Skip to content

พลิกปฐพี 232

ตอนที่ 232

คุณชายเสเพลบ้านไหนจะแข็งแกร่งกว่ากัน?

เซิ่งอวี้หลีลุกขึ้นจากเก้าอี้ในทันใด ดวงตาทั้งคู่ภายใต้หน้ากากจ้องเขม็งมองไปยังกรงทองบนเวทีประมูล ความโกรธเกรี้ยวดูเหมือนว่าแทบจะทะลุหน้ากากออก มาแล้ว

ภายในกรงทอง น้องสาวของเขา องค์หญิงน้อยของตระกูลเซิ่งกลับต้องมาอยู่ในชุดที่เปิดเผยภายใต้สายตาของผู้คน แม้ว่าในตอนนี้นางจะถูกหน้ากากผีใบหนึ่งปิดบังเอาไว้ แต่เขาก็ยังคงมองออกว่าเป็นนาง

“นายท่านท่านนี้มีอะไรงั้นหรือขอรับ?” หน้ากากผีสีขาวสังเกตได้ถึงความแปลกไปของเซิ่งอวี้หลี

“นายน้อย!” คนข้างกายของเซิ่งอวี้หลีดึงชายเสื้อของเขาเบาๆ

เซิ่งอวี้หลีพยายามข่มความโกรธของตนเอง นั่งลง

หน้ากากผีสีขาวมองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็ละสายตาจากไป

มู่ชิงเกอจ้องแผ่นหลังของเขาอย่างครุ่นคิด

จากการตอบสนองของเซิ่งอวี้หลี นางก็สามารถแน่ใจได้แล้วว่า ผู้หญิงที่อยู่ในกรงทองในตอนนี้ก็คือคุณหนูที่หายไปของตระกูลเซิ่ง เพียงแต่ว่า เหตุใดถึงต้องสวมหน้ากากด้วย? หรือว่าคนของตลาดมืดรู้ถึงสถานะของนางแล้วยังจงใจทำเช่นนี้? นั่นไม่ใช่ว่าเป็นการยั่วยุตระกูลเซิ่ง?

ไม่ต้องให้มู่ชิงเกอเอ่ยปากก็มีคนถามความสงสัยในใจของนางแทนนางขึ้นมา

“ขึ้นมาแล้วยังจะสวมหน้ากากอีกทำไม? รีบเอาหน้ากากออก” มีคนตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ

ได้ยินเสียงของเขา เซิ่งซูซูที่อยู่ในกรงก็ขัดขืนเล็กน้อย ในตอนนี้ทุกคนถึงได้พบว่า สองมือของนางนั้นถูกมัดไว้ด้านหลัง แม้แต่ข้อเท้าของนางก็ถูกล่ามโซ่เอาไว้ ฉากนี้ยิ่งกระตุ้นเซิ่งอวี้หลี หากไม่ใช่ว่ายังพอมีสติเกรงว่า เขาคงจะระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว

หน้ากากผีสีขาวเห็นความแปลกใจของผู้คนจึงอธิบายว่า

“หญิงนางนี้มีนิสัยดุร้าย ตอนเข้าไปในกรงยังทำร้ายคนงานหน้าผีคนหนึ่ง เพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัย ถึงได้ต้องทำเช่นนี้ สำหรับหน้ากากนั้น…ก็ถือว่าเป็นลูกเล่นเถอะ ข้าน้อยขอรับรองว่า ใบหน้าภายใต้หน้ากากนี้จะไม่ทำให้ ทุกคนผิดหวังอย่างแน่นอน!”

คำพูดของหน้ากากผีสีขาวทำให้รอบด้านเกิดเสียงพูดคุยวิเคราะห์กันขึ้นมา

มู่ชิงเกอรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของเชิงอวี้หลีที่เริ่มจะระเบิดออกมา

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็จะเชื่อคำของพวกเจ้า เริ่มประมูลเถอะ” ไม่นานก็มีคนร้องตะโกนออกมาจากกลุ่มผู้ประมูล

หน้ากากผีสีขาวเอ่ยว่า “ราคาเริ่มต้นศิลาวิญญาณระดับต่ำ 20 ก้อน ทุกครั้งที่เสนอราคาใหม่ห้ามตํ่ากว่าศิลาวิญญาณระดับตํ่า 5 ก้อน”

“20? แพงขนาดนั้นเชียวหรือ!” มีคนตกตะลึง

แน่นอนเมื่อเทียบกับราคาเริ่มต้นของการประมูลครั้งก่อนๆ ราคาครั้งนี้ก็ถือว่าสูงมาก

แคร๊ก!

มู่ชิงเกอได้ยินเสียงแตกดังมาจากฝั่งที่เซิ่งอวี้หลีนั่งอยู่

นางกวาดตามองไป มองเห็นว่ามุมโต๊ะยาวถูกเขาบีบแตกไปแล้ว

“ทุกท่านวางใจได้ รอมีคนซื้อกลับไปแล้ว เมื่อเปิดหน้าของนางจะพบว่าราคานี้ไม่แพงเลยแม้แต่น้อย!” หน้ากากผีสีขาวเอ่ยหลอกล่อต่อ

“ดูน่าสนใจขนาดนั้นเชียวหรือ? เช่นนั้นข้าขอก่อนละ ศิลาวิญญาณระดับตํ่า 25 ก้อน” คนที่ก่อนหน้านี้ประมูลหญิงพี่น้องฝาแฝดสองคนไปเริ่มเอ่ยปากอีกครั้ง เสียงของเขาเพิ่งตกลงไป เซิ่งอวี้หลีก็กวาดสายตาแค้นเคืองมองไปยังเขา

“ศิลาวิญญาณระดับต่ำ 50 ก้อน” เซิ่งอวี้หลีตะโกนเสียงดัง

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วมองดูเขา ในใจลอบถอนหายใจออกมา ‘เซิ่งอวี้หลีผู้นี้ไม่รู้ว่ากระตือรือร้นจะช่วยน้องสาวหรือว่า ไม่มีประสบการณ์ในการประมูล ร้องตะโกนไปเช่นนี้ก็จะเพียงแต่ทำให้ราคาสูงขึ้นไปอีก’

ตามปกติแล้ว ภายในการประมูล ผู้จัดการประมูลจะจัดวางผู้แย่งประมูลหนึ่งหรือสองคนไว้ท่ามกลางคนมาประมูล ยกราคาขึ้นในเวลาที่เหมาะ กระตุ้นให้ทุกคน แย่งกันประมูล

และทันทีที่เสียงของเซิ่งอวี้หลีดังออกไป ก็มีเสียงแหบๆ ดังออกมาจากมุมๆ หนึ่ง “ศิลาวิญญาณระดับตํ่า 55 ก้อน”

มีคนยกราคา ใจของเซิ่งอวี้หลีก็ยิ่งสับสนวุ่นวายรีบตะโกนไปต่อ “ศิลาวิญญาณระดับตํ่า 80 ก้อน!”

“อื้อ อื้อ…” บนเวทีประมูลภายในกรงทอง ในทุกครั้งที่เซิ่งอวี้หลีส่งเสียงออกมา ผู้หญิงที่อยู่ในกรงก็จะขัดขืนเล็กน้อย เพียงแต่ว่านางถูกมัดแน่นมาก แม้ว่าจะออก แรงขัดขืนก็ดูเล็กน้อยมากหากไม่ได้ตั้งใจสังเกตจริงๆ ก็ไม่อาจจะเห็นได้

“ศิลาวิญญาณระดับต่ำ 85 ก้อน” และก็มีเสียงดังเข้ามาอีก

“ศิลาวิญญาณระดับต่ำ 90 ก้อน!” ราคาถูกยกขึ้นไปหนึ่งรอบ ในที่สุดลูกค้าคนอื่นๆ ก็เข้าร่วม

“ศิลาวิญญาณระดับต่ำ 95 ก้อน”

“ศิลาวิญญาณระดับต่ำ 100 ก้อน”

“ศิลาวิญญาณระดับต่ำ 105 ก้อน”

รอบด้านเริ่มส่งเสียงประมูลขึ้นเรื่อยๆ สองเสียงแรกเริ่มนั้นก็เงียบลงไป

เซิ่งอวี้หลีทั้งร้อนใจทั้งโกรธ ทุกครั้งที่เสนอราคาก็ล้วนแต่ถูกคนขัด นัยน์ตาภายใต้หน้ากากของเขาเต็มไปด้วยความแค้นเคือง จ้องมองคนที่เสนอราคาเหล่านั้น ทั้งยังมองไปยังกรงทองบนแท่นประมูลตลอด

นั้นคือน้องสาวของเขา!

‘ดีที่ซูซูมีหน้ากากปิดหน้าเอาไว้ ถ้าหากว่าถูกทุกคนรู้ว่า ผู้หญิงที่อยู่ในกรงตอนนี้เป็นคุณหนูตระกูลเซิ่งแล้วละก็ ต่อไปนางจะเอาหน้าไว้ที่ไหนได้อีก?’ ในใจของเซิ่งอวี้หลีโกรธแค้นคนที่ลักพาตัวเซิ่งซูซูไป

“ศิลาวิญญาณระดับกลาง 2 ก้อน!” ทันใดนั้น เซิ่งอวี้หลีก็ตะโกนขึ้น

ศิลาวิญญาณระดับกลาง 2 ก้อนก็เท่ากับศิลาวิญญาณระดับตํ่าสองร้อยก้อน!

พริบตาเดียวก็ยกราคาขึ้นไปสูงถึงขนาดนี้ทำให้คนทั้งลานประมูลล้วนแต่ตกตะลึง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระหว่างศิลาวิญญาณระดับกลาง 2 ก้อนกับศิลาวิญญาณระดับต่ำ 200 ก้อนก็ยังมีความแตกต่างกัน ปริมาณนี้ก็เพียงเพื่อเปรียบเทียบเท่านั้นในความเป็นจริงศิลาวิญญาณระดับกลางนั้นมีค่ามากกว่าศิลาวิญญาณระดับตํ่ามากนัก ในเหมืองศิลาวิญญาณสิบแห่งก็ไม่แน่ว่าจะมีศิลาวิญญาณระดับกลางอยู่

ภายในลานประมูลเงียบขึ้นมาในทันใด

นี่ทำให้เซิ่งอวี้หลีดีใจขึ้นมา ในตอนที่กำลังคิดว่าทุกคนถูกราคาทำให้ตกใจกลัว ถ้าหากว่าเขาชนะก็จะสามารถนำตัวซูซูไปโดยไม่มีใครรู้ได้รอกลับถึงตระกูลเซิ่งและพูดคุยรายละเอียดกับซูซูแล้ว เขาค่อยจะจัดการสั่งสอน เหล่าคนที่กล้าลบหลู่ตระกูลเซิ่ง

นัยน์ตาของเซิ่งอวี้หลีฉายแววยินดีพร้อมแฝงความเยียบเย็นสายหนึ่ง

“ศิลาวิญญาณระดับกลาง 2 ก้อน ยังมีใครให้สูงกว่านี้อีกหรือไม่?” หน้ากากผีสีขาวเอ่ยปากถามรอบหนึ่ง ไม่มีใครตอบ เขาก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “ศิลาวิญญาณระดับกลาง 2 ก้อนครั้งที่สอง”

“น่าสนใจจริงๆ ข้าชอบแย่งผู้หญิงกับคนอื่น! ข้าเสนอศิลาวิญญาณระดับตํ่า 205 ก้อน” คนที่ประมูลเอาหญิงสาวพี่น้องฝาแฝดสองนางไปเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง

เมื่อได้ยินว่ามีคนเสนอราคา เซิ่งอวี้หลีก็ลุกยืนขึ้นในทันใด มองไปที่เขา นัยน์ตาของเขาฉายแววโกรธเกรี้ยว สายตาที่มองคนผู้นั้นเต็มไปด้วยการกล่าวเตือน

คนๆ นั้นกลับเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “อย่างไร ต่อสู้อย่างยุติธรรม หากเจ้าไม่ยอมก็แค่เสนอราคามา มองข้าอย่างนี้คือคิดจะฆ่าข้างั้นหรือ?”

หน้ากากผีสีขาวก็เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “นายท่าน เชิญนั่งลง ลานประมูลมีกฎของลานประมูล หากว่ามีใครก่อเรื่องขึ้นที่นี่ก็จะถูกเขียนไว้ในบัญชีดำไม่สามารถเข้า ร่วมการประมูลได้อีกตลอดชีวิต”

ใบหน้าใต้หน้ากากของเซิ่งอวี้หลีโกรธจนบิดเบี้ยวเขียวคล้ำ

แต่เดิมเขาไม่ได้สนใจกับการประมูลเช่นนี้ แต่ว่าตอนนี้ ไม่อาจจะจากไปได้ ไม่อาจมองน้องสาวของตนเองถูกผู้ชายซื้อไปอย่างนี้ได้ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ นั่งลงอีกครั้ง พร้อมทั้งเอ่ยว่า “ศิลาวิญญาณระดับต่ำ 210 ก้อน” เซิ่งอวี๋หลีในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเข้าใจในกฎของการประมูลบ้างแล้ว ไม่ได้เสนอราคาสูงอีก เพียงแต่ค่อยๆ ขยับราคาขึ้นเท่านั้น

“215 ก้อน” คนๆ นั้นกลับดูเหมือนว่ากำลังแข่งกับเขา ไม่รอให้เสียงของเขาหายไปก็ยกราคาขึ้นในทันที

“220 ก้อน” เซิ่งอวี้หลีกัดฟันเอ่ย

“225 ก้อน” คนๆ นั้นเอ่ย

“230 ก้อน!”

“235 ก้อน!”

“240 ก้อน!”

ราคาค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาคนอื่นๆ ถอยออกจากการเสนอราคา ลานประมูลกลายเป็นการแข่งขันกันระหว่างเซิ่งอวี้หลีและชายคนนั้น

นอกจากหน้าตาแล้วก็ยังมีหญิงงาม

สองสิ่งที่ผู้ชายดูจะสนใจมากที่สุด ในลานประมูลนี้ล้วนแต่มีเพียงแต่ดูว่าเจ้าจะแข่งจะแย่งอย่างไร

หน้ากากผีสีขาวยืนอยู่บนเวทีประมูล เงียบดุจดังก้อนหิน ปล่อยให้คนทั้งสองแข่งขันเสนอราคากันเอง

ไม่นานราคาก็ถูกยกไปถึง 295 ก้อน ศิลาวิญญาณระดับตํ่า 295 ก้อน หากว่าเปลี่ยนเป็นเงินทองเช่นนั้นก็ประมาณ…

อะไรที่เรียกว่าการโยนเงินทิ้งในการโยนครั้งเดียว มู่ชิงเกอรู้สึกว่าตนเองได้พบเห็นแล้ว ราคาที่เสนอที่นี่ทุกนาที ล้วนแต่สะกดข่มเหล่าจอมเสเพลที่แย่งชิงบุปผางามกันในหลินชวนไปได้อย่างสิ้นเชิง

“ศิลาวิญญาณระดับต่ำ 300 ก้อน” ชายคนที่ประมูลเอาหญิงฝาแฝดพี่น้องไปเอ่ยออกมา

ปัง!

เซิ่งอวี้หลีตบโต๊ะอย่างโมโห มองไปที่เขาแล้วเอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “เจี่ยงเทียนอี้ วันนี้เจ้าอยากจะมีเรื่องกับข้าใช่หรือไม่?” เขาพลันพูดชื่อของอีกฝ่ายออกมาตรงๆ

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วสูงขึ้น นางคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามจะเป็นเจี่ยงเทียนอี้ เขาเพิ่งจะถูกลอบสังหาร คนร้ายยังจับไม่ได้ แต่กลับกล้ามาปรากฏตัวอยู่ในที่เช่นนี้ช่างสมกับที่ถูกเรียกว่าเป็นพวกบ้าผู้หญิงจริงๆ

ในเมื่อแน่ใจแล้วว่าคนฝั่งตรงกันข้ามคือตระกูลเจี่ยง เช่นนั้นอีกสามตำแหน่งที่เซิ่งอวี้หลีมองไปก่อนหน้านี้ก็คือ ตระกูลวน ตระกูลเล่อ แล้วก็ตระกูลถาน

แต่ทว่ามู่ชิงเกอก็จำได้ว่าทั้งสามตระกูลไม่ได้เสนอราคาเลยสักครั้ง และก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผู้หญิงเหล่านี้ไม่อาจดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้หรือเพราะพวกเขาคิดว่าไม่สมควรสิ้นเปลืองศิลาวิญญาณเพื่อผู้หญิงกันแน่

ชื่อของเจี่ยงเทียนอี้ถูกเปิดเผย เขาก็ดึงหน้ากากของตนเองออกมาโยนลงบนพื้น มองเซิ่งอวี้หลี “สามารถจำข้าได้ เจ้าเป็นคนของตระกูลไหน?”

ในความเป็นจริง ตอนที่เซิ่งอวี้หลีตะโกนชื่อของเจี่ยงเทียนอี้ออกมาก็รู้สึกเสียใจแล้ว

สามารถปิดบังสถานะนำเซิ่งซูซูออกไปจะดีที่สุด เพียงแค่สถานะถูกเปิดเผยออกไป เรื่องในคืนนี้ของเซิ่งซูซูก็จะถูกเปิดเผยออกมา

เซิ่งอวี้หลีโกรธตัวเองที่เมื่อครู่ระงับอารมณ์ไม่อยู่ เปิดเผยชื่อของเจี่ยงเทียนอี้ออกมา

ตอนนี้ทำได้เพียงแต่ทำปากแข็ง เอ่ยออกไปอย่างเย็นชาว่า “ไม่เกี่ยวกับเจ้า”

“เหอะ? ไม่เกี่ยวกับข้างั้นหรือ? ข้าดูแล้วเจ้าไม่กล้าเปิดเผยตัวตนมากกว่า” เจี่ยงเทียนอี้ยกเท้าขึ้นมาบนโต๊ะยาวตรงหน้า มองไปทางเซิ่งอวี้หลีอย่างดูแคลน นัยน์ตาเต็มไปด้วยการยั่วยุ

มู่ชิงเกอคุ้นเคยกับท่าทางเช่นนี้มาก เจี่ยงเทียนอี้ก็เป็น พวกไม่เอาไหนของแท้

ในตอนนี้ หน้ากากผีสีขาวก็เอ่ยขึ้นในทันใดว่า “ระหว่างการประมูล ไม่สามารถบอกให้ผู้ประมูลเปิดเผยใบหน้าได้ แต่ว่าหากผู้ประมูลเปิดเผยใบหน้า เผยสถานะเองแล้ว หลังจากออกจากที่นี่ หากพบเจอเรื่องราวใดๆ พวกเราจะไม่รับผิดชอบ”

ภายในคำพูดนี้ มีการกล่าวเตือนและก็ชี้แนะ

สีหน้าของเจี่ยงเทียนอี้เปลี่ยนไปในทันทีนัยน์ตาดำมืดลง

ถูกหญิงคณิกาแทงบาดเจ็บเป็นการเสียเกียรติที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของเขา หากจะโทษก็ต้องโทษที่ผู้หญิงคนนั้นงดงามเกินไป ทำให้เขาหลงใหลจนขาดสติ ถึงได้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น

ผู้หญิงคนนั้น ถึงแม้ว่านางจะกลายเป็นขี้เถ้าเขาก็ยังจำได้ รอให้เขาได้ตัวนางมาแล้วจะต้องสั่งสอนให้หนักๆ ทำให้นางรู้สึกเสียใจที่มาเสนอหน้าต่อหน้าเขา!

“ศิลาวิญญาณระดับต่ำ 300 ก้อน ยังมีใครจะเสนอราคาอีกหรือไม่?”

“ศิลาวิญญาณระดับต่ำ 305 ก้อน” มีเสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นมา

เซิ่งอวี้หลีหันหน้ากลับไปอย่างมึนงง มองดูคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง

แต่เขากลับมีดวงตาที่ดูสงบภายใต้หน้ากากผี ภายใต้การจับตามองของสายตาคู่นั้นจิตใจที่ดูสับสนวุ่นวายของเขาก็ค่อยๆ สงบลง

การแข่งขันระหว่างสองคนทันใดนั้นก็มีอีกคนสอดเข้ามา ไม่เพียงแต่ดึงดูดสายตาของเซิ่งอวี้หลี แต่ยังดึงดูดความสนใจของเจี่ยงเทียนอี้ด้วย

เขามองมู่ชิงเกอกลับพบว่าดูแปลกหน้ามาก

“เจ้าเป็นใครกัน?” เขาร้องออกไปอย่างผยอง

แต่ว่า มู่ชิงเกอกลับไม่ได้สนใจเขา

“ระหว่างการประมูลไม่อาจถามชื่อหรือสถานะของผู้ประมูล” หน้ากากผีสีขาวเอ่ยเตือน

สีหน้าของเจี่ยงเทียนอี้ไม่น่าดูขึ้นไปอีก เอ่ยอย่างดูแคลนกับมู่ชิงเกอว่า “อยู่ในการประมูลที่นี่ล้วนแต่พูดคุยกันด้วยเงินทอง เจ้ามีศิลาวิญญาณเยอะขนาดนั้นหรือ? อย่าได้แกล้งทำเป็นรํ่ารวย ผลลัพธ์ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะรับได้” พูดจบ เขาก็มองไปยังหน้ากากผีสีขาวที่อยู่บนเวทีประมูล

หน้ากากผีสีขาวเอ่ยขึ้นในทันที “ไม่ผิด เสนอราคาในที่แห่งนี้ก็ต้องสามารถเอาเงินออกมาได้ การประมูลนี้ไม่มีการมัดจำ ถ้าหากว่าผู้ประมูลไม่ได้นำศิลาวิญญาณมาเพียงพอก็อย่าได้เสนอราคาส่งเดชจะดีกว่า หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง”

แต่ว่ามู่ชิงเกอก็ไม่ได้มีผลกระทบใดๆ เพียงแต่เอ่ยกับหน้ากากผีสีขาวว่า “ผู้จัดการประมูล ไม่ใช่ว่าไม่มีคนเสนอราคาสูงกว่าอีกแล้วใช่หรือไม่?”

ประโยคนี้ก็พุ่งมาที่ประเด็นหลักตรงๆ เซิ่งอวี้หลีได้ฟังก็กำลังคิดจะเอ่ยปาก แต่กลับรู้สึกได้ว่า ดวงตาคู่นั้นส่ายหน้าลอบมองมายังเขา เขารู้สึกลังเลเล็กน้อย เขารู้สึกว่า คนๆ นี้เดาออกถึงสถานะของตนเอง ไม่เพียงเท่านั้น ยังเดาออกถึงสถานะของหญิงที่อยู่ในกรงบนเวทีประมูลด้วย ส่วนเขาเสนอราคาอย่างกะทันหันดูเหมือนว่าจะเพื่อช่วยเขา!

การคาดเดานี้ทำให้ในใจของเซิ่งอวี้หลีตกตะลึง

ชายในชุดสีแดงเบื้องหน้า เขาไม่คุ้นตาเลยสักนิด เหตุใดจึงช่วยเขาช่วยซูซู?

แต่ว่า ดวงตาคู่นั้นกลับทำให้เขารู้สึกว่าคนๆ นี้น่าเชื่อถือ ใจที่คิดจะเสนอราคาต่อค่อยๆ สงบลง ไม่ได้เสนอราคาต่ออีก

“ศิลาวิญญาณระดับต่ำ 305 ครั้งที่หนึ่ง”

หน้ากากผีสีขาวร้องตะโกน

“ศิลาวิญญาณระดับตํ่า305 ครั้งที่สอง”

“ศิลาวิญญาณระดับตํ่า 350 ก้อน!” เจี่ยงเทียนอี้นิ่งไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ยกมือร้องขึ้น

เพียงครู่เดียวเขาก็ยกราคาสูงขึ้นถึงศิลาวิญญาณระดับต่ำเพิ่มขึ้นอีก 45 ก้อน ดึงดูดสายตาจากทุกคน ส่วนเขาก็ดู หมือนจะชอบการถูกจ้องมองด้วยสายตาเช่นนี้ ใบหน้าฉีกเป็นรอยยิ้มที่ดูได้ใจออกมา

มีเงินก็คือมีความมั่นใจ!

มองเห็นท่าทางที่ดูได้ใจของเขาแล้ว ทุกคนก็ล้วนแต่พูดประโยคนี้ในใจ

มู่ชิงเกอกลับเอ่ยอย่างสงบ “ศิลาวิญญาณระดับตํ่า 355 ก้อน”

นางยกราคาจากเจี่ยงเทียนอี้ขึ้นในขั้นตํ่าสุด ดูเหมือนจงใจเทียบกับเขา

เจี่ยงเทียนอี้ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเอ่ยว่า “380 ก้อน”

“385 ก้อน” ครั้งนี้คนที่เสนอราคาคือมั่วหยาง

แน่นอนว่าเขาทำตามคำสั่งของมู่ชิงเกอ

ตัวมู่ชิงเกอเองก็หยิบจอกเหล้าบนโต๊ะ ส่งเข้าไปในหน้ากาก จิบดื่ม

ถึงกลับส่งบ่าวรับใช้มาเสนอราคาแข่งกับเขา!

หว่างคิ้วของเจี่ยงเทียนอี้ดูมืดทะมึน เขากัดฟันเสนอราคาออกมา “ศิลาวิญญาณระดับต่ำ 400 ก้อน!”

“405 ก้อน” มั่วหยางก็เสนอราคาตามไปโดยไม่คิดอะไรมาก

พรึ่บ—–!

ครั้งเดียวราคาก็ถูกยกขึ้นไปสูงถึงศิลาวิญญาณระดับตํ่า 405 ก้อน ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อเทียบกับพี่น้องฝาแฝดที่หาได้ยากนั้นแล้วก็สูงกว่าเป็นเท่าตัว!

“420 ก้อน!” เจี่ยงเทียนอี้เอาเท้าที่วางอยู่บนโต๊ะลง สายตาจ้องมาทางฝั่งมู่ชิงเกอ

“425 ก้อน” และมั่วหยางก็เสนอราคาตามไป

ดูเหมือนว่า พวกเขาไม่ได้คิดเรื่องที่ว่าจะคุ้มค่าต่อการจ่ายหรือไม่เลย เพียงแต่เจี่ยงเทียนอี้เสนอราคา พวกเขาก็ล้วนแต่เสนอสูงกว่าเล็กน้อย

คนที่มีประสบการณ์ในการประมูล ในใจก็ล้วนแต่รับรู้ว่า การเสนออย่างนี้เสี่ยงอันตรายมากที่สุด

เพราะว่าไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าจุดมุ่งหมายในการเสนอราคาของอีกฝ่ายนั้นคืออะไร

อีกฝ่ายสามารถเสนอราคาได้ตามใจชอบและก็สามารถหยุดยั้งได้ตามใจ ถ้าหากว่ายังดิ้นรนต่อไป รอจนราคาถูกยกสูงขึ้นแล้ว พวกเขาเกิดถอนตัว คนที่ขาดทุนท้ายที่สุดก็คือเขาเจี่ยงเทียนอี้! ถึงตอนนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะเอาชนะได้รับสาวงาม แต่ก็จะกลายเป็นตัวตลก

นัยน์ตาของเจี่ยงเทียนอี้วาววาบเล็กน้อย เขามองไปทางหน้ากากผีสีขาวแล้วเอ่ยว่า “นี่คงไม่ใช่คนที่พวกเจ้าจัดวางไว้เพื่อเล่นตุกติกกับข้าใช่ไหม?”

หน้ากากผีสีขาวอธิบายอย่างสงบ “นายท่านคิดมากเกินไปแล้ว ลูกค้าท่านนี้ไม่เกี่ยวข้องกับลานประมูล”

เมื่อได้รับการรับรองจากฝั่งจัดการประมูลแล้ว เจี่ยงเทียนอี้ก็กวาดสายตามองไปยังมู่ชิงเกออีกครั้ง กัดฟันเอ่ยถามว่า “เจ้าคิดจะขัดขวางข้า?”

มู่ชิงเกอเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้มเอ่ยตอบไป “ใช่แล้ว เจ้ากล้าสู้หรือไม่?”

การถามแล้วตอบเช่นนี้ทำให้เจี่ยงเทียนอี้ไร้คำพูดจะต่อ

เขาจ้องมองไปทางฝั่งของมู่ชิงเกออย่างแค้นเคือง ในใจคิดอย่างสับสน

กล้าไหม นี่ไม่ใช่เป็นการบอกแก่คนอื่นๆ ว่าเขาเป็นไอ้โง่? ถูกคนขุดหลุมให้ไม่กระโดดก็ไม่ใช่ว่าหมายถึงไม่กล้า?

มุมปากของมู่ชิงเกอภายใต้หน้ากากฉีกยิ้มเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววยั่วยุ

เคยเสแสร้งเป็นคนไม่เอาไหน เหตุใดนางจะไม่เข้าใจจิตใจของพวกไม่เอาไหน?

การใช้เงินทองต่อสู้กับพวกไม่เอาไหนอย่างเจี่ยงเทียนอี้ นั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องไม่ฉลาดที่สุด ถ้าจะสู้ก็ต้องใช้จิตใจ ความกล้า!

นางบอกแล้วว่าเล่นงานเขา เขาจะทำอย่างไรอีก?

คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้เจี่ยงเทียนอี้ชะงัก ทำให้เซิ่งอวี้หลีมองเขาด้วยสายตาที่ดูแปลกใจ เวลานี้ เขาแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายกำลังช่วยเขา

เพียงแต่ว่า เขาเดาไม่ออกถึงเหตุผล

ส่วนมู่ชิงเกอแน่นอนว่าจะไม่บอกเขา ‘ใช่แล้ว ข้าช่วยเจ้า ก็เพราะว่าข้าต้องการจะต่อกรกับตระกูลเล่อ ต้องการพันธมิตร ส่วนพวกเจ้าตระกูลเซิ่งก็ส่งโอกาสที่จะร่วมมือมาให้พอดี ข้าก็ไม่สะดวกใจถ้าจะไม่รับเอาไว้’

เข้าใกล้อย่างมีจุดประสงค์ไม่อาจสู้ได้กับการมอบความช่วยเหลือในตอนเดือดร้อน

ความสัมพันธ์ระหว่างคนก็ต้องรู้จักว่าต้องทำอย่างไรถึงจะได้รับผลประโยชน์มากที่สุด

‘อา เล่นกับจิตใจของคนช่างทำให้เหนื่อยใจยิ่งนัก’ มู่ชิงเกอถอนหายใจในใจออกมาประโยคหนึ่ง

“เจ้ากำลังยั่วยุข้า?” เจี่ยงเทียนอี้เอ่ยอย่างแค้นเคือง

มู่ชิงเกอกลับไม่ได้สนใจเขาอีก แต่กลับเอ่ยกับหน้ากากผีสีขาวบนเวทีประมูลว่า “นี่เป็นงานการประมูลใช่หรือไม่?”

หน้ากากผีสีขาวเข้าใจในทันที สำรวมสติร้องว่า “ศิลาวิญญาณระดับตํ่า 425 ก้อนครั้งที่หนึ่ง!”

คำพูดของหน้ากากผีสีขาวทำให้สตินึกคิดของเจี่ยงเทียนอี้กลายเป็นว้าวุ่น

เขายังไม่ทันคิดดีว่าจะทำเช่นใดต่อไปก็ถูกบีบถึงจุดนี้แล้ว

เดิมทีเขาคิดจะถ่วงเวลาเพื่อครุ่นคิด แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทำลายแผนการของเขา

“ศิลาวิญญาณระดับตํ่า 425 ก้อนครั้งที่สอง” หน้ากากผีสีขาวร้องขึ้นอีกครั้ง

จะทำอย่างไรดี? ประกาศราคาหรือไม่ดี?

“ศิลาวิญญาณระดับต่ำ 425 ก้อนครั้งที่สาม! ขาย!”

ในขณะที่เจี่ยงเทียนอี้กำลังลังเล ‘นกน้อย’ ในกรงก็ถูกกำหนดเจ้าของแล้ว

เมื่อเหตุการณ์สงบ ทำให้ในใจของเจี่ยงเทียนอี้ลอบโล่งใจออกมาในใจ แต่ก็ยังรู้สึกไม่ยินยอม

เซิ่งซูซูถูกนำออกมาจากกรงทอง แต่โซ่บนมือและเท้าของนางยังไม่ถูกปล่อยออก

คนงานหน้ากากผีถือถาดมาตรงหน้าของมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอยกมือขึ้น บนถาดมีศิลาวิญญาณระดับกลาง 4 ก้อนปรากฏออกมา แล้วก็ยังมีศิลาวิญญาณระดับตํ่า 25 ก้อน

จำนวนที่มากถึงขนาดนี้ทำให้ทุกคนลอบคาดเดาถึงสถานะของเขาในทันใด

เมื่อมองเห็นว่ามู่ชิงเกอสามารถเอาศิลาวิญญาณออกมาได้มากถึงขนาดนี้อีกทั้ง ทั้ง  4 ก้อนยังเป็นศิลาวิญญาณระดับกลางอีก สายตาของเจี่ยงเทียนอี้ฉายแววอิจฉาออกมา

เขารู้สึกว่าใบหน้าของตนเองถูกคนผู้นั้นเหยียบไว้ใต้เท้า!

คนงานหน้ากากผีเก็บศิลาวิญญาณ เซิ่งซูซูถูกนำมายังข้างกายของมู่ชิงเกอ

ในตอนที่นางผ่านข้างกายของเซิ่งอวี้หลีนั้น มู่ชิงเกอก็จับได้ถึงความตื่นเต้นของนาง

มุมปากภายใต้หน้ากากของนางฉีกยิ้มออก เอ่ยขึ้นในทันใด “ช้าก่อน”

คนงานหน้ากากผีที่จับโซ่ของเซิ่งซูซูยืนนิ่งทันที มองมาที่เขาอย่างสงสัย

มู่ชิงเกอเอ่ยว่า “สาวงามผู้นี้ ข้าขอมอบให้แก่คุณชายท่านนั้น”

เซิ่งอวี้หลีชะงัก ตกตะลึง แม้แต่เซิ่งซูซูก็มองมาที่เขาอย่างตกตะลึง

คนงานหน้ากากผีมองไปยังหน้ากากผีสีขาวบนแท่นประมูลอย่างขอความเห็น

มู่ชิงเกอยิ้มบางเบาพลางเอ่ยว่า “อะไรกัน? คนก็เป็นของข้าแล้ว ข้าคิดจะมอบให้ใครยังต้องขอความเห็นจากใครด้วยอย่างนั้นหรือ?”

“แน่นอนว่าไม่จำเป็น” หน้ากากผีสีขาวเอ่ย “ลานประมูลจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของลูกค้า เพียงแต่ข้าก็แค่นึกแปลกใจว่าเหตุใดลูกค้าที่จ่ายศิลาวิญญาณมากมายขนาดนั้นซื้อนางแล้ว แม้แต่จะเชยชมนางสักนิดก็ไม่มี ก็เอานางส่งไปให้คนอื่นเสียแล้ว?”

มู่ชิงเกอเอนหลังพิงเก้าอี้ เลียนแบบเจี่ยงเทียนอี้เมื่อครู่ สองเท้าวางพาดบนโต๊ะยาว เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ศิลาวิญญาณนั้นข้ามีพอ คนข้าก็ไม่ได้สนใจ ข้าเพียง แต่ทนคนบางประเภทไม่ได้ก็เท่านั้น”

ให้ตายเถอะ!

มีคนอดไม่ได้หัวเราะออกมา

คิดมาตั้งนาน เป็นเพียงแค่การแข่งขันระหว่างคนไม่เอาไหนสองคนก็เท่านั้น

ยิ่งมีคนลอบหัวเราะในใจอีก ‘นายน้อยไม่เอาไหนของตระกูลเจี่ยงในที่สุดก็มีคู่มือแล้ว’

“เจ้า!” สีหน้าของเจี่ยงเทียนอี้เปลี่ยนไปในทันที ยืนขึ้นมาจากเก้าอี้ แค้นจนอยากจะพุ่งออกมาดึงหน้ากากของคนผู้นั้นออก

ส่วนมู่ชิงเกอกลับมองไปยังเขาอย่างท้าทาย

เซิ่งอวี้หลีรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าคนๆ นี้ กำลังช่วยเขา แล้วเหตุใดตอนนี้จึงจงใจตัดความเกี่ยวข้อง?

มู่ชิงเกอมองไปทางคนงานหน้ากากผีที่ชะงักอยู่ที่เดิม นํ้าเสียงเย็นชาขึ้นหลายส่วน “ยังไม่มอบไปให้คุณชายผู้นั้นอีก รออะไรอยู่?”

คนงานหน้ากากผีได้สติขึ้นมา จูงเซิ่งซูซูเดินไปข้างกายเซิ่งอวี้หลีในทันที

หลังจากเก็บโซ่กลับไปแล้ว คนงานหน้ากากผีก็ส่งมอบกำไลข้อมือที่ใช้ควบคุมปลอกคอของเซิ่งซูซูมอบให้แก่เซิ่งอวี้หลี

เซิ่งอวี้หลีรับมาด้วยนิ้วมือที่สั่นเทาเล็กน้อย คว้าจับกำไลข้อมือที่สำคัญนั้นเอาไว้แน่น

ส่งคนเสร็จแล้ว คนงานหน้ากากผีก็ถอยออกไป

เซิ่งซูซูคุกเข่าอยู่ข้างกายของเซิ่งอวี้หลี และก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน

“ซูซู” เซิ่งอวี้หลีร้องเรียกเบาๆ

ใต้โต๊ะยาว เซิ่งซูซูจับมือของพี่ชายอย่างตื่นเต้น มือของสองพี่น้องกุมเข้าด้วยกัน ความรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ผุดขึ้นมาในหัวใจ

น้องสาวกลับมาสู่ข้างกาย ความหวาดกลัวในใจของเซิ่งอวี้หลีในที่สุดก็สงบลงได้

เขาไม่สามารถเปิดเผยใบหน้าที่นี่ได้ เพียงแต่สามารถรอให้งานการประมูลจบลงแล้ว หลังพาเซิ่งซูซูจากไปแล้วค่อยพูดกัน

เซิ่งอวี้หลีหันมองมู่ชิงเกอ พยักหน้าให้เขาเบาๆ แสดงความขอบคุณ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีจุดมุ่งหมายอะไรในการช่วยเหลือ ล้วนแต่เป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเซิ่ง

มิเช่นนั้นแล้ว ไม่แน่ว่าวันนี้น้องสาวของตนเองอาจจะถูกเจี่ยงเทียนอี้คนไม่เอาไหนคนนั้นซื้อไป

มู่ชิงเกอพยักหน้าตอบกลับ ถึงแม้ว่าคนทั้งสองจะไม่ได้พูดจากัน แต่ก็สำเร็จในการส่งสัญญาณเป็นมิตรให้แก่กันเงียบๆ แล้ว

“ดี ต่อไปเป็นการประมูลรอบสุดท้าย สินค้าชิ้นนี้เป็นของหายาก ทุกท่านอย่าได้พลาดโอกาสไป!” หน้ากากผีสีขาวเอ่ยประกาศ

ได้ยินประโยคนี้ สายตาของมู่ชิงเกอก็เปลี่ยนเป็นเฉียบคมขึ้นมา

เซิ่งซูซูไม่ได้เอ่ยปากพูดจา เพียงแต่จับมือพี่ชาย เขียนสองคำบนกลางฝ่ามือของเขาอย่างรวดเร็ว ‘ช่วยคน’

เซิ่งอวี้หลีรู้สึกสงสัยเล็กน้อย มองไปทางสายตาของน้องสาว

ถึงแม้ว่าจะมีหน้ากากขวางกั้น เขาก็ยังมองไปเห็นความร้อนใจและกังวลในสายตาของน้องสาว

เขาค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น ในใจคาดเดาว่า ‘หรือว่าคนต่อไป ที่จะถูกประมูลมีความเกี่ยวข้องกับน้องสาวของตน?’

เมื่อเห็นความสงสัยของพี่ชาย เซิ่งซูซูก็ไม่มีวิธีจะเอ่ยปากอธิบาย ได้แต่พยักหน้าแรงๆ หนหนึ่ง

นางจะต้องให้พี่ชายช่วยฉินอี้เหยาออกมาให้ได้ มิเช่นนั้น จะตอบแทนการปกป้องของนางได้อย่างไร?

เดิมสถานะของนางนั้นจะถูกเปิดเผยไม่ได้

แต่ว่าในตอนที่ถูกคนเหล่านั้นขังไว้ในกรง นางก็ได้ขัดขืนและได้ร้องตะโกนบอกออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เรื่องที่คุณหนูตระกูลเซิ่งหายตัวไป สำหรับขุมกำลังในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงก็ไม่ได้ถือว่าเป็นความลับ รวมกับที่นางเผยฐานะตนเองออกไปอีก สถานะของนางก็สามารถยืนยันได้แล้ว

คนเหล่านี้เดิมทีตั้งใจจะเปลี่ยนที่อยู่ของนาง หรือไม่ก็ฆ่านาง

แต่ว่าฉินอี้เหยากลับก้าวออกมา กล่อมให้พวกเขาใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าของนางดำเนินการประมูลต่อ ทำเป็นไม่รู้ถึงสถานะของเซิ่งซูซู และก็ป้องกันความบริสุทธิ์ของนาง

ในทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นคนของตระกูลเซิ่งซื้อนางไป หรือว่าคนอื่นซื้อนางไปก็ล้วนแต่ไม่เกี่ยวกับตลาดมืด

ซึ่งปลอดภัยยิ่งกว่าเปลี่ยนที่อยู่นางหรือว่าฆ่านางเป็นไหนๆ เพราะตอนนี้ คนของตระกูลเซิ่งก็ได้รู้แล้วว่าเซิ่งซูซูนั้นอยู่ที่ไหน

เซิ่งซูซูก็ไม่รู้ว่าในสุดท้ายแล้วฉินอี้เหยาใช้วิธีอะไรโน้มน้าวคนเหล่านั้น เพียงแต่รู้ว่าสุดท้ายแล้วตนเองไม่ได้ถูกนำตัวไป แต่กลับถูกขังไว้ในกรง

หลังจากที่พวกเขาล่ามนางไว้กับโซ่ ฉินอี้เหยาก็กระซิบที่หูของนางว่า “ขอเพียงยังอยู่ในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง เจ้าก็ยังจะมีโอกาส คนของตระกูลเจ้าจะต้องไล่ตามมาทัน ทำให้พวกเขาซื้อเจ้าได้อย่างแน่นอน เช่นนี้ก็จะไม่มีใครรู้ แล้วว่าเจ้าพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ คุณหนูของตระกูลเซิ่งก็จะแค่ลอบออกไปเล่นนอกบ้านรอบหนึ่งแล้วก็กลับมา”

สุดท้ายนางก็พูดว่า ‘รบกวนด้วย’

นี่ทำให้เซิ่งซูซูเข้าใจในทันใดว่าฉินอี้เหยากำลังบอกนางว่า หลังจากที่ตนเองเป็นอิสระแล้วต้องช่วยนาง

ดังนั้น ตอนนี้เซิ่งซูซูถึงได้ตัดสินใจบอกพี่ชายของตนเอง ไม่ว่าจะอย่างไรจะต้องซื้อสินค้าประมูลชิ้นสุดท้ายมาให้ได้!

นางตอนนี้ไม่อาจพูดออกมาได้ทำได้เพียงแต่จับมือของพี่ชายแน่น ส่งความคิดในใจไปยังเขา

กรงทองกรงสุดท้ายถูกคลุมด้วยผ้าไหมสีแดง ถูกคนแบกขึ้นมา วางไว้ตรงหน้าของหน้ากากผีสีขาว

สำหรับสินค้าประมูลขึ้นสุดท้ายนี้ทุกคนล้วนแต่รอคอย ตามธรรมดาแล้ว ของที่แสดงขึ้นสุดท้ายมักจะดีที่สุด!

หน้ากากผีสีขาวเดินไปข้างกรงทอง สองมือกดลงไปบนยอดกรงทอง มองไปรอบด้าน เอ่ยเสียงเข้มว่า “สินค้าประมูลชิ้นนี้งดงามมาก เป็นของหายาก ราคาเริ่มต้นคือ ศิลาวิญญาณระดับตํ่า 1 ก้อน แต่ทุกครั้งที่เสนอราคา ล้วนแต่ต้องไม่ตากว่าศิลาวิญญาณระดับต่ำ 10 ก้อนขึ้นไป”

ทุกคนยังไม่ทันได้ประหลาดใจในราคาเริ่มต้นที่ตํ่านี้ ก็ถูกราคาที่หน้ากากผีสีขาวประกาศออกมาทำให้ตกใจแล้ว

ทุกครั้งที่เสนอล้วนแต่ต้องไม่ตํ่ากว่าศิลาวิญญาณระดับต่ำ 10 ก้อน? ทำเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะตั้งราคาขั้นตํ่าไว้ต่ำมาก ราคาก็จะต้องถูกยกขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ในใจของทุกคนลอบประหลาดใจ แต่ก็ยิ่งเพิ่มความคาดหวังต่อหญิงสาวภายในกรงทองที่ถูกคลุมด้วยไหมสีแดงมากขึ้น

“ทุกคนเตรียมพร้อมหรือยัง?” หน้ากากผีสีขาวร้อง ประกาศออกไป

เขาเช่นนี้ทำเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคน ทำให้อาการเหม่อลอยของผู้ซื้อกลับขึ้นคืนสติมา

ภายใต้การรอคอยของทุกคนในที่สุดผ้าไหมแดงก็ถูกดึงออก ถูกดึงกระชากลอยพลิ้วไปกลางอากาศ ก่อนจะค่อยๆ ตกลงมา เผยให้เห็นความงามที่อยู่ในกรงทอง

พรึ่บ

เสียงสูดอากาศดังมาจากรอบทิศ

มองหญิงสาวที่อยู่ในกรงทอง ทำให้คนจำนวนไม่น้อยอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าไปลึก

อะไรที่เรียกว่างามดุจดังหยกสลักนํ้าแข็ง? อะไรที่เรียกว่าเสน่ห์อันน่าหลงใหล? อะไรที่เรียกว่าความงามโดยธรรมชาติ? คนในกรงก็คือสิ่งนั้น!

ชุดบางสีน้ำเงินคลุมร่างที่งดงามของนาง ผมดำถูกปล่อยลง ไม่มีเครื่องประดับใดๆ นางพิงกับกรงทอง รูปลักษณ์ถูกผมปิดบังไว้เล็กน้อย แต่เพียงเท่านี้ก็เพียงพอ แล้วที่จะทำให้คนสติหลุด

เท้าเปล่าที่อยู่นอกม่านละเอียดอ่อนจนทำให้คนอยากจะวางไว้กลางมือสัมผัสอย่างละเอียด

สินค้าชั้นยอด! สินค้าชั้นยอดที่หาได้ยาก!

คนที่ปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ส่วนมากล้วนแต่เป็นคนที่พบเจอผู้หญิงมามากมาย แต่เมื่อพบเห็นคนที่อยู่ในกรงนั้น พวกเขาก็ล้วนแต่อดไม่ได้ที่จะส่งเลียงออกมาอย่าง อัศจรรย์ใจ

แม้พวกเขาจะสงสัยในใจว่า…ภายในบ้านที่ยากจนจะมีผู้หญิงเช่นนี้เกิดออกมาได้อย่างไร? นางแผ่กระจายกลิ่นอายความสูงศักดิ์ออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่การเลี้ยงดูแบบปกติถึงจะเลี้ยงออกมาได้

แต่ว่าเมื่อมาถึงที่แห่งนี้ คนที่อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้สนใจในความเป็นมาของเหล่าผู้หญิงในกรง

พวกเขาตามหาก็คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาสนใจ กระตุ้นให้พวกเขามีความปรารถนา!

เซิ่งอวี้หลีตกตะลึง ดวงตาของเขาเหลือแต่เพียงความตกตะลึง ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ดูเหมือนว่า ในพริบตานี้ ที่นี่เหลือแค่เพียงเขากับหญิงสาวในกรงผู้นั้น

แม้แต่เซิ่งซูซูจะเขย่ามือของเขาอย่างร้อนรน ก็ไม่อาจลากจิตใจอันเหม่อลอยของเขากลับมาได้

ในตอนที่คนในกรงปรากฏตัวขึ้นนั้น นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็เคร่งขรึมขึ้นมา

ไม่เจอกันตั้งนาน คิดไม่ถึงว่าในตอนที่พบเจอกันอีกครั้ง นางจะมีสภาพเลวร้ายถึงขนาดนี้

ในสายตาของคนอื่น ฉินอี้เหยาในตอนนี้ก็เหมือนดอกบัวงดงามที่เติบโตขึ้นกลางยอดเขาหิมะ เยียบเย็นแต่ก็น่าหลงใหล แต่ว่าในสายตาของนาง ฉินอี้เหยาในตอนนี้ กลับดูเหมือนปลาที่ถูกคนแล่เนื้อ นอกจากจะมีสภาพทุกข์ตรมแล้วก็ไม่มีอย่างอื่น

‘ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เจ้าไปพบเจออะไรมากันแน่?’ มู่ชิงเกอมองฉินอี้เหยาที่อยู่ในกรง เอ่ยถามในใจ

ตำแหน่งของผู้ประมูล สำหรับฉินอี้เหยาที่อยู่ในกรงทองแล้ว ทุกอย่างล้วนแต่มืดมัว สายตาที่แหลมคมจ้องมองมายังร่างของนางพวกนั้น ก็ทำให้นางรู้สึกถึงหรือมองเห็นได้อย่างรางๆ เท่านั้น

นางสามารถรู้สึกได้ว่า ทุกๆ คนล้วนแต่กำลังพิจารณานาง ลอบคำนวนในใจว่านางมีค่าเท่ากับศิลาวิญญาณกี่ก้อน

แต่สำหรับจากตำแหน่งของคนประมูลแล้ว ทุกอย่างของนางล้วนถูกมองเห็นอย่างชัดเจน

ในตอนที่ทุกคนล้วนแต่กำลังตกตะลึงในความงามของนางนั้น นอกจากมู่ชิงเกอแล้ว ยังมีอีกคนที่จำนางได้

นั้นก็คือเมื่อสามวันก่อน เคยถูกนางลอบฆ่า และก็คิดว่าตายไปแล้วอย่างเจี่ยงเทียนอี้!

ในตอนที่ฉินอี้เหยาปรากฏตัวขึ้นนั้น เจี่ยงเทียนอี้ก็จำได้ว่านางก็คือคนที่ปลอมตัวเป็นหญิงคณิกาที่เกือบจะฆ่าตัวเองได้สำเร็จ! แต่ว่า ถึงแม้ในใจจะมีความแค้น เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

พริบตานั้น ความคิดก่อนหน้านี้ก็เปลี่ยนไป เขาคิดจะเอาหญิงผู้นี้มาไว้ในมือ รอเล่นจนเบื่อแล้วค่อยทรมาน!

ทันใดนั้น นัยน์ตาของเจี่ยงเทียนอี้ก็ฉายแวว ต้องได้มา ออกมา

สายตาของมู่ชิงเกอกวาดมองไปยังเจี่ยงเทียนอี้ มองไปเห็นสายตา ‘ต้องได้มา’ ของเขาแล้ว นัยน์ตาที่ดูกระจ่างชัดก็พลันดำมืดลง

เสวี่ยหยาและมั่วหยางที่อยู่ใกล้ชิดกับนางล้วนแต่สัมผัสได้ถึงไอความเย็นจากตัวนาง

เสวี่ยหยารู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดหลังจากผู้หญิงบนเวทีปรากฏตัวขึ้นแล้ว นายน้อยของนางถึงได้ดูเยียบเย็นขึ้นมา ทั้งยังเหมือนว่าแฝงอยู่ด้วยความโมโห

ส่วนตอนนี้นางก็ยิ่งสัมผัสได้ว่าไอความเย็นที่มู่ชิงเกอแผ่ออกมานั้นมีไอสังหารด้วย

รู้จักมาจนถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่านางจะไม่เคยพบเห็นมู่ชิงเกอที่มีอารมณ์รุนแรงเช่นนี้มาก่อน นี่เป็นเพราะอะไรกัน? เพราะว่าหญิงที่อยู่ในกรงผู้นั้นอย่างนั้นหรือ?

สายตาของเสวี่ยหยาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองกรงทอง

รูปโฉมของหญิงนางนั้นดูไม่ธรรมดาก็จริง ท่าทางก็ดูโดดเด่น แต่ว่า ข้างกายของนายน้อยก็ไม่ขาดหญิงงาม ไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนแต่มีรูปลักษณ์โดดเด่น ท่าทางไม่ธรรมดาทั้งนั้น แล้วเพราะเหตุใดจึงเป็นเพราะผู้หญิงที่งดงามแค่คนเดียวจึงเกิดอารมณ์ที่รุนแรงถึงขนาดนี้ได้?

เสวี่ยหยาสงสัยแล้ว นางไม่รู้ความเกี่ยวข้องเบื้องลึก แต่มั่วหยางรู้ดี ในตอนที่เขาสัมผัสได้ถึงไอสังหารจากมู่ชิงเกอนั้น ความรู้สึกผิดในใจของเขาก็ยิ่งหนักหนาขึ้น เขาหันกายไปเอ่ยเสียงเข้มกับมู่ชิงเกอว่า “ขอโทษด้วยคุณชาย เป็นความผิดของข้าเอง!”

“ไม่เกี่ยวกับเจ้า” มู่ชิงเกอเอ่ยตอบเสียงเย็นชา

ในนํ้าเสียง ฟังไม่ออกเลยว่าโมโหหรือดีใจ

“เริ่มประมูลได้!” หน้ากากผีสีขาวร้องตะโกนออกมา เหล่าผู้ประมูลล้วนแต่คึกคักขึ้นมาในทันใด

“ข้าเสนอศิลาวิญญาณระดับตํ่า 20 ก้อน!”

“20 ก้อนเจ้าก็ยังกล้าเสนออีกหรือ? ข้าเสนอ 50 ก้อน!”

“50 ก้อน? เจ้ายังคิดว่าเจ้ารํ่ารวยอย่างนั้นหรือ! ศิลา

วิญญาณระดับตํ่า 100 ก้อน!”

“150 ก้อน!”

“170 ก้อน!”

“220 ก้อน!”

“260 ก้อน!”

“300 ก้อน!”

“ข้าเสนอ…”

ภายในพริบตาเดียว ราคาก็ถูกยกขึ้นสูงถึง 320 ก้อน

เสียงที่ดูคึกคักรอบด้านดังขึ้นมาไม่หยุด

ฉินอี้เหยาที่อยู่ในกรงก็ยังคงนั่งนิ่งเหมือนเดิม เพียงแต่ปรือเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหลุบลงอีก ดูเหมือนว่าเสียงรอบด้านจะไม่ส่งผลใดๆ ต่อนางเลย ราคาที่พวกเขาเสนอก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ราคาของตัวนาง

‘พี่ชาย!’ เซิ่งซูซูได้ยินราคาการประมูลที่สูงขึ้นไม่หยุด แล้วก็อดไม่ได้เขย่ามือของพี่ชาย

เซิ่งอวี้หลีก็ได้สติขึ้นมา ได้ยินเสียงเสนอราคาข้างหูแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปครู่หนึ่ง เพียงแต่ไม่รอให้เขาได้เอ่ยปาก เสียงของเจี่ยงเทียนอี้ก็ดังออกมา “ข้าเสนอศิลาวิญญาณระดับตํ่า 500 ก้อน!”

ได้ยินเสียงของเจี่ยงเทียนอี้ ฉินอี้เหยาก็ลืมตาขึ้นในทันที นัยน์ตาฉายแววยากที่จะเชื่อ นางเคยลอบฆ่าเลี่ยงเทียนอี้และเคยใกล้ชิดกับเขา เมื่อได้ยินเสียงของเขา แน่นอนว่าต้องคุ้นเคย

เจี่ยงเทียนอี้กลับยังไม่ตายงั้นหรือ? เขายังไม่ตาย!

นัยน์ตาของฉินอี้เหยาฉายแววซับซ้อน

ฆ่าเจี่ยงเทียนอี้ก็เพราะคำสาบาน เพื่อตอบแทนบุญคุณ เดิมคิดว่าหลังจากฆ่าเขาแล้ว นางก็สามารถจากไปอย่างสบายใจ คิดไม่ถึงว่าเจี่ยงเทียนอี้กลับยังไม่ตาย ทั้ง ยังมาปรากฏตัวต่อหน้านางอีกครั้ง!

ฆ่าไม่ตายในครั้งเดียว ก็ฆ่าอีกครั้ง!

นัยน์ตาของฉินอีเหยาฉายแววเยียบเย็น

นางไม่ได้คิดว่าตัวเองจะถูกเจี่ยงเทียนอี้จำได้แล้ว แต่กลับคิดว่าไม่สู้เจี่ยงเทียนอี้ซื้อนางกลับไป จากนั้นค่อยหาโอกาสฆ่าเขาแล้วค่อยหาโอกาสหนีไป

“ข้าเสนอศิลาวิญญาณระดับตํ่า 600 ก้อน!” ทันใดนั้น ก็มีเสียงที่ไม่คุ้นดังขึ้น ขัดความคิดของฉินอี้เหยา เสียงนี้นางไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เสียงนี้กลับไม่ได้แฝง อารมณ์ปรารถนาอย่างเสียงอื่นๆ

“เป็นเจ้าอีกแล้ว!” เจี่ยงเทียนอี้มองไปทางเซิ่งอวี้หลี เมื่อครู่คนที่เสนอศิลาวิญญาณระดับต่ำ 600 ก้อนออกไปก็คือเซิ่งอวี้หลี เขาได้สติขึ้นมาก็ได้ยินเสียงของเจี่ยงเทียนอี้ คิดก็ไม่คิด เขาก็เสนอราคาออกมา ได้ยินเสียงของเจี่ยงเทียนอี้ เขาก็มองไปยังเจี่ยงเทียนอี้ เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “อย่างไร? ไม่สามารถงั้นหรือ?”

ถูกตอบกลับมาหนึ่งประโยค ทำให้ใบหน้าของเจี่ยงเทียนอี้ฉายแววบ้าคลั่ง เขาอยู่ในที่นั่ง เป็นคนเดียวที่ไม่ได้ใส่หน้ากาก ตอนนี้ท่าทางของเขาก็ถูกเปิดเผยออกไป

ตระกูลเจี่ยงไม่ใช่ใครก็สามารถล่วงเกินได้

คนจำนวนไม่น้อยที่ร่วมแข่งประมูลเมื่อครู่ ค่อยๆ ได้สติขึ้นจากท่าทางของเขา

แต่ว่า ตระกูลเจี่ยงก็ไม่ใช่ตระกูลที่ทุกๆ คนจะต้องกลัว

“ผู้หญิงคนนี้เป็นของชั้นยอดจริงๆ ข้าก็สนใจ ข้าเสนอศิลาวิญญาณระดับตํ่า 700 ก้อน” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งเพิ่มเข้ามาอีก

เสียงนี้ เจี่ยงเทียนอี้ดูเหมือนว่าจะคุ้นเคย เขาหันกลับไปยังต้นเสียงในทันที เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่ดูอำมหิตว่า “คนแซ่ถาน เจ้าก็คิดจะเผชิญหน้ากับข้างั้นรึ?”

ถาน?

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ มองไปเป็นหนึ่งในตระกูลไม่กี่ตระกูลที่เซิ่งอวี้หลีสนใจเป็นพิเศษก่อนหน้านี้

ตระกูลถานก็ปรากฏขึ้นแล้ว เช่นนั้นยังเหลือตระกูลวน และตระกูลเล่อ

“ข้าก็สนใจนาง ข้าเสนอ 800 ก้อน”

“ข้าก็สนใจ ข้าเสนอ 900 ก้อน!”

เสียงสองสายนี้ก็โผล่ขึ้นมามาจากสองฝั่ง หนึ่งหน้า หนึ่งหลัง

จำนวนของศิลาวิญญาณเพิ่มขึ้นมาทีละร้อย กฎที่บอกว่าทุกครั้งที่เสนอต้องเพิ่มศิลาวิญญาณระดับตํ่าอย่างน้อย 10 ก้อนดูเหมือนจะไม่ได้มีค่าอะไรต่อหน้าของ พวกเขา

สองเสียงนี้ลอยออกมาจากหนึ่งในตำแหน่งที่เซิ่งอวี้หลีเคยมองอย่างสนใจก่อนหน้านี้

ถ้าหากว่าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย คนสองคนนี้ก็คือคนของตระกูลวนและตระกูลเล่อ

คนของห้าตระกูลใหญ่ในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงล้วนแต่รวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว เป็นการอุ่นเครื่องก่อนการแข่งขันจัดลำดับ แม้ว่าจะเป็นแค่ผู้หญิงเพียงคนเดียว พวกเขาก็ ต้องเอาชนะให้ได้

“ข้าเสนอ 1000!” เจี่ยงเทียนอี้กัดฟันเอ่ย

“1100”

“1200”

“1300”

“1400”

“1500!” เซิ่งอวี้หลีเอ่ยปาก

มู่ชิงเกอหันมองเขา เหมือนจะครุ่นคิดเล็กน้อย ก็มองไปทางเซิ่งซูซูที่อยู่ข้างกายของเขา จากตำแหน่งของนาง มองไป ก็มองไปเห็นสองพี่น้องกำลังจับมือกันพอดี

มือของเซิ่งซูซูจับมือของเซิ่งอวี้หลีแน่น ดูเหมือนว่าจะร้อนใจมาก

เหตุใดจึงร้อนใจถึงขนาดนั้น? เป็นเพราะฉินอี้เหยางั้นหรือ?

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปลี่ยนไป ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว

“1600!”

“1700!”

“1800!”

“2000!”

พรึบ—–!

ทะลุถึง 2000 แล้ว!

ศิลาวิญญาณระดับตํ่า 2000 ก้อนก็คือศิลาวิญญาณระดับกลาง 200 ก้อน!

คนที่มีสายตาชัดเจนในลานประมูลล้วนแต่เข้าใจและก็เดาออกถึงสถานะของพวกเขา

นี่เป็นการแข่งขันกันอย่างลับๆ ระหว่างห้าตระกูลใหญ่!

คนที่ฉลาดล้วนแต่ลอบถอนตัวออกมา พวกเขาไม่จำเป็นต้องไปแย่งปะทะกับห้าตระกูลใหญ่ในเวลานี้ จากการประมูลกลายเป็นการแข่งขันระหว่างห้าตระกูลใหญ่

“2100” ทันใดนั้นก็มีเสียงที่ดูคุ้นเคยดังขึ้นมาอีก ให้ตายเถอะ! ผู้กล้าคนไหนกล้าหาญถึงขนาดนี้? ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อยังกล้ากระโดดออกมา!

แต่ก็มีคนจำเสียงนี้ได้ เป็นคุณชายชุดแดงที่ก่อนหน้านี้ที่แข่งราคากับเจี่ยงเทียนอี้

“ไม่ว่าสุดท้ายใครจะเสนอราคาออกมา ข้าก็จะเพิ่มให้สูงกว่า 100 ก้อน” คำพูดที่ยิ่งทำให้คนตกตะลึงดังออกมาจากปากของเขา

ให้ตายเถอะ ให้ตายเถอะ!

มั่นใจถึงขนาดนี้เลยหรือ? ผู้กล้า บ้านเจ้าเป็นเหมืองศิลาวิญญาณอย่างนั้นหรือ?

มีคนจำนวนไม่น้อยที่มองมาทางมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง ตกตะลึงในคำพูดที่ดูบ้าคลั่งของเขา

ส่วนคนของห้าตระกูลใหญ่ รวมเจี่ยงเทียนอี้และเซิ่งอวี้หลี ก็ล้วนแต่มองมาที่เขา เพียงแต่ความหมายในดวงตาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ที่ถูกความบ้าคลั่งนี้ทำให้ตกตะลึง ไม่เพียงแต่คนที่อยู่ในตำแหน่งผู้ประมูล

แต่ยังมีฉินอี้เหยาที่ถูกขังอยู่ในกรงทองด้วย

ในตอนที่มู่ชิงเกอเอ่ยปากนั้น นางก็จำเสียงนี้ได้ แผ่นหลังแข็งทื่อ ใบหน้าฉายแววตกตะลึง! ‘เป็นเขา! ไม่ ไม่ควรเป็นเขา!’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version