Skip to content

พลิกปฐพี 230

ตอนที่ 230

คนฆ่านาง นางฆ่าคน

ความรู้สึกเมื่อวิญญาณออกจากร่างเป็นอย่างไร?

มู่ชิงเกอในเวลานี้ก็เหมือนกับว่ากำลังอยู่ในลักษณะเช่นนี้! นานแล้วที่นางไม่ได้หลับฝัน หลังจากความง่วงงุนจู่โจมเข้ามา ก็คิดไม่ถึงว่าตนเองจะเข้าสู่ห้วงความฝันลึกรูปแบบนี้ได้…

ท่ามกลางความฝัน นางกลายร่างเป็นเงาร่างสีทองเหล่านั้น เริ่มขยับร่างและโคจรพลังของตนเองตามวิธีการเคี่ยวกรำของเคล็ดวิชาเทวะ นำพลังจิตทั้งหมดในร่าง กายเค้นผ่านจุดตันเถียน ทะลวงผ่านเข้าสู่เส้นลมปราณ

หลังจากนั้นก็โคจรพลังย้อนศร พาพลังจิตเหล่านี้ไหลผ่านอวัยวะภายใน กล้ามเนี้อ กระดูกไปจนถึงเลือด รูปแบบการเคี่ยวกรำที่ผิดแผกแปลกธรรมชาติเช่นนี้สิ่งที่จะตามมาคืออันตรายถึงขั้นที่สามารถระเบิดตนเองได้ทุกเวลา

ท่ามกลางความฝัน มู่ชิงเกอรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดทรมานไปทั่วร่าง เลือดในกายราวกับถูกแผดเผาอย่างไรอย่างนั้น กล้ามเนื้อจวนเจียนจะขยายออกมา เพียงไม่นานตนเองในฝันก็กลายเป็นลูกบอลยักษ์ขนาดใหญ่ จากนั้นเกิดเป็นเสียงดังปัง นางเห็นสภาพตนเองร่างกายแหลกเหลว

เฮือก!

มู่ชิงเกอสะดุ้งผุดลุกขึ้นจากเตียงด้วยอาการตื่นตระหนก แผ่นหลังเย็นเฉียบราวนํ้าแข็ง คิดไม่ถึงว่าเสื้อผ้าจะถูกเหงื่อชโลมจนเปียกชุ่ม

ลมหายใจติดขัดระรัว สะท้อนอยู่ในห้องอันเงียบสงบ

หลังจากที่มู่ชิงเกอสงบสติอารมณ์เป็นปกติ ในใจนางก็บังเกิดความรู้สึกของการมีชีวิตรอดหลังด่านเคราะห์ขึ้นมาทันที นางค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบใบหน้าเย็นเฉียบของตน เอ่ยกับตนเองด้วยความยินดี “ยังดีที่เป็นเพียงแค่ความฝัน ไม่เช่นนั้นคงตายในสภาพน่าอนาถรับไม่ได้ไปจริงๆ แล้ว!”

นางช้อนสายตาขึ้นมอง ถึงได้พบว่า ด้านนอกหน้าต่าง สว่างเสียแล้วที่แท้ก็ผ่านไปคืนหนึ่งแล้วนั้นเอง

มู่ชิงเกอพลันรู้สึกแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย นางจำได้ว่า เมื่อคืนหลังจากที่ตนเองกินมื้อเย็นไปไม่นาน ก็ถูกความง่วงงุนเข้าโจมตี จากนั้นจึงล้มตัวนอนลงบนเตียง ถูก ความฝันว่า ‘ตนเองตายแบบไม่เหลือชิ้นดี’ ทำให้ตกใจตื่น ต่อมาท้องฟ้าก็สว่างแล้ว?

ในการรับรู้ของนาง ราวกับว่าเพียงผ่านไปแค่หนึ่งถึงสองชั่วยามเท่านั้น แต่ความจริงแล้วเวลากลับผ่านไปหนึ่งคืน

ในใจมู่ชิงเกอรู้สึกงุนงงสงสัย แต่ก็ไม่ได้ไปจดจ่อกับมันอีกต่อไป นางหลุบตาลง สายตาตกอยู่บนมือทั้งสองข้าง เลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยขึ้นว่า “เคล็ดวิชาเทวะที่ซือมั่วบอกว่า อยู่สูงเหนือวิชาของเผ่าเทพ หรือว่าจะเป็นวิชายุทธ์ฆ่าคนเล่มหนึ่ง? หรือว่า…เคล็ดวิชาเช่นนี้จะมีเพียงเผ่าเทพเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกฝนได้? แต่ว่า…เหตุใดตระกูลมู่ ถึงได้มีชิ้นส่วนของเคล็ดวิชาเทวะกันล่ะ? ยังมีเผ่าอี๋…”

มู่ชิงเกอค่อยๆ เม้มปากแน่น จมอยู่กับความคิดอันยุ่งเหยิง คนเผ่าอี๋ก็ยอมรับนางเป็นประมุขอย่างน่าประหลาดยากที่จะเข้าใจ จากนั้นก็ใช้เบาะแสของเคล็ดวิชาเทวะเป็นเหยื่อบังคับให้นางรับบ่าวรับใช้เสวี่ยหยาผู้นี้ เหตุใดพวกเขาจึงใช้เรื่องนี้เป็นเหยื่อล่อกัน? หรือว่า พวกเขาจะรู้อยู่แต่แรกแล้วว่านางมีเคล็ดวิชาเทวะ?

หรือว่า พวกเขารู้ว่าปีนั้นบรรพบุรุษตระกูลมู่ได้นำเอาเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนมุ่งหน้าไปหลินชวน

หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาต้องมีความสัมพันธ์ซับช้อนกับตระกูลมู่เป็นแน่

แต่ว่า วิธีการฝึกฝนของเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนนี้ ก็ไม่สามารถฝึกได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ห้วงความฝันเมื่อครู่นี้ เป็นสัญญาณเตือนที่ดีที่สุดแก่นาง

มู่ชิงเกอย่อมนำความฝันก่อนหน้านี้จัดอยู่ในหมวดหมู่ ‘กลางวันคิดมากไปกลางคืนเก็บไปฝัน’

ต้องเป็นเพราะหลังจากที่นางเข้าใจความลับของเคล็ดวิชากลเทวะส่วนบน ในใจที่เอาแต่ครุ่นคิดดังนั้นจึงฝันเช่นนี้เป็นแน่ ส่วนตัวนางในฝันไม่สามารถต้านทานการ หลอกล่อของเคล็ดวิชากลเทวะได้จึงฝึกยุทธ์ตามวิธีการฝึกบนนั้น ผลสุดท้ายที่ออกมาย่อมอนาถเป็นธรรมดา

“ความฝันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองจากจิตใต้สำนึกของเรา หรือว่าร่างกายของข้าใช้วิธีนี้มาบอกข้าว่าไม่ต้องดึงดันที่จะฝึกยุทธ์?”

มู่ชิงเกอลอบเลิกหางคิ้วขึ้น ความคิดตีกันวุ่นวาย นางคิดแล้วคิดอีก หยิบเตา หลอมโอสถออกมา

การหลอมโอสถสามารถรวมจิตคงปราณ ควบคุมจิตใจ ฝึกฝนพลังจิต มู่ชิงเกอยังคงไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปเปล่าๆ เหมือนเช่นเคย มักจะวางแผนการฝึกฝนให้กับตนเองได้อย่างเหมาะสม

หม้อหลอมที่นางหยิบออกมา ก็ไม่ใช่หม้อผลาญสวรรค์ ความนัยแฝงในคำพูดของหัวหน้าโรงโอสถอาวุโส ทำให้นางได้รู้ว่าหม้อผลาญสวรรค์มิใช่แค่เป็นของดีของหลินชวนเท่านั้น อยู่ในโลกแห่งยุคกลางก็เป็นเป้าหมายให้นักปรุงยาแย่งชิงกัน

ในขณะที่นางยังไม่เข้าใจโลกแห่งยุคกลางทั้งหมด นางไม่มีทางนำ ‘เสี่ยวเฮย’ ออกมา ‘ล่อผึ้งล่อผีเสือ’

ดังนั้นหม้อหลอมที่นางนำออกมาก็เป็นเพียงหม้อหลอมโอสถทั่วไป ถึงอย่างไรนางก็อยู่ในขอบของขั้นสมบูรณ์ ถึงจะใช้หม้อหลอมโอสถทั่วไปมาหลอมโอสถ ก็สามารถหลอมได้โอสถคุณภาพสมบูรณ์แบบออกมาได้

ที่เห็นจะแตกต่างก็แค่เพียงจำนวนมีน้อยอยู่บ้าง ความเร็วช้าลงหน่อยก็เท่านั้น

ไม่นานในห้องของมู่ชิงเกอก็เริ่มอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของโอสถ…

ด้านนอกหน้าต่างนั้น ท้องฟ้าสว่างโร่ ความมืดมิดยามราตรีถอยร่นหลบฉากไป

ในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงก็ไม่ได้ตกอยู่ในความสงบเหมือนตอนหนึ่งวันก่อนหน้านี้อีกต่อไป ต่อให้เป็นยามคํ่าคืน บนถนนใหญ่ตามตรอกซอกซอยก็มีคนและม้าที่ต่างกัน กำลังค้นหาบางอย่างกันอย่างแข็งขัน

คนตระกูลเจี่ยง คนตระกูลเซิ่งต่างก็ถือคบไฟค้นหากันทั่วเมือง คลื่นใต้นํ้าบางอย่างที่มองไม่เห็นก็เริ่มปะทุขึ้นมา

ผ่านไปหนึ่งคืน คนที่ออกมาตามหาก็แยกย้ายกันกลับไป โดยที่ไม่ได้อะไรเลย องครักษ์เขี้ยวมังกรที่คอยสอดส่องอยู่เงียบๆ ในเงามืด ก็ล่าถอยกลับออกไปเงียบๆ กลับไปยังจวนที่มู่ชิงเกอพักอยู่ชั่วคราว

สถานที่แห่งหนึ่งที่ฉินอี้เหยาถูกขังเอาไว้ที่ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน บริเวณโดยรอบมืดสนิทเสียจนแยกไม่ออกว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน

ท่ามกลางความมืด ในที่สุดนางก็คลำไปถึงข้างกายของผู้ที่เรียกตนว่าเป็นคุณหนูตระกูลเซิ่ง ทั้งคู่วางแผนกันอย่างรอบคอบแล้วหนึ่งรอบ แต่ยังไม่มีแผนหลบหนีที่มั่นใจว่ามีโอกาส

ฉินอี้เหยาเม้มริมฝีปากพลางเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้ สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน พวกเรายังไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน คนที่จับตัวพวกเรามาเป็นใครกัน พวกเขามีจุดประสงค์ อะไร ข้างนอกมีคนเฝ้าอยู่เท่าไร ทำได้แค่เพียงดูไปก่อน”

สตรีตระกูลเซิ่งผู้นั้นเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ขอเพียงให้ข้าได้ออกไปจากที่นี่ พอออกไปข้างนอกแล้วข้าจะสามารถส่งสัญญาณให้ตระกูลเซิ่ง หากอยู่ในระยะร้อยลี้ของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงก็จะสามารถมองเห็นมันได้ เมื่อถึงเวลานั้นคนตระกูลข้าจะต้องมาช่วยข้า!”

คิดไม่ถึงว่ายังมีไม้นี้!

ในใจของฉินอี้เหยารู้สึกยินดี ต้องบอกว่านี่เป็นโอกาสที่ดี ถ้าหากคนตระกูลเซิ่งออกตามหา โอกาสที่นางจะรอดพ้นย่อมมีมาก

เช่นมันแล้วตอนนี้จะต้องคิดหาวิธีส่งสตรีข้างๆ ออกไปจากคุกมืดนี้ แน่นอนว่านางจะต้องมั่นใจว่าก่อนที่คนตระกูลเซิ่งจะตามหาเจอ คุณหนูตระกูลเซิ่งผู้นี้จะไม่ถูกค้นพบ ไม่ถูกฆ่าตายจากการส่งสัญญาณออกไป มิฉะนั้นแล้ว ที่รอให้คนตระกูลเซิ่งมาถึงก็ไม่ใช่การช่วยชีวิตคนแต่เป็นการฆ่าคนเป็นแน่

ฉินอี้เหยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางเอ่ยถามขึ้นว่า “หลังจากที่เจ้าส่งสัญญาณออกไปแล้ว คนตระกูลเจ้าจะมาถึงได้เมื่อไร?”

สตรีตระกูลเซิ่งคำนวณในใจชั่วครู่ เอ่ยบอกกับฉินอี้เหยาอย่างจริงใจ “ข้าไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ห่างจากเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงไกลเพียงใด ถ้าหากสัญญาณอยู่ในขอบเขตที่บอก พวกเขาจะมาถึงอย่างช้าที่สุดคือครึ่งชั่วยาม”

ดังนั้น ในนี้ยังมีปัจจัยที่ไม่แน่นอนอยู่มาก

ทำเช่นไรดี? เดิมพันหรือไม่เดิมพัน?

ฉินอี้เหยาเม้มกัดริมฝีปากล่างช้าๆ ตกอยู่ท่ามกลางการดิ้นรนต่อสู้และการครุ่นคิดอย่างหนัก

“นี่ พวกเราคุยกันมานานขนาดนี้ ข้ายังไม่รู้เลยว่าเจ้าเป็นบุรุษหรือสตรี แต่ว่าฟังจากเสียงของเจ้าแล้ว อายุน่าจะยังอ่อนวัย ไม่แน่ว่าอาจจะอายุน้อยกว่าข้า แต่ว่าช่างเก่งกาจสามารถคิดอะไรได้ตั้งมากในสิ่งที่ข้าคิดไม่ถึง” คุณหนูตระกูลเซิ่งเอ่ยขึ้นทันใด

ฉินอี้เหยากดเสียงพูดในลำคอตลอด ฟังเสียงแล้วย่อมแยกไม่ออกว่าเป็นสตรีหรือบุรุษ

ได้ฟังความเลื่อมใสในคำพูดของคุณหนูตระกูลเซิ่งแล้ว นางหัวเราะออกมาโดยไม่มีเสียง ดวงตาที่ซ่อนอยู่ในความมืดปรากฏความหดหู่ที่ไม่มีผู้ใดเห็น

การเอ่ยชมของคุณหนูตระกูลเซิ่ง ทำให้นางหวนคิดถึงอดีต นึกถึงคนผู้หนึ่ง ทันใดนั้นภาพชุดอาภรณ์สีแดงเจิดจ้าสะดุดตาราวดวงอาทิตย์ก็ฉายขึ้นมาในห้วงความคิดของนาง ใบหน้างดงามบริสุทธิ์แฝงรอยยิ้มมั่นใจในตนเองอย่างยิ่งยวด คิดอุบายวางแผนการรบทุกย่างก้าวที่ทำ พลิกฝ่ามือเป็นเมฆเป็นฝน บางคราก็เยือกเย็นไร้ใจ บางคราก็อ่อนโยน มากเมตตา…

ในสายตาของนางปรากฏแววคลุมเครือวูบหนึ่ง เอ่ยพึมพำ “ข้าเก่งกาจ? นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่รู้จักคนผู้นั้น ต่อหน้าเขาข้าผู้ซึ่งคิดระมัดระวังในการใช้ชีวิตอยู่บ้างก็ไม่คู่ควรให้เอ่ยชื่นชม ต่อหน้าเขาไม่ว่าข้าจะเลียนแบบเช่นไร ก็ล้วนเป็นเพียงพวกอ่อนแอ”

“ใครกัน! เก่งกาจเพียงนี้? เฉลียวฉลาดกว่าเจ้าอีกรึ?” คุณหนูตระกูลเซิ่งเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ ฉินอี้เหยาหัวเราะด้วยจิตใจซับซ้อน น้ำเสียงชื่นขม “เขา ไม่เพียงแค่เฉลียวฉลาด? เรียกปีศาจเลยก็ว่าได้!”

“เก่งกาจนัก! ข้าอยากพบเขา รอให้พวกเราออกไปจากที่นี่แล้ว ท่านพาข้าไปพบเขาได้หรือไม่? ข้าชอบคนเก่งมาตั้งแต่เล็ก ไม่เหมือนพี่ชายจอมซื่อบื้อของข้า วันๆ เอาแต่ บอกข้าว่าแบบนี้ไม่ได้ แบบนั้นไม่ได้!” คุณหนูตระกูลเซิ่ง วอนขอ ฉินอี้เหยายิ้มขื่นส่ายหน้า “เกรงว่าจะไม่สามารถรับปากเจ้าได้ ตัวข้าเองยังไม่รู้เลยว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้เจอเขาอีกไหม แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าควรจะพบกับเขาไหม”

คุณหนูตระกูลเซิ่งได้ยินความเจ็บปวดที่แฝงอยู่ในคำพูดของนาง

ในขณะที่คิดจะถามก็พลันได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว เป็นเสียงการถอดสลักประตู ราวกับว่าคนที่จับตัวพวกนางมาจะเผยโฉมหน้าแล้ว

“ชู่ว” ฉินอี้เหยาได้สติจากภวังค์ผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายมาหลายครั้งทำให้ร่าทั้งร่างตื่นตัวระวังภัย นางเตือนคุณหนูตระกูลเซิ่งที่อยู่ด้านข้าง “ก่อน หน้าที่สถานการณ์เรื่องราวยังไม่ชัดเจน อย่าได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาง่ายๆ และอย่าได้ออกหน้ายุ่งเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเอง”

เวลานี้คุณหนูตระกูลเซิ่งมองฉินอี้เหยาด้วยความเลื่อมใส นางพยักหน้ารัวๆ ปิดปากตนเองเอาไว้แน่น

ประตูที่ปิดสนิทในที่สุดก็ถูกเปิดออก

แสงที่ไม่เห็นมาเนิ่นนานลอดเข้ามาจากช่องว่างของประตู ขับไล่ความมืดมิดตรงประตู ทำให้ฉินอี้เหยามองเห็นความหนาและวัสดุของประตูได้ชัดเจน นี่เป็นประตูเหล็กทมิฬบานหนึ่ง ประตูหนามาก ด้วยพลังยุทธ์ของนางในตอนนี้ไม่มีทางทำลายได้เลย

จากประสบการณ์ของนาง เกรงว่าจะมีเพียงผู้ที่อยู่ในระดับพลังชั้นสีเทาขึ้นไปถึงจะสามารถทำลายประตูนี้ได้ ประตูถูกคนด้านนอกเปิดออกช้าๆ แสงโอบล้อมมาที่คนหลายคน ส่องสว่างเข้ามาจนพวกเขาปรากฏตัวขึ้นในห้องที่มืดมิด

“เหม็นเกินไปแล้ว” คนที่เพิ่งเข้ามา เดินเข้ามาไม่กี่ก้าวก็เอ่ยด้วยความรังเกียจอย่างอดไม่อยู่

คนที่เข้ามา เป็นบุรุษ!

จากนั้น เขาก็เอ่ยด้วยความหงุดหงิด “ทำที่นี่ให้สว่างขึ้นมาหน่อย มืดอย่างนี้จะให้ข้าเลือกคนได้อย่างไร?”

พอเขาพูดจบคนที่เดินตามเขาเข้ามา ก็ทยอยกันแยกกันไปที่มุมห้อง จุดคบไฟที่แขวนอยู่ตรงผนังให้สว่างไสวขึ้นมา

เปลวไฟที่จุดในห้อง แสงไฟขับไล่ความมืดมิดในห้องจนหายไป พาให้เงาร่างทั้งหมดที่อยู่ในห้องค่อยๆ เด่นชัดขึ้นมาต่อหน้าผู้คน

ไฟตะเกียงผสมผสานกลมกลืน บางแห่งสว่างชัด บางแห่งโดนเงาทับซ้อนยิ่งเพิ่มความมืดมากขึ้น

แต่ว่ากลับทำให้ฉินอี้เหยาและคุณหนูตระกูลเซิ่งได้เห็นสภาพแวดล้อมที่ตนเองอยู่

ที่แท้ที่แห่งนี้ก็เป็นห้องคุมขังแห่งหนึ่ง

ระหว่างตรงหน้าพวกนางกับพวกคนที่เข้ามามีกรงกั้นขวาง ราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อยในกรงอย่างไรอย่าง นอกจากพวกนางแล้ว ยังมีกลุ่มคนอีกเป็นจำนวนไม่ น้อยที่เบียดเสียงอยู่ในห้องคุมขังนี้ และฉินอี้เหยาเองก็ได้เห็นรูปลักษณ์คล้ายสตรีของผู้ที่เป็นคุณหนูตระกูลเซิ่ง นอกจากรอยเปื้อนเล็กน้อยบนแก้มแล้ว นางก็นับว่าเป็นสตรีที่ถือได้ว่างดงามหมดจด ดวงตาซุกซนมองดูแล้วก็มีแววงดงามอยู่หลายส่วน

ในขณะที่นางกวาดตามอง สตรีตระกูลเซิ่งก็มองมาที่นางด้วยความแปลกใจเช่นกัน

พบนางที่แต่งกายเป็นบุรุษก็มีท่าทีขวยอายขึ้นมาทันที ราวกับว่าไม่เคยใกล้ชิดกับบุรุษใดเพียงนี้มาก่อน

“เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้าเป็นสตรี” เกรงว่าคุณหนูตระกูลเซิ่งจะคิดมาก กระทบกับความร่วมมือระหว่างคนทั้งสอง ฉินอี้เหยาจึงได้เอ่ยปากขึ้นฉับพลัน

ได้ยินเสียงเล็กๆ เอ่ยอธิบาย สตรีตระกูลเซิ่งก็ตื่นตกใจ มองนางอย่างพินิจพิจารณา พบเค้าความนุ่มนวลน่ารักบนใบหน้าของนาง ถึงได้แน่ใจเรื่องเพศของนาง

นางแลบลิ้นอย่างทะเล้น เอ่ยกระซิบ “ที่แท้เป็นพี่สาวท่านหนึ่ง”

ฉินอี้เหยาระบายยิ้มน้อยๆ กวาดสายตามองบริเวณรอบๆ อย่างรวดเร็ว ใช้สายตาบอกกับนางว่าอย่าได้ กระโตกกระตาก ก่อนหน้านี้การสนทนาของทั้งสองคน เป็นการพูดคุยเบาๆ ไม่กังวลว่าจะถูกผู้ใดได้ยิน

อีกอย่างตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ คนเหล่านี้โดยมากก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไหนเลยจะมีใครมาสนใจว่าพวกนางคุยอะไรกัน?

สตรีตระกูลเซิ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจ กระเถิบกายเข้ามาใกล้ๆ เม้มปากแน่น

ตอนนี้เอง สายตาของบุรุษที่เดินเข้ามาในห้องคุมขัง กวาดสายตามองมา ฉินอี้เหยารีบหลุบเปลือกตาลง

“เหตุใดสินค้าครั้งนี้ล้วนแต่เป็นคุณภาพเช่นนี้?” คนผู้นั้น เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ความไม่พอใจในนํ้าเสียงทำเอาขมวดคิ้วแน่น

คนผู้หนึ่งรุดกายมาอยู่ข้างๆ เขา เอ่ยขึ้นด้วยความระมัด ระวัง “นายท่าน นายท่านเก้าของเราให้ข้าน้อยบอกว่า ช่วงนี้แต่ละเมืองมีคนหายไปจำนวนไม่น้อย เกิดการ เคลื่อนไหวขึ้นเท่าไร คนที่จะออกมาเพียงลำพังก็จะมีน้อยลง การค้าไม่ราบรื่น นายท่านโปรดอภัย”

เมื่อได้ฟังคำชี้แจง ชายผู้นั้นก็ยังคงแค่นเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์

ทว่าเขาก็ไม่ได้ก่นด่าสิ่งใดต่อ เพียงแค่รับไม้ยาวที่คนข้างตัวยกอยู่ในมือมากำไว้ในมือด้วยความใจร้อน

ไม้ยาวอันนั้นก็คล้ายกับคันเบ็ดที่เอาไว้ใช้ในการตกปลา แต่มันยาวกว่าและหนากว่านิดหน่อย

เขาถือไม้ยาวไว้ในมือ ส่งปลายของไม้ยาวอีกด้านลอดผ่านตะแกรงของลูกกรง

ปลายของไม้ยาวส่ายไหวไปมาในกลุ่มคนด้านใน ราวกับว่ากำลังเลือกสินค้าอย่างไรอย่างนั้น

ฉินอี้เหยาและสตรีตระกูลเซิ่งเบียดกันไปอยู่บริเวณมุมห้อง ลอบสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของไม้ยาวอันนั้น

ไม้ยาวอันนั้นชี้ไปบนร่างบางคน เชยคางของพวกเขาขึ้น ส่วนคนค้านนอกลูกกรงพิจารณาซ้ายขวาแล้วก็ส่ายหน้า ด้วยความผิดหวัง จากนั้นย้ายไม้ยาวไปที่อีกคนหนึ่งเป็นระยะ

ความรู้สึกในการเลือกแบบนี้ทำให้ฉินอี้เหยารู้สึกราวกับตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกแม่เล้าพ่อเล้า นางถูกจับมาเป็นทาสขายตนหรือนี่!

ท่ามกลางความเลือนราง ฉินอี้เหยาราวกับเดาได้ว่าตนเองตกอยู่ในรังโจร เพียงแต่นางไม่คิดว่าที่โลกแห่งยุคกลางนี้ยังคงมีตลาดมืดซื้อขายมนุษย์อยู่อย่างลับๆ เช่นนี้

“แย่ไป สินค้ารอบนี้คุณภาพแย่จริงๆ บอกนายท่านเก้าของพวกเจ้าด้วยว่า สินค้าคุณภาพเช่นนี้ไม่ได้ราคาเดิมเหมือนที่ผ่านมา” ผู้ที่มือถือไม้ยาวเลือกด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ไม่หยุดที่จะหันไปต่อรองราคากับคนข้างตัวเป็นระยะ

คนข้างตัวทำได้เพียงยิ้มรับ

เรื่องของราคา ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาพูดแล้วจะจบได้ ราวกับว่าผู้ที่ถือไม้ยาวก็เข้าใจในจุดนี้ ดังนั้นเพียงแค่บ่นอุบอิบ แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรมากความ

กว่าครึ่งวัน เขาก็กลํ้ากลืนเลือกได้หนึ่งคน ใช้ไม้ยาวจิ้มที่หน้าผากของนาง เอ่ยบอกกับคนข้างๆ ว่า “เลือกนางนี่หนึ่งคน”

จากนั้นลูกกรงก็ถูกเปิดออก มีคนแทรกเข้ามาเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ สตรีที่ถูกเขาเลือก ใช้มือข้างหนึ่งกระตุกผมนางลง

“โอ๊ย!” เดิมทีสตรีก็หวาดกลัวมากอยู่แล้ว เวลานี้ยังได้รับความเจ็บปวด ทนไม่ไหวที่จะส่งเสียงร้องออกมา

ถึงอย่างไร เสียงร้องด้วยความหวาดกลัวนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตนางแต่อย่างใด ผู้ที่เดินแทรกเข้ามาไม่มีจิตใจถนอมหยกรักบุปผาเลยแม้แต่น้อย กระตุกผมนาง ดึงลากตัวออกไปนอกประตู

สตรีผู้นั้นถูกลากไปกับพื้นอย่างอเนจอนาถ หนังศีรษะราวกับถูกฉีกขาด นางใช้สองมือจับมือที่ดึงผมนางไว้แน่น ส่งเสียงร้องไม่หยุด สองเท้าถีบไปมา

แต่สุดท้ายยังคงถูกลากออกไปนอกกรง โยนลงไปกองตรงหน้าคนที่มือไม้ยาวอยู่ดี

“เบามือหน่อย หากเสียหายขึ้นมา ราคาตก พวกเจ้าชดใช้ให้ข้าหรือ?” ผู้ที่ถือไม้ยาวไว้ในมือบริภาษออกมาหนึ่งประโยค

ผู้ที่ลากสตรีออกมา ทำได้เพียงหดคอถอยหลังไปหนึ่งก้าว

ถลึงตาใส่เขาชั่วครู่ ก่อนที่ผู้ถือไม้ยาวในมือจะกลับมาตกอยู่บนร่างของสตรีผู้นั้นอีกครั้ง เขาไล่สายตาขึ้นลงมองนาง สายตาราวกับประเมินสินค้าอย่างไรอย่างนั้น “เงยหน้าขึ้นมา”

ในใจของสตรีที่มอบราบกับพื้นหวาดกลัวเหลือคณา

ได้ยินเสียงนี้ไหนเลยจะกล้าตอบโต้? ร่างกายของนางไม่หยุดสั่น เงยหน้าสั่นหงึกหงัก มองคนตรงหน้านางด้วยท่าทีน่าสงสาร

ผู้ถือไม้ยาวมองนางด้วยความสนใจแวบหนึ่ง แค่นเสียงขึ้นจมูก “’ฝืนใจเลือกๆ ไปเถอะ”

พูดจบก็ไม่ได้สนใจนางอีก ยกไม้ยาวในมือเริ่มต้นการเลือกขึ้นอีกครั้ง

ในห้องคุมขังมีทั้งบุรุษและสตรี แต่ว่ามีสตรีอยู่เป็นจำนวนมาก บุรุษพวกนั้นตอนนี้ยังคงสลบไม่ได้สติ ไม่รู้ชะตากรรมที่ประสบพบเจอในตอนนี้

ในจุดนี้ทำให้ฉินอี้เหยารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เหตุใดผู้ที่ได้สติฟื้นขึ้นมาจึงมีแต่สตรี?

หรือว่ายาสลบนี้มีผลกับบุรุษแรงกว่า?

นางกลับไม่รู้ว่าสิ่งที่นางคาดเดานั้นจะเป็นความจริง

เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวาย ยาที่พวกที่ลักพาตัวพวกนางมาจะต้องใส่ส่วนผสมบางอย่างที่ทำให้ร่างกายบุรุษเหน็บชาขยับตัวได้ไม่ง่ายดายนัก สลบไสลเป็นเวลานาน

เช่นนี้แล้วรอจนพวกเขาฟื้นขึ้นมา เวลาก็ล่วงเลยไปจนเสร็จสิ้นการแลกเปลี่ยนไม้กลายเป็นเรือไปเสียแล้ว

ต่อให้พวกเขาอยากจะต่อต้านก็ไม่มีประโยชน์

ส่วนผู้ที่ถือไม้ยาวอยู่ในมือ ราวกับจะให้ความสนใจเฉพาะสตรี ไม่สนใจบุรุษ ฉินอี้เหยาสังเกตเวลาที่เขาชี้ไม้ยาวไปทางบุรุษที่อยู่ในภาวะหลับใหลเหล่านั้นก็วาดมันข้ามผ่านไป ตกลงไปบนร่างของสตรีที่รํ่าไห้สะอึกสะอื้นพวกนั้น

ชายผู้นั้นเลือกสตรีไปอีกสองนาง แต่ท่าทางของเขาตั้งแต่ต้นจนจบยังคงไม่พอใจ

สุดท้ายเขาก็เลื่อนไม้ยาวจากด้านนอกยื่นเข้ามาบริเวณมุมห้องคุมขัง ตรงที่ถูกเงามืดบดบังอยู่และก็เป็นบริเวณที่ฉินอี้เหยาและคุณหนูตระกูลเซิ่งหลบซ่อนตัวอยู่เช่นกัน

“พี่สาว จะทำเช่นไรดี?” มองดูไม้ยาวที่ขยับเข้ามาใกล้ตนเองเรื่อยๆ คุณหนูตระกูลเซิ่งก็กระซิบถามฉินอี้เหยา “สงบใจให้ดี ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นโอกาสในการออกไป!” ความคิดลอยในหัวฉินอี้เหยาอย่างรวดเร็ว พวกนางไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน อยู่ไกลจากเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงเพียงใด สัญญาณของคุณหนูตระกูลเซิ่งใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ คนตระกูลเซิ่งจะตามมาได้ทันเวลาหรือไม่ ดังนั้น จึงยังทำอะไรไม่ได้

แต่ว่าหากถูกคนตรงหน้าเลือกออกไปจากสถานที่แห่งนี้ พอถึงข้างนอกไม่แน่ว่าอาจมีโอกาสรู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน จากนั้นค่อยหาโอกาสหนีไป!

สตรีตระกูลเซิ่งไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่ฉินอี้เหยากล่าว แต่ก็ยังคงเลือกที่จะเชื่อนาง

สุดท้ายไม้ยาวก็มาตกที่ไหล่ของคุณหนูตระกูลเซิ่ง

การฟาดนั้นลงแรงไม่เบา ทำเอาคุณหนูตระกูลเซิ่งเกือบจะร้องอุทานออกมาด้วยความเจ็บ ยังดีที่นางอดกลั้นได้ทันเวลา นางเงยหน้าขึ้นดวงตาที่อยู่บนดวงหน้าเล็กมองไปด้านนอกกรงขังด้วยความโกรธ

หากเป็นที่ตระกูลเซิ่งแล้วล่ะก็ ถ้ามีคนกล้าทำเช่นนี้กับนาง นางคงตัดหัวคนผู้นั้นไปตั้งนานแล้ว!

น่าเสียดายที่ที่นี่ไม่ใช่ตระกูลเซิ่ง อีกทั้งไม่มีผู้ใดรู้ว่านางคือคุณหนูตระกูลเซิ่ง!

“โอ้! ดวงตาคู่นี้ไม่เลวทีเดียว มีแววผยอง ดูแล้วรู้เลยว่ามีอารมณ์ช่างเหมาะกับการเพาะบ่มของเหล่าคุณชายอยู่บ้าง”

ใครเล่าจะรู้ว่าดวงตาคู่นี้ของนางกลับทำให้ผู้ที่ถือไม้ยาวมีดวงตาวาวโรจน์ขึ้นมา

จวบจนเห็นท่าทางของนางแล้ว ก็เป็นครั้งแรกที่เผยความพึงพอใจออกมา “ไม่คิดเลยว่าในสินค้าคุณภาพเช่นนี้ จะมีของที่โดดเด่นเช่นนี้ด้วย เกือบจะหลุดรอด สายตาไปแล้ว เจ้านี่แหละ!”

พูดจบ ไม้ยาวในมือของเขา ก็ฟาดลงมาหนักๆ บนไหล่ของนางหนึ่งที

“พี่สาว!” จิตใต้สำนึกของคุณหนูตระกูลเซิ่งสั่งให้นางหันไปมองหน้าฉินอี้เหยา ราวกับต้องการถามนางว่าควรทำเช่นไร

แต่ก็ทำให้ผู้ที่ถือไม้ยาวสังเกตเห็นฉินอี้เหยาที่แต่งกายเป็นบุรุษ

สายตาของเขาเผยความหมายที่ลึกซึ้งหลายส่วนไม้ยาว ย้ายจากไหล่ของคุณหนูตระกูลเซิ่งมาที่ลำคอของฉินอี้เหยา ยกขึ้นดันคางของนางให้เงยหน้าขึ้น “คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ”

จากนั้น เขาก็เอ่ยบอกคนข้างกายว่า “ไป นำตัวนางสองคนออกมา”

ดวงตาของสตรีตระกูลเซิ่งอาบไล้ไปด้วยไฟโทสะ เตรียมจะระเบิดอารมณ์กลับถูกฉินอี้เหยาคว้ามือไว้ ส่ายหน้าเบาๆ ให้นาง นางต้องการใช้บุรุษผู้นี้ในการออกไปจากที่นี่ การถูกเลือกเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว ฉินอี้เหยาดึงคุณหนูตระกูลเซิ่งลุกขึ้นมา เอ่ยเสียงดังฟังชัด “ไม่ต้องลำบาก พวกเราออกไปเองได้”

พูดจบ ทั้งสองคนก็เดินผ่านคนอื่นมุ่งไปที่ประตู

การให้ความร่วมมือของทั้งสอง ทำให้คนด้านนอกกรงขังแปลกใจอยู่บ้าง

ราวกับว่าตั้งแต่ทำงานมา นี่เป็นครั้งแรกที่เจอ ‘สินค้า’ ที่ ให้ความร่วมมือเช่นนี้

แต่ว่าในเมื่อ ‘สินค้า’ สมัครใจให้ความร่วมมือ พวกเขาก็ลดเรื่องลำบากไปไม่น้อย กรงขังที่สกปรก น่าขยะแขยงนั่น พวกเขาไม่ได้อยากที่จะเข้าไป

ฉินอี้เหยาดึงมือคุณหนูตระกูลเซิ่งลอดออกมาจากช่องประตูเล็ก ยืนอยู่ต่อหน้าบุรุษที่ถือไม้ยาว

แสงไฟส่องไปบนร่างของพวกนางทั้งสอง ทำให้มองเห็นรูปร่างหน้าตาของพวกนางชัดเจนขึ้นมาบ้าง

ในดวงตาบุรุษผู้ซึ่งถือไม้ยาวผุดแววประหลาดใจ แม้แต่คนอื่นๆ ต่างก็มีสายตาเป็นประกาย

“สินค้าชั้นเยี่ยม! ช่างเป็นสินค้าชั้นเยี่ยม” บุรุษซึ่งถือไม้ยาวสะบัดไม้ยาวในมือลง ในสายตาฉายแววยินดี เดิมทีเขาคิดว่าตนได้เลือกสาวใช้นิสัยอวดดีมาเสียอีก ทว่าไม่คิดเลยว่าพอเห็นรูปร่างหน้าตาของทั้งสองชัดๆ แล้ว ถึงรู้ว่าตนเองเกือบจะมองพลาดไป

สองคนนี้ คนหนึ่งแต่งกายประณีต แม้อาภรณ์ที่สวมใส่จะยุ่งเหยิง เปรอะเปื้อนไปบ้างแต่ก็ยากที่จะซ่อนเร้นความโดดเด่น โครงหน้าได้รูปกระจ่างใส งดงามน่ารัก ยากที่จะพบตัวได้

ส่วนอีกคนน่ะหรือ? แม้จะสวมใส่อาภรณ์ที่เป็นผ้าหยาบ ทั้งยังแต่งเป็นบุรุษ แต่ว่ากลิ่นไอความสุขุมเยือกเย็นเช่นชนชั้นสูงที่ติดตัวมาแต่กำเนิดนั้นคิดจะปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด อีกทั้งโครงหน้ายังดูงดงามผุดผ่อง ความเย็นชาที่กีดขวางผู้คนไม่ให้เข้าใกล้ก็เหมือนราวกับภูเขานํ้าแข็งอย่างไรอย่างนั้น

ท่าทางและโฉมหน้าที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าจะปรากฏอยู่ในร่างของคนๆ หนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นของชั้นเยี่ยม!

เขาสามารถคาดเดาได้ว่า สตรีสองนางที่อยู่ตรงหน้า สามารถทำรายได้ให้เขาได้มากมายเพียงไร!

“พวกเจ้าสองคนนี่แหละ! ตามข้าไป!” บุรุษเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้นยินดี

เมื่อเขาบอกออกมา กลับทำให้คนที่เหลือได้สติขึ้นมา

คนที่คุยกับเขาก่อนหน้านี้ถามแทรกขึ้นมาว่า “นายท่าน แล้วสามคนนั้นเล่า?”

สามคน?

ในตอนนี้เองที่เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ตนเองเลือกไว้แล้วสามคน เขาตวัดสายตามองสตรีที่นั่งห่อตัวชิดกันก้มหน้าหลบตารํ่าไห้ที่พื้น ที่ฝืนใจมองว่าน่าดูเมื่อครู่กลับกลายเป็นไม่น่าดูไปเสียแล้ว เมื่อเทียบกับนางฟ้าสองนางที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว สามคนนี้เรียกได้ว่าเป็นโคลนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า!

ในสายตาของเขาฉายแววรังเกียจ เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์“ไม่เอาไม่เอา ข้าเอาสองคนนี้! สามคนนี้เจ้าเอากลับไปเถอะ!”

จากนั้นเขาก็เปลี่ยนสีหน้า เต็มไปด้วยรอยยิ้มเอ่ยบอกกับพวกฉินอี้เหยาว่า “โฉมงามทั้งสองตามข้ามาเถอะ”

เมืองอวี๋สุ่ยเฉิงยามกลางวัน เมื่อไม่มีปีศาจลักตัวคนอีก บนถนนใหญ่ตามตรอกซอกซอยก็กลับมาครึกครื้นดังเดิม

เพียงแต่คนตระกูลเจี่ยงยังคงทำการค้นหาต่อไป สตรีวัยเยาว์ที่หน้าตาสะสวยหน่อยต่างก็ถูกพวกเขาตรวจสอบอย่างละเอียด การลอบสืบข่าวของตระกูลเจี่ยงยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าคนที่พวกเขาตามหาเป็นใครกันแน่

เวลานี้มู่ชิงเกอนั่งอยู่ในห้องรับรองพิเศษชั้นสองของโรงนํ้าชาแห่งหนึ่ง ด้านนอกหน้าต่างที่เปิดออกไปเป็นตลาดที่ดูคึกคักวุ่นวาย ไกลออกไปหน่อยมีสิ่งปลูกสร้างที่ซ่อนตัวอยู่หลังแนวรั้วกำแพงต้นไม้สูง

ที่นั่นเป็นจวนตระกูลเล่อ

ขนาดของเมืองในโลกแห่งยุคกลางต่างก็มีขนาดใหญ่ เมื่อเทียบกับเมืองที่หลินชวนเหล่านั้นแล้ว เรียกได้ว่าเป็นของเด็กเล่นก็ว่าได้ในเมืองนั้นอาณาเขตของแต่ละตระกูลก็กว้างขวาง

ยกตัวอย่างตระกูลเล่อที่อยู่เบื้องหน้า แม้ว่ามู่ชิงเกอจะอยู่ไกลออกมา นั่งอยู่บนที่สูง ยังคงไม่สามารถเก็บภาพตระกูลเล่อทั้งหมดไว้ในสายตาได้ที่มองเห็นเป็นเพียงมุมหนึ่งของภูเขานํ้าแข็งแต่ใหญ่จนผู้คนตกใจ มู่ชิงเกอนั่งอยู่หน้าโต๊ะพิงอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีเกียจคร้าน สองขาไขว้กันพาดอยู่บนโต๊ะ มือจับที่ข้อศอก ใน มือคลึงถ้วยชา สองตาหรี่ลง มุมปากยกยิ้มขึ้นคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม

บนโต๊ะมีป้ายหยกขาววางเอาไว้

ป้ายนั้นเดิมทีสงบเงียบ แต่เพียงไม่นานก็แว่วเสียงคนพูด

“พ่อบ้านใหญ่ ท่านมาแล้ว”

“หึหึ แน่สิ วันนี้เป็นการประชุมของตระกูล ข้าจะมาสายได้อย่างไร?”

“ขอเพียงตระกูลเล่อของพวกเรา คว้าชัยชนะอันดับในการแข่งขันในครั้งนี้ ก็จะยิ่งรุ่งเรืองขึ้นไปอีก!”

“ทุกอย่างล้วนมาจากความเฉลียวฉลาดในการเป็นผู้นำของท่านประมุข!”

“เอ๊ะ? ท่านพ่อบ้าน นี่เป็นจี้หยกที่ท่านซื้อมาใหม่หรือ?”

“เพิ่งซื้อมาเมื่อครู่นี้เอง ถูกคุณชายที่ไม่เอาไหนจากตระกูลที่ล่มสลายไม่รู้จักสินค้านำมาขาย ข้าผ่านไปพอดีเห็นแล้วสะดุดตาเลยซื้อมา”

“ท่านพ่อบ้านช่างสายตาเฉียบแหลมจริงๆ! ไม่ว่าจะเป็นของเล่นโบราณอะไรก็ไม่รอดพ้นสายตาร้ายกาจของท่านไปได้!”

หลังเสียงกล่าวชมเยินยอ ก็เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยดังอื้ออึง

มู่ชิงเกอได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้แล้ว รอยยิ้มมุมปากกดลึกลงนิดหนึ่ง

จี้หยกบนโต๊ะไม่ใช่จี้หยกธรรมดา ยังจำป๋ายซีเยวี่ยได้หรือไม่? ยังจำฉินจิ่นห้าวได้หรือไม่?

ตอนนั้นฉินจิ่นห้าวพัวพันอยู่กับป๋ายซีเยวี่ย เพื่อขโมยข้อมูล สืบข่าวของมู่ชิงเกอ เขาเคยให้จี้หยกกับป๋ายซีเยวี่ยคู่หนึ่ง

หรือควรใช้คำว่ายันต์ดักฟังมาบรรยายจะเหมาะสมกว่า

เพียงแต่ว่ารูปร่างและพื้นผิวของมันมีความเหมือนกับจี้หยก ง่ายต่อการทำให้ผู้อื่นสับสนเข้าใจผิด

ยันต์ดักฟังนี้ฉินจิ่นห้าวไปรู้จักเข้าโดยบังเอิญ และมันก็ไม่ได้เป็นของในหลินชวน หลังจากนั้นก็ตกอยู่ในมือของมู่ชิงเกอ แต่ไหนแต่ไรมาก็ถูกนางทิ้งไว้ในหลืบมุมจนเกาะเต็มไปด้วยฝุ่นในที่สุดครั้งนี้ก็ได้เอาออกมาใช้

ข้อมูลของตระกูลเล่อ บรรยายเกี่ยวกับพ่อบ้านผู้นี้ไว้น้อยมาก

แต่ถึงอย่างไรส่วนน้อยนี้ก็ทำให้มู่ชิงเกอได้ใช้ประโยชน์ พ่อบ้านตระกูลเล่อชื่นชอบเครื่องหยกโบราณ มักจะเดินเลือกซื้อหยกในตลาดเครื่องหยกอยู่บ่อยๆ

มู่ชิงเกอจับความชอบของเขาได้จึงใช้ข้อมูลนี้กระตุ้นให้เขาซื้อยันต์ดักฟังนี้ด้วยตนเอง พกติดตัวไว้

ตระกูลเล่อจะประชุมใหญ่ ในฐานะพ่อบ้านใหญ่ของตระกูลเล่อย่อมไม่อาจขาดการประชุม

ขอเพียงเขาไปเข้าร่วมประชุม มู่ชิงเกอก็ไม่จำเป็นต้องก้าวเข้าไปในตระกูลเล่อแม้เพียงครึ่งก้าว ก็ได้ยินรายละเอียดที่จะประชุมอย่างละเอียด ที่สำคัญคือยันต์บนร่างของเขาเอาไว้สืบ ส่วนอันที่อยู่กับมู่ชิงเกอเอาไว้ฟัง

สองมือมู่ชิงเกอจับถ้วยชา หมุนบนฝ่ามือส่งมันจรดริมฝีปากช้าๆ จิบนํ้าชาอุ่นๆ หนึ่งอึก

ตระกูลเล่อ ในโถงประชุมมีคนนั่งจนเต็ม

คนเหล่านี้ไม่มีผู้ใดไม่ใช่บุคคลสำคัญของตระกูลเล่อ จากรุ่นกุมอำนาจจนถึงรุ่นเยาว์ที่รับช่วงต่อ ต่างก็อยู่ในรายการ เห็นได้ถึงการให้ความสำคัญและขอบเขตของประชุมนี้ พ่อบ้านตระกูลเล่อนั่งอยู่ตรงตำแหน่งของเขา นำจี้หยกอันที่ซื้อมาใหม่ที่ผูกไว้ข้างเอวขึ้นมาดูเป็นระยะ ยิ่งดูยิ่งชอบ ยิ่งดูยิ่งรัก

“ท่านประมุขมาถึงแล้ว!”

เสียงร้องประกาศดังขึ้นทำให้เขาละความสนใจจากจี้หยก ยืนขึ้นพร้อมกับทุกคนต้อนรับการมาถึงของท่านประมุข

ดูเหมือนว่าประมุขตระกูลเล่อจะอายุอานามกว่าครึ่งร้อย จอนผมทั้งสองข้างเป็นสีดอกเลา แต่กลับไม่รู้ว่าอายุที่แท้จริงของเขานั้นมีเท่าไรกันแน่ ระดับพลังยุทธ์ยิ่ง สูงอายุยิ่งยืนยาว ยิ่งไม่สามารถวัดอายุจากรูปลักษณ์ภายนอก กลางหว่างคิ้วของเขาแฝงความทรงอำนาจและน่ายำเกรงเอาไว้วางตัวเย่อหยิ่ง เขาเดินมานั่งลงบนตำแหน่งประธานของประมุขอย่างโอ่อ่าผ่าเผย กวาดสายตามองไปรอบโถงประชุม แผ่พลังของผู้ชี้นำแผ่นดิ

“นั่งลงเถอะ” เขาเอ่ยปากแล้ว ผู้คนถึงค่อยกลับไปนั่งที่นั่งของตนเองใหม่

“ทุกคนมีความนั่นใจแค่ไหนกับการแข่งขันในวันพรุ่งนี้?” ประมุขตระกูลเล่อเอ่ยถาม

เสียงนี้ถูกยันต์ดักฟังข้างเอวหัวหน้าผู้ดูแลดักฟัง แทบจะถ่ายทอดไปยังยันต์ที่อยู่กับมู่ชิงเกอในทันที ทำให้นางได้ยิน

เริ่มต้นก็เข้าสู่ประเด็นสำคัญเลย? ไม่เลวเลยทีเดียว

ดวงตาทั้งสองของมู่ชิงเกอยกโค้งลงเล็กน้อย เผยรอยยิ้มพึงพอใจ

พอเปิดประเด็น คนตระกูลเล่อก็ส่งเสียงดังเซ็งแซ่ แต่ว่า พูดไปพูดมา พวกเขาก็เอาแต่พูดรับปากบนพื้นฐานความว่างเปล่าจับต้องไม่ได้ สรุปคือคู่ต่อสู้ด้อยกว่า ยกตนเองสูงขึ้น ฟังไปสักระยะ มู่ชิงเกอก็รู้สึกหมดความสนใจ

ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงจากยันต์ดังฟังแว่วขึ้นมาหนึ่งประโยค ทำเอาดวงตาทั้งคู่ของนางเบิกโพลง นัยน์ตากระจ่างปรากฏความเย็นชาขึ้นมาวูบหนึ่ง ประโยคนั้นคือ ‘น่าเสียดายที่นักค้นหาสมบัติหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หากเขายังอยู่ หลายปีมานี้คงสามารถหาวัตถุดิบให้กับคนในตระกูล ขุมกำลังของตระกูลเล่อ เราก็คงก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น!’

ผู้ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย?

ความรู้สึกของสตรีบอกกับมู่ชิงเกอว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนางอย่างแน่นอน!

และคำพูดถัดมาก็พิสูจน์ว่าสิ่งที่นางคาดเดาไว้เป็นเรื่องจริง

“เหอะ เจ้านั่นอาศัยความไว้ใจและการผ่อนผันที่ท่านประมุขมีต่อเขา คิดไม่ถึงว่าจะกล้าแบกชื่อตระกูลเล่อของพวกเราไปหลินชวนตามลำพัง สุดท้ายก็หายตัวไป อย่างไร้ร่องรอย ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร พอท่านประมุขส่งผู้ดูแลไปตามหา คิดไม่ถึงว่าคนจะตายอยู่ที่หลินชวนนั่น สามพี่น้องเล่อเทียนไปสืบหาเรื่องนี้จนถึง ตอนนี้ก็ยังไม่ได้กลับมา ดูท่าหลินชวนที่แร้นแค้นนั่น จะมีคนอยากมีเรื่องกับตระกูลเล่อของพวกเราเสียแล้ว!”

‘คนตระกูลเล่อไม่ลืมเรื่องนี้จริงๆ ด้วย’ สายตาของมู่ชิงเกอเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นไอกดดันเย็นยะเยือกลงหลายส่วน แม้แต่เสวี่ยหยาที่เข้ามารินนํ้าชาในนางก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ

ฟังเสียงพูดคุยที่แว่วออกมาจากในป้ายต่อ

“เหอะ ในหลินชวนที่แสนล้าหลังเช่นนั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีคนไม่กลัวตายล่วงเกินตระกูลเล่อของพวกเรา?”

“หากไม่เป็นเช่นนี้จะอธิบายเรื่องคนที่ตระกูลเล่อของเราส่งไปแล้วหายสาบสูญไปคนแล้วคนเล่าว่าอย่างไร? แม้แต่ตะเกียงชีวิตก็ยังมอดดับลง?”

“ยันต์ดักฟัง!” เสียงที่แว่วออกมาจากจี้หยก ทำเอาเสวี่ยหยาส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ

เสียงของนางทำให้มู่ชิงเกอมองมาที่นาง เมื่อถูกสายตากระจ่างใสจับจ้อง นางก็เอ่ยออกมาตามตรง “ข้าเคยเห็นที่เกาะตูเล่อมาก่อน”

เกาะตูเล่อมียันต์ดักฟัง?

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

เผ่าอี๋มีที่มาเช่นไรกันแน่?

“ข้าเคยได้ยินท่านพ่อกล่าวว่านี่เป็นของที่นำมาจากบ้านเกิด ที่อื่นไม่มี วันนี้จู่ๆ ก็ได้มาเห็นอยู่ในมือนายน้อย ดังนั้นจึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ว่านายน้อยเองก็ไม่ใช่คนธรรมดา ตระกูลมู่สามารถมียันต์ดักฟังไว้ในครอบครอง ก็สามารถเข้าใจได้” เสวี่ยหยาเอ่ย

ความเข้าใจผิดที่แฝงอยู่ในคำพูดของนาง มู่ชิงเกอไม่คิดที่จะเอ่ยอธิบาย

ที่จริงแล้วยันต์ดักฟังนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลมู่แต่อย่างใด แล้วก็ยังมีสกุลมู่ที่เหมือนกับว่าจะยิ่งใหญ่ ลึกลับและเสื่อมสลายลงไปแล้วที่พวกเขาพูดถึงนั้นอีก ไม่รู้ว่าเกี่ยวพันกับตระกูลมู่ของนางอย่างไร

บ้านเกิด บ้านเกิดนี่มันอยู่ที่ไหนกัน?

“เจ้าออกไปก่อนเถอะ” ในส่วนลึกของสายตามู่ชิงเกอพาดแววเยือกเย็น นางไม่ได้เอ่ยถามสิ่งที่สงสัยอยู่ในใจกับเสวี่ยหยา เพียงแค่เก็บไว้ในใจเท่านั้น

เสวี่ยหยามองนางแวบหนึ่งก่อนจะถอยออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ

มู่ชิงเกอพักเรื่องของเผ่าอี๋เอาไว้ก่อน ตั้งสติฟังข่าวที่แว่วออกมาจากยันต์ดังฟัง

“ท่านประมุข คนของตระกูลเล่อเราไม่สามารถให้พวกมดปลวกที่หลินชวนมารังแกได้” มีคนเสนอความเห็น หัวข้อการสนทนา ราวกับว่าถูกชักนำจากการเตรียมตัวการแข่งขันเปลี่ยนหัวข้อเป็นเรื่องระหว่างคนหลินชวนกับตระกูลเล่อ

ถึงกระนั้น นี่ก็เป็นเรื่องที่มู่ชิงเกออยากรู้เป็นที่สุด

นางอยากรู้ว่าตระกูลเล่อจะทำเช่นไรต่อไป!

“เรื่องนี้ ย่อมไม่ปล่อยผ่านไปง่ายๆ” ประมุขตระกูลเล่อเอ่ย

ทันใดนั้นยันต์ตักฟังก็ตกอยู่ในความเงียบ ราวกับว่าทุกคนกำลังกลั้นลมหายใจ รอคอยประโยคถัดไปของท่านประมุข

“ก่อนหน้านี้ส่งเล่อเทียนสามพี่น้องไป แต่ก่อนที่ช่องทางจะปิดพวกเขาก็ไม่ได้กลับออกมา ตะเกียงชีวิตที่เขาทิ้งไว้ที่บ้านก็ดับมอดลง นี้หมายความว่าพวกเขาได้ตายไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าที่หลินชวนจะมีคนที่สามารถฆ่าพวกเขาได้ ในจุดนี้จำเป็นต้องมีการตรวจสอบ แต่ทว่าการแข่งขันของตระกูลจะถึงอยู่รอมร่อ รวมกับช่องทางที่มุ่งหน้าไปหลินชวนก็ไม่สามารถเปิดอออกได้บ่อยๆ ดังนั้นเรื่องนี้ ก็ให้พักเอาไว้ก่อน รอให้การแข่งขันจบสิ้นไปก่อน เวลาก็น่าจะพอๆ กัน พอถึงเวลานั้นข้าจะเชิญผู้อาวุโสใหญ่ออกหน้าอีกครั้ง สร้างช่องทางชั่วคราวให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหารุ่นเยาว์ผ่านเข้าไป ถือเป็นการฝึกหัด จะต้องสืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนหามือสังหารที่ฆ่าคนตระกูลเล่อให้เจอ ฆ่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับเขาให้หมด นำตัวเขากลับตระกูลเล่อมาลำพัง ขจัดพลังยุทธ์กรีดใบหน้าของเขาและก็ทำสัญลักษณ์ทาสรับใช้ตระกูลเล่อไว้บนหน้าเขา รองมือรองเท้ารับใช้ตระกูลเล่อไปตลอดกาล!”

แววตาของมู่ชิงเกอแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นขึ้นตามคำพูดของประมุขตระกูลเล่อ

แม้แต่ไอพลังก็ลดอุณหภูมิลงฮวบ ราวกับจับตัวเป็นน้ำแข็งอยู่ในอากาศ

ความเย็นนั่นทำให้ของที่ตั้งเรียงอยู่ในห้องมีเกล็ดนํ้าแข็งคลุมบางๆ

คนฆ่านาง นางฆ่าคน นางฆ่าคน คนฆ่านาง

หลักการนี้นางเข้าใจมาโดยตลอด!

ตระกูลเล่อคิดจะหาตัวนางเพื่อแก้แค้น หมายเอาชีวิตของนาง นางสามารถเข้าใจได้และก็รู้สึกลมเหตุสมผล แต่ว่าพวกเขากลับต้องการไปจัดการกับคนที่เกี่ยวข้อง กับนาง!

ที่หลินชวน นางมีพันธะมากมาย…

ไม่เพียงมีท่านปู่ ท่านอา ยังมีลูกพี่ลูกน้องที่เพิ่งเกิด นอกจากญาติสนิทแล้ว นางยังมีมิตรสหายที่คบหา สหายที่โรงโอสถ เจียงหลีที่สนิทชิดเชื้อกัน ยังมีคนที่นางรับเป็นสหาย คนเหล่านี้เป็นผู้ที่นางไม่อนุญาตให้ใครสอดมือเข้าไปยุ่งหรือไปทำร้าย!

หากคนตระกูลเล่อไปที่หลินชวนจริงๆ จากระดับพลังยุทธ์ของพวกเขาแล้ว ถึงจะถูกกดให้ตํ่าลงในหลินชวน ก็ยังถือเป็นภัยพิบัติต่อญาติสนิทมิตรสหายของนาง

นางมาเพื่อยับยั้งไม่ให้เกิดเรื่องราวเช่นนั้น

เดิมทีนึกว่าผ่านไปหลายปี นางที่ประสบพบเจอเรื่องราวมามากมาย พอมาถึงโลกแห่งยุคกลาง มาอยู่หน้าประตูตระกูลเล่อ บางที่ตระกูลเล่ออาจจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าพวกเขาไม่เพียงไม่ลืมวิธีการเอาคืนยังเพิ่มความร้ายกรงขึ้นไปอีก

“ตระกูลเล่อ สมควรตายจริงๆ!” มู่ชิงเกอเอ่ยออกมาด้วยนํ้าเสียงเย็นชา

ในยันต์ดักฟัง ยังคงแว่วเสียงคนตระกูลเล่อ

หลังจากที่ประมุขตระกูลพูดจบ พวกเขาก็เอ่ยรับกันเสียงฮึกเหิม คล้ายกับว่ามู่ชิงเกอได้ถูกพวกเขาจับตัวมาอยู่ตรงหน้าแล้วอย่างไรอย่างนั้น

“ใช่แล้ว ไม่กี่วันมานี้ในเมืองยังมีอีกสองเรื่อง” ทันใดนั้น ก็มีคนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“อืม เหมือนว่าคุณชายเจ้าสำราญตระกูลเจี่ยงผู้นั้นจะไปเที่ยวหอโคมเขียว ถูกแม่นางเหยาแทงเข้าถากๆ อีกเรื่องหนึ่งท่านน่าจะหมายถึงเรื่องที่องค์หญิงน้อยตระกูลเซิ่งหายตัวไปใช่หรือไม่?”

‘องค์หญิงน้อยตระกูลเซิ่งหายสาบสูญ?’ ข่าวที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายนี้ทำเอาสายตามู่ชิงเกอเป็นประกาย

ในห้วงสมองของนาง หวนนึกถึงรายงานของตระกูลเซิ่งที่มั่วหยางเอ่ยไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาทันที

เขาเคยบอกว่าวันสองวันมานี้ตระกูลเซิ่งกำลังตามหาคนอย่างเงียบๆ

เพียงแต่ไม่คิดว่า คนที่พวกเขาตามหาจะเป็นคุณหนูของตนเอง คิดไม่ถึงว่าเซิ่งซูซูที่ในรายงานบอกว่าทุกคนในตระกูลเซิ่งมองเป็นไข่มุกในมือจะหายตัวไป!

การหายตัวไปของคุณหนูตระกูลเซิ่ง ทำให้มู่ชิงเกอที่อยู่ในความเลือนรางราวกับจะจับอะไรบางอย่างได้

เพียงแต่ความคิดนั้นเลือนรางเกินไป ทำให้นางเห็นไม่ชัด

“เหอะนี่เป็นเรื่องดี สวรรค์ช่วยข้าจริงๆ! ตระกูลเจี่ยงไม่เป็นปัญหา ตระกูลเซิ่งที่ครั้งนี้มีการเตรียมการมา คิดจะชิงชัยกับตระกูลเล่อของเรา มาวันนี้องค์หญิงน้อยของเขาหายไปแล้ว เกรงว่าคงระสํ่าระสายไปนานแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ…”

ยันต์ดักฟังแว่วเสียงหัวเราะขบขัน

คนตระกูลเล่อรู้สึกยินดีกับการหายตัวไปของเซิ่งซูซู

“ถึงแม้คนตระกูลเซิ่งจะปิดข่าวไว้มิดเพียงใด แต่ว่ายังถูกพวกเราล่วงรู้ ครั้งนี้ชัยชนะของตระกูลเล่อเราก็ได้เพิ่มขึ้นมากแล้ว!”

การประชุมของตระกูลเล่อ จบลงที่จินตนาการได้รับชัยชนะเหนือตระกูลเซิ่ง

มู่ชิงเกอกำยันต์ดักฟังไว้ในมือ คลายพลังจิตยุติการดักฟังของมัน

ก๊อก ก๊อก!

ข้างหลัง แว่วเสียงเคาะประตู

มู่ชิงเกอเก็บยันต์ดักฟังไว้อย่างดี เอ่ยเสียงนิ่งๆ “เข้ามาได้”

ประตูถูกเปิดออก มั่วหยางเดินเข้ามา

เขาเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอ หลุบตาลงเอ่ยเสียงหนักแน่น “นายน้อย การสืบหารถม้าสัตว์อสูรนั้นมีความคืบหน้ามาบ้าง ราวกับว่ามันมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการค้าทาสในตลาดมืด ข้าน้อยตรวจสอบแล้วได้รู้ว่า ตลาดมืดแห่งนี้จะมีการจัดงานประมูลขึ้นหนึ่งครั้งห่างกันทุกช่วงเวลาหนึ่ง สินค้าที่นำออกมาประมูลก็คือคน คนร้ายลักพาตัวเหมือนกับจะส่งสินค้าให้พวกเขา คํ่าคืนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการประมูลของตลาดมืดนั้น”

“คืนนี้หรือ? ” แววตามู่ชิงเกอเป็นประกายเรืองแสง

ตลาดมืดนี้ก็ช่างเลือกเวลา ไม่คิดว่าจะเลือกเปิดงานประมูลในคืนแรกของการแข่งขันของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง

แววตามู่ชิงเกออับแสงเอ่ยสั่งความมั่วหยาง “เตรียมบัตรเชิญงานประมูลไว้ให้พร้อม”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version