Skip to content

พลิกปฐพี 233

ตอนที่ 233

เงยหน้าขึ้นมา ข้าจะพาเจ้าออกไปเอง!

“ไม่ว่าสุดท้ายแล้วใครจะเสนอราคาเท่าไร ข้าก็จะให้มากกว่าที่เขาเสนออีก 100 ก้อน”

คำพูดที่ดูเหมือนพูดออกมาอย่างสบายๆ เช่นนี้ กลับเหมือนดั่งก้อนหินก้อนหนึ่งที่โยนลงไปในทะเลสาบที่ไม่สงบ เกิดเป็นกระแสคลื่นใต้ทะเล

‘เป็นเขา! ไม่ ไม่มีทางเป็นเขา! ต้องเป็นข้าที่หูแว่วไปแน่ๆ!’

ฉินอี้เหยาตัวแข็งทื่อ บนใบหน้างามฉายแววตื่นตระหนก เวลานี้นางลืมสถานที่ที่อาศัยอยู่ ลืมคนที่ยังไม่ได้ฆ่าทิ้ง ลืมว่าตนเองประสบกับความเป็นความตายมากี่ครั้ง ลืมความเจ็บปวดที่ตนเองเคยพบเจอ…ตรงหน้านี้ในหัวของนางเหลือเพียงร่างในอาภรณ์สีแดงท่าผ่อนคลายและเลื่อนลอยผู้หนึ่ง บนใบหน้าหล่อเหลานั้น ราวกับแฝงรอยยิ้มไม่ยอมจำนนอยู่ด้านใน

ฉินอี้เหยาไม่อยากจะเชื่อหูของตนเอง คนผู้นั้นไม่ควรปรากฏตัวอยู่ที่นี่ แต่ว่าเสียงนี้ฝังลึกอยู่ในกระดูกของนางมานานแล้ว จะฟังผิดได้อย่างไร?

ราวกับฉินอี้เหยาได้ยินว่าในน้ำเสียงสบายๆ นั้นซ่อนอารมณ์กรุ่นโกรธเอาไว้

เขากำลังโกรธ! เขาโกรธเสียแล้ว!

ฉินอี้เหยาหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด ในที่สุดตัวนางที่พิงอยู่ในกรงทองก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง นางต้องการออกไปจากที่นี่ นางไม่กล้าไปพบคนผู้นั้น ไม่อยากให้เขาเห็นนางในสภาพน่าอนาถ

ในกาลก่อน นางก็เคยจินตนาการเอาไว้นับครั้งไม่ถ้วนว่า หากได้พบหน้ากัน นางจะบอกเขาได้อย่างสงบนิ่งว่าตนเองนั้นสบายดี แต่ว่าสภาพในตอนนี้ล่ะ? มิน่าเขาถึงได้โกรธขึ้นมา

ฉินอี้เหยามีอาการสั่นเทิ้ม นางไม่กล้ามองไปยังที่นั่งของลูกค้าเหล่านั้นที่ถูกเงามืดบดบัง ทำได้เพียงหดขา ใช้สองมือโอบเข่าทั้งสองข้างไว้แน่น ปล่อยเรือนผมของตนเองให้ปิดบังสายตาและโฉมหน้าของตน

ราวกับว่าการทำเช่นนี้ทำให้นางสามารถปกป้องตนเอง ให้อยู่ในมุมที่ไม่ถูกผู้ใดพบเห็น

บนเวทีประมูล เงาแสงกลมกลืนผสมสาน ทุกการกระทำเพียงเล็กน้อย ยังมีอารมณ์ความรู้สึกของฉินอี้เหยาล้วนตกอยู่ในสายตาของมู่ชิงเกอแทบไม่พลาดสายตา

เมื่อเห็นท่าทีของนาง ตนเองก็รู้ว่านางจำเสียงของตนเองได้

แต่ว่า ท่าทีลนลาน หลบหนีของฉินอี้เหยากลับทำให้มู่ชิงเกอมีอารมณ์โมโห นางไม่อยากเจอหน้าตนถึงเพียงนี้เลยหรือ?

แต่มู่ชิงเกอก็ปล่อยวางได้ในทันที พูดก็พูดเถอะ ตนเองยังคงเป็นศัตรูที่สังหารบิดามารดาและพี่ชายของฉินอี้เหยา แล้วตนเองยังจะมาหวังให้นางมีท่าทีเช่นไรตอนพบตนเองกัน ความโกรธภายในใจของมู่ชิงเกอสลายลงส่วนหนึ่ง สองตายังคงมองฉินอี้เหยาที่อยู่ในกรงทองเช่นเดิม สายตาใคร่รู้รอบๆ เหล่านั้น สายตาพิจารณาตกอยู่ที่ร่างของนาง แต่นางกลับไม่รู้สึก งานประมูลตกอยู่ในความเงียบ ตอนแรกถูกคำพูดของมู่ชิงเกอทำเอาตกตะลึง ตอนหลังไม่รู้ว่าควรเสนอราคาเช่นไรดี

คำพูดกล้าได้กล้าเสียเพียงประโยคเดียวของมู่ชิงเกอ เป็นหมัดฮุกใส่หน้าห้าตระกูลใหญ่จังๆ หนักเสียจนพวกเขารับมือไม่ทัน ถึงขั้นไม่มีโอกาสโต้ตอบ

โต้ตอบอย่างไร?

เขาบอกแล้วว่าใครจะเสนอราคา เขาก็ให้เพิ่มอีก 100 ก้อน เช่นนั้นพวกสู้ราคาต่อไปจะมีประโยชน์อันใด?

“นายท่านผู้นี้ คำพูดอย่าได้พูดใหญ่โตเกินไป เมื่อครู่นี้ท่านจ่ายศิลาวิญญาณไปแล้ว 425 ก้อนท่านมั่นใจว่ายังมีศิลาวิญญาณพอหรือ?” ฝั่งด้านตระกูลวนส่งเสียงร้องถามด้วยท่าทีเย็นชา

เจี่ยงเทียนอี้ได้ฟังดังนั้นก็เอ่ยเสริมทันที “นั้นสิ ในเมื่อท่านใจป้ำเพียงนี้ เช่นนั้นข้าให้ราคา 5…3000! ท่านกล้าเพิ่มไหม?”

เดิมทีเขาคิดจะตะโกนร้องออกมาที่ 5000 ศิลาวิญญาณขั้นตํ่า แต่ว่านี้ออกจะเกินขีดจำกัดของเขา หากว่าถูกลวงจะทำเช่นไร? เพื่อความปลอดภัย เขายังคงกลับคำพูดในนาทีสุดท้าย

มู่ชิงเกอแค่นหัวเราะไร้เสียง เอ่ยขึ้นเนิบๆ ว่า “ข้ามีศิลาวิญญาณเพียงพอหรือไม่ เรื่องนี้ไม่ต้องให้ท่านทั้งสองกังวลใจ ท่านทั้งหลายโปรดพิจารณาในถุงผ้าของตนเองดูเถอะว่าพกศิลาวิญญาณมาพอหรือไม่ เมื่อครู่นี้ใครกัน ที่เตือนข้าว่าที่นี่ไม่รับจดบัญชี”

ประโยคนี้ทำเอาสีหน้าของเซิ่งอวี้หลีและสี่ตระกูลเผือดลง

พวกเขาสามารถนำตัวสตรีที่อยู่ในกรงทองไปเป็นรางวัลในคืนก่อนเริ่มต้นการแข่งขัน เป็นการอุ่นเครื่อง แต่ไม่ได้หมายความว่าครอบครัวของพวกเขาจะปล่อยให้พวกเขาทำตามอำเภอใจ ใช้ศิลาวิญญาณมากมายขนาดนั้น ซื้อตัวสตรีนางหนึ่งกลับบ้าน!

ศิลาวิญญาณระดับล่าง 3000 เพียงพอให้บุตรหลานตระกูลหนึ่งใช้จ่ายเพื่อฝึกพลังยุทธ์ไป 3 ปี พวกเขาในฐานะบุตรหลานผู้มีฝีมือของตระกูล ในแต่ละเดือนได้รับ ศิลาวิญญาณเพียงแค่ 500 ก้อนเท่านั้นเอง ส่วนคุณชายเจ้าสำราญเช่นเจี่ยงเทียนอี้ ศิลาวิญญาณ 5000 ในคลังสมบัติน้อยของเขาก็ถือเป็นที่สุดของเขาแล้ว

จ่ายสมบัติของตระกูลที่มีไปซื้อตัวสตรีนางหนึ่ง ทั้งยังเป็นสตรีที่สังหารตน? เขาช่างมือเติบนัก!

“ทำไมหรือ? คำพูดของข้าไม่น่าเชื่อถือ?” เวทีประมูลที่สงบเงียบ ทำเอามู่ชิงเกอลุกขึ้นมามองหน้ากากผีสีขาวที่ยืนอยู่บนเวที

หน้ากากผีสีขาวนิ่งชะงักไปราวกับเป็นครั้งแรกที่พบเจอ สถานการณ์เช่นนี้ เขารีบตั้งสติขอคำยืนยันจากทางมู่ชิงเกออีกครั้งหนึ่ง “นายท่าน ท่านบอกว่าไม่ว่าผู้อื่นเสนอราคาสูงขึ้นเท่าไร ท่านก็จะให้ศิลาวิญญาณระดับล่างสูงกว่าราคาสุดท้ายอีก 100 ก้อนใช่หรือไม่?”

“ถูกต้อง” มู่ชิงเกอเอ่ยตอบอย่างสบายอารมณ์

ราวกับว่าสิ่งที่จ่ายออกมาไม่ใช่ศิลาวิญญาณ เป็นเพียงก้อนกรวดที่หยิบขึ้นมาจากพื้นที่ตรงไหนก็ได้ ได้ยินนํ้าเสียงหนักแน่นนี้แล้ว ร่างของฉินอี้เหยายิ่งเกร็งมากขึ้น ท่าทีคุดคู้ของนางเต็มไปด้วยการทำอะไรไม่ถูกและตึงเครียด

“นายท่าน สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ๆ จะมาพูดเรื่องล้อเล่น” หน้ากากผีสีขาวออกปากเตือน

มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นนิ่งๆ “เจ้าคิดว่าข้ากำลังล้อเล่น?”

หน้ากากผีสีขาวเงียบไปครู่หนึ่ง ท่าทีของเขาแสดงออกความคิดทั้งหมด

‘พี่สาวเหยาเป็นอะไรไป?’ เซิ่งซูซูสังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของฉินอี้เหยา พี่เหยาที่นางรู้จักนั้นจะสุขุม เฉลียวฉลาดมาโดยตลอด แม้ว่าพวกนางจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก นางก็ยังมีสติ แต่เหตุใดตอนนี้ถึงได้ช่วยเหลือตนเองไม่ได้คล้ายกับเด็กน้อยคนหนึ่ง

ราวกับว่าในเวลานี้นางได้ละทิ้งการเสแสร้งทั้งหมด ความเข้มแข็งทั้งหมด เหลือเพียงตัวตนที่แท้จริงของตนเอง

ความกังวลของเซิ่งซูซูแฝงความงุนงงระคนสงสัย ส่วนเซิ่งอวี้หลีที่อยู่ข้างกายนางนั้นกลับถูกฉินอี้เหยาในสภาพนี้ทำเอาปวดใจ

สตรีผู้นี้ดึงดูดสายตาของเขาแทบจะในครั้งแรกที่ปรากฏตัว

เวลานี้เห็นนางเป็นเช่นนี้ เขาปวดใจจนอยากที่จะพุ่งเข้าไปช่วยนางออกมา โอบกอดปลอบประโลมนางไว้แนบอก ขจัดการไม่สามารถช่วยเหลือตนเอง และเป็นที่พึ่งพิงของนาง

ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เกรงว่าเป็นการยากที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง!

ถึงแม้ว่าเขาจะอยากช่วยนาง แต่ตรงกลางก็มีอุปสรรคชิ้นใหญ่ เซิ่งอวี้หลีหมุนกายมามองมู่ชิงเกอ เอ่ยออกมาด้วยความจริงใจ “คุณชาย สตรีผู้นี้มีบุญคุณต่อข้า ขอให้คุณชายช่วยอำนวยความสะดวกให้ด้วย”

การลงมือของมู่ชิงเกอก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นคนที่พูดจริงทำจริง ขอเพียงตนเองแสดงออกถึงความจริงใจ ฝ่ายตรงข้ามสมควรจะล่าถอยจากการแข่งราคา

ท้ายที่สุดจนถึงตอนนี้ สิ่งที่มู่ชิงเกอแสดงออกมาก็คือ ‘แกะดำของตระกูล’ ที่เอาแต่ใจผู้หนึ่ง

การคาดการณ์ของเซิ่งอวี้หลี มู่ชิงเกอจะต้องไว้หน้าเขา แต่กลับไม่นึกเลยว่า มู่ชิงเกอเพียงแค่ปรายตามองมาที่เขาด้วยสายตาเยือกเย็น เอ่ยด้วยนํ้าเสียงเฉยเมย “ขอ อภัย ข้าจำเป็นต้องได้นางมาครอบครอง”

พูดจบนางก็ลุกขึ้นยืน ก้าวเท้าด้วยท่าทางเกียจคร้าน ก้าวเท้าลงจากที่นั่งแขกทีละก้าวเดินขึ้นไปบนเวทีประมูลท่ามกลางการจดจ้องและความประหลาดใจของ ผู้คน

“เขาจะทำอะไร?”

“ใครจะไปรู้?”

“ไม่ใช่แย่งชิงคนหรอกนะ?”

หน้ากากผีสีขาวตะลึงงันยกมือโบกขืน เหล่าคนชุดดำกรู เข้ามาทันทีโอบล้อมเวทีประมูล สายตาระแวดระวังภัย จับจ้องไปยังมู่ชิงเกอที่อยู่บนเวที

ถึงอย่างนั้นมู่ชิงเกอก็เมินสายตาจับจ้องและเตรียมป้องกันของพวกเขา เพียงแค่ค่อยๆ ก้าวเท้าไปหยุดลง ข้างหน้ากรงทอง

ลำแสงสอดส่องบนร่างของนางราวกับมีแสงสีทองห่อหุ้มนางเอาไว้ชั้นหนึ่ง อาภรณ์สีแดงที่สวมอยู่บนร่างยิ่งขับเน้นความสดราวกับเลือด ลมหายใจของทั้งร่างยิ่งทวีความเยือกเย็นเคร่งขรึมยิ่งขึ้น

เงาทะมึนของนางทาบบนกรงทอง บังฉินอี้เหยาที่อยู่ในกรงนั้น

ทันใดนั้นความรู้สึกคุ้นเคยก็มาปรากฏอยู่ด้านหน้าตนเอง ทว่าฉินอี้เหยากลับไม่กล้าที่จะเผชิญหน้า ทำได้เพียงซุกหน้าลงตํ่า จนถึงขั้นอยากที่จะปิดประสาทการ รับรู้ทั้งห้าไม่ให้ตนเองไปคิดอะไรเรื่อยเปื่อย

“นายท่าน…” หน้ากากผีสีขาวรีบสอดปาก

ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็ยกมือซ้ายขึ้น ฝ่ามือควํ่าลง

เกิดแสงประกายระยิบระยับขึ้นทันใด ศิลาวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงลงมาจากฝ่ามือของนาง ร่วงกราวลงบนเวทีประมูล ศิลาวิญญาณเหล่านั้นแฝงพลังจิตเข้มชัน กองเป็นภูเขาขนาดย่อมท่ามกลางสายตาเบิกกว้างอ้าปากค้างของหน้ากากผีสีขาวและผู้คนบริเวณรอบๆ ศิลาวิญญาณร่วงลงมาราวกับสายฝนโปรยปราย กระจายไปทั่วเวทีประมูลจำนวนนั้นมากกว่าสามพัน โดยสิ้นเชิง!

ภาพนี้สั่นสะเทือนคนทั้งห้อง แม้แต่คุณชายเจ้าสำราญอันดับหนึ่งของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงอย่างเจี่ยงเทียนอี้ก็ตกอยู่ในอาการตะลึงงันไม่รู้ตัว ต่อหน้าพลังของมู่ชิงเกอ พวกเขาก็ดูด้อยกว่าอยู่ช่วงหนึ่ง

ศิลาวิญญาณยังคงร่วงออกมาอย่างต่อเนื่องไม่มีที่ท่าว่าจะหยุด ทำเอาผู้คนอดไม่ได้ที่จะคาดเดาท่ามกลางความตื่นตระหนกว่า ‘เขามีศิลาวิญญาณเท่าใดกันแน่?’

ความจริงแล้วคำถามนี้ แม้แต่ตัวมู่ชิงเกอเองก็ยังไม่รู้

เพราะว่าสิ่งที่นางมีเยอะที่สุดไม่ใช่ศิลาวิญญาณระดับล่างเหล่านี้ และก็ไม่ใช่ศิลาวิญญาณระดับกลางหรือศิลาวิญญาณระดับสูง แต่เป็นศิลาวิญญาณคุณภาพสูงสุด

อีกทั้งตอนที่นางออกเมืองไหอวี่เฉิง ก็ยังได้สายแร่ศิลาวิญญาณครึ่งหนึ่งมาไว้ในครอบครอง

‘เท่จังเลย!’ เซิ่งซูซูมองมู่ชิงเกอที่อยู่บนเวทีด้วยอาการตะลึง ในดวงตาแฝงความนับถือ

แต่จากนั้นนางก็คิดถึงฉินอี้เหยาขึ้นมาได้ กระตุกมือของเซิ่งอวี้หลีอย่างรีบร้อน

เซิ่งอวี้หลีรับรู้ได้ถึงความหมายของน้องสาว แต่ว่าตัวเขาตอนนี้จะทำเช่นไรได้? หากเทียบเรื่องทุนทรัพย์ เขาเทียบไม่ได้เลยจริงๆ! ไม่ใช่เพียงแค่เขา ไม่เห็นตระกูลอื่นหรืออย่างไร แม้แต่คุณชายเจ้าสำราญอย่างเจี่ยงเทียนอี้ยัง

คว่ำธงลง?

เขาหันไปยิ้มขื่นและส่ายหน้าให้น้องสาว ทว่าในใจกลับคิดไว้ดีแล้ว รอให้ออกไปจากที่นี่เสียก่อนจะต้องสืบเสาะร่องรอยขอคุณชายในชุดอาภรณ์สีแดงให้จงได้ไม่ว่าจะต้องจ่ายราคาแพงขนาดไหนก็จะต้องแลกสตรีผู้ที่มีพระคุณกับน้องสาวและเป็นผู้ที่ทำให้ตนเองใจเต้นกลับมาให้ได้

เมื่อศิลาวิญญาณกองลงกว่าครึ่งเวที ในที่สุดมู่ชิงเกอก็หยุดมือ สองมือของนางไพล่อยู่ด้านหลัง เอ่ยเสียงเยือกเย็นสุดขั้ว

“พอหรือยัง?”

สามพยางค์ที่เอ่ยออกมาทำเอาหน้ากากผีสีขาวที่อยู่ในอาการตะลึงได้สติ เขาพยักหน้าหงึกหงัก “พอ พอ…”

ศิลาวิญญาณตรงหน้ามีเกือบหนึ่งหมื่น จะไม่พอได้อย่างไร?

การกระทำห่ามๆ เช่นนี้พังทลายแผนการของเจี่ยงเทียนอี้ที่คิดจะทำกับมู่ชิงเกอไปจนหมด

เวลานี้เขาไม่กล้าตะโกนเสนอราคาแล้ว

เพราะว่าเขาเกรงว่ามู่ชิงเกอเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา สุดท้ายแล้วจะเป็นตัวเขาเองที่หาเรื่องใส่ตัว

คนอื่นก็เช่นกัน พวกเขามีใจคิดจะจัดการกับมู่ชิงเกอ คิดจะตะโกนบอกราคาให้เขาจ่ายศิลาวิญญาณมากขึ้น แต่ก็กลัวว่าหลังจากที่ตนเองบอกราคาไปแล้ว จู่ๆ เขาจะเปลี่ยนใจไม่ร่วมแข่งประมูลขึ้นมา นั่นไม่เป็นการยกหินทับเท้าตนเองหรอกหรือ?

ท่ามกลางความอลหม่านวุ่นวาย พวกเขาทำได้เพียงรักษาความสงบเงียบ

“ในเมื่อพอแล้ว ก็เปิดกรงออก” มู่ชิงเกอเอ่ยนิ่งๆ

หน้ากากผีสีขาวชะงัก รีบเรียกสมุนรับใช้

สมุนรับใช้เปิดกรงออก คิดจะเข้าไปนำตัวฉินอี้เหยาออกมา ทว่ามู่ชิงเกอกลับเอ่ยขึ้นว่า “ให้นางออกมาเอง”

สมุนรับใช้ชะงัก ยืนอยู่กับที่

ออกมาเอง!

ฉินอี้เหยาราวกับถูกสายฟ้าฟาด สุดท้ายยังคงดำเนินมาจนถึงฉากที่นางไม่ต้องการเห็น

นางไม่ได้ขยับตัว

แต่ว่าเสียงของมู่ชิงเกอกลับเป็นดั่งเงาสุดท้าย “หรือเจ้าจะให้ข้าไปลากเจ้าออกมาเอง?”

ประโยคคำถามที่ไม่บ่งบอกอารมณ์กลับทำให้เกราะป้องกันทั้งหมดของฉินอี้เหยาร่วงโรย ร่างของนางเร็วกว่าสติหนึ่งก้าว ฟังคำพูดของมู่ชิงเกอ ลอดออกมา จากกรงด้วยตนเองยืนอยู่ตรงหน้าเขา

บนที่นั่งของผู้ประมูล สายตาของเสวี่ยหยาสว่างวาบขึ้น มีแววครุ่นคิดสงสัยอยู่หลายส่วน ราวกับเวลานี้นางสัมผัสได้ว่านายน้อยรู้จักกับสตรีผู้นี้ ส่วนสตรีผู้นี้ก็รู้จักนายน้อยเช่นกัน เช่นนั้นแล้วพวกเขาเคยเกี่ยวข้องกันในรูปแบบไหน? จึงทำให้นายน้อยใส่ใจได้ถึงเพียงนี้!

“เงยหน้าขึ้น” เสียงคำสั่งลอยแว่วมาอีกครั้ง ครั้งนี้ฉินอี้เหยาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกคุ้นเคยที่ชัดเจ มากขึ้น ยังมีกลิ่นไอบนร่างของมู่ชิงเกอ

นางอยากที่จะต่อต้าน แต่ว่าร่างกายกลับไม่เป็นตัวของตนเองค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าตนเอง

สิ่งที่เข้าสู่สายตาคือชุดอาภรณ์สีแดงตัวยาว

จากนั้นใบหน้าที่คิดถึงอยู่ทุกวันคืนกลับถูกหน้ากากดูน่ากลัวปิดบังเอาไว้

แต่ว่าฉินอี้เหยากลับรู้สึกสบายใจ ราวกับว่าหน้ากากนี้ทำให้นางรู้สึกว่าระหว่างพวกนางยังไม่ได้พบหน้ากัน

การหลอกตนเองเช่นนี้ในใจของนางก็เต็มไปด้วยความปวดใจทว่าไม่รู้จะทำเช่นไรดี มู่ชิงเกอมองดูฉินอี้เหยา ไม่พบกันหลายปีนางดูงดงามขึ้น ความรู้สึกเหว่ว้าบนร่างนางยิ่งเด่นชัด กลางหว่างคิ้วไม่มีความโศกเศร้าขององค์หญิงที่อยู่ในวังส่วนลึกผู้นั้น ถูกแทนที่ด้วยความสงบนิ่งจากการประสบระหว่างความเป็นความตาย

เพียงแต่ว่า เวลานี้ความสงบนิ่งนั้นยังแฝงด้วยความลนลาน

นางกลัวว่าจะพบกับตนเอง!

ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็สำนึกได้ในข้อนี้

ในใจลอบผ่อนลมหายใจ มู่ชิงเกอยื่นมือขวาออกมา

สายตาของฉินอี้เหยาทอดมองบนมือขวาที่นางยื่นออก

มา แหวนที่สวมอยู่ในนิ้วชี้ช่างคุ้นเคย

เป็นเขา! เป็นเขาจริงๆด้วย!

นี่ไม่ใช่ฝันไป!

ฉินอี้เหยาเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่สวยแฝงด้วยหยาดนํ้าตา ก่อนจะไหลอาบแก้ม เวลานี้นางไม่สามารถควบคุมร่างกายตนเองได้เลย ความคิดถึงที่ไม่มีที่สิ้นสุดทะลักออกมาโจมตีนางท่วมสติการรับรู้ของนาง

นางไม่ได้จับมือของมู่ชิงเกอ เพียงแค่หลงนํ้าตา

ก่อนจะโผเข้าสู่อ้อมกอดของนาง สองมือกระชับอยู่บนไหล่มู่ชิงเกอแน่น

มู่ชิงเกอเองก็ตะลึง ในความทรงจำของนาง ฉินอี้เหยาไม่เคยสูญเสียการควบคุมเช่นนี้มาก่อน

นางโผเข้าสู่อ้อมกอดตนเอง แทบจะใช้แรงทั้งหมดที่มีกอดตนเองไว้

กอดนี้ทำให้มู่ชิงเกอสัมผัสได้ถึงความอ่อนแอภายใต้ความแข็งแกร่งของฉินอี้เหยา สัมผัสได้ถึงการพังทลายของนางในเวลานี้ และยังรู้สึกถึงนํ้าตาที่นางพยายามสะกดกลั้น

‘ข้าปรารถนาอ้อมกอดนี้หากให้ข้าตายในอ้อมกอดนี้จะดีเพียงใด?’ ฉินอี้เหยาปล่อยวางทุกสิ่ง กอดมู่ชิงเกอไว้แน่น โอบกอดผู้ที่นางคิดถึงอยู่ทุกวันคืนนับครั้งไม่ถ้วน นางอิจฉา นางริษยา นางคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคืนนั้นในคํ่าคืนสีเลือด ผู้ที่ตายในอ้อมกอดของมู่ชิงเกอ ผู้ที่ถูกฝังเป็นภรรยามู่ชิงเกอจะเป็นตนเอง?

นางเป็นคู่หมายของเขา!

แต่น่าเสียดาย โชคชะตาทำให้คน…

นี่มันเรื่องอะไรกัน? เรื่องอันใดกัน?

ภาพที่ทั้งสองตระกองกอดกัน ทำเอาคนที่อยู่รอบๆ อยู่ในอาการตกตะลึง

ก่อนหน้านี้ยังเป็นภาพเศรษฐีชิงสาว เหตุใดจู่ๆ ลมเปลี่ยนทิศกลายเป็นอ้อมกอดรักใคร่ คนรักหวนกลับมาพบกัน?

เซิ่งซูซูมองทั้งสองคนบนเวทีประมูลด้วยอาการตาค้าง ยังตามไม่ทัน เซิ่งอวี้หลีมองดูฉินอี้เหยาที่ซุกอยู่ในอ้อมกอดของมู่ชิงเกอ ในดวงตามีความสิ้นหวังจางๆ

‘ที่แท้พวกเขาก็รู้จักกันอยู่แล้ว’

เวลานี้เขาถึงได้เข้าใจคำพูดประโยคนั้นของมู่ชิงเกอ ‘มุ่งมั่นที่จะได้มาครอบครอง’ ว่าหมายถึงอะไร

‘ที่แท้สองคนนี้ก็เป็นพวกเดียวกัน!’ เจี่ยงเทียนอี้มองดูมู่ชิงเกอกับฉินอี้เหยา แววตาซ่อนความเหี้ยมเกรียมมืดมน

“สตรีผู้นั้นจะต้องรักในตัวนายน้อยเป็นแน่” เสวี่ยหยาพึมพำ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเมื่อเห็นภาพมู่ชิงเกอถูกสตรีอื่นโอบกอดและเขาไม่ได้มีท่าทีผลักไส ในใจของนางก็เกิดอาการเปรี้ยวขมขึ้นมา

ได้ยินเสียงนางพึมพำ มั่วหยางก็หันมามอง

เมื่อรับรู้ถึงสายตาของมั่วหยางที่มองมา เสวี่ยหยาก็หันหน้ามา เอ่ยขึ้นด้วยความจริงจัง “สายตาของคนไม่หลอกหลวง”

นางมองเห็นความคิดถึง ความเจ็บปวดยังมีความสัมพันธ์ที่พันกันยุ่งเหยิง

มั่วหยางละสายตากลับไป พร้อมกับทอดถอนใจ

‘ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้ามองในตาของมู่ชิงเกอเห็นว่าเขาเป็นบุรุษ มิใช่สตรีกันล่ะ?’

มั่วหยางยิ้มหยันในใจ เกิดความรู้สึกซับซ้อนทั้งหยามหยันและสิ้นหวัง คุณชายของเขานั้นไม่ว่าเป็นบุรุษหรือสตรีก็มีความสามารถในการล่อผึ้งเรียกผีเสื้อ หนี้ดอกท้อที่ติดค้างเกรงว่าแม้แต่ตัวนางเองยังนับไม่ไหว

ติดตามอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ มั่วหยางย่อมเห็นได้ชัดเจน แต่ไหนแต่ไรมามู่ชิงเกอไม่เคยแสดงออกเป็นนัย และก็ไม่เอ่ยยั่วยวนสิ่งใด…แต่นางดันมีเสน่ห์ดึงดูดบุรุษและสตรีให้บินเข้าสู่เพลิงรักอย่างไม่รู้สึกเสียใจ

ตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นมิใช่หรือ?

“ข้าพาเจ้าไป” มู่ชิงเกอตบไหล่ฉินอี้เหยาเบาๆ เอ่ย กระซิบข้างหูนาง

ฉินอี้เหยาตัวแข็งทื่อ ไม่ไหวติง

นางไม่รู้ว่าควรจะปฏิเสธหรือตอบตกลงดี

เคยบอกออกไปชัดเจนแล้วว่าทั้งสองอย่าได้เกี่ยวพันกันอีกต่อไป ไม่รู้เหตุใดโชคชะตายังคงฉุดรั้งพวกนางไว้ด้วยกัน?

เมื่อรับรู้ถึงอาการตัวแข็งของฉินอี้เหยา มู่ชิงเกอก็เอ่ยเสียงหนักแน่น “เรื่องทั้งหมด รอให้ออกไปจากที่นี่ก่อน ค่อยว่ากัน”

ประโยคนี้ดึงนางกลับสู่ความเป็นจริง นางพยักหน้าอย่างเชื่อฟังคำพูดของมู่ชิงเกอ

เมื่อปลอบฉินอี้เหยาให้รู้สึกดีขึ้นมาแล้ว มู่ชิงเกอก็จูงมือนางจะพานางออกไป

ตอนนี้เอง สมุนรับใช้ก็ส่งปลอกคอและกำไลมาให้ แต่ก็ล่าถอยไปอย่างรวดเร็วเมื่อมู่ชิงเกอตวัดสายตามองมา

ในสายตาที่จ้องมองมาของผู้คน มู่ชิงเกอจูงมือฉินอี้เหยา เดินไปตรงที่นั่งของลูกค้า ตอนที่เดินผ่านบริเวณที่นั่งของตระกูลเซิ่ง ฉินอี้เหยาก็หันไปมองเซิ่งซูซูแวบหนึ่ง นางมองเห็นความกังวลผ่านหน้ากากของเซิ่งซูซู ฉินอี้เหยาเผยรอยยิ้มที่ยากจะพานพบ ส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับนาง บอกกับนางว่าตนเองไม่เป็นอะไร

นางกลับไม่รู้ว่าตอนที่ตนเองยิ้มออกมา เซิ่งอวี้หลีที่นั่งอยู่ข้างๆ เซิ่งซูซูกลับสติหลุด วิญญาณออกจากร่าง

ชายกระโปรงของฉินอี้เหยาลากผ่านข้างกายเขาไป ทิ้งความหอมอ่อนๆ ไว้

เมื่อฉินอี้เหยาเดินตามมู่ชิงเกอมาถึงที่นั่งของนาง มั่วหยางและองครักษ์เขี้ยวมังกรอีกสองนายก้มหน้า

ประสานมือทำความเคารพนางน้อยๆ

ท่าทางนอบน้อมเช่นนี้ เป็นครั้งแรกที่เสวี่ยหยาได้เห็นจากองครักษ์เขี้ยวมังกร

เรียกได้ว่า ความทรงจำที่องครักษ์เขี้ยวมังกรให้กับนาง คือนอกจากมู่ชิงเกอแล้ว ก็มีท่าทียโส ผู้อื่นล้วนไม่อยู่ในสายตา แต่ว่ากับสตรีผู้นี้พวกเขากลับแสดงความเคารพอย่างมีมารยาท นี้เพียงพอให้นางเกิดความรู้สึกประหลาดใจในฐานะของฉินอี้เหยา ขณะที่เสวี่ยหยาอยู่ในอาการตื่นตระหนก ฉินอี้เหยาเองก็สังเกตเห็นสตรีที่สวมใส่หน้ากากผีผู้นี้ ราวกับเป็นสัญชาตญาณของสตรี นางรู้สึกว่าภายใต้ หน้ากากนี้คือใบหน้างดงามล่มเมือง สตรีเช่นนี้ปรากฏตัวอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ ทำเอาใจนางรู้สึกหมดหวัง นางไม่รู้ว่าตอนนี้นางจะปรากฏตัวอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอในฐานะใด และสตรีที่สวมหน้ากากผีผู้นี้มีความสัมพันธ์เช่นไรกับมู่ชิงเกอ

พวกมั่วหยาง นางสามารถคาดเดาฐานะของมั่วหยางได้จากรูปร่าง

เมื่อถูกมู่ชิงเกอรั้งตัวให้นั่งลง ไหล่ของฉินอี้เหยาก็รู้สึกอบอุ่น จวบจนนางเงยหน้าขึ้นมาถึงได้รู้ว่าบนร่างของนางถูกมู่ชิงเกอคลุมผ้ากันลมไว้ตัวหนึ่ง

“ขอบคุณ” ฉินอี้เหยาหลุบเปลือกตาลง สองมือกระชับสายรัดผ้าคลุมกันลมไว้แน่น

มู่ชิงเกอมองหน้านาง ยกยิ้มพลางเอ่ยขึ้นว่า “เครื่องประทินโฉมถูกนํ้าตาลบเลือนหมดแล้ว”

ฉินอี้เหยาสะดุ้งรีบยกมือขึ้นลูบหน้าตนเองคิดในใจว่า ‘เวลานี้ข้าต้องอัปลักษณ์ไม่น่าชมเป็นแน่’

ท่าทางราวดรุณีแรกรุ่นของนางตกอยู่ในสายตาของเสวี่ยหยา ดวงตาสุกสกาวคู่นั้นก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่

เสวี่ยหยาลอบมองมู่ชิงเกอ พบว่าในดวงตากระจ่างใสคู่นั้นไม่มีแววรักใคร่ มีเพียงความอ่อนโยน แต่ถึงแม้จะมีเพียงสายตาอ่อนโยน ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่าในใจของเขาสตรีผู้นี้ไม่เหมือนผู้ใด

“ทุกท่าน งานประมูลในคํ่าคืนนี้ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว” บนเวทีประมูลที่มีศิลาวิญญาณส่งแสงระยิบระยับกองเป็นภูเขา หลังจากที่หน้ากากผีสีขาวสงบสติลงได้ ก็เอ่ยออกมาเสียงดัง

สิ้นสุดลงแล้ว!?

เหตุใดพวกเขาถึงรู้สึกว่ายังไม่จบ?

งานประมูลในคํ่าคืนนี้ช่างมีสีสันเหลือเกิน!

ไม่ใช่มีเพียงสาวงามที่สร้างสีสัน แม้แต่การแข่งกันสู้ราคาก็มีลีสันเช่นกัน! โดยเฉพาะฉากสุดท้ายนั้น การประกาศกร้าว ศิลาวิญญาณที่กองเป็นภูเขา การ โอบกอดบนเวทีประมูลช่างมีสีสันเสียยิ่งว่าการร้องรำทำเพลง!

เหล่าคนงานขึ้นมาเก็บศิลาวิญญาณบนเวที พร้อมกับบรรดาแขกที่ทยอยจากไป

แต่ว่าก็มีบางคนที่ยังไม่คิดจากไป

ยกตัวอย่างเช่นตระกูลเซิ่ง และยกตัวอย่างเช่นตระกูลเจี่ยง

เซิ่งอวี้หลีเดินนำเซิ่งซูซูมาหยุดลงตรงหน้าที่นั่งของมู่ชิงเกอ แอบชำเลืองมองฉินอี้เหยาแวบหนึ่ง เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณที่คุณชายช่วยกู้หน้าให้ก่อนหน้านี้”

พูดจบเขาก็นำศิลาวิญญาณระดับกลางห้าก้อนขึ้นมาวางบนโต๊ะของมู่ชิงเกอ

ศิลาวิญญาณเกินราคาของเซิ่งซูซูนี้เป็นเงินที่เซิ่งอวี้หลีคืนให้มู่ชิงเกอที่จ่ายค่าประมูลของเซิ่งซูซูก่อนหน้านี้

มู่ชิงเกอปรายตามองแวบหนึ่ง เอ่ยบอกกับมั่วหยาง “เก็บไว้ซะ”

มั่วหยางมิได้เอ่ยอันใดมากความ เก็บศิลาวิญญาณที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา

มู่ชิงเกอยกยิ้มมุมปากเอ่ยกับเซิ่งอวี้หลีที่ยังไม่จากไปว่า “ท่านยังมีสิ่งใดหรือ?”

เซิ่งอวี้หลีเอ่ย “ไม่สู้ไปพร้อมกัน?” ว่าแล้วสายตาภายใต้ หน้ากากของเขาก็ย้ายไปที่เจี่ยงเทียนอี้ผู้ซึ่งยังไม่ได้จากไป

มู่ชิงเกอหลุบตาลง เอ่ยอย่างขบขัน “ได้ยินมาว่ารถลากสัตว์อสูรของตลาดมืดจะพาคนไปส่งยังที่แห่งหนึ่ง หลังจากออกไปแล้วเป็นตายอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา”

เซิ่งอวี้หลีพยักหน้า “มีกฎเช่นนี้อยู่จริง”

“ท่านไม่กลัวว่าจะเป็นการนำไฟเผาตนเองหรือ?” มู่ชิงเกอช้อนสายตาขึ้นมองเขาอย่างสนใจ

เซิ่งอวี้หลีกลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจี่ยงเทียนอี้คนเดียวไม่สำคัญเท่าไร ไม่นับว่าเป็นอะไร”

เจี่ยงเทียนอี้ เป็นเพียงคนรุ่นสองของตระกูลเจี่ยง หากผู้ที่มาวันนี้เป็น นายน้อยตระกูลเจี่ยง บางที่เขาอาจจะให้ความสำคัญอยู่หลายส่วน

มู่ชิงเกอลุกขึ้นยืน ฉินอี้เหยาก็พลอยลุกขึ้นตาม

เซิ่งซูซูค้นพบด้วยความประหลาดใจ คล้ายกับว่าพี่สาวเหยาในเวลานี้ทิ้งความทะนงตนลงอย่างสิ้นเชิง ยินยอมติดตามอยู่ข้างหลังคุณชายชุดแดงผู้นี้

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่ขอเกรงใจแล้ว” มู่ชิงเกอไม่ได้บอกปัด

ทั้งสองฝ่ายออกจากโถงประมูลไปพร้อมกัน เมื่อร่างของพวกเขาลับสายตาไป เจี่ยงเทียนอี้ก็ลุกขึ้นมา เอ่ยกับผู้ติดตามว่า “เหอะ พวกเราไป”

“คุณชาย พวกเรา…” ผู้ติดตามเอ่ยถามเสียงเบา เจี่ยงเทียนอี้หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งเอ่ยกับผู้ติดตามว่า “ไม่เห็นว่ามือสังหารที่ปองร้ายข้าหรืออย่างไร? รีบแจ้งพี่ใหญ่ข้า!”

สายตาของผู้ติดตามเป็นประกายเข้าใจ เอ่ยขึ้นในทันที “เข้าใจแล้วขอรับ”

กลับมาที่ประตูห้องโถง เซิ่งอวี้หลีปลดหน้ากากบนใบหน้าตนเองออก เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาดุจดวงดาว เครื่องหน้าของเขาองอาจแข็งแกร่ง แต่กลับงดงาม ถือเป็นใบหน้าหนุ่มหล่อที่ยิ่งมองยิ่งสะดุดตา

โดยเฉพาะคิ้วพาดเฉียงดุจกระบี่กับดวงตาสุกสกาวราวดวงดาราพวกนั้น แสงจรัสที่เปล่งออกมาราวกับสาดส่องลงบนจิตใจมนุษย์

“มา” เซิ่งอวี้หลีหมุนตัวเข้าหาเซิ่งซูซู สองมือจับที่หน้ากากที่อยู่บนใบหน้านาง ราวกับจะช่วยนางปลดออก

“นายน้อยเซิ่ง ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา” ทันใดนั้นฉินอี้เหยาก็พูดขึ้น ขัดจังหวะการกระทำของเขา

เซิ่งอวีหลีหยุดมือ หันกลับมามองหน้า ในใจมีแววยินดี ราวกับเขาไม่คิดมาก่อนว่านางจะรู้จักตนเองและเอ่ยสนทนากับเขา

เมื่อถูกสายตาของเขาจับจ้อง ฉินอี้เหยาก็หลุบตาลง เขยิบไปด้านข้างก้าวหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอ

การกระทำเพียงเล็กน้อยนี้ทำเอาเซิ่งอวี้หลีรู้สึกหมดหวัง แต่ยังคงปล่อยมือลง

ตระกูลเซิ่งที่เหลืออีกสี่คนก็ปลดหน้ากากที่สวมบนใบหน้าลง ล้วนเป็นใบหน้าเยาว์วัยทั้งสิ้น

“แม่นาง เหตุใดซูซูถึงพูดไม่ได้?” เซิ่งอวี้หลีเอ่ยถาม

ฉินอี้เหยาเม้มปากแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไม่เป็นอะไรมาก เพียงแค่ถูกพลังจิตสะกดชีพจรที่ลำคอเท่านั้น”

ราวกับเพิ่มความน่าเชื่อถือให้คำกล่าวของนาง เซิ่งซูซูก็พยักหน้าไปมา

“ไปกันเถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ยราบเรียบ ยกมือขึ้นปลดหน้ากากออกจากใบหน้าตนเอง เสวี่ยหยา มั่วหยางและ คนอื่นๆ ก็ยกมือปลดหน้ากากบนใบหน้าออกเช่นกัน

หลายคนปลดหน้ากากออกพร้อมกัน โฉมหน้าที่เผยออกมาทำเอาบริเวณประตูโถงสว่างขึ้นมาทันตา

ไม่ต้องพูดถึงมั่วหยางและพวก บนตัวองครักษ์เขี้ยวมังกรมีบุคลิกเลือดเหล็กกล้าแข็งแกร่ง ใบหน้าสุขุมเยือกเย็น ส่วนเสวี่ยหยาก็งดงามผุดผ่องราวเทพเซียน บุคลิกไม่ธรรมดา

ส่วนมู่ชิงเกอ

ตอนที่นางปลดหน้ากากออก ผู้ที่ตื่นเต้นที่สุดเห็นจะเป็นฉินอี้เหยาที่ยืนอยู่ด้านหลังนาง ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากนั่น ไม่รู้ว่านางใช้บรรยายความคิดถึงในห้วงฝันทั้งยามหลับและยามตื่นอยู่กี่รอบ ฝังลึกเข้าไปในกระดูก เมื่อนางได้พานพบอีก ครั้งเดิมทีนางนึกว่าจิตใจได้ปิดผนึกไปนานแล้ว แต่จู่ๆ มันก็เต้นเร็วแรงขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม

ยังคงเป็นใบหน้าที่หล่อเหลาสง่างามไม่เป็นสองรองใคร สมบูรณ์เพียบพร้อม งดงามจนผู้คนแทบหยุดหายใจ แต่ก็แฝงความบ้าระห่ำเย้ยฟ้าท้าดิน แต่ก็มีจุดที่ไม่เหมือนกันอยู่นิดหนึ่งคือผู้ที่อยู่ตรงหน้าเปลี่ยนไปสุขุมเก็บอารมณ์มากขึ้น ทำให้คนมองไม่ออกเดาไม่ถูก

โครงหน้าที่คุ้นเคยทำเอาฉินอี้เหยาตกอยู่ในห้วงความทรงจำไปชั่วขณะ หวนนึกถึงเรื่องราวที่ตนและมู่ชิงเกอผ่านมาด้วยกัน

ส่วนพี่น้องตระกูลเซิ่งกลับตะลึงค้างอยู่กับที่

ราวกับว่าพวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าใบหน้าที่อยู่ภายใต้หน้ากากจะเป็นใบหน้าที่งดงามจนน่าใจหาย

ใบหน้านั้นยากที่จะแยกแยะได้ว่าเป็นบุรุษเพศหรืออิสตรี รู้สึกได้เพียงว่าผู้ที่มีใบหน้าเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี ก็เป็นรูปโฉมที่งามล่มเมือง ดวงตาของเซิ่งซูซูเกิดดวงดาราดวงน้อย เซิ่งอวี้หลีเองก็นิ่งไปอยู่นานกว่าจะได้สติ

“เป็นอะไรไป?” เห็นว่าคนตระกูลเซิ่งต่างก็ตกอยู่ในอาการตะลึง มู่ชิงเกอก็เอ่ยถามออกมาด้วยความฉงนสนเท่ห์

นางลืมไปโดยสิ้นเชิงว่ารูปโฉมตนเองมีพลังทำลายล้าง! โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เห็นหน้ากากน่าเกลียดน่ากลัวนี้มาเป็นเวลานาน เมื่อเห็นใบหน้านี้ผลลัพธ์ที่ตามมา ย่อมสุดยอด!

“ใช่สิ ยังไม่ได้ถามชื่อเสียงเรียงนามของคุณชายเลย” หลังจากที่เซิ่งอวี้หลีได้สติกลับมาแล้วก็เอ่ยถามออกมา

มู่ชิงเกอสายตาเป็นประกายไหววูบ เอ่ยตอบว่า “มู่ชิงเกอ”

“ข้าน้อยเซิ่งอวี้หลี คุณชายมู่เป็นคนต่างถิ่นใช่หรือไม่?” เซิ่งอวี้หลีเอ่ย

“ถือว่าใช่ได้กระมัง” มู่ชิงเกอเอ่ยตอบกำกวม สนทนาพาทีกับเซิ่งอวี้หลีอยู่สองประโยค มู่ชิงเกอก็หันมามองฉินอี้เหยา เห็นนางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็เอ่ย ทักว่า “อี้เหยา?”

ดวงตาฉินอี้เหยาเลื่อนลอยอยู่หลายครั้ง หาจุดศูนย์รวมในตาอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงมู่ชิงเกอเอ่ยเรียกชื่อตนเอง ในสายตาของนางก็ปรากฎหมอกควันแผ่คลุมอยู่รางๆ

“ข้าไม่เป็นอะไร” ฉินอี้เหยาเอ่ยตอบเบาๆ

ตอนที่ยังไม่ได้พบกับมู่ชิงเกอ ฉินอี้เหยาก็คิดมาตลอดว่า อยู่ต่อหน้ามู่ชิงเกอจะต้องรักษาศักดิ์ศรีสงวนท่าทีส่วนหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากที่พบหน้ามู่ชิงเกอ นางกลับรู้สึกว่าขอเพียงสามารถอยู่ข้างกายเขา ศักดิ์ศรีอะไรล้วนไม่สำคัญ

เมื่อคิดเช่นนี้ฉินอี้เหยาก็ขบริมฝีปากของตนเอง นำมือที่อยู่ในเสื้อคลุมยื่นออกมาจับมือมู่ชิงเกอ

นางจับเอาไว้แน่น มองมู่ชิงเกอด้วยสายตาตื่นเต้นเป็นกังวล

เมื่อมือของตนเองถูกฉินอี้เหยาจับไว้แน่น สายตาของมู่ชิงเกอก็ตกลงบนนั้น นางสามารถรับรู้ได้ถึงปลายนิ้วที่สั่นเบาๆ และก็เข้าใจความคิดในใจของฉินอี้เหยา สายตาของมู่ชิงเกอเป็นประกายมืดมัวขึ้นแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้สะบัดมือฉินอี้เหยาออก เพียงแค่เอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน “ไปกันเถอะ”

บางความรู้สึก บางเรื่องราว บางทีอาจเป็นนางไม่เคยสังเกต

แต่ว่าตอนนี้หลังจากที่มีประสบการณ์เรื่องซือมั่วนางก็เริ่มรับรู้ขึ้นมาบ้าง ฉินอี้เหยาไม่เคยลืมความรู้สึกที่มีต่อนาง!

ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาอธิบาย ทำได้เพียงปล่อยเอาไว้ก่อน รอให้จบเรื่องแล้วตนเอง ค่อยอธิบาย เรื่องราวทั้งหมดให้นางเข้าใจ

ทั้งสองที่จับมือกัน ทำเอาเซิ่งอวี้หลีเกิดความรู้สึกหมดหวังขึ้นในใจ

เซิ่งซูซูกลับมองดูด้วยความประหลาดใจ ในใจไม่หยุดที่จะคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างมู่ชิงเกอกับฉินอี้เหยา

คนผู้หนึ่งเดินออกมาจากประตูโถง อาศัยความมืดมิด ยามรัตติกาลของตลาดมืดเตรียมรถสัตว์อสูรไว้เตรียมพร้อมออกไปจากที่นี่ คนก็หาตัวเจอแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เซิ่งอวี้หลีหรือมู่ชิงเกอต่างก็ไม่ได้คิดจะสืบสาวตามเรื่องตัวต้นเหตุที่จับตัวเซิ่งซูซูกับฉินอี้เหยามา

ข้อแรกเป็นเพราะเวลาไม่เอื้ออำนาย สองคือฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เจตนาเพียงแค่จับตัวมาส่งๆ

ในเมื่อไม่ใช่การวางแผนล่วงหน้า คนก็ปลอดภัยแล้ว

เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ปล่อยผ่านไป รับมือกับเรื่องราวตรงหน้าก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที

เรื่องของเซิ่งอวี้หลีคือการแข่งขันของตระกูลในวันรุ่งขึ้น

ส่วนเรื่องของมู่ชิงเกอคือจะโค่นล้มตระกูลเล่ออย่างไรเล่า!

การหายตัวไปของเซิ่งซูซูเป็นเรื่องนอกเหนือความคาดหมาย การหายตัวไปของฉินอี้เหยาเป็นท่วงทำนองประกอบ

รถสัตว์อสูรสองคันหนึ่งหน้าหนึ่งหลังเคลื่อนขบวนตามกันไป

คันหน้าคือมู่ชิงเกอ คันหลังคือเซิ่งอวี้หลี

ในรถคันหลังเซิ่งอวี้หลีใช้สองนิ้วชิดกัน ส่งพลังยุทธ์สายหนึ่งเข้าสู่ใจกลางจุดชีพจรของเซิ่งซูซูที่ถูกสะกดไว้สลายการสกัดจุดที่ลำคอของนาง

พอคลายออก เซิ่งซูซูก็เอ่ยอย่างอดรนทนไม่ไหว “เฮือก! ข้าเกือบขาดใจตายแล้ว! ท่านพี่เหตุใดถึงเพิ่งมา? หากไม่มีพี่สาวเหยา ข้าที่เป็นน้องสาวท่านคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว!”

ได้ยินคำตัดพ้อของนาง เซิ่งอวี้หลีทั้งขันทั้งโกรธเอ่ยขึ้นว่า “ดูสิว่าต่อไปเจ้ายังจะกล้าไปไหนส่งเดชอีกหรือไม่”

เขาไม่ได้เอื้อมมือไปปลดหน้ากากบนใบหน้าเซิ่งซูซูออก หลังจากที่ฉินอี้เหยาเอ่ยทัก เขาเองก็รู้สึกว่ามีเพียงเดินทางถึงตระกูลเซิ่งอย่างปลอดภัยแล้วถึงค่อยปลด หน้ากากออก ถึงจะรักษาชื่อเสียงของเซิ่งซูซูไว้ได้

“ท่านพี่ ท่านคงไม่ได้พาคนมาช่วยข้าแค่นี้หรอกใช่หรือไม่?” เซิ่งซูซูกวาดตามองคนทั้งสี่ที่ทั้งอยู่ซ้ายขวา นํ้าเสียงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

เซิ่งอวี้หลีเคาะศีรษะนางเบาๆ อย่างเอ็นดู เอ่ยชี้แจงว่า “พวกเรามาดูสถานการณ์ก่อน เมื่อมั่นใจว่าเจ้าอยู่ด้านในถึงจะส่งสัญญาณเรียกคนอื่น แต่ว่าสามารถใช้สันติวิธีเช่นนี้นำตัวเจ้าออกมาได้ก็ดีที่สุดแล้ว อีกไม่นานเดี๋ยว ก็ถึงงานแข่งขันแล้ว หลีกเลี่ยงปัญหาที่แทรกเข้ามาดีกว่า”

เซิ่งซูซูคลำศีรษะตนเองป้อยๆ ส่งเสียง ‘อ่อ’ คล้ายกับเข้าใจและไม่เข้าใจ

เซิ่งอวี้หลีถามต่อว่า “เหตุใดเจ้าจึงถูกจับตัวมากันแน่?”

พอได้ยินคำถามนี้ เซิ่งซูซูก็คล้ายกับแมวที่ถูกดึงหาง รีบออกท่าทางเล่าประสบการณ์ของตนเองทันที

ในขณะเดียวกันภายในรถสัตว์อสูรคันหน้า ร่างของฉินอี้เหยาก็เกร็งเขม็ง มือที่จับมู่ชิงเกอไว้ก็ไม่กล้าปล่อยออก

มู่ชิงเกอมองนางแวบหนึ่ง

ฉินอี้เหยาเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ข้ากลัว เหลือเกินว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงภาพหลอน เป็นเพียงความฝันของข้า เจ้าไม่เคยปรากฎตัวมาก่อน”

ฉินอี้เหยาก่อนหน้านี้ไม่มีทางพูดเช่นนี้

แต่ฉินอี้เหยาในตอนนี้ กลับเปลี่ยนไปทำตามใจของตนเองมากขึ้น ไม่ปรารถนาจะทำเป็นแข็งแกร่งต่อหน้ามู่ชิงเกออีกต่อไป

หลายครั้งหลายยามที่นางเผชิญกับอันตรายมักจะจินตนาการถึงภาพที่มู่ชิงเกอโรยตัวลงมาจากฟ้า คล้ายกับเมื่อครั้งที่ชายแดนแคว้นถูช่วยนางออกมา แต่สุดท้าย เมื่อลืมตาตื่นจากฝัน นางยังคงอาศัยกำลังของตนเองจัดการกับศัตรู เอาตัวรอดจากอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า ดิ้นรนมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นเดิม

มู่ชิงเกอคิดอยากจะถามนางเหลือเกินว่าเหตุใดจึงต้องไปจากหลินชวน แล้วเหตุใดจึงเข้ามาที่โลกแห่งยุคกลาง และเดินทางมาถึงเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงนี้ได้อย่างไร แต่ว่าหลัง จากที่ได้ยินนางเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา มู่ชิงเกอก็พูดแค่เพียงว่า “อย่ากลัว ข้ามาแล้ว”

ฉินอี้เหยาในเวลานี้น่าจะต้องการการปลอบโยนมากที่สุด

‘อย่ากลัว ข้ามาแล้ว’ คำพูดง่ายๆ เพียงห้าคำ กลับทำให้ร่างกายของฉินอี้

เหยาคลายความตึงเครียดลง ไม่เหมือนสายรัดที่ขึงไว้แน่นตึง

เสวี่ยหยานั่งอยู่ในตำแหน่งที่ไกลที่สุด ลอบมองความสัมพันธ์ระหว่างมู่ชิงเกอกับฉินอี้เหยา ในตอนนี้นางมั่นใจได้ว่าสตรีที่ถูกช่วยออกมาหลงรักนายน้อยของ นางอย่างลึกซึ้ง ถึงอย่างนั้นนายน้อยของนางราวกับมีเพียงความห่วงใยมอบให้นางเท่านั้น

แต่ว่าสามารถทำให้นายน้อยห่วงใยได้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา

เสวี่ยหยาหลุบตาลง ปล่อยอารมณ์ไปกับสายตา

คนที่อยู่ข้างกายมู่ชิงเกอเป็นคนที่เขายอมรับ แต่ว่านางกลับเป็นกรณียกเว้น และตัวนางเองก็รู้ดีว่านางเป็นกรณียกเว้น

นางรู้ดีว่าที่ตัวเองอยู่ต่อได้เป็นเพราะนายน้อยต้องการแผนที่บนแผ่นหลังนาง

รถสัตว์อสูรแล่นออกไปจากเขตรกร้าง เข้าสู่พื้นที่แห้งแล้ง ผ่านผืนป่าที่เหี่ยวเฉา จนสามารถมองเห็นเค้าโครงของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง รถสัตว์อสูรของตลาดมืดหยุดลงด้านนอกผืนป่าเหี่ยวเฉา

พวกมู่ชิงเกอกับคนตระกูลเซิ่งต่างพากันลงจากรถ

ส่งคนลงหมดแล้ว รถสัตว์อสูรก็หันทิศทางย้อนกลับไปทางเดิม

เซิ่งอวี้หลีพาคนตระกูลเซิ่ง รวมถึงเซิ่งซูซูเดินไปอยู่ฝั่งมู่ชิงเกอ แสดงความขอบคุณต่อฉินอี้เหยา “แม่นางฉินเมื่อครู่ข้าได้ฟังเรื่องราวจากปากน้องสาวข้าแล้ว ขอบคุณท่านที่ช่วยดูแล”

นอกจากมู่ชิงเกอแล้ว เมื่อฉินอี้เหยาเผชิญหน้ากับผู้อื่นก็กลับมามีท่าทีสุขุมถือตัว คำขอบคุณของเซิ่งอวี้หลีทำได้เพียงแค่ให้นางส่ายหน้าน้อยๆ เอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “ไม่ต้องขอบคุณข้า ข้าทำไปก็เพื่อช่วยตนเองเช่นกัน”

คำพูดของนางทำเอาเซิ่งอวี้หลีชะงัก แต่ก็กลับมาเป็นปกติในทันที

หากมู่ชิงเกอไม่ปรากฏตัว เช่นนั้นการที่ฉินอี้เหยาช่วยเหลือเซิ่งซูซู ยามที่คนตระกูลเซิ่งตามมาช่วยเซิ่งซูซูก็ต้องช่วยนางออกไปด้วยเช่นกัน แบบนี้ดูแล้วสิ่งที่นางพูดจะเป็นความจริง

ตอนแรกที่เข้าใกล้เซิ่งซูซูเพราะมีจุดมุ่งหมาย แต่ว่าเซิ่งอวี้หลีกลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่สนใจว่า “ขอบคุณแม่นางฉินที่พูดความจริง แต่ไม่ว่าอย่างไร ท่านก็ยังคงเป็นผู้มีพระคุณของซูซู และก็เป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเซิ่งเรา”

เซิ่งซูซูเองก็รีบเอ่ยขึ้นว่า “นั่นสิ! พี่สาวเหยา ท่านก็ไม่ได้หลอกลวงข้า บอกกับข้าตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าพวกเราจะร่วมมือกันหาทางออกไป ดังนั้นท่านก็ไม่ต้องถ่อมตนหรอก ท่านก็คือผู้มีพระคุณของข้า”

สายลมในยามรัตติกาลอันมืดมิดพัดโบกเงาสะท้อนต้นไม้แห้งเหี่ยว ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะกับการพูดคุยจริงๆ แต่ว่าบางคำพูดหากว่าไม่เอ่ยออกมาในตอนนี้ก็คงจะไม่ทันกาล สุดท้ายแล้วเวลาคืนหนึ่งก็ผ่านไปเพียงชั่วพริบตา

“คุณชายมู่ ก่อนหน้านี้ที่ลานประมูลก็ต้องขอบคุณท่านเป็นอย่างมากที่ช่วยเหลือ” เซิ่งอวี้หลีเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอยิ้มนิ่งๆ “ถือเป็นการผูกวาสนาเถอะ หากนายน้อยเซิ่งต้องการขอบคุณข้าไม่สู้แนะนำให้ข้าได้พบหน้าประมุขตระกูลเซิ่งสักครั้งเป็นอย่างไร?”

ที่มาตลาดมืดนี้ ความตั้งใจแรกคือมาช่วยฉินอี้เหยา ได้พบเซิ่งอวี้หลีถือเป็นเรื่องไม่คาดคิด แต่ก็ถือเป็นโอกาสที่มาเยือนถึงประตู มู่ชิงเกอย่อมไม่พลาด

“ท่านต้องการพบท่านพ่อของข้า? ได้สิ ไม่ต้องผ่านพี่ชายข้าหรอก ข้าเองก็สามารถช่วยแนะนำท่านได้เช่นกัน!” ไม่รอให้เซิ่งอวี้หลีได้เอ่ยออกมาจนจบประโยค เซิ่งซูซูก็พูดแทรกขึ้นมาทันที

ภาพที่มู่ชิงเกอประมูลตนเองและฉินอี้เหยาก็ทำให้นางเลื่อมใสแล้ว ก่อนหน้านี้เส้นเสียงถูกสะกดไม่สามารถพูดคุยได้ ตอนนี้สามารถพูดคุยได้แล้วนางย่อมไม่พลาดโอกาสที่จะสนทนากับมู่ชิงเกอ

“ซูซู!” เซิ่งอวี้หลีมองน้องสาวเขาที่ถูกตามใจจนเสียนิสัย ด้วยความระอา จากนั้นจึงเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชายมู่ ท่านอย่าได้ถือสา ซูซูเป็นเพียงเด็กไม่รู้ความ” ความหมายในถ้อยคำคืออย่าได้ถือเอาคำพูดของนางเป็นเรื่องจริง

จากนั้น เขาก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายมู่ขอพบท่านพ่อของข้าด้วยเรื่องอันใดหรือ?”

“ย่อมต้องเป็นเรื่องดีที่ทั้งสองฝ่ายจะได้รับประโยชน์” มู่ชิงเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

แววตาเขาเป็นประกายแฝงความน่าเชื่อถือที่ไม่มีถ้อยคำใดสามารถพรรณนาได้ เซิ่งอวี้หลีขมวดคิ้ว ในขณะที่ กำลังคิดจะถามต่อ บริเวณผืนป่าอันเหี่ยวเฉาก็มีเสียงวุ่นวายลอยแว่วมา

แววตาเขาสุขุม รีบปกป้องเซิ่งซูซูไว้ด้านหลัง สองตาจ้อง

มองรอบๆ อย่างเตรียมพร้อมรับมือ คนตระกูลเซิ่งทั้งสี่ก็คว้าอาวุธออกมา ล้อมนายน้อยและคุณหนูของพวกเขาไว้ด้านใน เพิ่มการปกป้อง

ส่วนฝั่งมู่ชิงเกอ ตัวมู่ชิงเกอนั้นไม่มีแววตื่นเต้นจนเกินไป เพียงแค่กระชับมือของฉินอี้เหยาให้นางขยับเข้ามาใกล้ตนเอง

การดึงในครั้งนี้ทำให้ฉินอี้เหยารู้สึกอบอุ่นใจ มุมปากยกยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ส่วนพวกมั่วหยางสามคน ยังมีเสวี่ยหยาสังเกตความเคลื่อนไหวโดยรอบเตรียมพร้อมรับมือ

เพียงชั่วพริบตา ท่ามกลางป่าแห้งเฉาก็ปรากฎเงาคนจำนวนมาก ไม่นานก็มาอยู่รอบๆ พวกเขา ล้อมพวกเขาไว้ข้างใน

แววตาของเซิ่งอวี้หลีดุดัน เอ่ยหัวเราะเคร่งขรึม “ที่แท้ก็เป็นคนตระกูลเจี่ยง เจี่ยงเทียนอี้ เจ้าช่างเป็นคุณชายเจ้าสำราญที่ถนัดแต่ใช้อำนาจรังแกผู้อื่น!”

คนเป็นร้อยล้อมพวกเขาสิบสองคนอยู่ด้านนอกผืนป่าอันแห้งเหี่ยว

คำพูดของเซิ่งอวี้หลีทำเอาวงล้อมที่ล้อมพวกเขาเอาไว้ แหวกออกเป็นทางเดิน เจี่ยงเทียนอี้สาวเท้าก้าวเข้ามา ด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มสายตาเจ้าเล่ห์

สายตาเขาไปหยุดอยู่ที่ฉินอี้เหยา แต่พอกวาดสายตามองมาที่มู่ชิงเกอกลับสว่างวาบ ปล่อยความหื่นกระหายออกมา แต่ว่าเมื่อเห็นว่าเขาเป็น ‘บุรุษ’ สายตาละโมบของเขาก็กลายเป็นเสียดาย

เมื่อเขากลับไปมองที่เสวี่ยหยา สายตาละโมบที่ดับลงก็จุดประกายขึ้นอีกครั้ง เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจับโจรที่สังหารข้า ในเมื่อพวกเจ้าเป็นพวกเดียวกันกับนางก็ตามข้ากลับไปเสียดีๆ! เซิ่งอวี้หลี ข้าขอเตือน ว่าเจ้าอย่าได้เข้ามายุ่งเรื่องของชาวบ้าน!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version