Skip to content

พลิกปฐพี 234

ตอนที่ 234

หมากกระดานหนึ่งที่ชนะร่วมกัน!

“ที่ข้ามาที่นี่ ก็เพี่อจับคนเลวที่ลอบฆ่าข้า พวกเจ้าก็ล้วนแต่เป็นพวกเดียวกันกับนาง จะต้องกลับไปกับข้าทั้งหมด! เซิ่งอวี้หลี ข้าขอเตือนว่าเจ้าอย่าได้เข้ามายุ่ง!” เจี่ยงเทียนอี้จับจ้องมองไปที่ร่างกายของฉินอี้เหยา ท่าทางดูป่าเถื่อนและหื่นกระหาย

เขามั่นใจเต็มที่และดูเหมือนจะรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว

นัยน์ตาของเซิ่งอวี้หลีวาววาบ แอบชำเลืองมองไปยังฉินอี้เหยาที่ยืนอยู่ด้านหลังของมู่ชิงเกอ เห็นนางดูสงบนิ่ง มีความเย็นยะเยือก ไม่ได้มีท่าทีที่ดูร้อนใจหรือแตกตื่น ไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่น ในใจก็ยิ่งรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา อย่างที่ทุกคนรู้ฉินอี้เหยาในตอนนี้นั้นยืนอยู่ด้านหลังของมู่ชิงเกอ แม้ว่าท้องฟ้าจะถล่มทลายลงมานางก็ไม่ได้ รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย

ความรู้สึกดีในใจรวมกับที่ฉินอี้เหยาช่วยเหลือเซิ่งซูซู ทำให้เซิ่งอวี้หลีตัดสินใจ

เขาเดินออกมา เอ่ยกับเจี่ยงเทียนอี้ว่า “เจี่ยงเทียนอี้ เจ้าพูดจาเหลวไหลเกินไปจริงๆ! นางถูกขังอยู่ภายในตลาดมืด จะไปทำร้ายเจ้าได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”

เจี่ยงเทียนอี้ยิ้มเย็นเอ่ยว่า “เป็นใครทำร้ายข้า ตัวข้าไม่รู้ชัดเจนแล้วเจ้าที่เป็นนายน้อยตระกูลเซิ่งจะรู้ดีกว่าได้อย่างไร? เซิ่งอวี้หลี พี่ชายของข้าใกล้จะมาถึงแล้ว หาก เจ้าไม่คิดจะถูกเขาทำร้ายบาดเจ็บก่อนการแข่งขันจัดลำดับ ทางที่ดีก็นำคนของเจ้าจากไป! ใช่ แล้วก็ทิ้งหญิงใส่หน้ากากนั่นไว้ด้วย!”

“ฝันไปเถอะ!” เซิ่งอวี้หลีตะคอกออกมา

เขาไม่สามารถทิ้งเซิ่งซูซูไว้ได้อยู่แล้ว ยิ่งไม่อนุญาตให้เจี่ยงเทียนอี้คนไม่เอาไหนนี่มามีความคิดไม่ดีกับเซิ่งซูซู!

“ดูแล้ว เจ้าก็คงไม่ชอบไม้อ่อนชอบไม้แข็งสินะ” เจี่ยงเทียนอี้หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายกลับถอยหลังไปสองกาว

ภายในสองก้าวนี้ เหล่าคนของตระกูลเจี่ยงก็กระจายไอสังหารออกมาเริ่มการต่อสู้

“นายน้อย คนของพวกเขาเยอะเกินไป พวกเราไม่ใช่คู่มือ!” คนของตระกูลเซิ่งคนหนึ่ง ขยับมาข้างกายของเซิ่งอวี้หลี เอ่ยเสียงเบาๆ

ในนํ้าเสียงของเขาทำให้คนฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจ เซิ่งอวี้หลีกวาดตามองไปยังคนของตระกูลเจี่ยงที่กำลังบีบเข้ามา ในใจรู้สึกหนักใจ ห้าตระกูลในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงที่สามารถรักษาความสมดุลมาได้ตั้งนาน ก็เป็นเพราะว่ากำลังของทั้งห้าตระกูลไม่ได้แตกต่างกันมาก ถ้าหากว่าในตอนนี้ข้างกายของเซิ่งอวี้หลีมีคนมาเป็นร้อย แน่นอนว่าจะไม่ต้องกลัวเกรงคนอย่างเจี่ยงเทียนอี้

แต่ปัญหาก็คือ ตอนนี้เขาไม่มี ดังนั้นจึงไม่สามารถไม่ระมัดระวังได้

เจ้าบ้าเจี่ยงเทียนอี้ผู้นี้ทำตามใจตัวเองไม่เคยคิดเรื่องอื่น และก็ไม่สนใจถึงผลลัพธ์อีกอย่างตระกูลเจี่ยงกับตระกูลเซิ่งก็เป็นคู่แข่งกัน แล้วเขาจะไปพิจารณาถึงหน้าตาของตระกูลเซิ่งได้อย่างไร?

การต่อสู้ครั้งนี้สามารถพูดได้เลยว่าแม้แต่หนี เซิ่งอวี้หลีก็ไม่มั่นใจว่าจะทำได้

เซิ่งอวี้หลีค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นกวาดตามองไปยังมู่ชิงเกอ เพียงมองก็ทำให้เขาชะงัก เขาพบว่าคุณชายมู่ที่แปลกหน้าคนนี้เมื่ออยู่ในการสู้รบเช่นนี้กลับไม่ได้ดูแตกตื่นเลยแม้แต่น้อย ท่าทางดูสงบดุจดังปกติ ดูเหมือนว่าเจี่ยงเทียนอี้ที่อยู่ตรงหน้าเขาแล้วก็ยังมีคนของตระกูลเจี่ยงนั้นไม่ได้คงอยู่

“ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมา” เซิ่งอวี้หลีเก็บความประหลาดใจไว้หันไปเอ่ยกับคนด้านข้างอย่างระมัดระวัง

‘พวกเขา’ ที่เขาพูดถึงก็คือคนของตระกูลเซิ่งที่ถูกจัดวางไว้ใกล้เคียงเพื่อช่วยเซิ่งซูซู ด้านนอกป่าแห้งเหี่ยวแห่งนี้ก็ไม่ใช่สถานที่ของตลาดมืดอีกต่อไป ดังนั้นคนของตระกูลเซิ่งจึงล้วนแต่รอคำสั่งอยู่นอกป่า

ความคิดของเซิ่งอวี้หลีนั้นง่ายมาก เพียงแค่จำนวนคนของทั้งสองฝ่ายเสมอกัน ก็จะไม่เกิดศึกก่อนหน้าการแข่งขันจัดลำดับขึ้นง่ายๆ

เพียงแต่ว่า ระหว่างที่คนของตระกูลเซิ่งรีบรุดมา ก็ต้องการช่วงเวลาช่วงหนึ่ง พวกเขาจะถ่วงเวลาไว้ได้อย่างไร?

สัญญาณของตระกูลเซิ่งถูกปล่อยออกไปเกิดเป็น ‘ดอกไม้สีขาว’ ระเบิดออกท่ามกลางความมืดยามคํ่าคืน

นอกจากคนของตระกูลเซิ่ง สายตาของคนอื่นๆ ล้วนถูกดึงดูดไปที่กลางท้องฟ้า

เจี่ยงเทียนอี้ถอนสายตากลับ หรี่ตามองดูเซิ่งอวี้หลี “ถึงกับปล่อยสัญญาณเลยงั้นหรือ? เซิ่งอวี้หลี ดูแล้วเจ้าก็คงไม่คิดที่จะจากไปแล้ว!”

เซิ่งอวี้หลีสบถออกมาคำหนึ่ง เอ่ยอย่างดูแคลนว่า “เจี่ยงเทียนอี้ เจ้าคิดว่าอาศัยเพียงคนไม่เอาไหนอย่างเจ้าจะสามารถทำอะไรได้รึ?”

“ข้าสามารถเอาหัวเจ้าก่อนที่คนของเจ้าจะมาถึงได้แล้วกัน!” นัยน์ตาของเจี่ยงเทียนอี้ฉายแววดุร้าย เอ่ยด้วยท่าทีดูบ้าคลั่ง

เขาโบกมือ คนนับร้อยของตระกูลเจี่ยงพุ่งเข้ามาเริ่มการต่อสู้ทันที

มู่ชิงเกอยืนอยู่เงียบๆ ฟังการอ้อมไปอ้อมมาระหว่างเซิ่งอวี้หลีและเจี่ยงเทียนอี้ เมื่อเห็นคนของตระกูลเจี่ยงขยับ นางก็แวบหายตัวไปจากที่เดิม

เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วทำให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนแต่ไม่สามารถมองเห็นเงาร่างของเขาได้

“หยุด…หยุดมือ!” ทันใดนั้น เสียงอันน่าหวาดกลัวก็ดังออกมา ขัดจังหวะของการต่อสู้ที่กำลังเริ่มต้นขึ้น คนของตระกูลเจี่ยงที่ได้ถืออาวุธขึ้นแล้วกลับถูกเสียงนี้ทำให้หยุดลง พวกเขาหันกลับไปมอง ภาพที่เห็นกลับทำให้นัยน์ตาของพวกเขาหดตัวลง

ไม่เพียงแต่พวกเขา นัยน์ตาของเซิ่งอวี้หลีและคนของตระกูลเซิ่งก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็นเต็มไปด้วยความตกตะลึง

ฝั่งของเจี่ยงเทียนอี้มีคุณชายสวมชุดสีแดงงดงามยืนอยู่คนหนึ่ง

มือซ้ายของเขาไพล่ไว้ด้านหลัง หลังตรงดิ่งดุจดาบคม มือขวายกขึ้นมา ปลอกนิ้วอันแหลมคมกดอยู่ที่เส้นเลือดใหญ่บนคอของเจียงเทียนอี้

เพียงแค่เขาออกกำลังเล็กน้อยก็สามารถเจาะเข้าไปในผิวของเจี่ยงเทียนอี้ได้อย่างง่ายดาย ทำลายเส้นเลือดใหญ่ของเขา ทำให้เขาได้เฝ้ามองตนเองเลือดไหลออกหมดจนตาย

“เจ้า…เจ้าอย่าได้ทำเหลวไหล” เจี่ยงเทียนอี้ในตอนนี้ไม่ได้หยิ่งผยองแล้ว สีหน้าขาวซีดดั่งไร้สีเลือด ร่างกายเย็นเชียบ เขาไม่เคยรู้สึกว่าความตายอยู่ใกล้เช่นนี้มาก่อน ปลอกนิ้วอันแหลมคมนั้นดุจดั่งกรงเล็บคมที่จะมาควักเอาชีวิตของเขาไป

เร็วเกินไป! เร็วเกินไปแล้ว!

เจียงเทียนอี้พึมพำในใจ

ถึงแม้ว่าพลังฝึกปรือของเขาจะธรรมดา แต่ก็ไม่ใช่จะเข้ามาใกล้ได้ง่ายๆ แต่ว่าคนๆ นี้กลับสามารถผ่านคนของตระกูลเจี่ยงมาปรากฏตัวข้างกายของเขาได้ในพริบตา ทั้งยังจับกุมเขาได้โดยที่เขายังไม่ทันได้แม้แต่จะขยับตอบโต้

ตอนนี้ชีวิตอยู่ในมือของคนอื่น เขาเพียงแต่ต้องเก็บความหยิ่งผยองที่เคยเป็น

สถานการณ์พลิกกลับอย่างรวดเร็วเกินไป เร็วจนทำให้คนรู้สึกรับไม่ได้ กลุ่มคนชะงักไปชั่วขณะ ครู่หนึ่งทุกคนถึงได้ยอมรับความเป็นจริงตรงหน้า

พรึ่บ—–!

คนของตระกูลเจี่ยงตอบสนองกลับมา อาวุธในมือหันกลับชี้ไปยังเจี่ยงเทียนอี้…ไม่สิ ชี้ตรงไปทางมู่ชิงเกอที่อยู่ด้านหลังของเจี่ยงเทียนอี้

แต่ว่าท่าทีของมู่ชิงเกอกลับดูเย็นเฉียบ นัยน์ตาสงบนิ่ง ไม่ได้สนใจกับบรรดาอาวุธที่เล็งมาทางตนเอง นางเพียงแต่ขยับปลอกนิ้วมือข้างขวาเล็กน้อยทำให้ ปลายแหลมคมใกล้เข้าไปกับผิวคอของเจี่ยงเทียนอี้ขึ้นไปอีก

“วาง…วางมือ! วางอาวุธลงให้หมด!” เจี่ยงเทียนอี้ตะโกนออกมาอย่างหวาดกลัว

เขาเกิดความกลัวว่าหากมือของมู่ชิงเกอสั่นเล็กน้อย ชีวิตน้อยๆ ของเขาก็คงจะหายไป ถึงเวลานั้นยังจะมาพูดถึงเรื่องมีความสุขกับสาวงาม? ชีวิตอันแสนสุขได้อีกอย่างไร?

สองขาของเจี่ยงเทียนอี้สั่นขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ว่าในวันนี้เขาได้รับประสบการณ์แล้วว่า อะไรที่เรียกว่าความหวาดกลัว

วันนั้นที่ถูกฉินอี้เหยาลอบฆ่า ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บใน ขณะที่กำลังมึนงง ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว แต่วันนี้ชีวิตของเขาถูกคนกำไว้ในมือ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่ก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว

คนของตระกูลเจี่ยง เมื่อได้ยินเจ้านายตะโกนออกมาเช่นนี้ ก็ทำได้เพียงวางอาวุธในมือลง มองมู่ชิงเกออย่างระมัดระวัง

เจียงเทียนอี้เห็นเช่นนี้ถึงได้พยายามกู้ความกล้าเอ่ยออกมาว่า “เจ้ายัง…ยังต้องการอะไรอีก? ข้าขอบอกเจ้า ข้าเป็นคุณชายรองของตระกูลเจี่ยง หากว่าเจ้าทำร้ายข้าก็ ฝันไปเลยเรื่องจะหนีออกจากเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง!”

แม้จะประณีประนอมแล้วแต่ก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขู่เตือน

มู่ชิงเกอฉีกมุมปากออกเบาๆ เผยรอยยิ้มที่ดูเย็นเฉียบเอ่ยกับเขาว่า “เจ้าวางใจเถอะ ช่วงนี้ข้ายังไม่คิดจะไปจากเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง ให้คนของเจ้าถอยออกไปให้หมด”

“ไม่ได้!” เจียงเทียนอี้ร้องออกมาอย่างตกใจ

ในตอนที่สายตาอันเย็นชาของมู่ชิงเกอกวาดมา เขาก็พูดอย่างตะกุกตะกักว่า “ให้พวกเขาไปหมดแล้ว หากว่าเจ้า เจ้า…”

คำพูดของเขายังพูดไม่จบก็ทำให้คนอื่นๆ รู้หมดแล้วว่าเขากำลังกังวลใจเรื่องอะไร

รอยยิ้มดูแคลนของมู่ชิงเกอเข้มขึ้น นางขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าพวกเขาอยู่ที่นี่แล้วเจ้าจะปลอดภัยงั้นหรือ?” พูดแล้วปลอกนิ้วมือของนางก็ออกแรงเพิ่มขึ้นอีกนิด ทำให้ปลอกนิ้วแหลมคมทะลุผ่านผิวของเจี่ยงเทียนอี้ เลือดหยดหนึ่งไหลพุ่งออกมาจากปากแผล

ความเจ็บปวดที่คอทำให้เจี่ยงเทียนอี้เอ่ยอย่างตกใจว่า “อย่า! อย่า! อย่า! ข้าให้พวกเขาไป ไปเดี๋ยวนี้!”

พูดจบแล้ว เขาก็ด่าว่าเหล่าคนของตระกูลเจี่ยง “พวกเจ้านี่มันพวกไร้ประโยชน์ยังจะอึ้งอยู่ที่นี่ทำไมอีก? คิดจะรอเก็บศพข้ากลับหรืออย่างไร? ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”

เหล่าผู้กล้าของตระกูลเจี่ยงเหล่านั้นเผยสีหน้าลังเลออกมา พวกเขาไม่กล้าที่จะจากไปง่ายๆ แต่ก็ไม่อาจจะไม่จากไป

อีกอย่าง หากคุณชายผู้นี้เป็นอะไรไปพวกเขาก็ล้วนแต่ต้องได้ตายตาม!

“ไสหัวไป ไสหัวไป ไสหัวไป !” เจี่ยงเทียนอี้เอ่ยปากไล่ ส่งสายตาไปบอกไม่หยุด คิดจะบอกให้เหล่าลูกน้องจากไปก่อนเพื่อไปหาพี่ชายของเขาให้มาช่วย

คนของตระกูลเจี่ยงค่อยๆ กระจายถอยไป

มีหลายครั้งที่พวกเขาคิดจะแอบช่วยคนแต่ก็ถูกสายตาท้าทายของมู่ชิงเกอกวาดมองทำให้ชะงักไป ไม่กล้าบุ่มบ่าม

การเสี่ยงอันตรายนี้ก็ทำเอาในใจของเจี่ยงเทียนอี้เกิดความเย็นยะเยือก เขารีบเอ่ยว่า “ไปให้หมด! ไอ้พวกคนไร้ประโยชน์!”

ในสายตาของเขานั้น คนเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ พึ่งพาไม่ได้ทำให้เขาตกมาอยู่ในมือของศัตรูเช่นนี้ได้

เมื่อถูกเจี่ยงเทียนอี้ตะคอกใส่ บรรดาคนของตระกูลเจี่ยง ก็ทำได้เพียงถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว

ถอยไปไม่รบอีกอย่างไร้ทางเลือก เจ้านายอยู่ในมือของอีกฝ่าย พวกเขาก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามไป

คนของตระกูลเจี่ยงรีบถอยออกไปจากบริเวณของป่าแห่งอันแห้งเหี่ยว

ในตอนนี้ก็มีเสียงฝีเท้าของกลุ่มคนดังเข้ามาอีกครั้ง

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเล็กน้อยมองไป มองไปทางเซิ่งอวี้หลี

เซิ่งอวี้หลีตั้งใจฟังแล้วก็จดจำคนที่มาได้ในทันที ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มขึ้น ตรงหน้าปรากฏกลุ่มคนออกมา

“นายน้อย!”

“นายน้อย—–!”

กลุ่มคนนี้ก็มีจำนวนนับร้อย พวกเขาพากันร้องเรียกเซิ่งอวี้หลี

คนของตระกูลเซิ่งมาถึงแล้ว!

เจี่ยงเทียนอี้มองเห็นฉากนี้แล้วในใจก็ยิ่งแค้นเคืองแต่ก็ไร้หนทางทำอะไร

ตอนนี้เขาเพียงแต่หวังว่าจะสามารถรักษาชีวิตของตัวเองไว้ได้ก็พอ ที่เหลือนั้น กาลเวลายังอีกยาวไกล

“ตอนนี้พวกเจ้าปลอดภัยแล้ว สามารถปล่อยข้าได้แล้วใช่ไหม?” เจี่ยงเทียนอี้พยายามปกปิดความแค้นเอ่ยกับมู่ชิงเกอ เขาพยายามกดเสียงที่ไม่พอใจของตนเอง ไม่กล้าไปยั่วมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอยิ้มๆ เอ่ยว่า “รีบร้อนอะไร?”

สีหน้าของเจี่ยงเทียนอี้เปลี่ยนในทันที เอ่ยอย่างหวาดกลัวว่า “เจ้าคิดกลับคำ?”

มู่ชิงเกอยิ้มๆ ในตอนที่เซิ่งอวี้หลีคิดว่ามู่ชิงเกอคิดจะฆ่าเจี่ยงเทียนอี้และกำลังจะเอ่ยปากห้ามนั้น นางก็ใช้พลังจิตใส่เข้าไปในนํ้าเสียง ร้องออกไปว่า “นายน้อยเจี่ยง หากว่าไม่อยากให้น้องชายของท่านตายก็ให้นำคนทั้งหมดออกไปจากที่นี่ กลับไปที่ตระกูลเจี่ยงเสีย สำหรับความปลอดภัยของน้องชายท่าน ท่านยิ่งไม่ต้องเป็นกังวล อีกครู่ข้าจะขอให้คนของตระกูลเซิ่งคุ้มครองส่งเขากลับบ้าน”

เสียงเหมือนเสียงคลื่นกระจายไปบนพื้นหญ้าจนสั่นเป็นระลอกคลื่น

เสียงของมู่ชิงเกอถูกส่งทอดยาวออกไปหลายลี้ เข้าไปในหูของชายคนหนึ่งที่กำลังขี่อยู่บนสัตว์อสูรวิญญาณที่ดูดุร้าย ลักษณะของเขาดูดุจดังมีดดาบ ดูหล่อเหลาและสุขุม

ใต้หว่างคิ้ว ดวงตาของเขาฉายแวววาววาบดูเย็นชา

ข้างกายซ้ายขวาของเขามีคนยืนอยู่เต็มไปหมด มีหนึ่งส่วนที่เป็นคนของตระกูลเจี่ยงที่ถอยออกมาก่อนหน้านี้

พวกเขาถอยออกมาที่นี่ก็พบเจอกับนายน้อย ยังไม่ทันได้รายงานเรื่องราวอย่างละเอียด นํ้าเสียงที่ดูเกียจคร้านนี้ก็ดังเข้ามา

เจี่ยงเทียนเฮ่าขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง

ภายในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง คนที่กล้าท้าทายเขาล้วนตายไปหมดแล้ว

หากว่าเป็นเมื่อก่อนมีคนกล้าพูดกับเขาเช่นนี้ ก็คงถูกเขาสับจนเละไปนานแล้ว แต่ว่าตอนนี้ น้องชายถูกจับ เขาทำได้เพียงแต่ต้องระวังการเคลื่อนไหว

ชีวิตของเจี่ยงเทียนอี้สามารถทิ้งไปได้ แต่ไม่อาจจะเป็นในตอนนี้!

การแข่งขันจัดลำดับใกล้เข้ามา ถ้าหากว่าคุณชายรองของตระกูลเจี่ยงตายในเวลานี้แล้ว ก็ถือเป็นข่าวที่ร้ายแรงสำหรับตระกูลเจี่ยง!

“เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย?” เจี่ยงเทียนเฮ่าเอ่ยปากออกมา นํ้าเสียงก็มีพลังจิตที่ไม่ด้อยไปกว่า พลิ้วลอยกลับไป ดูเหมือนคิดจะลอบวัดความความสา มารถกับมู่ชิงเกอ เสียงของเขาถูกส่งกลับมา สองเสียงที่ต่อเนื่องทำให้คนที่มีพลังฝึกปรือตํ่าล้วนแต่อดกระอักเลือดไม่ได้

‘พี่ชายมาแล้ว!’ นัยน์ตาของเจี่ยงเทียนอี้ฉายแววดีใจ

เดิมเขาคิดว่า พี่ชายจะตามมาไม่ทัน แต่ในเมื่อตอนนี้ไล่ตามมาทันแล้ว ตัวเองกลับถูกจับอยู่ ทำให้พี่ชายไม่อาจเคลื่อนไหวโดยพลการได้ชั่วขณะ นี่ทำให้เจี่ยงเทียนอี้ รู้สึกวุ่นวายใจ

เขากลัวว่าเจี่ยงเทียนเฮ่าจะไม่สนใจความปลอดภัยของเขา สั่งคนฝืนโจมตีเลย

ภายในความทรงจำของเขา พี่ชายของเขาคนนี้เป็นคนที่ไม่ยอมรับความอดสู มู่ชิงเกอพอได้ยินคำพูดของเจี่ยงเทียนเฮ่า มุมปากก็ฉีกออกเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “ท่านสามารถไม่เชื่อข้า แต่นายน้อยเซิ่งก็เป็นพยานต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่นี่ หากว่าท่านคิดจะเข้ามาพบ คุณชายรองเจี่ยงมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นก็อย่ามาโทษข้าก็แล้วกัน”

คำพูดนี้พอหลุดออกไป สีหน้าของเจี่ยงเทียนอี้ก็ซีดขาว ดูเหมือนว่าเขาจะมองไปเห็นรูปลักษณ์ของตัวเองที่ไม่มีแขน ไม่มีขา ถึงแม้ว่าเขาจะชอบการละเล่นเช่นนั้น แต่ก็ ไม่ใช่ว่าจะชอบให้การละเล่นเช่นนั้นมาเล่นอยู่บนร่างของตนเอง

“อย่าฆ่าข้า! ข้าไปกับพวกเจ้า” เจี่ยงเทียนอี้รีบเอ่ยออกมา

ตอนนี้เขายอมที่จะจากไปกับพวกมู่ชิงเกอ ขอเพียงพวกเขารักษาสัญญา ส่งตัวเองกลับก็ได้แล้ว ไม่ยอมที่จะถูกใช้เป็นข้อต่อรองในการเจรจาเพราะถ้าหากว่าพี่ชายของเขามีอารมณ์ขึ้นมา ก็มีแต่เขาที่ต้องโชคร้าย

มู่ชิงเกอเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง มุมปากยกขึ้นอย่างดูแคลน

คนของตระกูลเซิ่ง แล้วก็คนอื่นๆ ล้วนแต่ตอบสนองต่อเจี่ยงเทียนอี้เช่นเดียวกัน

เสียงของมู่ชิงเกอถูกส่งกลับมา

ความเย็นเฉียบในนัยน์ตาของเจี่ยงเทียนเฮ่าดูเข้มขึ้นหลายส่วน นิ่งไปครู่หนึ่ง

ในที่สุด เขาก็ยกมือขึ้น คนของตระกูลเจี่ยงถอยออกไป

สัตว์อสูรวิญญาณที่เขาขี่ก็ค่อยก้าวไปด้านหลัง ถอยออกไป

“หากว่ากล้าหลอกข้า จะสุดหล้าฟ้าเขียวข้าก็จะต้องฆ่าเจ้าให้ได้” ในตอนที่เจี่ยงเทียนเฮ่าจะจากไปเขาก็ทิ้งเอาไว้ประโยคหนึ่ง

ในคำพูดนี้ที่เขาสนใจไม่ใช่ว่าเจียงเทียนอี้จะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ แต่เป็นว่ามู่ชิงเกอจะหลอกเขาหรือไม่!

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ใส่พลังเข้าไปผนึกพลังในร่างกายของเจี่ยงเทียนอี้ หยุดยั้งการเคลื่อนไหวของพลังจิต จากนั้นนางก็จับปกเสื้อของเจี่ยงเทียนอี้ ออกแรงโยน

ร่างของเขาทั้งร่างลอยขึ้นกลางอากาศ ร้องออกมาอย่างหวาดกลัว ตกลงไปทางพวกมั่วหยาง

นัยน์ตาของมั่วหยางฉายแวววาววาบ รับร่างของเจี่ยงเทียนอี้ แล้วก็ทิ้งเขาไปให้องครักษ์เขี้ยวมังกรที่อยู่ด้านหลัง

“ทำตัวดีๆ!” องครักษ์เขี้ยวมังกรรับเอาเจี่ยงเทียนอี้แล้ว ก็รีบใช้วิธีที่มู่ชิงเกอ เคยสอนพวกเขา มัดสองมือของเจี่ยงเทียนอี้เอาไว้ด้านหลัง

ฉินอี้เหยาเหลือบมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วก็ถอนสายตากลับ

เจี่ยงเทียนอี้มองเห็นสายตาของฉินอี้เหยา เพียงแต่ตอนนี้เขาถูกจับ ถึงแม้ว่าในใจจะมีความแค้นแค่ไหน ก็ต้องอดทนเอาไว้ก่อน

มู่ชิงเกอก้าวเท้ากลับไปอย่างเอื่อยๆ เซิ่งอวี้หลีรีบเข้าไปรับหน้าในทันที เอ่ยถามว่า “คุณชายมู่ นี่…”

มู่ชิงเกอกลับยิ้มให้เขาแล้วก็เสนอคำขอของตนเองออกไป “นายน้อยเซิ่ง ถ้าหากว่าได้ข้าอยากจะพบประมุขตระกูลเซิ่งในคืนนี้”

นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาขอประมุขตระกูลเซิ่ง เซิ่งอวี้หลีชะงัก ภายใต้การจับตามองของมู่ชิงเกอ พยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว การปะทะครั้งใหญ่ที่แต่เดิมจะเกิดขึ้น ก็พลันจบลงอย่างกะทันหัน แต่ที่แสดงออกมาไม่ใช่เรื่องราวได้ผ่านไปแล้ว แต่เป็นลมที่ค่อยๆ พัดมาก่อนพายุใหญ่

ตระกูลเซิ่ง หนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง

จากข่าวลือภายนอก ตระกูลเซิ่งนั้นถือว่าไม่เลว

ที่จริง สำหรับมู่ชิงเกอแล้ว นอกจากตระกูลเล่อ หาตระกูลไหนมาร่วมมือก็ได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าบังเอิญพบเจอกับตระกูลเซิ่งก่อน นางไม่อยากจะเสียเวลาที่นี่อีกต่อไปแล้ว ทำได้เพียงแต่ลงดาบให้ไว จัดการตระกูลเล่อให้สิ้นซากแล้ว จากนั้นก็ ค่อยไปทำเรื่องที่ต้องทำต่อไป

สำหรับฉินอี้เหยา…

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอวาววาบเล็กน้อย รอเรื่องราวทุกอย่างสงบลงแล้ว นางค่อยพูดคุยกับนาง

ตามเซิ่งอวี้หลีมาถึงตระกูลเซิ่ง เข้าไปในจวนตระกูลเซิ่งที่ดูเหมือนป้อมปราการ ที่อยู่ของตระกูลต่างๆ ภายในโลกแห่งยุคกลางก็เหมือนเป็นเมืองในเมือง ดูเข้มงวดเหมือนป้อมปราการ ที่แตกต่างก็คือความแข็งแกร่งของแต่ละตระกูลและพื้นที่ที่ครอบครองเท่านั้น

เช่นเดียวกับตระกูลเซิ่ง หากว่าเทียบกับตระกูลลี่ ตระกูลโต้วแล้วก็ตระกูลไป๋ในเมืองไหอวี่เฉิง เกรงว่าแม้แต่ครึ่งก็ไม่อาจเทียบกันได้

ยิ่งเข้ามาในโลกแห่งยุคกลางลึกเท่าไหร่ มู่ชิงเกอก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงความแตกต่างของเมืองเล็กๆ ติดชายแดนอย่างเมืองไหอวี่เฉิงและเมืองอื่นๆ ได้ดีมากยิ่งขึ้น ยิ่งรับรู้ได้ถึงความแตกต่างของหลินชวนและโลกแห่งยุคกลาง

พอมาถึงประตูจวนตระกูลเซิ่ง มู่ชิงเกอก็เอ่ยกับเซิ่งอวี้หลีว่า “นายน้อยเซิ่ง รบกวนช่วยส่งคนสองคนส่งคุณชายรองเจี่ยงกลับไปที”

เจี่ยงเทียนอี้สำหรับนางแล้ว ไม่ได้นับเป็นอะไรได้ทั้งนั้น นางไม่ได้คิดจะให้ฉินอี้เหยาฆ่าเจี่ยงเทียนอี้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้ เจี่ยงเทียนอี้ได้ฟังว่าจะปล่อยตัวเองแล้ว ดวงตาทั้งคู่ก็เปล่งประกายวูบอยู่ครู่หนึ่ง

มู่ชิงเกอหันไปมองเขา หัวเราะเอ่ยว่า “คุณชายรองเจี่ยง ครั้งนี้เจ้ามารบกวนข้า ข้าสามารถจับเจ้าได้หนึ่งครั้งก็ สามารถจับเจ้าได้อีกครั้ง ข้าไม่สนใจว่านางเคยทำอะไรกับเจ้า แต่ว่าตอนนี้นางเป็นคนของข้า หากว่าเจ้ากล้าแตะนาง เช่นนั้นก็ต้องยอมรับการตอบโต้จากข้า”

‘นางเป็นคนของข้า…’

ในเวลานั้น ดูเหมือนว่าคำพูดเช่นเดียวกันนี้ก็ถูกเขาพูดออกมาต่อหน้าทุกคนเช่นกัน

คำพูดของมู่ชิงเกอ ทำให้ดวงตาของฉินอี้เหยาเกิดแสงสว่าง ความทรงจำที่ถูกเก็บไว้ทยอยปรากฏออกมาในหัว เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้อีกครั้ง หัวใจที่เดิมทีได้ตายไปแล้วของนางก็เต้นขึ้นมาอีกครั้ง นัยน์ตาของฉินอี้เหยาฉายแววเศร้าและหมดหนทาง

คนๆ นี้ มีความสามารถที่จะเขย่าหัวใจนาง ทำลายความสงบของนาง

เงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตาของฉินอี้เหยาฉายแววอบอุ่น สายตาอันอ่อนโยนมีเงาร่างด้านข้างของมู่ชิงเกอ

เจี่ยงเทียนอี้ได้ยินคำพูดของมู่ชิงเกอ ก็พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง

เพิ่งจะหลุดรอดออกจากชายขอบแห่งความตาย เขาไม่สนใจเรื่องถูกแทงบาดเจ็บครั้งก่อนแล้ว รอเขากลับไปถึงบ้านตระกูลเจี่ยง สงบใจแล้วเขาค่อยกลับมาคิดบัญชีเรื่องในวันนี้

มู่ชิงเกอยิ้มเย็นเอ่ยว่า “ที่ควรพูด ควรเตือน ข้าก็ได้พูดไปหมดแล้ว คุณชายรองเจี่ยงอย่าได้ทำเรื่องราวบุ่มบ่ามจะดีกว่า”

เจี่ยงเทียนอี้ชะงัก ไม่เข้าใจความหมายของมู่ชิงเกอ

แต่ว่ามู่ชิงเกอกลับหันกายจากไป ไม่ได้คิดจะอธิบายต่อ เซิ่งอวี้หลีส่งคนไปจูงรถสัตว์อสูรวิญญาณมา นำเจี่ยงเทียนอี้ผลักเข้าไปในรถ จากนั้นก็ส่งคนคุ้มครองกลับไปที่จวนตระกูลเจี่ยง

จากนั้น ถึงได้เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชายมู่ เชิญ”

มีเขาที่เป็นนายน้อยนำทาง มู่ชิงเกอก็เข้าไปในตระกูลเซิ่งได้โดยง่าย

เสวี่ยหยาตามไปข้างกายนาง ส่วนมั่วหยางก็นำองครักษ์เขี้ยวมังกรสองคนตามเข้าไปด้านใน

หลังจากเซิ่งซูซูเข้าไปในตระกูลเซิ่งแล้ว ก็ถูกคนนำจากไป นางจากไปก็เพื่อถอดชุดและหน้ากากที่ใส่อยู่

ที่ตามนางไปด้วยก็มีฉินอี้เหยา

บนร่างของทั้งสองคนสวมชุดโปร่งบางของตลาดมืด แม้ว่าบนร่างของนางจะมีชุดคลุมของมู่ชิงเกอสวมทับอยู่ แต่ก็รู้สึกไม่สบายนัก ดังนั้นนางจึงไม่ได้ปฏิเสธคำเชิญของเซิ่งซูซู

เซิ่งอวี้หลีนำมู่ชิงเกอและคนอื่นๆ มาถึงห้องรับแขกห้องหนึ่ง เอ่ยกับเขาว่า“คุณชายมู่ข้าจะไปเชิญบิดาของข้ามา ขอท่านรอที่นี่สักครู่”

มาเยี่ยมเยียนอย่างกะทันหัน เซิ่งอวี้หลีจำเป็นต้องขอเวลาเพื่ออธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้บิดาฟัง

สำหรับเรื่องนี้ มู่ชิงเกอเข้าใจ นางพยักหน้า

หลังจากเซิ่งอวี้หลีจากไป ก็ส่งคนมาดูแล จากนั้นก็ไปพบประมุขตระกูลเซิ่งที่ยังไม่ได้พักผ่อนด้วยเพราะรอให้ลูกสาวกลับมาอย่างปลอดภัย

ส่วนอีกทาง เซิ่งซูซูก็นำฉินอี้เหยามายังห้องของตนเอง เปิดตู้เสื้อผ้าของตนเอง ให้นางได้เลือกชุดที่จะสวมด้วยตนเอง

ฉินอี้เหยากวาดตามองไปยังชุดที่เต็มตู้นั่น สุดท้ายก็เลือกชุดกระโปรงสีนํ้าเงินอ่อนออกมาหนึ่งชุด

ตอนที่นางยังเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นฉินนั้น ที่ชอบสวมที่สุดก็คือชุดกระโปรงสีนํ้าเงินอ่อน

รอฉินอี้เหยาเปลี่ยนชุดออกมา ทั้งตัวก็ดุจดังกลับไปเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นฉินผู้สูงส่งและเยียบเย็นดุจนํ้าแข็งอีกครั้ง องค์หญิงผู้สูงสง่าและดูเย็นชา แม้ว่าบนผมจะไม่มีเครื่องประดับใดๆ บนใบหน้าไม่มีเครื่องประทินโฉม แต่ก็ยังคงทำให้เซิ่งซูซูรู้สึกตกตะลึง

นางกวาดตามองไปยังฉินอี้เหยาหลายๆ รอบอย่างตะลึงงัน เอ่ยชมว่า “พี่สาวเหยางดงามจริงๆ!”

มุมปากของฉินอี้เหยาเผยรอยยิ้มตามมารยาทออกมา หลุบตาลง ได้สวมชุดที่หรูหราอีกครั้งทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยอยู่บ้าง

เซิ่งซูซูมาถึงตรงหน้าของนาง เอียงหัวมองนัยน์ตาที่หลุบลงของฉินอี้เหยา เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “พี่สาวเหยา คุณชายมู่คนนั้นเป็นคนรู้จักของท่านใช่หรือไม่?”

คนรู้จักงั้นหรือ?

ฉินอี้เหยาพยักหน้า

“เขาเก่งกาจจริงๆ! หล่อมากด้วย!” เซิ่งซูซูกุมมือไว้ด้านหน้า หน้าอก ใบหน้าดูหลงใหล

ภายในหัวของนาง ปรากฏภาพที่มู่ชิงเกอโยนหินวิญญาณในลานประมูลแล้วก็ซื้อนางกับฉินอี้เหยามา ยังมีภาพในป่า ที่ต่อรองกับคนของตระกูลเจี่ยง เพียงแค่พริบตาเดียว คนไม่เอาไหนตระกูลเจี่ยงก็ถูกจับ เท่มากจริงๆ!

มองเห็นความเลื่อมใสในสายตาของเซิ่งซูซู ฉินอี้เหยาก็เอ่ยอย่างคลุมเครือออกมาว่า “เขาเก่งมากจริงๆ”

สายตาที่ดูเลื่อมใสเช่นนี้นางก็เคยเห็นบนใบหน้าของฉินอี้เหลียน

ดูเหมือนว่ามู่ชิงเกอมักจะสามารถทำให้ผู้หญิงรู้สึกชอบได้อย่างง่ายดายเสมอ

เพียงแต่ว่า ผู้หญิงที่ชอบเขานั้นล้วนแต่ต้องจบด้วย ความเศร้า…

แม้แต่ตัวเองที่ตอนนี้พบเจอเขาอีกครั้งก็ยังคงถูกดึงเข้าไปในนั้นอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ยอมละทิ้งศักดิ์ศรีสุดท้าย ไม่ขอสถานะใดๆ เพียงแต่คิดอยากอยู่ข้างๆ ของเขาก็พอ

แต่ว่า นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?

นางไม่เคยมองจิตใจของมู่ชิงเกอออกเลย

ร่างกายของฉินอี้เหยาแผ่ความโดดเดี่ยวออกมาจนทำให้เซิ่งซูซูสัมผัสได้ นางเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงว่า “พี่สาวเหยาเป็นอะไรไป?”

ฉินอี้เหยาถอนสายตากลับ เงยหน้าขึ้นมองนางแล้วส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร”

เซิ่งซูซูพยักหน้าแล้วถึงได้ถามออกมาอย่างสงสัย “พี่สาวเหยา ท่านกับคุณชายมู่นั้นเป็นอะไรกัน? เขาคือคนที่ท่านเคยบอกว่าเก่งกาจมากใช่หรือไม่? ท่านชอบเขาใช่หรือไม่?”

ยิ่งพูด นัยน์ตาของเซิ่งซูซูก็ยิ่งเปล่งประกาย ท่าทางดูตื่นเต้น

ปัญหาสามข้อนี้ ฉินอี้เหยาไม่ได้ตอบ

นางมองไปยังเซิ่งซูซู ไม่รู้ว่าจะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างนางกับมู่ชิงเกออย่างไรดี

ถ้าหากว่าไม่มีแผนการร้ายเหล่านั้น นางอาจจะเป็นคนที่สนิทที่สุดของมู่ชิงเกอ และก็สามารถอยู่ข้างกายเขาอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แต่ว่า แผนการร้ายเหล่านั้นทำลายทุกอย่าง นางกลายเป็นหญิงกำพร้า ส่วนมู่ชิงเกอก็กลายเป็นศัตรูที่ฆ่าพี่ ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ของนาง

แต่ความแค้นนี้นางกลับไม่อาจจะแก้แค้นได้ ทำได้แต่เพียงหนี

ตอนนี้ ในตอนที่นางตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย มู่ชิงเกอก็เหมือนปรากฏออกมาจากฟ้า ปรากฏอยู่ตรงหน้าของนาง ทำให้หัวใจของนางสับสนวุ่นวายอีกครั้ง

“พี่สาวเหยา เหตุใดท่านถึงไม่พูด?” ฉินอี้เหยาไม่พูดอยู่นาน เซิ่งซูซูอดไม่ได้ที่จะถามออกไป

ฉินอี้เหยาเดินมาอีกข้างแล้วนั่งลง หันมองออกไปนอกหน้าต่าง เอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ว่าระหว่างข้ากับเขานั้นถือว่ามีความสัมพันธ์อย่างไร”

“แต่ว่าท่านชอบเขาใช่หรือไม่?” เซิ่งซูซูขยับไปที่ข้างกายของนาง ถามออกไปอย่างอดไม่ได้

ดูเหมือนว่า หากไม่สามารถขุดเรื่องเก่าระหว่างฉินอี้เหยาและมู่ชิงเกอออกมาได้นางก็จะไม่ยอมเลิกรา

ชอบหรือไม่? แน่นอนว่าชอบ

แต่ว่า จะมีประโยชน์อะไร?

ฉินอี้เหยาเอ่ยตอบในใจ หลุบตาลง

ดวงตาของเซิ่งซูซูเกิดไฟแห่งความอยากรู้อยากเห็น นางย่อตัวลงตรงหน้าของฉินอี้เหยา เงยหน้าขึ้นมองนาง ออดอ้อนว่า “พี่สาวเหยา ท่านเล่าเรื่องราวของพวกท่าน ให้ข้าฟังได้หรือไม่?”

“เรื่องราวของข้ากับเขา…” ฉินอี้เหยาชะงักเล็กน้อย ดูเหมือนว่าไม่รู้จะพูดอย่างไร และสมควรพูดหรือไม่

“ไอหยา พี่สาวคนดีของข้า ถึงอย่างไรตอนนี้คุณชายมู่ของท่านก็พูดคุยอยู่กับบิดาของข้า ไม่รู้ว่าจะพูดคุยกันถึงตอนไหน ข้าได้สั่งคนจัดเตรียมอาหารเอาไว้แล้ว พวกเราทานไปคุยกันไป ท่านก็เล่าเรื่องราวระหว่างพวกท่านให้ข้าฟัง ข้าสาบานว่าจะไม่เปิดเผยออกไป!”

เซิ่งซูซูทำท่าสาบาน

หรือเป็นเพราะฉินอี้เหยาต้องการจะระบายหรือก็เพราะนางต้องการคนมาช่วยนางแก้ไขปัญหา บอกนางว่านางควรทำอย่างไร จะเป็นหนีไปอีกครั้งหรือว่าไม่สนใจอะไร อยู่ต่อไป

ในที่สุดนางก็พยักหน้ายอมรับคำขอของเซิ่งซูซู

“เจ้าอยากจะฟังข้าก็จะบอกเจ้า ข้ากับเขา…ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมโลกก็แล้วกัน ตอนที่พวกเราเพิ่งจะเกิด ก็ถูกผู้ใหญ่หมั้นหมายกันเอาไว้แล้ว แต่ว่านี่เป็นเพียงแค่ฉาก หน้า ฉากหลังของสัญญาหมั้นกลับแฝงไว้ด้วยแผนการร้ายมากมาย…”

ฉินอี้เหยาค่อยๆ เล่าเรื่องราวระหว่างนางกับมู่ชิงเกอออกมา

แต่ว่า นางก็ฉลาดที่จะไม่บอกที่มาของทั้งสองคน ทำให้เซิ่งซูซูคิดว่านี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างสองตระกูล การพบกันครั้งแรกที่ตำหนักไทเฮาถูกนางพูดเป็นศาลบรรพชน เรื่องภายในอุทยานหลวงของพระราชวังก็ถูกเปลี่ยนเป็นจิตใจหวั่นไหวในสวนดอกไม้ของจวน…

สรุปได้ว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหลินชวนทั้งหมดล้วนแต่ถูกฉินอี้เหยาใช้คำปกติในโลกแห่งยุคกลางแทนที่อย่างแยบยล

ภายในห้องของเซิ่งซูซู เรื่องราวระหว่างฉินอี้เหยากับมู่ชิงเกอกำลังถูกเล่าออกมา ภายในห้องรับรองแขกของตระกูลเซิ่ง มู่ชิงเกอก็กำลังนับ หลับตารอคอย

หลังจากผ่านไปอย่างยาวนาน ในที่สุดก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา

นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น ที่เข้ามาในสายตาก็คือเซิ่งอวี้หลี เซิ่งอวี้หลียิ้มๆ เอ่ยขอโทษกับมู่ชิงเกอว่า “ทำให้คุณชายมู่รอนานแล้ว ขอเชิญตามข้ามา”

ประมุขตระกูลเซิ่งจะพบมู่ชิงเกอคนเดียว

มู่ชิงเกอลุกขึ้น จัดชุดของตัวเองเล็กน้อย ตามเซิ่งอวี้หลีออกไป

อยู่ภายในจวนของตระกูลเซิ่ง วนไปวนมา มู่ชิงเกอก็ถูกพามาถึงห้องหนังสือของประมุขตระกูลเซิ่ง เซิ่งอวี้หลีเคาะประตู เอ่ยด้วยความเคารพว่า “ท่านพ่อ คุณชายมู่มาถึงแล้วขอรับ”

จากนั้น เขาก็ผลักประตูให้เปิดออก เชิญมู่ชิงเกอเข้าไป

ห้องหนังสือของประมุขตระกูลเซิ่งนั้นใหญ่มาก จัดวางเรียบง่าย แต่ก็ไม่ได้ขาดความน่าเกรงขามของเจ้าบ้าน ตอนที่มู่ชิงเกอเข้าไปนั้น ก็มองไปเห็นชายวัยกลางคนๆ หนึ่งนั่งอยู่ เขาดูคล้ายกับเซิ่งอวี้หลีอยู่หลายส่วน แต่เพิ่มความมั่นคงและสุขุม

คนที่สามารถเป็นประมุขของตระกูลได้จะมีสักกี่คนที่จะธรรมดา?

“คุณชายมู่ เชิญนั่ง” เซิ่งเซวี่ยนชี้มือไปที่ตำแหน่งด้านขวามือของตนเอง บนโต๊ะเล็กด้านข้าง มีชาร้อนตั้งไว้อยู่แล้ว

มู่ชิงเกอเดินไป ส่วนเซิ่งอวี้หลีก็เดินไปยืน มือไพล่อยู่ด้านหลังของบิดา

มู่ชิงเกอเพิ่งจะนั่งลง เสียงของเซิ่งเซวี่ยนก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “ที่คุณชายมู่ช่วยเหลือตระกูลเซิ่ง ข้าล้วนแต่ได้ฟังจากหลีเอ๋อร์หมดแล้ว ขอบคุณท่านมาก”

มู่ชิงเกอยิ้มๆ มองไปทางเขา “ประมุขเซิ่งเกรงใจเกินไป นายน้อยเซิ่งก็ทำเพื่อช่วยคน ข้าก็ทำเพื่อช่วยคน เพียงแต่ได้พบกันพอดีก็เท่านั้น”

“ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใด ซูซูสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย สำหรับตระกูลเซิ่งแล้วคุณชายมู่ถือเป็นผู้มีพระคุณ” เซิ่งเซวี่ยนเอ่ย แล้วก็พูดกับเซิ่งอวี้หลีว่า “หลีเอ๋อร์ ขอบคุณคุณชายมู่แทนน้องสาวของเจ้า”

เซิ่งอวี้หลีรีบเดินออกไปทันที คำนับมู่ชิงเกอ

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอวาววาบ เซิ่งเซวี่ยนผู้นี้พูดแต่เรื่องที่นางช่วยเหลือเซิ่งซูซู กลับไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ตัวเองต้องการพบเขา ดูเหมือนจะแสดงท่าทีปฏิเสธ

ไม่ว่ามู่ชิงเกอจะหาเขาเพื่อทำอะไร เขาก็จะไม่ตกลง

แต่ว่า มู่ชิงเกอไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้กับเรื่องแค่นี้?

มุมปากของนางเผยรอยยิ้มที่ไม่ใส่ใจเอ่ยกับเซิ่งเซวี่ยนว่า “ประมุขเซิ่ง คืนนี้ที่ข้ามาหาก็เพื่อเรื่องที่จะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ที่เลือกตระกูลเซิ่งก็เพียงเพราะว่าข้ากับนายน้อยเซิ่งยังคงถือว่ามีวาสนาต่อกัน หากว่าประมุขเซิ่งไม่สนใจ ข้าก็สามารถไปหาตระกูลวน ตระกูลถาน ตระกูลเจี่ยงหรือตระกูลอะไรก็ได้เพื่อร่วมมือ เพียงแต่หากว่า พลาดโอกาสนี้ไป เกรงว่าตระกูลเซิ่งคงจะต้องตกตํ่าลง ไปอีกขั้นแล้ว”

หนังตาของของเซิ่งเซวี่ยนกระตุกเล็กน้อย นัยน์ตาสงบนิ่ง มองไม่เห็นถึงอารมณ์ใดๆ

เซิ่งอวี้หลีหันมองมู่ชิงเกออย่างสงสัย ดูเหมือนว่าจะตกใจเพราะคำพูดตรงๆ ของเขา

มาพูดเรื่องร่วมมือ กลับไม่อ่อนข้อ ตั้งแต่เริ่มต้นก็พูดอย่างชัดเจน แม้ว่าตระกูลเซิ่งไม่ยอมร่วมมือก็มีทางเลือกอื่นๆ

การเว้นระยะที่สร้างขึ้น ก็ถูกคำพูดไม่กี่ประโยคเช่นนั้น จัดการลงได้แล้ว?

อีกทั้ง หากว่าตระกูลเซิ่งไม่ยอมพลาดโอกาสนี้ไป ก็ยังต้องเป็นฝ่ายออกหน้าขอร้องเองอีก

เพียงแต่ว่า เขาอาศัยอะไรมาคิดว่าการร่วมมือกับเขานั้น มีแรงดึงดูดเพียงพอ?

เซิ่งอวี้หลีกวาดตามองไปมองยังบิดาของตนเองอย่างไม่เผยพิรุธ หลังจากเซิ่งเซวี่ยนเงียบครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขอให้คุณชายมู่ไปหาคนอื่นเถอะ”

มู่ชิงเกอหัวเราะขึ้นอย่างไร้เสียง ลุกขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยกับเซิ่งเซวี่ยนว่า “รบกวนแล้ว ขอลา”

นางหันกาย ไม่มีท่าทางลังเล เพียงแต่ว่า ในตอนที่หันกายเดินออกไปทางประตูห้องหนังสือนั้นในใจของนางก็ นับเลข ‘หนึ่ง สอง สาม…’

“คุณชายมู่โปรดรอก่อน” ในตอนที่มู่ชิงเกอเดินไปถึงข้างประตู มือยื่นไปที่ประตูนั้น เซิ่งเซวี่ยนก็เอ่ยปากออกมา

การเคลื่อนไหวของมู่ชิงเกอหยุดลง เก็บมือกลับ หันกายไปมองเซิ่งเซวี่ยน ท่าทางดูมั่นใจ “ประมุขเซิ่งมีอะไรอีกงั้นหรือ?”

นัยน์ตาของเซิ่งเซวี่ยนมืดลงหลายส่วน เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “วันนี้ดึกมากแล้ว คุณชายมู่ก็เพิ่งจะล่วงเกินคนของตระกูลเจี่ยงไป ไม่สู้พักที่นี่หนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยไป”

คำพูดนี้ฟังดูดี แต่หากวิเคราะห์อย่างละเอียด ก็คือเซิ่งเซวี่ยนกำลังตักเตือนถึงสถานการณ์ในตอนนี้ของมู่ชิงเกอ

แต่ว่า มู่ชิงเกอกลับเอ่ยอย่างไม่ได้ใส่ใจว่า “ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นการล่วงเกิน ประมุขตระกูลเซิ่งเป็นคนฉลาด อยู่ต่อหน้าผลประโยชน์ที่ลงตัว ศัตรูก็สามารถกลายเป็นเพื่อนได้ไม่ปิดบังประมุขตระกูลเซิ่ง ออกจากตระกูลเซิ่งแล้ว ก้าวต่อไปที่ข้าจะไปก็คือตระกูลเจี่ยง ตอนนี้โอกาสในการลงมือก็จะผ่านไปแล้ว เวลาก็เหลือน้อยมาก”

พูดจบ นางก็พยักหน้าหันกายจะไปเปิดประตูอีกครั้ง

“คุณชายมู่” เซิ่งเซวี่ยนเอ่ยปากอีกครั้ง ส่วนครั้งนี้ มู่ชิงเกอไม่ได้หันกายกลับไป

ครู่หนึ่ง เซิ่งเซวี่ยนก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณชายมู่ต้องการร่วมมือทำอะไร ไม่สู้ลองพูดออกมาก่อน”

ประโยคนี้ทำให้มุมปากของมู่ชิงเกอฉีกยิ้มออกเล็กน้อย นางรู้ดีว่าการต่อสู้ระหว่างนางกับเซิ่งเซวี่ยนนั้น นางชน แล้ว นางชนะไม่ใช่เพราะว่านางอดทนได้ แต่เป็นเพราะนางมีทางเลือกแต่ตระกูลเซิ่งไม่มี

พลาดนางไป ตระกูลเซิ่งมีแต่ต้องเสียใจภายหลัง!

มู่ชิงเกอหันกายกลับไปมองสองพ่อลูกตระกูลเซิ่ง โดยเฉพาะเซิ่งเซวี่ยน

เซิ่งเซวี่ยนส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น เอ่ยออกมาว่า “รุ่นหลังช่างน่ากลัว”

คำพูดนี้ทำให้ท่าทางของเซิ่งอวี้หลีเผยอาการตกตะลึงออกมา ในความทรงจำของเขา บิดาไม่เคยพูดคำพูดทำนองนี้มาก่อน ส่วนคำพูดนี้ก็ทำให้เขารู้แล้วว่า บิดายอมประณีประนอมแล้ว

มู่ชิงเกอเดินกลับไปที่ตำแหน่งที่เคยนั่งแล้วนั่งลง เอ่ยกั เซิ่งเซวี่ยนว่า “ประมุขเซิ่งชมเกินไป เวลามีไม่มาก พวกเราพูดเรื่องหลักก่อนเถอะ”

ท่าทางของเซิ่งเซวี่ยนดูสุขุมขึ้น พยักหน้า ตอนนี้เขาก็เริ่มมีความรู้สึกสงสัยแล้วว่ามู่ชิงเกออยากจะทำอะไรกันแน่ถึงได้มาหาเขาเพื่อร่วมมือ

น่าจะพูดว่าในตอนที่เขาถูกมู่ชิงเกอกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นนั้น ความเท่าเทียมระหว่างเขากับมู่ชิงเกอก็ได้บทสรุปแล้ว

“ข้ามาเพราะว่าตระกูลเล่อ” มู่ชิงเกอพูดถึงจุดมุ่งหมายที่มาเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงตามตรง

ตระกูลเล่อ!

นัยน์ตาของ เซิ่งเซวี่ยนกับ เซิ่งอวี้หลีหดตัวลง

พวกเขาดูเหมือนว่าจะเดาออกแล้วว่ามู่ชิงเกอจะพูดอะไรต่อ

เดาความคิดของเขาออก ในใจของสองพ่อลูกก็เกิดความตะลึง พร้อมกับเอ่ยในใจขึ้นพร้อมกันว่า ‘กล้าดีจริงๆ!’

มู่ชิงเกอไม่สนใจอาการตกตะลึงบนใบหน้าของพวกเขา เอ่ยต่อว่า “ตระกูลเล่อกับข้า อยู่ได้แค่เพียงหนึ่งเดียว ข้าไม่อยากตาย เช่นนั้นก็ต้องส่งพวกเขาไป ตระกูลใหญ่ห้าตระกูลในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงอยู่กันมาก็นานมากเกินพอแล้ว ถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนแปลงทุกอย่างแล้ว ก่อนที่การแข่งขันจัดลำดับในวันพรุ่งนี้จะเริ่มต้นขึ้นข้าต้องการที่จะกำจัดตระกูลเล่อออกจากเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง ส่วนตระกูลเซิ่งก็จะกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง!”

ตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งแห่งเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง!

เงื่อนไขนี้ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลไหนๆ ก็ล้วนแต่ดึงดูดได้ มิน่า มิน่าเขาถึงไม่ได้กังวลว่าจะพลาดการร่วมมือกับตระกูลเซิ่ง

ทันใดนั้นเซิ่งเซวี่ยนก็เข้าใจในทันทีว่ามู่ชิงเกอมาทำไม ขอเพียงร่วมมือกับเขาสำเร็จแล้วละก็ การผนวกรวมกันของสองตระกูล ก็จะกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงอย่างไม่ต้องสงสัย

สำหรับอีกสามตระกูลนั้นไม่ต้องไปนับได้เลย

เพราะว่า หากพวกเขาคิดจะพลิกตัว ก็ต้องร่วมมือกับคนนอกอย่างเช่นตระกูลเซิ่งกลืนกินตระกูลอื่น หลังจากนั้นทำให้ตัวเองเติบโตแล้วค่อยสู้กับตระกูลเซิ่ง

การล่อลวงที่ใหญ่โตนี้ทำให้ท่าทางของเซิ่งอวี้หลีดูตื่นเต้นขึ้นมา

มองไปยังบิดาของตนเอง รอการตัดสินใจของเขา

ในใจของเซิ่งเซวี่ยนแน่นอนว่าก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน แต่กลับรักษาความสุขุม เอ่ยถามว่า “ตระกูลเซิ่งของข้าจะต้องเสียสละอะไร และจะได้อะไร? ส่วนคุณชายมู่จะได้อะไร?”

ในเมื่อเป็นการร่วมมือ เช่นนั้นผลประโยชน์ก็ต้องพูดคุยให้ชัดเจน ถึงจะสามารถรู้ได้ว่าการค้าขายในครั้งนี้ สามารถทำได้หรือไม่

มู่ชิงเกอยิ้มๆ เอ่ยว่า “กำจัดตระกูลเล่อ ตระกูลเซิ่งเพียงแต่ต้องช่วยข้าฆ่าคนหนึ่งคน”

“เล่ออิ๋ง” นัยน์ตาของเซิ่งเซวี่ยนฉายแวววาววาบ พูดคำตอบออกมาแล้ว

มู่ชิงเกอพยักหน้า “ในช่วงที่ผ่านๆ มาที่ตระกูลใหญ่ห้าตระกูลของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงคานอำนาจกันก็เพราะว่ามีกำลังพอๆ กัน ในเมื่อตระกูลเล่อมีเล่ออิ๋ง ตระกูลเซิ่งก็ ต้องสามารถมีคนที่รักษาสมดุล ที่ข้าต้องการให้ตระกูลเซิ่งทำนั้นมีไม่มาก ไม่ว่าจะลงมือสักกี่คน ขอเพียงสามารถฆ่าเล่ออิ๋งได้ก็ถือว่าทำภารกิจสำเร็จ ที่เหลือก็ มอบให้แก่ข้า ข้าจะจัดการให้สะอาดหมดจด หลังจากเสร็จเรื่อง สมบัติภายในตระกูลเล่อ ข้าเอาไปครึ่งหนึ่ง ที่เหลือทั้งหมดก็เป็นของตระกูลเซิ่ง หลังจากนั้นข้าก็จะจากไปในทันที ไม่ถามถึงเรื่องราวในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงอีก พวกท่านก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าข้าจะมีใจคิดจะครอบครองเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงแบ่งปันอาหารมื้อนี้จากพวกท่าน”

ในความเป็นจริง หากไม่ใช่เพราะตระกูลเล่ออยู่ในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง นางก็คงจะไม่มาที่นี่ เงื่อนไขที่นางพูดออกมา ก็ดูใจกว้างมาก ทำให้คนไม่สามารถปฏิเสธได้

เซิ่งเซวี่ยนก็เป็นเช่นนั้น สมบัติของตระกูลเล่อ แม้ว่าจะเพียงแค่ครึ่งเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ตระกูลเซิ่งกระโดดขึ้นไปได้หลายชั้น ทำให้ตระกูลอื่นๆ ไม่มีกำลังที่จะต่อกร

การซื้อขายในครั้งนี้ดูคุ้มค่า!

เซิ่งเซวี่ยนหวั่นไหวแล้ว

มู่ชิงเกอใส่ไฟเข้าไปอีก “พรุ่งนี้ก็คือการแข่งขันจัดลำดับ คืนนี้คนของตระกูลเล่อน่าจะอยู่ครบที่สุด เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะฆ่าคนล้างตระกูล หลังจากสำเร็จ การแข่งขันจัดลำดับก็ไร้ความหมาย ตระกูลเซิ่งก็สามารถอาศัยโอกาสที่ตระกูลอื่นๆ ยังไม่ทันได้ตอบสนอง รีบยึดเอาสมบัติของตระกูลเล่อ ดังนั้น เวลาที่เหลือของพวกเราก็มีเพียงแค่สองชั่วยามเท่านั้น ฟ้าสว่างแล้วก็จะพลาดโอกาสดีๆ นี้ไป” โอกาสที่เหลือเวลาเพียงเล็กน้อยนี้บีบให้เซิ่งเซวี่ยนต้องรีบตัดสินใจ

เขาดูเหมือนว่ายังสามารถพูดคุยกับมู่ชิงเกอต่อไปเพื่อแย่งผลประโยชน์ที่มากขึ้น แต่ว่า เงื่อนไขที่มู่ชิงเกอเอ่ยออกมาก็ใจกว้างพออยู่แล้ว อีกอย่างเรื่องที่ให้ตระกูลเซิ่งทำก็มีไม่มาก ตระกูลเซิ่งสามารถหลบซ่อนอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็ได้รับของทั้งหมด

“ดี! การค้าขายในครั้งนี้ ตระกูลเซิ่งทำ!” เซิ่งเซวี่ยนคิดอย่างรวดเร็ว แล้วก็ตัดสินใจออกมา

มุมปากของมู่ชิงเกอฉีกออกเป็นรอยยิ้ม ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ เอ่ยกับเซิ่งเซวี่ยนว่า “เช่นนั้นก็ขอให้การร่วมมือใ ครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น”

“รบกวนคุณชายมู่แล้ว” เซิ่งเซวี่ยนก็ยืนขึ้นมา กุมสองมือให้กับมู่ชิงเกอ

ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดอย่างตระกูลเล่อไม่น่ากลัวอีกต่อไป ดวงตาของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง นางอดใจรอไม่ไหวที่จะไปตระกูลเล่อฆ่าคนแล้ว!

ภายในห้องหนังสือของเซิ่งเซวี่ยนก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลให้เมืองอวี๋สุ่ยเฉิงมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น

ส่วนในห้องของเซิ่งซูซู นางก็ถูกเรื่องเล่าของฉินอี้เหยา ทำให้ซาบซึ้งจนนํ้าตาไหล

“พี่สาวเหยา ความรักของท่านขมขื่นเกินไปแล้ว” เซิ่งซูซูย่อกายคุกเข่าอยู่บนพื้น เงยหน้าขึ้นมองฉินอี้เหยา

เรื่องเล่านี้เป็นมุมมองของฉินอี้เหยา และก็เป็นครั้งแรกที่นางพูดความในใจทั้งหมดของตัวเองต่อหน้าคนอื่น

มีบางเรื่องที่นางไม่เคยบอกให้มู่ชิงเกอรู้มาก่อน

“พวกท่านสามารถอยู่ด้วยกันได้ชัดๆ แต่กลับเป็นเพราะเรื่องเหล่านั้นทำให้ต้องแยกจาก พี่สาว ท่านแค้นเขาหรือไม่?” เซิ่งซูซูเช็ดนํ้าตาของตัวเองแล้วเอ่ยถาม

แค้น?

ฉินอี้เหยายิ้มออกมาอย่างหมดหนทาง ค่อยๆ ส่ายหน้า “ข้าเคยแค้นตัวเองที่แค้นเขาไม่ลง เดิมคิดว่าชีวิตนี้ข้าพลาดไปแล้ว จะไม่ได้พบกันอีก แต่ตอนนี้ก็ยังได้พบกันอีกครั้ง พบกันแล้วข้าถึงได้พบว่าความแค้นที่มีก็เพราะความคิดถึงก็เท่านั้น”

“เช่นนั้นท่านคิดจะทำอย่างไรต่อไป?” เซิ่งซูซูมองนางอย่างปวดใจ

ฉินอี้เหยาร่างกายแข็งทื่อ ในระหว่างที่เซิ่งซูซูถาม นางก็สับสนขึ้นมาอีกครั้ง…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version