฉายแววเยียบเย็นเล็กน้อย

พอคิดว่านางที่เป็นถึงสัตว์มหาเทพโบราณ อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ กลับมาถูกรังแกเช่นนี้ได้ก็ช่างยากที่จะอดทนได้นัก!

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างหมดวาจาจะกล่าว

“เจ้าไม่รู้งั้นรึ?” หยินเฉินทอดสายตาที่ดูสงสัยมองไปยังมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างจริงจัง นางไม่รู้จริงๆ

“เจ้าไม่รู้ว่าเมื่อครู่อันตรายแค่ไหนงั้นหรือ?” ไป๋สี่ถามนางอย่างตรวจสอบ

นางจ้องทุกความเคลื่อนไหวของมู่ชิงเกอ ป้องกันไม่ให้นางผลัก ‘ความรับผิดชอบ’ โกหกไป แต่ว่า ไม่ว่านางจะมองอย่างไรก็มองหาจุดบอดไม่ออก

นางค่อยๆ เชื่อในคำพูดของมู่ชิงเกอ และก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น

ประสบการณ์อันน่าตกตะลึงเมื่อครู่ พวกเขาล้วนแต่เป็นห่วงมู่ชิงเกอ ส่วนนางกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย? แปลกประหลาดอะไรเช่นนี้?

ยังมีสายฟ้าที่แปลกประหลาดนั่นอีก เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

“แค่ก แค่ก พวกเจ้าทั้งสามจัดการกับใบหน้าของตัวเองเสียหน่อยได้ไหม?” ท่าทางที่ดูแปลกประหลาดของทั้งสามทำให้มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือน

ในขณะนั้น สองใหญ่และหนึ่งเล็กก็ชะงัก พริบตาเดียวก็หายตัวไปจากตรงหน้าของมู่ชิงเกอ

หลังจากพวกเขาจากไปแล้ว สีหน้าแปลกๆ ของมู่ชิงเกอถึงได้ถูกเก็บกลับมา ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น

“เหมิงเหมิง เมื่อครู่นี้พลังพิเศษสายฟ้าของข้าหลุดออกจากการควบคุมงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอมองไปทางเหมิงเหมิงแล้วเอ่ย

เหมิงเหมิงส่ายหน้า “ไม่เหมือนกับว่าหลุดออกจากการควบคุม แต่เป็นเหมือนกับเคลื่อนไหวเองเพื่อช่วยท่าน”

“ช่วยข้า?” มู่ชิงเกอยิ่งสงสัย

เหมิงเหมิงพยักหน้า “เมื่อครู่นี้อันตรายมากจริงๆ ลมหายใจและหัวใจของเจ้านายหยุดชะงัก เส้นชีพจรก็กำลังจะแตก…”

เหมิงเหมิงบอกรายละเอียดแก่มู่ชิงเกอ หลังจากนางฟังจบแล้ว ในใจก็เกิดความหวาดกลัวย้อนหลัง

เกือบไปแล้ว นางเกือบจะได้กลับไปสู่การเป็นคนไม่ได้ความอีกแล้ว!

ตอนนี้นางไม่ได้มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเส้นชีพจรได้อีกแล้ว

‘ความมุทะลุคือปีศาจ คนโบราณไม่ได้หลอกลวงข้า!’

มู่ชิงเกอเอ่ยในใจอย่างหวาดเสียว

ช่วงนี้ เพื่อการฝึกปรือนางใจร้อนเกินไปจริงๆ เพื่อความสำเร็จแล้วเสี่ยงอันตราย นี่ก็ถือเป็นข้อห้ามสำคัญใน ตำราศึก

มู่ชิงเกอขบริมฝีปาก เตือนตนเองในใจ ถึงแม้ว่าการกระตุ้นในครั้งนี้จะทำให้นางได้เข้าใจถึงเนื้อหาในเคล็ดวิชาเทวะ แต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะโชคดีเช่นนี้ไปตลอดได้

‘ดูเช่นนี้แล้วการฝึกปรือร่วมกันเพื่อให้ได้รับความเร็วสี่เท่านั้น ไม่อาจทำได้บ่อยๆ’ มู่ชิงเกอพูดกับตัวเอง

ตอนที่ออกจากช่องว่าง ท้องฟ้าด้านนอกได้มืดลงมาอีกครั้งแล้ว

เวลาเพียงวันเดียว กลับผ่านไปอย่างไม่รู้ตัวเช่นนี้แล้ว

มองดูสีท้องฟ้า มู่ชิงเกอก็ชะงัก ถอนหายใจกับเวลาที่ผ่านไป

เนื้อหาในเคล็ดวิชาเทวะ นางไม่เคยเปิดเผยแก่ใคร ไม่ใช่ไม่เชื่อถือ แต่เป็นเพราะนางเองก็ยังไม่เข้าใจและก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร

“ถ้าหากว่าคนผู้นั้นอยู่ก็จะดี” มู่ชิงเกอพึมพำกับตัวเอง นิ้วมืออดไม่ได้จับไปที่กระดิ่งหว่างเอวของตน ที่มาของเคล็ดวิชาเทวะเป็นซือมั่วบอกนาง หรือว่าเขายังจะรู้เนื้อหาบางอย่างอีก

เพียงแต่น่าเสียดาย ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนในตอนนี้นั้นไกลเป็นหลายหมื่นลี้ไม่อาจพบเจอกันได้เลย

ส่วนกระดิ่งที่มีความหมายพิเศษนี้ก็ทำได้แค่เพียงส่งข่าวสารง่ายๆ บางอย่างเท่านั้น ไม่มีวิธีที่จะใช้มันพูดคุยเรื่องที่ซับช้อนอย่างเรื่องเคล็ดวิชาเทวะได้

มู่ชิงเกอหยิบเอากระดิ่งขึ้นมาไว้ในมือ เขย่าเบาๆ

เสียงสดใสของกระดิ่งดังออกมา สะท้อนไปมาในห้อง ไม่นานกระดิ่งในมือของนางก็สั่นขึ้นในทันใด พร้อมกับส่งเสียงอีกครั้ง นี่ทำให้มุมปากของมู่ชิงเกอฉีกออกเป็นรอยยิ้มสุขใจ ทุกครั้งที่มีเสียงกระดิ่งดังขึ้น นางจะรู้สึกเหมือนกับว่าซือมั่วอยู่ข้างกายของตนเอง อยู่ในกระดิ่งไม่เคยจากไปไหนมาก่อน

ใช้นิ้วลูบกระดิ่งเบาๆ มู่ชิงเกอค่อยๆ วางมันลงอย่างระมัดระวัง ทำให้มันกลับไปอยู่หว่างเอวของตนเองอีกครั้ง ติดอยู่กับร่างกายของตนเอง ไม่นานโย่วเหอกับฮวาเยวี่ยก็ยกถาดอาหารเย็นเข้ามาในห้อง

เห็นมู่ชิงเกอยืนอยู่ในห้อง ฮวาเยวี่ยยิ้มแล้วเอ่ยว่า “คุณชาย ท่านฝึกปรือมาทั้งวัน หิวหรือยังเจ้าคะ?”

มู่ชิงเกอได้สติ มองไปยังอาหารที่สาวใช้ทั้งสองยกเข้ามา ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าท้องว่าง แต่ว่าพอมองเห็นอาหารที่ถูกปากก็รู้สึกหิวแล้ว”

พูดแล้วนางก็นั่งลงข้างโต๊ะ หยิบตะเกียบขึ้นมา

หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว มู่ชิงเกอก็เช็ดมุมปาก มองสาวใช้ทั้งสองแล้วถามว่า “มั่วหยางกับเสวี่ยหยาอยู่ไหน?”

โย่วเหอย่อกายลงแล้วค่อยเอ่ยว่า “มั่วหยางเพิ่งกลับมาไม่นาน แม่นางเสวี่ยหยากำลังแนะนำเสี่ยวไห่ฝึกปรือพลัง”

มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ เอ่ยกับนางว่า “เรียกมั่วหยางมาพบข้า”

พูดจบ นางก็หันมาชี้ๆ ที่ไหล่ของตนเอง ขมวดคิ้วเอ่ยกับฮวาเยวี่ยว่า “เสี่ยวฮวาเยวี่ย คุณชายของเจ้าเหนื่อยแล้ว”

ฮวาเยวี่ยขบริมฝีปากยิ้มออกมา นำเอาตะเกียบและชามที่เก็บแล้วไปวางไว้ในมือของโย่วเหอ เช็ดมือของตนเองให้สะอาด จากนั้นถึงได้เดินมาถึงด้านหลังของมู่ชิงเกอ วางมืออ่อนนุ่มไว้บนไหล่ของนาง บีบเบาๆ มุมปากของมู่ชิงเกอฉีกออกมาอย่างเบาสบาย เอ่ยว่า “ยังคงเป็นฮวาเยวี่ยของข้าที่เข้าใจวิชาฝ่ามือ”

“หากว่าคุณชายชอบ ฮวาเยวี่ยก็จะนวดให้ท่านไปชั่วชีวิต” ฮวาเยวี่ยเอ่ยยิ้มๆ

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วส่ายหน้า “เช่นนั้นไม่ได้ อยู่ข้างกายข้าไปชั่วชีวิต เจ้าจะไม่แต่งงานแล้วหรือ?”

“ข้าไม่อยากแต่งงาน!” ฮวาเยวี่ยเอ่ยอย่างเอียงอาย

ในตอนนี้เอง มั่วหยางก็มาถึงภายในห้อง

ฮวาเยวี่ยหยุดลิ้นของนางไว้ที่ประเด็นนี้อย่างน่าเอ็นดู มองเห็นฉากในห้อง มั่วหยางก็ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร

ความคุ้นชินของมู่ชิงเกอที่เป็นเช่นนี้ เขาก็เคยชินมานานแล้ว เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณชายถึงได้ชอบบีบๆ นวดๆ เช่นนี้

เขาไม่รู้ว่า ในชีวิตก่อนของมู่ชิงเกอ หลังจากการฝึกหนัก ก็ต้องมีการบีบนวดคลายกล้ามเนื้อเช่นนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ กลายเป็นวิธีผ่อนคลายที่นางชอบ

ข้ามมิติมา นางก็มองทะลุถึงความสามารถของฮวาเยวี่ยในด้านนี้ แน่นอนว่าต้องบ่มเพาะขึ้นมาเป็นอย่างดี

“สืบได้ความว่าอย่างไร?” มู่ชิงเกอทั้งรับการบีบนวดจากฮวาเยวี่ย ทั้งถามออกไป

มั่วหยางหลุบตาเอ่ยว่า “คนที่ส่งออกไปสืบข่าวกลับมากันหมดแล้ว เกี่ยวกับตระกูลเล่อ ช่วงนี้พวกเขาล้วนกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมการแข่งขันจัดลำดับ มองจากผิวเผินก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ทว่า บ่าวได้รับรู้เบื้องลึกมาว่า ตระกูลเล่อจัดประชุมทุกๆ ต้นเดือนและปลายเดือน พรุ่งนี้เป็นต้นเดือน และก็เป็นวันที่พวกเขาจะจัดประชุม อีกอย่างเกี่ยวกับเรื่องรถลากสัตว์อสูรที่ดูอันตรายนั่น บ่าวสืบก็ยังสืบหาไม่ได้…”

มั่วหยางขมวดคิ้ว ดูเหมือนไม่พอใจในผลลัพธ์นี้ “แต่ว่าวิเคราะห์จากคำพูดของชาวบ้านในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง ในบริเวณแถบเมืองใกล้เคียง รวมทั้งเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงในบางช่วงเวลาจะมีเหตุการณ์คนหายเกิดขึ้น เพียงแต่ว่าคนที่หายไปส่วนมากล้วนแต่เป็นชาวบ้านที่ไม่มีตระกูลเป็นที่พึ่งหรือไม่ก็ชาวบ้านธรรมดา และมีบ้างที่จะเป็นคนที่ผ่านทางมา ดังนั้นจึงไม่ได้ทำให้ฐานกำลังต่างๆ เกิดความสนใจ พวกชาวบ้านก็ได้แต่หวาดกลัวและโกรธแค้นในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้”

“ดูท่า เมื่อคืนเรื่องที่เจ้าพบเจอก็จะไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้น

มั่วหยางขบริมฝีปากไม่พูดจา

คำพูดของมู่ชิงเกอเขาก็คิดได้แล้วเช่นกัน

แต่เดิมเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา แต่ว่าพวกเขากลับคิดไม่ถึงว่าจะพบเจอกับฉินอี้เหยาที่หายสาบสูญไปนาน แล้วนางยังมาหายไปอีกครั้ง และการหายไปของนางกลับไปเกี่ยวข้องกับการหายไปอย่างแปลกประหลาดของพวกชาวบ้าน

“คุณชาย พวกเรายังจะต้องสืบต่อไปอีกหรือไม่?” มั่วหยางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

ตอนนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างฉินอี้เหยาและมู่ชิงเกอนั้นดูซับซ้อนไปหน่อย

“สืบ” ในนํ้าเสียงของมู่ชิงเกอไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย

นางค่อยๆ ยืนขึ้นมา นัยน์ตาฉายแววเยียบเย็น เอ่ยกับมั่วหยางว่า “เจ้าต้องสืบเบาะแสของฉินอี้เหยาให้เจอ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

มั่วหยางชะงัก เอ่ยในทันที “บ่าวรับทราบแล้ว!”

ความหมายของมู่ชิงเกอนั้นชัดเจน นางต้องการรู้ถึงเบาะแสของฉินอี้เหยา ถ้าหากว่าการหายไปของฉินอี้เหยาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ชาวบ้านหายไป เช่นนั้นเรื่องนี้พวกเขาก็ต้องเข้าไปยุ่งด้วยแล้ว ถ้าหากว่าไม่เกี่ยวข้อง พวกเขาก็คงไม่ไปสนใจเบื้องหลังของเรื่องนี้

“พรุ่งนี้ข้าจะไปที่ตระกูลเล่อ ฟังดูว่าตอนประชุมพวกเขาจะพูดอะไรกันบ้าง” อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้น มั่วหยางมองมู่ชิงเกออย่างประหลาดใจ ดูเหมือนว่า กำลังถามว่า คุณชายจะเข้าไปในจวนตระกูลเล่อได้อย่างไร และยังจะไปได้ยินเนื้อหาที่พวกเขาคุยกันได้อย่างไร?

ความหมายในสายตาของมั่วหยางเหตุใดมู่ชิงเกอจะไม่ รู้? แต่ว่านางก็ไม่ได้อธิบาย เพียงแต่ยิ้มอย่างลึกลับ “ข้ามีวิธีก็แล้วกัน”

เห็นเช่นนี้แล้ว มั่วหยางก็ไม่ได้ถามมากความอีก

เขาล้วงรายงานออกมาจากหน้าอก ยื่นสองมือให้แก่มู่ชิงเกอ “คุณชาย นี่เป็นข้อมูลของตระกูลอื่นๆ ทั้งสี่ตระกูล ตระกูลเจี่ยงนั้นพวกเราก็ให้ความสนใจเป็นพิเศษ คืนเมื่อวานหลังจากเจี่ยงเทียนอี้ถูกลอบฆ่าแล้ว พอกลับถึงตระกูลเจี่ยง ตระกูลเจี่ยงก็ส่งคนออกมาไม่น้อยค้นหาภายในเมือง เพียงแต่ไม่พบอะไร ยังมี ตระกูลเซิ่งที่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดวันนี้ก็ส่งคนจำนวนไม่น้อยออกมาลอบหาอะไรบางอย่างอย่างลับๆ ดูท่าทางของพวกเขาแล้ว ดูเหมือนว่ากำลังหาคน เพียงแต่ไม่ได้ทำอย่างกระโตกกระตากใหญ่โต”

มู่ชิงเกอรับเอารายงานมา แต่ก็ไม่ได้อ่านในทันที แต่กลับเอ่ยถามว่า “ตระกูลเซิ่ง? สืบหาเรื่องของเจี่ยงเทียนอี้ได้หรือยังว่ามีบุญคุณความแค้นอะไรกับหญิงที่ถูกตัด แขนขาตัดลิ้นและทำลายโฉมหน้านางนั้น?”

นางไม่ค่อยสนใจว่าตระกูลเซิ่งจะเสาะหาใคร แต่ว่าเจี่ยงเทียนอี้กลับมีความเกี่ยวข้องกับฉินอี้เหยา

ฉินอี้เหยาบอกว่าที่ลอบฆ่าเจี่ยงเทียนอี้ก็เพื่อแก้แค้นให้ผู้หญิงคนนั้น เช่นนั้นก่อนหน้านี้ก็ต้องมีเรื่องราว

มั่วหยางเอ่ยเสียงเข้มว่า “เจี่ยงเทียนอี้เป็นคนเจ้าชู้ชอบรังแกผู้หญิงในเมืองเป็นปกติ ลวนลามและลักพาตัว รอจนเบื่อแล้วก็จะทำร้ายแล้วโยนทิ้งอย่างป่าเถื่อน คิดว่า หญิงคนนั้นน่าจะเป็นหนึ่งในเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย”

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอวาววาบอย่างเย็นชาขึ้น ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ช่างเป็นพวกเศษเดนเสียจริง! เพียงแต่ว่านี่เป็นชนิดที่อยู่ชั้นตํ่าสุด”

ภายในห้องที่มืดและอับ รอยกายมีแต่กลิ่นเหม็น

ฉินอี้เหยาฟื้นขึ้นมาจากอาการสลบ สองมือกวาดออกไป ท่ามกลางความมืด ก่อนจะสัมผัสได้ถึงฟางที่อับชื้น

“ที่นี่คือที่ไหน?” ทันใดนั้น ข้างกายของนางก็เกิดเสียงที่ดูตื่นตกใจดังขึ้น ทำให้นางรู้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ที่นี่คนเดียว

หลังจากออกจากแคว้นฉินและผ่านประสบการณ์ต่างๆ ก็ทำให้นางเปลี่ยนเป็นนิ่งและสุขุมมานานแล้ว ไม่ว่าจะ พบเจอกับเรื่องอะไร ก็ไม่อาจทำให้นางหลุดเสียงหวาดกลัวออกมาได้

นางเม้มริมฝีปาก คิดย้อนกลับไปถึงเรื่องราวที่ผ่านมา

นางต้องจากไป! ก่อนที่ตระกูลเจี่ยงจะตั้งตัวได้ทัน ออกไปจากเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง หนีไปจากการไล่ล่าของตระกูลเจี่ยง จากนั้นก็ค่อยหาสถานที่ปลอดภัย หลังจากฝึกปรือจนข้ามถึงระดับพลังชั้นสีม่วง แล้วก็ค่อยตัดสินใจใหม่อีกครั้ง

เพราะว่าอยู่ในสถานที่แห่งนี้นางอ่อนแอมากจริงๆ!

แต่ว่า นางยังไม่ได้วิ่งไปไกล ก็ได้ยินเสียงล้อหมุนดังมา จากนั้นนางที่ตกอยู่ในสภาวะไม่อาจขัดขืนก็ถูกกรงเล็บเหล็กจับเอาไว้จับมาขังไว้ในห้องโดยสารรถที่ปิดทึบแห่งนี้

นางจำได้ว่าในห้องโดยสารรถนั้นไม่ได้มีนางแค่คนเดียว

แต่ว่าหลังจากนางถูกจับมาไม่นาน นางก็สลบไป หลังจากตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็มาอยู่ที่นี่แล้ว

เช่นนั้น ปัญหาสามข้อที่อยู่ตรงหน้าของนางก็คือ

หนึ่ง ที่นี่คือที่ไหน?

สอง จุดมุ่งหมายที่พวกเขาจับคนเหล่านี้มาคืออะไร?

สาม ที่สำคัญที่สุด นางจะหนีออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร

หลังจากคิดถึงแนวทางแล้ว ฉินอี้เหยาก็ยิ่งจิตใจสงบมากขึ้น

นางค่อยๆ ลุกขึ้น พยายามทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่มืดมิดรอบด้าน

นางค่อยๆ มองเห็นสภาพแวดล้อมรอบด้านอย่างมัวๆ ที่นี่ไม่ได้มีแค่นางเพียงคนเดียวจริงๆ ประมาณดูแล้วก็มีเงาคนสิบกว่าคน บางคนที่ไม่ขยับก็อาจจะยังไม่ฟื้น มีบางส่วนที่ตื่นแล้ว แต่ก็เอาแต่ร้องไห้เพราะหวาดกลัว

“มีคนไหม? มีคนหรือไม่? พวกเจ้าเป็นใคร? เหตุใดจึงจับข้ามา?” เสียงที่ดังก่อนหน้านี้ดังขึ้นมาอีกครั้ง

นี้เป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง

ฉินอี้เหยาเอ่ยความคิดในใจ นางในตอนนี้นั้นแต่งกายเป็นผู้ชาย กลับถูกขังรวมกับผู้หญิงงั้นหรือ? เป็นเพราะการปลอมตัวของนางถูกจับได้แล้ว หรือว่าที่นี่จับผู้ชายและผู้หญิงรวมกันกันแน่?

“อย่าเรียกเลย เวลาที่พวกเขาคิดจะให้พวกเรารู้ก็จะปรากฏตัวออกมาเอง” ฉินอี้เหยาเอ่ยเสียงเข้มกับคนในความมืด

“เป็นใคร เป็นใครกำลังพูด?” เสียงที่ดังก่อนหน้านี้เอ่ย ออกมาอย่างตื่นๆ

ฉินอี้เหยาขบริมฝีปากเอ่ยว่า “เหมือนกันกับเจ้า เป็นคนที่โดนจับมา และก็เหมือนเจ้าที่ไม่รู้อะไรเลย”

คำพูดนี้ทำให้คนที่พูดล้มเลิกความคิดที่จะถามต่อ

“เหตุใดข้าถึงได้โชคร้ายขนาดนี้?”

ถึงแม้ว่าจะมองไม่ เห็นลักษณะของนาง แต่ฉินอี้เหยาก็ยังสามารถได้ยินถึงความสิ้นหวังและหวาดกลัวได้จากเสียงของนาง

ภายในความมืด ในที่สุดก็เงียบสงบลง เหล่าคนที่ตื่นขึ้นมานั้น หลังจากได้ยินคำพูดระหว่างฉินอี้เหยากับหญิงคนนั้นแล้ว ก็ล้วนแต่ปิดปากสนิทไม่พูดจา เพียงแต่กำลังกังวลใจกับอนาคตของตัวเอง

เพิ่งผ่านไปครู่เดียว อยู่ดีๆ หญิงคนนั้นก็ร้องตะโกนขึ้นมา

“อ้า—–! พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?รีบปล่อยข้าไปนะ! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร? ข้าเป็นคุณหนูของตระกูลเซิ่งเชียวนะ! พวกเจ้าจับข้ามา ตระกูลเซิ่งจะต้องไม่ปล่อยพวกเจ้าไปอย่างแน่นอน!”

ตระกูลเซิ่ง!

ฉินอี้เหยาหัวใจเต้นโครม

ตระกูลเซิ่ง นางแน่นอนว่ารู้จัก

เพื่อที่จะฆ่าเจี่ยงเทียนอี้ ก่อนที่นางจะดำเนินการ ก็ได้สืบเรื่องตระกูลใหญ่ห้าตระกูลภายในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงมารอบหนึ่ง ตระกูลเซิ่งเป็นหนึ่งในห้าพยัคฆ์ของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง

คุณหนูของตระกูลเซิ่งถูกจับมาไว้ที่นี่กับตนได้อย่างไร? “ที่นี่เหม็นมาก พวกเจ้ารีบปล่อยข้าออกไปเดี๋ยวนี้ ได้ยินหรือไม่”

หญิงคนนั้นร้องออกมาอีกครั้ง ประโยคนี้ดูเหมือนว่าจะเข้ากับกับสถานะของคุณหนูตระกูลใหญ่ของนาง

ฉินอี้เหยาคิดเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “หากเจ้าเป็นคุณหนูตระกูลเซิ่งจริงๆ แล้วเหตุใดจึงถูกจับมาที่นี่ได้?”

หญิงสาวในความมืดนิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยออกมาอย่างอดสูว่า “ข้าเพียงแค่ลอบหนีออกจากบ้านมาเล่นเท่านั้นเอง คิดไม่ถึงว่าจะโชคร้ายถึงขนาดนี้? ข้าเป็นคุณ หนูของตระกูลเซิ่งจริงๆ เจ้าไม่เชื่องั้นหรือ?”

“ข้าเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือคนที่จับพวกเรามานั้นจะเชื่อหรือไม่” ฉินอี้เหยาเอ่ยออกไป

คำพูดของนาง ทำให้หญิงสาวตระกูลเซิ่งสงบลง

ดูเหมือนว่าคำพูดนี้จะทำให้นางเข้าไปสู่ความสิ้นหวังอีก

ไม่นาน ฉินอี้เหยาก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “เจ้าเป็นคุณหนูตระกูลเซิ่ง พลังฝึกปรือน่าจะไม่ตํ่า เหตุใดจึงถูกจับมาได้ง่ายดายเช่นนี้?”

ภายในความมืด ก็มีเสียงของหญิงสาวตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “ข้าอยู่ระดับสีเทาชั้นหนึ่งเท่านั้น ไม่อาจพูดได้ว่าร้ายกาจ อีกอย่าง การเคลื่อนไหวของพวกเขา เร็วเกินไป เพียงครู่เดียวข้าก็ถูกจับมาไว้ในรถโดยสาร จากนั้นก็สลบ ไหนเลยจะขัดขืนอะไรได้?”

พบเรื่อง เหมือนกันกับข้าเลย! ฉินอี้เหยาคิดในใจ

“เช่นนั้นตอนนี้ละ?” ฉินอี้เหยาเอ่ยถาม

ถ้าหากว่าคุณหนูตระกูลเซิ่งสามารถต่อต้านได้ ไม่แน่พวกนางอาจยังมีโอกาสหนี

แต่ว่า คุณหนูของตระกลเซิ่งกลับตอบว่า “หลังจากข้าตื่นขึ้นมา ก็ได้ตรวจสอบแล้ว พลังของข้าดูเหมือนจะถูกผนึกไว้ไม่อาจใช้ได้”

ฉินอี้เหยาชะงัก เหตุใดนางจึงไม่มีความรู้สึกอะไรเลย?

จากนั้น นางก็ยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้ เอ่ยกับตัวเองในใจว่า ‘ดูท่า พลังฝึกปรือของนางจะต่ำจนถึงขั้นที่นางไม่สามารถสัมผัสได้เลยว่านางนั้นโดนวางยาแล้ว’

เมื่อได้บทสรุป นางก็สงบสติอารมณ์เอ่ยเสียงเข้มว่า “คุณหนูเซิ่ง ถ้าหากว่าเจ้าเป็นคุณหนูเซิ่งจริงๆ เช่นนั้น เจ้าก็สามารถมีบทสรุปได้สองทาง หนึ่งคือคนที่จับพวก เรามาเชื่อในคำพูดของเจ้า เกรงกลัวอำนาจของตระกูลเซิ่งจึงฆ่าเจ้าทิ้ง”

“ฆ่าข้า? เพราะเหตุใด?” คุณหนูตระกูลเซิ่งเอ่ยถามเช่นนี้ได้ ก็เห็นได้ชัดว่านางยังไม่เคยออกมาสู่โลกภายนอก ถูกตระกูลปกป้องไว้ดีเกินไป

ฉินอี้เหยายิ้มอย่างขมขื่นในใจ ถึงได้อธิบายว่า “ปล่อยเจ้าไปแล้วก็กลัวว่าจะถูกตระกูลเซิ่งล้างแค้น ดังนั้นก็ไม่สู้ฆ่าเจ้าปิดปาก แน่นอนว่ายังมีอีกทางหนึ่งคือ พวกเขาไม่เชื่อว่าเจ้าเป็นคุณหนูตระกูลเซิ่งจริงๆ ก็จะลงโทษเจ้าอย่างหนักเพราะเจ้าคิดหนี จากนั้นก็ค่อยจัดการเจ้าพร้อมกันกับพวกเรา”

“อ้า! ข้าไม่เอา! ข้าอยากกลับบ้าน!” หญิงสาวตระกูลเซิ่งร้องขึ้นอย่างตื่นกลัว

นางพุ่งมาข้างหน้าในความมืด ดูเหมือนคิดจะหาตำแหน่งของฉินอี้เหยา

แต่ว่า ที่นี่มืดเกินไป และก็สกปรกมาก กลิ่นที่เหม็นทำให้ นางยากจะเดิน ทำได้เพียงแต่ใช้สองแขนคว้าจับในความมืด ร้องว่า “เจ้าฉลาดถึงขนาดนี้ จะต้องช่วยข้าหาวิธีหนีออกไปได้อย่างแน่นอน ใช่หรือไม่?”

“ช่วยเจ้างั้นหรือ?” มุมปากของฉินอี้เหยายิ้มเล็กน้อย ดวงตาที่หลุบลงซ่อนความคิดของนาง “ข้าจะได้ผลประโยชน์อะไร?”

“เจ้าช่วยข้า พวกเราก็สามารถหนีออกจากที่นี่ไปด้วยกันได้ รอกลับถึงตระกูลเซิ่ง เจ้าต้องการผลประโยชน์อะไร ข้าก็จะให้เจ้า!” หญิงตระกูลเซิ่งรีบเอ่ย

ฉินอี้เหยากลับไม่ได้หวั่นไหวเลยแม้แต่นิดเดียว “เหล่านี้ เป็นเพียงแค่คำสัญญาปลอมๆ เท่านั้น เรื่องที่สำคัญตรงหน้าก็คือ ข้าช่วยเจ้า เจ้าสามารถช่วยข้าได้หรือไม่”

“ข้าสามารถช่วยเจ้าได้อย่างไร?” หญิงของตระกูลเซิ่งมึนงง

ครั้งนี้ฉินอี้เหยาไม่ได้เอ่ยต่ออีก หญิงตระกูลเซิ่งคิดจะหนี นางก็คิดจะหนี เช่นนั้นพวกนางก็ต้องร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน ไม่แน่อาจจะมีโอกาส ส่วนเหล่าคนที่เอาแต่ร้องไห้นี้ก็เป็นคนที่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาแล้ว นางก็ไม่ได้คิดจะไปร่วมมือกับพวกเขา หรือว่าช่วยพวกเขา

ผ่านเรื่องราวมามากมาย นางก็ไม่ใช่องค์หญิงแห่งราชวงศ์ฉินคนเดิมมานานมากแล้ว

ไม่มีความสามารถแล้วยังคิดจะช่วยคน เช่นนั้นเรียกว่า ไม่เจียมตัวเอง!

ความมืดยามราตรีเข้ากลํ้ากราย มู่ชิงเกอตอนนี้ก็กำลังนอนอยู่บนเตียง ดูคล้ายกับกำลังหลับลึก แต่ภายในความฝันของนาง นางตอนนี้ก็กำลังฝึกฝนตามวิธีของเคล็ดวิชาเทวะส่วนบน ทดลองการฝึกฝนที่นางคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version