Skip to content

พลิกปฐพี 236

ตอนที่ 236

ต่อให้เจ้าเป็นหญิง ข้าก็ไม่เสียใจ

ภายในห้องโถงของตระกูลเซิ่ง เซิ่งอวี้หลีก็นั่งรออยู่เป็นเพื่อนมู่ชิงเกอ

ในวันนี้ คนที่อยู่ข้างกายมู่ชิงเกอมีเพียงแค่มั่วหยางคนเดียว แต่เขาก็ยังคงทำตัวไร้ตัวตนเช่นเคย

เซิ่งอวี้หลีนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเขา และก็ไม่รู้ว่าในใจรู้สึกสับสนวุ่นวายหรือว่ายังคงถือเอาเขาเป็นศัตรูความรักอยู่กันแน่ ถึงได้ไม่พูดไม่จา

ท่าทางของเขาทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉา นั้นยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองถูกปรักปรำ นางก็ไม่เคยล่วงเกินอะไรกับเซิ่งอวี้หลี แล้วเหตุใดจึงต้อง มองนางเช่นนี้ด้วย?

ลูบๆ จมูก มู่ชิงเกอรู้สึกอดสูเล็กน้อย ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นไป มองก่อนจะเห็นฉินอี้เหยามาในชุดกระโปรงยาวสีนํ้าเงิน ชุดกระโปรงสีน้ำเงินบนร่างของนางก็เป็นการไล่โทนสี เสื้อของชุดนั้นเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ก่อนจะค่อยๆ ไล่สีจนเป็นสีนํ้าเงินไปจนถึงชายกระโปรง ดูคล้ายกันกับ

ชุดกระโปรงที่นางชอบสวมใส่เมื่อครั้งอยู่ที่แคว้นฉิน

ในขณะนั้น มู่ชิงเกอก็เหมือนจะมองเห็นฉินอี้เหยาคนเก่า

กะพริบตาแล้วมู่ชิงเกอก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง เอ่ยกับฉินอี้เหยาว่า “ข้ามารับเจ้า”

ฉินอี้เหยาพยักหน้า นับจากที่นางปรากฏตัวขึ้นนัยน์ตาก็มีแต่มู่ชิงเกอคนเดียว เซิ่งอวี้หลีที่อยู่ด้านข้างถูกนางละเลยไป

เซิ่งซูซูรีบตามเข้ามา เห็นฉินอี้เหยาตกลงที่จะจากไปแล้ว ก็มองไปทางพี่ชายของตนเองอย่างช่วยไม่ได้ นางพยายามแล้ว แต่ว่าไม่มีประโยชน์!

นัยน์ตาของเซิ่งอวี้หลีเกิดความผิดหวังขึ้นมา เขาพยายามยิ้มแล้วเอ่ยกับฉินอี้เหยาว่า “แม่นางฉินไม่อยู่ ต่ออีกสักหน่อยหรือ? จากไปเร็วขนาดนี้ ซูซูคงจะเสียใจ มาก”

เซิ่งซูซูได้ยินแล้วก็กลอกตา พี่ชายหัวทึ่มของนางคนนี้ยังจะพูดว่านางจะเสียใจมากอะไรอีก พูดตรงๆ ว่าตนเองเสียใจก็ได้แล้ว! ช่างซื้อบื้อจริงๆ!

หากยังไม่พูดความในใจออกมาอีก เกรงว่าต่อไปคงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว

เซิ่งซูซูจ้องไปทางเซิ่งอวี้หลี คิดจะเตือนสติเขา แต่ว่าดวงตาทั้งคู่ของอีกฝ่ายกลับจ้องมองอยู่ที่ร่างของฉินอี้เหยา รอคอยให้นางตอบกลับ

ฉินอี้เหยาค่อยๆ หลุบตาลง หันไปมองเซิ่งอวี้หลี เอ่ยด้วยนํ้าเสียงเรียบเฉยเบาๆ ว่า “ไม่ล่ะ ข้ากับซูซูเดิมก็รู้จักกันโดยบังเอิญ การพบเจอและแยกจากล้วนแต่เป็นเรื่องปกติ”

คำพูดของนางดูเหมือนไร้เยื่อใย แต่นั่นก็เป็นความจริง การพบเจอของผู้คนในใต้หล้า สำหรับโลกที่แสนยาวนานนี้แล้ว ก็ล้วนแต่เป็นการพบเจอกันเพียงชั่วครู่ หลัง จากแยกกันแล้ว ก็ยากนักที่จะโคจรมาพบกันอีก ดังนั้น รักษาสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีก็เพียงพอแล้ว จะไปคาดหวังถึงกาลข้างหน้าอีกทำไม?

แต่ว่าเมื่อเซิ่งซูซูได้ยินคำพูดของนางแล้วก็กลับไม่ยินดี นางพุ่งมาตรงหน้าของฉินอี้เหยา เอ่ยกับนางว่า “พี่สาวเหยา ในใจของข้านั้น พวกเราไม่ใช่พบเจอกันแค่ชั่วครู่ ท่านจำเอาไว้ไม่ว่าท่านจะไปไหน ประสบพบเจออะไร เพียงแต่ท่านคิดจะกลับมา ตระกูลเซิ่งก็พร้อมที่จะเปิดประตูต้อนรับท่านเสมอ”

คำพูดนี้มีความจริงจัง ไม่มีหลอกลวง

ฉินอี้เหยามองไปที่นาง ในที่สุดก็พยักหน้า

“คุณชายมู่จะไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยจริงๆ น่ะหรือ?” ฝั่งทางฉินอี้เหยาไม่ยอม เซิ่งอวี้หลีจึงได้แต่ส่งสายตาไปหามู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอลุกขึ้น เดินไปยังข้างกายของฉินอี้เหยา ก่อนจะเอ่ยกับเซิ่งอวี้หลีว่า “ช่วงนี้ตระกูลเซิ่งก็มีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ พวกเราไม่ขอรบกวนแล้ว”

พูดจบนางก็พยักหน้าเบาๆ เดินไปยังประตูทางออก

มั่วหยางตามไปด้านหลังนาง ฉินอี้เหยาก็ไม่ได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์ ตามเขาออกจาก ตระกูลเซิ่งไป

ใช้สายตาส่งทั้งสามคนไปแล้ว เซิ่งอวี้หลีก็ยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิมอย่างไร้จิตวิญญาณ ดูเหมือนว่าทั้งวิญญาณได้ตามไปกับฉินอี้เหยาแล้ว เซิ่งซูซูใช้ศอกกระทุ้งเขา ทำให้เขาตื่นขึ้นมาจากความมืดมน

เซิ่งอวี้หลีมองน้องสาวของตัวเองอย่างมึนงง

เซิ่งซูซูเอ่ยกับเขาว่า “พี่ชาย หากว่าท่านชอบพี่สาวเหยาจริงๆ เช่นนั้นก็ใช้ช่วงเวลาที่นางยังไม่ทันได้ออกไปจากเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงไล่ตามไปเถอะ สารภาพความในใจของท่าน”

คำพูดนี้ ก็พลันสร้างความฮึกเหิมให้เซิ่งอวี้หลี

ทำให้นัยน์ตาของเขาเกิดเปลวไฟลุกโชนขึ้น เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง ก้าวยาวเดินออกไปอย่างมั่นใจ

ออกจากตระกูลเซิ่งแล้ว มู่ชิงเกอก็นำฉินอี้เหยาขึ้นไปนั่ง บนรถลากสัตว์อสูรที่จอดรออยู่ด้านนอก คนที่ขับรถแน่นอนว่าเป็นมั่วหยาง

ทั้งสองคนนั่งอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้องโดยสาร นี่ทำให้สภาพภายในห้องโดยสารเกิดความอึดอัดขึ้นมา ฉินอี้เหยานั่งก้มหน้า นิ้วมือทั้งสองมือหมุนพันสายคาดเอวเล่น ปิดซ่อนความสับสนวุ่นวายใจของนาง นางก็สัมผัสได้เพียงแต่ว่ามู่ชิงเกอเหมือนมีอะไรจะพูดกับนาง นี่ก็ทำให้นางทั้งรอคอยและก็หวั่นเกรง

รถลากสัตว์อสูรค่อยๆ เคลื่อนที่ไป หลังจากมู่ชิงเกอเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยถามคำถามที่นางสงสัยออกมา “เจ้าจากหลินชวนมาถึงที่นี่ได้อย่างไร?”

นางมาถึงโลกแห่งยุคกลาง ตลอดเส้นทางประสบพบเจอเรื่องราวต่างๆ มามากมาย ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เพียงแค่คลื่นยักษ์ลูกสุดท้ายนั่นก็เกือบจะกลืนนางไปแล้ว ฉินอี้เหยาที่มีพลังฝึกปรืออยู่แค่ระดับสีนํ้าเงินขั้นสุด มาถึงที่นี่ได้อย่างไรกัน?

คำถามของมู่ชิงเกอทำให้ร่างกายของฉินอี้เหยาสั่นขึ้นมาราวกับตกเข้าไปสู่ถํ้านํ้าแข็งในพริบตา สีหน้าซีดขาว

เมื่อสัมผัสได้ว่าอารมณ์ของนางมีการเปลี่ยนแปลง มู่ชิงเกอก็เงยหน้ามองนาง กลับมองเห็นเพียงนัยน์ตาของนางฉายแววหวาดกลัว สั่นสะท้าน

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ นั่งลงไป กุมมือของนางวางลงบนหน้าตัก เอ่ยถามเสียงเบาว่า “อี้เหยา?”

เสียงเบาๆ ว่าอี้เหยาผลักดันไอเย็นรอบกายของฉินอี้เหยา ดึงนางออกมาจากความหวาดกลัว นางเงยหน้าขึ้นมา มองมายังมู่ชิงเกอ มองเห็นความกังวลใจในดวงตาของนาง ทันใดนั้นความเย็นยะเยือกสายสุดท้ายที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจก็กระจายหายไปด้วย

“หากเจ้าไม่อยากพูด ข้าก็จะไม่ถาม” มู่ชิงเกอค่อยๆ เอ่ย

นางสามารถคิดได้ว่าฉินอี้เหยามาถึงที่นี่คงจะผ่านเหตุการณ์ความเสี่ยงมากมายที่คนธรรมดาไม่อาจจะคิด ถึงได้หากว่าบีบให้นางพูดออกมาก็จะเพียงทำให้นาง ต้องผ่านความยากลำบากเหล่านั้นอีกครั้ง

ฉินอี้เหยาขบริมฝีปาก หลุบตาเอ่ยว่า “ไม่ใช่ไม่อยากจะพูด เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตอนไหนดี”

นางเงียบลงครู่หนึ่ง จัดระเบียบความคิดของตนเอง ถึงได้ค่อยบอกมู่ชิงเกอถึงเรื่องที่ตนเองประสบพบเจอมา

แต่นางก็เพียงแต่ใช้คำพูดง่ายๆ ในการสรุป ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดถึงความอันตรายและความตื่นตกใจภายในนั้น

“หลังจากออกจากแคว้นฉิน ข้าก็ออกเดินทางไปทั่ว ในความบังเอิญได้เดินทางร่วมกับคนกลุ่มหนึ่งมาถึงแคว้นกู่วู่ ที่อีกฝั่งหนึ่งของทะเลแห่งความทุกข์เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่อีกแผ่นหนึ่ง ข้าก็ได้รู้ในตอนนั้น เมื่อรู้แล้วก็คิดอยากจะไปดู แต่สุดท้าย…”

อยู่ดีๆ ฉินอี้เหยาก็หยุดลง สายตาของนางอับแสงลงดูเหมือนว่ากำลังกลับเข้าไปใน ความทรงจำ

มู่ชิงเกอไม่ได้เร่งนาง เพียงแต่นั่งรออย่างสงบ

ครู่หนึ่ง ฉินอี้เหยาถึงได้ตื่นขึ้นมาจากอาการเหม่อลอย เอ่ยต่อว่า “ด้วยเหตุบังเอิญ ข้าพบคนๆ หนึ่ง เขาบอกว่าสามารถพาข้ามาที่โลกแห่งยุคกลาง บอกข้ามีพรสวรรค์ คิดอยากจะรับข้าไว้เป็นศิษย์ข้าเชื่อและก็ตามเขาไป แต่ว่า ที่ไปกลับไม่ใช่ทะเลแห่งทุกข์แต่เป็นทางลัดสายหนึ่ง”

“ทางลัด?” ดวงตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง ในใจเกิดความตกตะลึง

ถึงกลับมีทางลัดเชื่อมต่อระหว่างโลกแห่งยุคกลางกับหลินชวนด้วยอย่างนั้นหรือ?

ฉินอี้เหยาพยักหน้า “ทางลัดเส้นนั้นก็อยู่ในเขตของแคว้นกู่วู่ ใกล้กับทะเลแห่งทุกข์…น่าจะพูดว่าอยู่นอกชายฝั่งมากกว่า ที่นั่นเป็นเกาะเล็กๆ ที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่ ด้านนอกทะเล ข้าถูกนำไปบนเกาะ เขาก็ตั้งอกตั้งใจ เลี้ยงดูข้าอย่างดี เรียกข้าไปฝึกฝน ให้ข้ากินสมุนไพรแปลกๆ ต่างๆ มากมาย เพิ่มพูนพลังฝึกปรือของข้า จน พลังของข้าทะลวงไปถึงระดับพลังชั้นสีนํ้าเงินอย่างรวดเร็ว ต้องรู้ว่าแคว้นฉินในตอนนั้นระดับพลังชั้นสีนํ้าเงินหมายถึงอะไร ข้าดีใจอย่างมากถือเขาเป็นอาจารย์อย่างจริงใจ แต่ว่ากลับคิดไม่ถึง…”

ฉินอี้เหยาหยุดลงอีกครั้ง นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนว่าคำพูดต่อไปทำให้นางลำบากใจที่จะพูดออกมา แต่ว่าในที่สุด นางก็ยังคงรวบรวมความกล้าพูดออกมาจนได้

“กลับคิดไม่ถึงว่า เขาไม่ได้ถือเอาข้าเป็นศิษย์ของเขาเลย แต่กลับคิดจะรอให้ข้าฝึกถึงระดับพลังชั้นสีม่วง แล้วกลายเป็นเตาหลอมของเขา ดูดพลังฝึกปรือทั้งหมด ของข้า”

หลังจากมู่ชิงเกอฟังจบ สีหน้าก็มืดครึ้มลง นัยน์ตาฉายแววอำมหิต

นางคว้าจับข้อมือของฉินอี้เหยาแล้วใช้สองนิ้วแตะไปที่จุดชีพจรของนาง ตรวจดูอย่างละเอียด ก่อนหน้านี้ฉินอี้เหยาเคยพูดว่า คนๆ นั้นเอาสมุนไพรแปลกๆ ให้นางกินมากมายเพื่อเพิ่มพลังฝึกปรือของนาง และก็ไม่รู้ว่าสมุนไพรแปลกๆ เหล่านั้นมีผลข้างเคียงใดๆ หรือไม่

เพียงแค่ค้นหาลงไป นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็ยิ่งดูหนักใจมากขึ้น

ถึงแม้ว่าพลังฝึกปรือของฉินอี้เหยาจะอยู่ระดับพลังชั้นสีนํ้าเงินชั้นสูงสุด แต่ว่าชีพจรกลับดูสับสนวุ่นวาย ไม่บริสุทธิ์หากว่ายังฝืนฝึกต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าอาจจะ สามารถระเบิดตายขณะฝึกปรือได้ตลอดเวลา

“ร่างกายของข้าเลวร้ายมากใช่หรือไม่” ฉินอี้เหยาไม่ได้ดิ้นหนีจากการตรวจสอบของมู่ชิงเกอ แต่กลับเอ่ยถามอย่างสงบ

มู่ชิงเกอปล่อยข้อมือของนาง มองนางแล้วปลอบโยนว่า “ก็ไม่ได้เลวร้ายมากเท่าไหร่”

ฉินอี้เหยากลับยิ้มๆ เอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องปิดข้า ร่างกายของข้า ข้ารู้ดี”

ไม่รู้ว่าทำไม นางที่ไม่ค่อยจะยิ้ม พอมาอยู่ต่อหน้ามู่ชิงเกอกลับเผยรอยยิ้มออกมาได้ง่ายๆ

“หลังจากที่ข้ารู้จุดหมายที่แท้จริงของเขาแล้วก็เริ่มคิดที่จะหนี ยิ่งไม่กล้าตั้งใจฝึกฝนดังเมื่อก่อน แต่ไม่นานเขาก็พบเห็นเรื่องที่การฝึกปรือของข้าช้าลง แล้วก็นำสมุนไพรเพิ่มพลังจิตมาให้ข้ามากขึ้น บังคับให้ข้ากิน ในที่สุดเขาก็ขี้เกียจที่จะเสแสร้ง ขังข้าเอาไว้ ทุกๆ วันก็ใช้โอสถเลี้ยงข้า เพิ่มพลังฝึกปรือของข้า ภายใต้การทรมานจากเขา ในที่สุดพลังฝึกปรือของข้าก็ถึงระดับพลังชั้นสีนํ้าเงินขั้นสูงสุด ส่วนในวันนั้น ในที่สุดเขาก็หาวิธีเปิดทางลัดพบ ข้าจำได้ว่า วันนั้นเขาดูบ้าคลั่งและก็ตื่นเต้นมาก เขา…”

ฉินอี้เหยาพูดไปแล้วนัยน์ตาก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นอีก ภายในดวงตาของนาง ดูเหมือนว่าจะเห็นฉากในวันนั้น คนที่ถูกนางเรียกว่าอาจารย์คนนั้นเกิดบ้าคลั่งขึ้นมา ฉีกเสื้อผ้าของนาง คิดจะขืนใจนางขึ้นมา นางขมขื่นและสิ้นหวัง ขัดขืนเพื่อจะปกป้องความบริสุทธิ์ของตนเอง แต่ก็แลกกลับมาด้วยสายแส้ที่ไม่มีสิ้นสุด

ในที่สุด ในตอนที่ร่างกายของนางเต็มไปด้วยรอยแผล และเลือดนั้น ก็ตะโกนออกไปประโยคหนึ่ง “พลังข้ายังไม่ถึงระดับพลังชั้นสีม่วง หากว่าเจ้ายังฝืนทำมันต่ออีก ทุกสิ่งที่ทำมาก็จะสูญเปล่า!”

ประโยคนี้ทำให้สติของคนๆ นั้นกลับคืนมา และในที่สุดก็สามารถรักษาความบริสุทธิ์ของนางเอาไว้ได้

ภาพเหล่านั้นหายไปจากสายตาของฉินอี้เหยา ประสบการณ์ในช่วงนั้นนางไม่อาจพูดออกมาต่อหน้ามู่ชิงเกอได้นางไม่อยากจะถูกมู่ชิงเกอรังเกียจ และก็ยิ่งไม่ อยากได้รับความรู้สึกเห็นใจจากเขา

ดังนั้น นางจึงเม้มริมฝีปาก กลืนความทรงจำช่วงนี้ลงไป กระโดดข้ามไปเอ่ยว่า “จากนั้นเขากพาข้าไปยืนบนลวดลายอาคมโบราณวงหนึ่ง เขาบอกว่าสามารถใช้สิ่งนั้นมาสู่โลกแห่งยุคกลางได้”

ค่ายอาคม!

ภายใต้คำอธิบายของฉินอี้เหยา ในใจของมู่ชิงเกอเกิดความเข้าใจขึ้นมา

ที่แท้นอกชายฝั่งที่เชื่อมต่อระหว่างแคว้นกู่วู่และทะเลแห่งทุกข์บนเกาะแห่งหนึ่งก็มีค่ายกลที่เชื่อมกับโลกแห่งยุคกลางอยู่ ช่วงที่ฉินอี้เหยาตั้งใจปิดบังนั้น มู่ชิงเกอไม่ได้ไล่ถามต่อ ในเมื่อนางไม่คิดที่จะพูด เหตุใดตนเองต้องไปสะกิดรอยแผลของนางด้วย?

“ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นสิ่งนั้นก็บอกข้าว่า ของสิ่งนั้นไม่เสถียร ห้ามไม่ให้ข้าขยับ ในตอนนั้น ข้าก็รู้แล้วว่าโอกาสมาถึงแล้ว”

ฉินอี้เหยาเอ่ยต่อว่า “ในตอนที่ถูกส่งมาโลกแห่งยุคกลางนั้น ข้าอาศัยช่วงโอกาสที่ไม่เสถียร ผลักเขาจากทางด้านหลัง เดิมข้าคิดว่าจะตายไปพร้อมกันกับเขา แต่ไม่รู้ว่าทำไม ในตอนที่ข้าฟื้นตื่นขึ้นมากลับมาอยู่ในโลกแห่งยุคกลาง คนๆ นั้นเป็นหรือตาย ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่อย่างน้อยข้าก็หลุดพ้นจากเงื้อมมือของเขาแล้ว เดิมคิด ว่า หลังจากหนีออกจากเขาข้าก็จะเป็นอิสระสักที แต่หลังจากนั้นจึงค่อยค้นพบว่าอาศัยเพียงพลังฝึกปรือของข้า ภายในโลกแห่งยุคกลางก็คืออ่อนแอมาก ข้าเคยถูก หลิวเค่อลักพาตัวและในที่สุดก็หนีออกมาได้ และยังถูกสัตว์อสูรวิญญาณไล่ล่า แต่ก็ยังถือว่ารักษาชีวิตเอาไว้ได้ ตลอดเส้นทางยากลำบาก หลบๆ ซ่อนๆ ดูเหมือนว่าทุกคนที่พบเจอพอมองเห็นพลังฝึกปรือของข้าก็ล้วนแต่รังแกข้า หลังจากประสบสิ่งเหล่านี้มา ข้ากลับไม่คิดอยากตาย แต่กลับกันคิดแต่จะมีชีวิตต่อไป ไม่ว่าจะพบเจออะไรก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้”

ฉินอี้เหยาพูดถึงช่วงหลัง ร่างกายก็ถูกปกคลุมด้วยไอพลังดุดัน นางพูดสิ่งที่นางพบเจออย่างเรียบง่าย ปกปิดความน่าหวาดหวั่นเอาไว้ แต่กลับยิ่งทำให้คนรู้สึกปวดใจ นางมีชีวิตอยู่แต่ใครเล่าจะเดาออกได้ว่า เพื่อมีชีวิตอยู่ นางต้องแลกเปลี่ยนกับอะไรบ้างและผ่านอะไรมาบ้าง? นี่เป็นโลกที่ผู้แข็งแกร่งเป็นผู้ปกครอง นางมีพลังฝึกปรือ เพียงแค่ระดับสีนํ้าเงินขั้นสูงสุด แต่กลับฝืนใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งยุคกลาง และหากนางสามารถฝึกจนข้ามระดับถึงระดับพลังขั้นสีม่วง นางก็กลับมีโอกาสที่จะตายได้ นางไม่คิดอยากตาย ดังนั้นจึงชักช้าไม่ได้ข้ามไปถึงระดับ

มู่ชิงเกอถอนหายใจในใจ เอ่ยถามขึ้น “เหตุใดเจ้าถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง แล้วเหตุใดจึงต้องไปลอบฆ่าเจี่ยงเทียนอี้?”

กลิ่นไอดุดันบนร่างของฉินอี้เหยากระจายหายไป ตอบคำถามของมู่ชิงเกอ “ที่มาถึงเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงได้นั้นเป็นเรื่องบังเอิญ”

และก็เป็นเพราะเรื่องบังเอิญทำให้ข้าได้พบเจ้า

ฉินอี้เหยาลอบมองมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยต่อไปว่า “ตอนที่ข้าหนีตายนั้นก็ได้มาถึงที่นี่พอดี ที่ฆ่าเจี่ยงเทียนอี้ก็เพราะเขาเอาคนที่มีพระคุณต่อข้าไป ตอนที่ส่งกลับคืนมากลับถูกตัดลิ้นทำลายโฉมหน้า ถูกตัดแขนตัดขา ตอนที่ข้าเพิ่งมาถึงเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงนั้นก็เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายแล้ว เป็นนางที่ช่วยข้า หาอาหารให้ข้ากิน ให้ข้าดื่ม ดูแลข้าถึงทำให้ข้าอยู่ต่อมาได้ ดังนั้นบุญคุณนี้ ข้าไม่อาจไม่ทดแทน ฆ่าเจี่ยงเทียนอี้เป็นสิ่งเดียวที่ข้าจะสามารถทำให้นางได้ แต่ว่าน่าเสียดายที่ข้าทำล้มเหลว”

มู่ชิงเกอเข้าใจถึงความยากลำบากตลอดเส้นทางของฉินอี้เหยาแล้ว

นางนิ่งเงียบลง แล้วเอ่ยกับฉินอี้เหยาว่า “ร่างกายของเจ้า ข้าสามารถช่วยเจ้าจัดการได้ หลังจากเสร็จแล้ว เจ้าสามารถฝึกฝนต่อไปได้ ถ้าหากคิดจะกลับไปหลินชวน ข้าก็จะคิดหาวิธีส่งเจ้ากลับไปได้”

ฉินอี้เหยามองไปที่นาง ขบริมฝีปากไม่พูดจา

มองเห็นท่าทางของนางแล้วมู่ชิงเกอก็เอ่ยว่า “หรือว่าเจ้ายังคิดจะอยู่ที่นี่ต่อ ซ่อนตัวอยู่ในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงเพื่อลอบฆ่าเจี่ยงเทียนอี้อีกครั้ง?”

“นี่เป็นข้าติดค้างนาง” ฉินอี้เหยาเอ่ย

มู่ชิงเกอส่ายหน้า “เจ้าคิดว่าเจี่ยงเทียนอี้จะหลงกลการลอบฆ่าแบบเดิมอีกงั้นรึ? ถ้าหากว่าเจ้าคิดจะฆ่าเขา สิ่งที่สมควรต้องทำมากที่สุดก็ดือจัดการร่างกายของตนเอง จากนั้นก็ฝึกฝนจนแข็งแกร่งเพียงพอแล้วค่อยกลับมาฆ่าเขา”

ถ้าหากว่าเจี่ยงเทียนอี้เป็นศัตรูของฉินอี้เหยา บางทีนางอาจจะลงมือเอง แต่ว่าฉินอี้เหยาก็พูดชัดเจนแล้วว่าเป็นการแก้แค้นแทนผู้อื่น และเช่นกันหากว่านางไม่ได้ไป ลอบฆ่าเจี่ยงเทียนอี้ พวกนางทั้งสองก็อาจจะไม่ได้พบกันเหมือนวันนี้ นี่เป็นคำมั่นของฉินอี้เหยา นางจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว

นางเชื่อว่าฉินอี้เหยาก็ไม่คาดหวังให้นางช่วยเหลือ

ฉินอี้เหยาเงียบลงครู่หนึ่ง ในตอนที่มู่ชิงเกอคิดว่านางจะปฏิเสธแล้วจะดื้อดึงจะไปหาเจี่ยงเทียนอี้นั้น นางกลับพยักหน้า “ข้าฟังเจ้า”

ท่าทางที่ดูโอนอ่อนตามเช่นนี้ ทำให้มู่ชิงเกอจิตใจสั่นไหว

นางมองเห็นความรู้สึกไม่อยากแยกจากในดวงตาของ ฉินอี้เหยา ทันใดนั้นก็คิดขึ้นได้ว่าตอนที่นางเปิดเผยสถานะนั้น ฉินอี้เหยาไม่ได้อยู่ในหลินชวน ดังนั้นจึงไม่รู้เรื่องจริงที่นางเป็นผู้หญิง

เกือบจะทำผิดร้ายแรงแล้ว!

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยกับมั่วหยางว่า “นำรถไปที่ๆ ไม่มีคนรบกวน”

มั่วหยางบังคับรถนำทั้งสองคนไปยังที่ๆ ค่อนข้างเงียบสงบ

ฉินอี้เหยามองมู่ชิงเกออย่างสงสัย ไม่รู้ว่านางจะทำอะไร

ส่วนมู่ชิงเกอก็ไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับคิดในใจว่า

จะต้องบอกทุกอย่างแก่ฉินอี้เหยา ความรู้สึกที่ฉินอี้เหยามีให้แก่นาง นางเข้าใจตั้งแต่ที่นางยินยอมที่จะตามนางไปเมืองอี้แล้ว ดังนั้นหลังจากกลับมาจากเมืองอี้นางจึงได้รีบตัดความสัมพันธ์ที่ไร้วาสนานี้โดยเร็ว หยุดไม่ให้ฉินอี้เหยาถลำลึก

แต่ว่า ถึงแม้ว่านางจะปฏิเสธแล้ว ฉินอี้เหยากลับยังไม่สามารถควบคุมหัวใจของตนเองได้

ตอนนี้ ฉินอี้เหยาผ่านประสบการณ์มามากมาย ทำให้คนรู้สึกปวดใจ นางไม่อยากจะทำร้ายนางอีกเลยจริงๆ แต่ก็ไม่อาจจะไม่พูดให้ชัดเจนได้

“คุณชาย ถึงแล้วขอรับ” นอกห้องโดยสารมีเสียงของมั่วหยางดังเข้ามา รถลากสัตว์อสูรก็ค่อยๆ หยุดลง

มู่ชิงเกอเอ่ยกับมั่วหยางว่า “เฝ้าไว้อย่าให้ใครเข้ามาใกล้” มั่วหยางทำตามคำสั่งจากไป

เมื่อรอบด้านไม่มีใครแล้วมู่ชิงเกอถึงได้เอ่ยกับฉินอี้เหยาด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อี้เหยา ระหว่างข้ากับเจ้านั้นเป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่?”

แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินคำตอบนี้ แต่ฉินอี้เหยาก็ยังอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านเล็กน้อย

นางพยายามฝืนยิ้มออกมา หลบสายตา ไม่กล้าสบตากับมู่ชิงเกอ นางไม่อยากจะให้มู่ชิงเกอมองเห็นความเจ็บปวดและความผิดหวังในสายตาของนาง

นางคิดว่า เมื่อวางทุกอย่างลงแล้วระหว่างพวกนางก็อาจจะเป็นไปได้

กลับไม่คิดว่าทุกอย่างล้วนแต่เป็นความรู้สึกของตนเองคนเดียว

“อี้เหยา ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด” มู่ชิงเกอยื่นมือออกไปเชิดคางของฉินอี้เหยาขึ้นมา บังคับให้นางมองตนเอง

ฉินอี้เหยาถูกบังคับให้มองมู่ชิงเกอ เผชิญหน้ากับดวงตาอันสดใสของเขา

มู่ชิงเกอเอ่ยว่า “ที่ข้าพูดว่าเป็นไปไม่ได้นั้นเป็นเพราะว่า ข้าเหมือนกันกับเจ้า เป็นสตรี”

เปรี้ยง—–!

คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้นัยน์ตาของฉินอี้เหยาหดตัวลง ร่างกายดูมึนงงเหมือนกับถูกสายฟ้าฟาด

มู่ชิงเกอเป็นผู้หญิง?!

จะเป็นไปได้อย่างไร?

เขาจะเป็นผู้หญิงได้อย่างไร?

เขาเป็นคุณชายของตระกูลมู่ เป็นคู่หมั้นของนาง!

ถึงเสด็จพ่อของนางจะสติไม่ดีแค่ไหน เสด็จย่าของนางอยากจะได้อำนาจทางการทหารของตระกูลมู่มากแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจมอบนางให้แก่ผู้หญิงคนหนึ่งได้!

แต่ว่า ถึงฉินอี้เหยาจะตกตะลึงมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงตรงหน้าได้

มู่ชิงเกอหลุบตาลง ยกมือซ้ายขึ้น ถอดต่างหูบนหูซ้ายของตนเองออก เมื่อต่างหูที่เป็นอุปกรณ์มายาหลุดออก มู่ชิงเกอก็กลับคืนสู่สภาพของหญิงสาว

เค้าโครงของผู้ชายที่เดิมองอาจห้าวหาญ เปลี่ยนเป็นนุ่มนวล รูปร่างเปลี่ยนเป็นผอมเพรียว

“อี้เหยา เจ้าดูชัดเจนแล้วหรือยัง? เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับในหลินชวนแล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ยปากออกมา แทนที่ด้วยเสียงอันไพเราะของหญิงสาว

ฉินอี้เหยาตกตะลึงอ้าปากค้างมองคนตรงหน้า ที่ทั้งดูคุ้นเคยและแปลกหน้า

มู่ชิงเกอใส่ต่างหูกลับเข้าไป กลับกลายเป็นผู้ชายที่ดูหล่อเหลาต่อหน้าต่อตาของฉินอี้เหยา นางเอ่ยว่า “ในตอนที่ข้าเกิดขึ้นมา ก็ถูกอุปกรณ์มายานี้ซ่อนเพศที่แท้ จริงของข้าเอาไว้แล้ว เพื่อรักษาความสงบสุขของตระกูลมู่ แต่กลับไม่คิดว่า จะเกิดเรื่องขึ้นมากมายหลังจากนั้น ข้าไม่ได้คิดจะปิดบังเจ้า ในตอนที่พบว่าเจ้าเกิดความรู้สึกกับข้าแล้วนั้น ข้าก็เคยห้ามปราม แต่ว่าดูเหมือนว่าจะล้มเหลว”

“เจ้าเป็นเพราะว่าไม่สามารถแต่งงานกับข้าได้ถึงได้เสนอขอถอนการหมั้นหมายกับเสด็จพ่องั้นหรือ?” ฉินอี้เหยาเอ่ยปากอย่างยากเย็น แม้ว่าจะเห็นด้วยตาแต่นาง ก็ยังคงรู้สึกยากที่จะรับความจริงได้

แม้ว่านางจะมีเหตุผลแค่ไหน ก็ยากที่จะรับได้ แต่ว่าก็ไม่อาจไม่ยอมรับ

สถานการณ์ของตระกูลมู่…อา นางเข้าใจดี ถ้าหากตอนนั้นมู่ชิงเกอมีสถานะเป็นผู้หญิง เกรงว่าคงตกเข้าไปอยู่ในอันตรายแล้ว

เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของฉินอี้เหยา มู่ชิงเกอก็พยักหน้า

ความสงสัยที่ซ่อนอยู่ในใจมานานในที่สุดก็ได้รับคำตอบ ทันใดนั้นฉินอี้เหยาก็รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมา รู้สึกอดสูเล็กน้อย และก็รู้สึกเสียใจ รู้ว่ามู่ชิงเกอเป็นผู้หญิงแล้ว นางก็เกิดความคิดแวบขึ้นในทันใด…ถ้าหากว่าเมื่อแรกเริ่ม การหมั้นหมายระหว่างพวกนางไม่ได้ถูกยกเลิกไป แม้ว่านางจะรู้ว่ามู่ชิงเกอเป็นผู้หญิงก็ยังคงยอมจะแต่งไปอยู่ดี เพื่อปกป้องนาง

นางถูกความคิดของตนเองทำให้ตกใจ ในระหว่างที่กำลังสับสน ก็เอ่ยถามขึ้นว่า “ถ้าหากว่าเจ้าเป็นผู้ชาย เจ้าจะยังปฏิเสธงานแต่งงานอีกไหม?”

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไป ฉินอี้เหยาก็รู้สึกเสียใจย้อนหลัง

นางกลัวว่าจะได้ยินคำปฏิเสธอีกครั้ง แต่ว่าเมื่อคำพูดหลุดออกไปแล้ว นางกลับมีความคาดหวังขึ้นมา รอคอยคำตอบจากมู่ชิงเกอ

“ถ้าหากว่าข้าเป็นผู้ชาย…” มู่ชิงเกอเห็นนางเอ่ยปากออกมา “หากว่าข้าเป็นผู้ชายจริงๆ ข้าก็คงจะไม่ปฏิเสธคู่หมั้นเช่นเจ้า”

สำหรับฉินอี้เหยานั้น นางชื่นชม ดังนั้นจึงไม่คิดที่จะทำร้ายจิตใจนางอีก

แต่ไม่ว่ายังไงนางก็ไม่ใช่ผู้ชาย ก็คงไม่รู้ว่าจะคิดเช่นไร ทำได้เพียงแค่ทำตามความชื่นชมที่นางมีให้แก่ฉินอี้เหยา ให้คำตอบที่น่าจะเป็นไปได้ออกมา

ทันใดนั้นฉินอี้เหยาก็ยิ้มออกมาเหมือนกับได้ปลดภาระหนักอึ้ง นางเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “นี่ก็เพียงพอแล้ว”

เพราะว่าคำถามที่นางถามไป ไม่สามารถเป็นจริงได้อยู่แล้ว เช่นนั้นพัวพันต่อไปจะมีประโยชน์อะไร? มู่ชิงเกอสามารถไม่พูดปฏิเสธนางออกมาได้จุดๆ นี้ก็เพียงพอแล้ว

“ขอบคุณเจ้า ขอบคุณเจ้าที่พูดความจริงให้ข้าฟัง และแก้ปมในใจให้ข้า” ชั่วเวลานี้ฉินอี้เหยาไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับมู่ชิงเกออย่างไรดี ได้แค่ก้มหน้าลง

มู่ชิงเกอก็พยักหน้า เอ่ยกับนางว่า “ข้าเข้าใจว่าเจ้าในตอนนี้นั้นรู้สึกยากที่จะรับได้ ข้าจะออกไปก่อน มั่วหยางจะส่งเจ้ากลับไป พรุ่งนี้พวกเราจะออกจากเมืองอวี๋สุ่ย เฉิง ก่อนหน้านั้น เจ้าสามารถคิดดูก่อนว่าจะตามข้าจากไป ให้ข้ารักษาร่างกายของเจ้า หรือว่ารั้งอยู่ที่จวนตระกูลเซิ่งในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงต่อไป”

“ตระกูลเซิ่ง?” ฉินอี้เหยาเงยหน้ามองมู่ชิงเกอ เอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น “ข้าคิดว่าตระกูลเซิ่งคาดหวังอยากจะให้เจ้าอยู่มาก ในก่อนที่ร่างกายของเจ้ายังไม่ฟื้นคืนเป็นปกติ ก็จำเป็นต้องมีที่หลบภัย”

พูดจบแล้ว มู่ชิงเกอก็กระโดดลงจากรถลากสัตว์อสูร ออกไปจากสายตาของฉินอี้เหยา

หลังจากนางจากไปแล้ว ฉินอี้เหยาถึงได้ดูเหมือนหมดแรงพิงกับผนังรถลาก

รอยยิ้มบนใบหน้าของนางหายไป นัยน์ตาเผยความสิ้นหวังออกมา

การแสดงท่าทางที่ดูโล่งใจต่อหน้าของมู่ชิงเกอทำให้นางรู้สึกเหนื่อยล้า

บางทีนางอาจจะป่วยจริงๆ แล้ว ถึงแม้จะรู้แล้วว่ามู่ชิงเกอเป็นผู้หญิง แต่ก็ยังไม่สามารถยับยั้งความปรารถนาในหัวใจของตัวเองได้

นางเป็นศัตรูของตน ฆ่าญาติสนิทบนโลกนี้ของนางจนหมด

แม้ว่าไม่แค้น ไม่ล้างแค้น ก็ควรจะเดินคนละทาง

ฉินอี้เหยาพยายามเตือนสติของตัวเองในใจ แต่ว่ารูป ลักษณ์ของมู่ชิงเกอก็ยังอยู่ในหัวของนางไม่หายไปไหน แม้ว่านางจะเป็นผู้หญิงนางก็ยังคงติดอยู่ในนั้นไม่ สามารถออกมาได้อยู่ดี

ความสัมพันธ์ในราชวงศ์นั้นเปราะบาง การกระทำของเสด็จแม่และท่านพี่ การติดค้างของเสด็จพ่อต่อตระกูลมู่ เดิมก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้นางไปเคียดแค้นมู่ชิงเกอ ลืมมู่ชิงเกอ

กลับกัน ทุกๆ ครั้งมู่ชิงเกอกลับช่วยนางออกมาจากความสิ้นหวัง นำอิสระมาให้นาง ให้ความอบอุ่นที่นางปรารถนา

ปกป้องนางจากคนชั่ว การต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ท่ามกลางฝูงสัตว์อสูรในเมืองอี้ ร่อนลงมาจากฟ้าที่ชายแดนแคว้นถู แล้วก็ยังครั้งนี้ที่ช่วยนางออกจากตลาดมืด ล้วนแต่ท่าให้ฉินอี้เหยาจมปลักลงไปเรื่อยๆ

ตัดสินใจที่จะลืมแล้วแท้ๆ แต่เมื่อพบเจออีกครั้ง ความพยายามทั้งหมดก็กลายเป็นความสูญเปล่า

“ผู้ชายหรือผู้หญิงแล้วจะอย่างไร? ข้าก็ลืมไม่ลง…มู่ชิงเกอ ข้าจะทำอย่างไรดี? ข้าจะเผชิญหน้ากับเจ้าอย่างไรดี?” ฉินอี้เหยาพิงผนังรถลาก พึมพำกับตัวเอง

ความเศร้าในหัวใจ กลายเป็นนํ้าตาไหลลงมาจากขอบตา

ทันใดนั้นร่างกายก็เหมือนจะไม่ทำตาม ทำให้นางคิดจะหนีไปก็ไม่อาจจะหนีไปได้ เสียงในจิตใจพรํ่าบอกนางว่า ถ้าในครั้งนี้นางเลือกที่จะจากไป เกรงว่านับแต่นี้ต่อไปคงจะไม่ได้พบเจอกับมู่ชิงเกออีก

แต่ว่าหากอยู่ต่อแล้วนางควรจะทำตัวอย่างไรดี?

ฉินอี้เหยาเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกที่มีต่อมู่ชิงเกอนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้นางนำความรู้สึกเจ็บปวดนี้อยู่ข้างกายมู่ชิงเกอต่อไป คงจะไม่สร้างปัญหาให้นางใช่หรือไม่?

ฉินอี้เหยาขดตัวเป็นก้อน สองมือกอดเข่าตัวเอง ก้มหัวฝังลงไป ไม่อยากจะให้ใครมาเห็นท่าทางที่ดูอ่อนแอของนาง

มู่ชิงเกอเดินอยู่ด้านนอก มั่วหยางเขยิบมาที่ข้างกายของนาง

“พานางกลับไป ดูแลให้ดี” มู่ชิงเกอสั่งการ มั่วหยางมองรถลากสัตว์อสูรที่อยู่ไกลออกไปแวบหนึ่ง เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “องค์หญิงฉางเล่อคงจะได้รับความอดสูมิน้อยเลย”

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองดวงอาทิตย์อันร้อนแรงกลางอากาศ “หากไม่มีอุปสรรค ก็ยากที่หนอนจะเปลี่ยนเป็นผีเสื้อได้ ความลำบากนี้บางทีอาจจะเป็นวาสนา มั่วหยาง เจ้าจำเอาไว้ว่าบนโลกนี้ไม่มีองค์หญิงฉางเล่ออีกต่อไปแล้ว จากนี้ให้เจ้าเรียกนางว่าแม่นางเหยา”

พูดแล้วนางก็ก้าวยาวจากไป ปัญหาในตัวของฉินอี้เหยา นางยังต้องวิเคราะห์อย่างละเอียด หลอมยาออกมา ไม่ว่าฉินอี้เหยาจะตัดสินใจตามนางไปหรือว่าอยู่ต่อ นางก็จะต้องรักษาปัญหาในร่างกายของนาง

วันที่สอง มู่ชิงเกอก็มาพบฉินอี้เหยาตั้งแต่เช้า

จากบนใบหน้าของนาง ก็มองไม่เห็นถึงความผิดปกติแล้ว

ฉินอี้เหยาเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “วันนี้ต้องจากไปแล้ว ข้าจะไปส่งเจ้าออกจากเมือง”

ประโยคนี้ได้บอกถึงคำตอบนางให้มู่ชิงเกอรู้

นางเคารพในการตัดสินใจของฉินอี้เหยา พยักหน้ารับคำขอที่จะไปส่งนางเดินทาง

เดินออกจากเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง มั่วหยางนำองครักษ์เขี้ยวมังกรจากไป

ฉินอี้เหยามองเงาแผ่นหลังของมั่วหยาง เอ่ยถามมู่ชิงเกอว่า “พวกเขาจะไปไหน?”

มู่ชิงเกอยิ้มๆ เอ่ยว่า “ไปทำเรื่องที่พวกเขาสมควรต้องทำ”

นางให้เวลาพวกมั่วหยางแค่ครึ่งปี ตอนนี้เกรงว่าคนห้าร้อยหนึ่งคนนี้ คงจะอดใจไม่ไหวที่จะติดปีกเริ่มต้นอาชีพหลิวเค่อแล้ว

อา! ใช่แล้ว! พวกเขามีปีกจริงๆ คิดไปถึงตอนที่องครักษ์เขี้ยวมังกรขี่อยู่บนสัตว์เวหา ภาพติดปีกกลางอากาศ มู่ชิงเกอก็รู้สึกถึงความสดชื่นสบายใจ

ฉินอี้เหยาถอนสายตาของตัวเองกลับ ยิ้มแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เช่นนั้นข้าก็ต้องไปทำเรื่องที่ตัวเองสมควรต้องทำเช่นเดียวกัน”

พูดจบแล้วนางก็หันไปมองเสวี่ยหยาที่อยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอ แล้วก็มองโย่วเหอและฮวาเยวี่ย แวบหนึ่ง สำหรับจิงไห่นั้น นางก็มองผ่านไป

นางเข้าไปใกล้ๆ หูของมู่ชิงเกอ เอ่ยเสียงเบาๆ กับมู่ชิงเกอว่า,,แม่นางเสวี่ยหยายังไม่รู้ว่าเจ้าเป็น…เจ้าอย่าได้ทำให้ผู้หญิงปวดใจอีกเลย”

คำโน้มน้าวของฉินอี้เหยาซ่อนความในใจของตัวนางเอง

ถึงแม้จะรู้ว่ามู่ชิงเกอเป็นผู้หญิง นางก็ไม่คาดหวังให้มีผู้หญิงคนอื่นมาแบ่งปันความรู้สึกพิเศษที่อยู่ลึกๆ ในใจนี้ด้วย

ได้ยินคำพูดของนาง มู่ชิงเกอก็ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี “ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด”

เพียงแต่ว่ามีหลายเรื่องที่ไม่สะดวกจะพูด

มู่ชิงเกอหยิบขวดยาออกมา ส่งให้กับฉินอี้เหยา เอ่ยกับนางว่า “ยาในนี่ข้าหลอมมาทั้งคืนโดยอิงตามอาการของร่างกายเจ้า ทุกวันใช้หนึ่งเม็ด หลังจากผ่านไปสามเดือน ไอพลังจิตที่สับสนวุ่นวายภายในร่างกายของเจ้าจะถูกชำระล้างจนสะอาด ถึงตอนนั้นเจ้าก็สามารถฝึกฝนต่อไปได้ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก”

ฉินอี้เหยาไม่ได้เอียงอาย รับขวดยาจากมู่ชิงเกอ

แล้วก็เอ่ยเสียงเบาๆ ข้างหูของนางอีกครั้งว่า “ถ้าหากข้าบอกว่า แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้หญิง ข้าก็ยังชอบเจ้าละ เจ้าจะหลบหน้าข้าหรือไม่?”

คำพูดที่ดูขี้เล่นนี้หลุดออกมาจากปากของฉินอี้เหยา ทำเอามู่ชิงเกอชะงักไป รู้สึกไม่รู้ว่าจะตอบสนองออกมาอย่างไร

อาการชะงักเล็กน้อยของมู่ชิงเกอ ทำให้ฉินอี้เหยาหัวเราะ “ล้อเล่นหรอก อย่าถือเป็นจริงจังไป”

มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างมึนงง ไม่ได้ไปต่อในประเด็นนี้

“เจ้าตัดสินใจจะไม่ตามข้าไปจริงๆ งั้นหรือ?” มู่ชิงเกอถามยํ้าอีกครั้ง

อิงตามสถานการณ์ในตอนนี้ของฉินอี้เหยา ถ้าหากว่าเดินทางคนเดียวในโลกแห่งยุคกลางแล้ว ก็ไม่สงสัยเลยว่าจะต้องเสี่ยงอันตรายมากแค่ไหน

ใบหน้าของฉินอี้เหยาปรากฏรอยยิ้มขึ้น เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ข้าจะอาศัยสถานะอะไรอยู่ข้างกายเจ้า?”

นี้ก็เป็นการถามนาง แล้วก็ถามตัวเอง

มู่ชิงเกอชะงัก

ดูเหมือนว่านางจะสัมผัสได้ถึงอะไร และก็พบว่าตัวเอง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

ทันใดนั้นไกลออกไปก็มีเสียงของสัตว์อสูรวิญญาณดังเข้ามา

พวกมู่ชิงเกอหันไปมองก็เห็นสัตว์อสูรวิญญาณของเซิ่งอวี้หลี ด้านหลังเกิดฝุ่นตลบ กำลังพุ่งมาทางพวกนาง

โฮก—–!

สัตว์อสูรวิญญาณหยุดลงตรงหน้าของพวกมู่ชิงเกอ เกิดเป็นฝุ่นตลบ ส่งผลให้มู่ชิงเกอบังอยู่ตรงหน้าของฉินอี้เหยาตามสัญชาติญาณ ภายในใจของนาง ฉินอี้เหยา เป็นฝ่ายที่ต้องการการปกป้อง หรือก็อาจเป็นเพราะว่าเจ็บปวดใจในชะตากรรมของนาง ความเคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้ กลับทำให้สายตาของฉินอี้เหยาหยุดอยู่ที่ร่างของนาง ในใจเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้น

นางไม่สามารถลืมมู่ชิงเกอได้ก็เป็นเพราะการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจเหล่านี้ทำให้นางรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ดังนั้นถึงได้คิดถึง ถึงได้อดใจไม่ได้ถึงได้ตัดขาดไม่ได้

เซิ่งอวี้หลีพลิกตัวลงมาจากหลังของสัตว์อสูรวิญญาณ พุ่งไปที่ข้างกายของฉินอี้เหยา เอ่ยด้วยความร้อนใจว่า “แม่นางฉิน เจ้ารั้งอยู่ที่นี่ต่อเถิด อย่าไปจากเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงเลย อยู่ข้างกายของข้า ให้ข้าได้ดูแลเจ้า”

ฉินอี้เหยามองเซิ่งอวี้หลีอย่างตกตะลึง แม้แต่มู่ชิงเกอก็ขมวดคิ้วขึ้นมองไป

เสวี่ยหยาและจิงไห่ยืนอยู่ข้างๆ เมื่อมองเห็นฉากนี้แล้วก็ ล้วนแต่ตกตะลึง

จิงไห่ยังดี แต่เดิมก็ไม่ได้สนิทกับฉินอี้เหยามากสักเท่าไหร่ เพียงแต่ตะลึงที่อยู่ดีๆ เนื้อเรื่องก็เปลี่ยน

แต่เสวี่ยหยากลับตกตะลึงมาก ภายในความทรงจำของนาง ฉินอี้เหยาน่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ตื้นเขินกับมู่ชิงเกอ แต่เซิ่งอวี้หลีกลับแย่งผู้หญิงของมู่ชิงเกอต่อหน้าต่อตาเลยงั้นหรือ?

เสวี่ยหยาลอบมองไปทางมู่ชิงเกอ กำลังเดาว่าเขาจะตบเซิ่งอวี้หลีให้ตายในฝ่ามือเดียวหรือไม่

แต่ว่า ตอนที่นางมองเห็นท่าทีของมู่ชิงเกอ กลับเกิดความสงสัยแล้วว่าเพราะเหตุใด เพราะเหตุใดมู่ชิงเกอถึงได้สงบเงียบถึงขนาดนี้? ไม่ได้มีอารมณ์ของคนโดนแย่งชิงคนรักเลยแม้แต่น้อย?

เสวี่ยหยาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

“นายน้อยเซิ่ง ท่าน…” ฉินอี้เหยาชะงักไปครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยออกมาอย่างประหลาดใจ

เซิ่งอวี้หลีจับกุมมือของนาง เอ่ยกับนางว่า “แม่นางฉิน ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคยสนใจข้ามาก่อน แต่ว่า นับแต่ที่ข้าได้พบเจ้าครั้งแรกก็ชอบเจ้าแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถมอบโอกาสให้ข้าสักครั้งหนึ่ง อยู่ต่อ”

พูดแล้ว เขาก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชายมู่ ข้าไม่รู้เรื่องราวระหว่างเจ้ากับแม่นางฉินว่าเป็นไปมาอย่างไร แต่ข้าก็ไม่สนใจ ในเมื่อพวกเจ้าไม่ได้แต่งงานกัน ก็หมายถึงว่าข้ายังมีโอกาส ข้าจะไม่ยอมแพ้”

มู่ชิงเกอกะพริบตา ในที่สุดก็รู้แล้วว่าเซิ่งอวี้หลีนั้นกำลังสารภาพรักอยู่

คนที่เขาสารภาพรักก็คือฉินอี้เหยา

นางหันไปมองฉินอี้เหยาอย่างอดไม่ได้ นางจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของฉินอี้เหยา ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกว่าอยู่ในตระกูลเซิ่งนั้นไม่เลวก็ตาม แต่ว่า ความไม่เลวนี้ไม่ใช่การใช้การขายความรู้สึกของตนเองแลกมา

ถ้าหากว่าฉินอี้เหยาไม่รู้สึกอะไรกับเซิ่งอวี้หลี ไม่ยอมที่จะอยู่ตระกูลเซิ่ง นางก็จะสนับสนุนทางเลือกของนาง

“เรื่องนี้ เจ้าต้องถามนางเอง” มู่ชิงเกอเปิดปาก มอบอำนาจแก่ฉินอี้เหยา

เซิ่งอวี้หลีรีบไล่ตามมา ดูเหมือนว่าจะไม่รู้เรื่องที่ฉินอี้เหยาเพียงแค่มาส่งนางเท่านั้น

“นายน้อยเซิ่ง ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านกำลังพูดอะไรอยู่?” ฉินอี้เหยาดึงเอามือของตัวเองออกมา มองเขาด้วยสีหน้าที่ดูเย็นชา

เซิ่งอวี้หลีพยักหน้าอย่างหนักแน่น

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยกับฉินอี้เหยาว่า “ข้ารู้ว่าตัวเองนั้นหุนหันพลันแล่นจนเกินไป แต่ข้าก็กลัวว่าจะพลาดโอกาสในครั้งนี้ไป คำพูดในใจก็คงไม่อาจจะพูดกับเจ้าได้อีก เช่นนั้นก็คงจะต้องกอดความเสียใจในครั้งนี้ไปจนชั่วชีวิตแล้ว”

“ท่านรู้ไหมว่าข้าเป็นใคร? รู้เบื้องหลังของข้าหรือไม่? รู้ว่าข้าผ่านอะไรมาบ้างหรือไม่?ชอบข้าเช่นนี้ไม่กลัวว่าจะเดือดร้อนหรือ?” ฉินอี้เหยาถามอย่างมีเหตุผล เซิ่งอวี้หลีกลับส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ และก็ไม่อยากรู้ เจ้าเพียงแค่รู้ว่าข้าชอบเจ้า ชอบเพียงแต่เจ้า ไม่ว่าแต่ก่อนเจ้าจะเป็นอะไรข้าชอบเจ้าก็เพียงพอแล้ว”

ฉินอี้เหยาหันมองมู่ชิงเกอ ส่วนมู่ชิงเกอก็กำลังมองมาที่นางเช่นเดียวกัน

ครู่หนึ่ง ฉินอี้เหยาก็ถอนสายตากลับ มองไปทางเซิ่งอวี้หลีและเอ่ยว่า “ข้าสามารถอยู่ต่อได้ อยู่ตระกูลเซิ่งสักระยะหนึ่ง แต่ว่า นี่เป็นคนละเรื่องกับที่ข้าจะรับท่านหรือไม่ บางทีหลังจากผ่านไปสักพักแล้ว ข้าก็อาจจะยังต้องจากไป”

“ไม่เป็นไร เพียงแต่เจ้ายินยอมจะอยู่ต่อ ข้าก็วางใจแล้ว ข้าจะไม่ฝืนใจเจ้าอย่างแน่นอน” เซิ่งอวี้หลีแสดงท่าทีในทันที

ฉินอี้เหยาขบริมฝีปาก เอ่ยกับเขาว่า “ท่านรอสักครู่”

เซิ่งอวี้หลีพยักหน้าอย่างมีความสุข

ฉินอี้เหยาหันกายเดินไปข้างหน้าของมู่ชิงเกอ เอ่ยกับนางว่า “ข้าอยู่ที่ตระกูลเซิ่ง เจ้าคงสามารถวางใจได้แล้ว”

มู่ชิงเกอเอ่ยกับนางว่า “ตอนนี้ข้าก็ไม่มีที่อยู่ที่แน่นอน รอให้ข้าจัดการเสร็จแล้วจะส่งข่าวให้เจ้า หากว่าคิดจะมาหาข้า ก็มาได้ตลอดเวลา ยังมีอีกอย่าง ถ้าหากว่ามีเรื่องอะไรก็สามารถไปที่กลุ่มของเหล่าหลิวเค่อส่งภารกิจให้องครักษ์เขี้ยวมังกร”

“องครักษ์เขี้ยวมังกร!” นัยน์ตาของฉินอี้เหยาฉายแวววาบวาบ ทันในนั้นก็เข้าใจแล้วว่าพวกมั่วหยางจากไปทำไม

นางพยักหน้า เก็บอารมณ์ความเศร้าของการจากลาซ่อนไว้ในใจ ไม่ยอมให้มู่ชิงเกอมองเห็นใบหน้าที่อ่อนแอของนาง

ฉินอี้เหยาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองมู่ชิงเกอ ไม่พูดจา

มู่ชิงเกอมองออกถึงความสับสนวุ่นวายในแววตาของนาง จึงเอ่ยว่า “เซิ่งอวี้หลีไม่เลว หากว่าสามารถ…”

“ชิงเกอ” ฉินอี้เหยาร้องชื่อนางออกมาในทันใด นี่เป็นครั้งแรกหลังจากที่ทั้งสองคนพบกันอีกครั้งที่นางร้องเรียกชื่อนางออกมา

มู่ชิงเกอไม่ได้พูดต่อ

ฉินอี้เหยาเอ่ยกับนางว่า “บางทีในอนาคต ข้าอาจจะได้แต่งงาน หรืออาจจะไม่แต่งเลย แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็ไม่อยากให้เจ้ามาพูดโน้มน้าวใจข้าให้รับความรู้สึกจากคนอื่น ไม่เช่นนั้น หัวใจข้าคงจะเจ็บปวด เจ็บปวดมาก”

ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เกิดความรู้สึกว่าใจของตัวเองเกิดความว้าวุ่น นางไร้หนทางที่จะปฏิเสธคำขอร้องของฉินอี้เหยา ทำได้เพียงพยักหน้าตกลง

“คนแซ่มู่—–!” ทันใดนั้น ก็มีเสียงตะคอกดังเข้ามา

เสียงนี้ขัดจังหวะความคุลมเครือระหว่างมู่ชิงเกอและฉินอี้เหยา และก็ดึงดูดให้เซิ่งอวี้หลีระแวดระวัง

เขาเดินเข้ามา บังอยู่ด้านหน้าของฉินอี้เหยา เอ่ยด้วยท่าทางที่ดระมัดระวังว่า “เป็นเสียงของเจี่ยงเทียนเฮ่า”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้นเบาๆ

ไม่นาน ฝุ่นตรงหน้าก็ตลบฟุ้งขึ้นมา เจี่ยงเทียนเฮ่าขี่สัตว์อสูรวิญญาณค่อยๆ ออกโผล่มาจากฝุ่นควัน บนหลังของสัตว์อสูรวิญญาณที่เขาขี่ยังแบกคนอยู่อีกคน แต่ กลับดูเหมือนว่าจะยังสลบอยู่

เข้ามาใกล้แล้ว พวกมู่ชิงเกอถึงได้มองเห็นชัดว่าคนที่สัตว์อสูรวิญญาณของเจี่ยงเทียนเฮ่าแบกไว้อีกคนก็คือ เจี่ยงเทียนอี้

เห็นคนของตระกูลเจี่ยงมาหา แผ่นหลังของฉินอี้เหยาก็แข็งทื่อขึ้นมา

“อย่ากลัว มีข้า”

“อย่ากลัว มีข้าอยู่”

เซิ่งอวี้หลีและมู่ชิงเกอออกเสียงออกมาพร้อมกัน ล้วนแต่เอ่ยกับฉินอี้เหยา

ในบรรดาพวกเขา คนที่พัวพันกับตระกูลเจี่ยงนั้นมีเพียงฉินอี้เหยา เซิ่งอวี้หลีก็จำได้ว่าในวันนั้นที่ป่าแห้งเหี่ยวนั้นเจี่ยงเทียนอี้ก็ต้องการจับตัวคน เคยพูดว่าฉินอี้เหยาคือคนร้ายที่ลอบฆ่าเขา

ทั้งสองคนที่พูดขึ้นพร้อมกันทำให้ต่างฝ่ายต่างชะงัก มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุกเล็กน้อย รู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องมากความแล้ว

นัยน์ตาของฉินอี้เหยาตกไปอยู่ที่ร่างของทั้งสองคนในที่สุดก็ยิ้มๆ กับมู่ชิงเกอว่า “มีเจ้าอยู่ ข้าไม่เคยกลัว”

คำตอบนี้ ทำให้เซิ่งอวี้หลีรู้สึกพ่ายแพ้ แต่ว่า ก็รู้สึกว่านี่ถึงจะเป็นปกติ ถ้าหากว่าฉินอี้เหยาเปลี่ยนมาอยู่ในอ้อมอกของเขาในทันที เช่นนั้นถึงจะทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ

มู่ชิงเกอกวาดตามองไปยังเซิ่งอวี้หลีแวบหนึ่ง ไม่ได้อธิบายมากความ แต่กลับเดินไปด้านหน้าหนึ่งก้าว เอ่ยกับเจี่ยงเทียนเฮ่าว่า “เจ้ามาหาข้างั้นรึ?”

เจี่ยงเทียนเฮ่านึ่งอยู่บนสัตว์อสูรวิญญาณ ก้มลงมองพวกเขาจากที่สูง

นัยน์ตาของเขาตกลงบนร่างของมู่ชิงเกอ เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เรื่องของตระกูลเล่อ เป็นเจ้าร่วมมือกับตระกูลเซิ่งใช่ไหม?”

มู่ชิงเกอมองเขา ไม่ได้พูดอะไร เซิ่งอวี้หลีระมัดระวังตัวขึ้นมา ไม่รู้ว่าเจี่ยงเทียนเฮ่าอยากจะทำอะไร

“เจ้ากับเซิ่งอวี้หลีจากไปด้วยกัน ไปตระกูลเซิ่ง ในคืนวันนั้นตระกูลเล่อก็เกิดเรื่องขึ้น เล่ออิ๋งตาย ผู้เฒ่าตระกูลเจี่ยงของข้าสืบแล้ว กลิ่นอายที่ตกค้างอยู่ก็มีของตระกู ลเซิ่ง นอกจากเจ้ากับตระกูลเซิ่งร่วมมือกัน ข้าก็คิดไม่ออกว่าจะมีทางอื่นอีกที่จะสามารถทำให้ตระกูลเล่อล่มสลายภายในคืนเดียวได้ แต่ว่าเจ้าที่มีความสามารถที่ยิ่ง ใหญ่ขนาดได้ ก็ทำให้ข้ารู้สึกสนใจจริงๆ”

เขาแน่ใจในการคาดเดาของตัวเองมากและก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากมู่ชิงเกอหรือว่าเซิ่งอวี้หลี ความมั่นใจเช่นนี้ มาจากความหยิ่งทะนงของเขาเอง ความหยิ่งทะนงเช่นนี้ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่พลังฝึกปรือสูงตํ่า แต่เป็นจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ของผู้แข็งแกร่ง เกรงว่าหากผู้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าของเขาในตอนนี้ไม่ใช่มู่ชิงเกอ แต่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับสีเงินหรือระดับสีทอง เขาก็จะไม่เผยความอ่อนแอออกมา

“เจ้ามาก็เพื่อถามข้าประโยคนี้?” มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยขึ้น เจี่ยงเทียนเฮ่าผู้นี้นางมีความรู้สึกชื่นชมอยู่หลายส่วน

“แน่นอนว่าไม่ใช่” เจี่ยงเทียนเฮ่ายกอาวุธในมือชี้มาที่ฉินอี้เหยา เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “นางเป็นคนที่ลอบฆ่าน้องชายของข้าใช่หรือไม่?”

เห็นปลายหอกของเขาชี้มาที่ฉินอี้เหยา มู่ชิงเกอก็ขมวดคิ้วขึ้นมา

แต่ว่า เจี่ยงเทียนเฮ่ากลับไม่สนเขากับเซิ่งอวี้หลี เอ่ยกับฉินอี้เหยาตรงๆ ว่า “เจ้ากับน้องชายของข้ามีความแค้นอะไรกัน?”

ฉินอี้เหยาตอบว่า “ความแค้นนั้นไม่สามารถพูดได้ เพียงแต่เขาทำร้ายคนที่มีบุญคุณกับข้าแล้วข้าจะต้องแก้แค้นแทนผู้มีพระคุณก็เท่านั้น”

“ถือว่ามีความกล้าทีเดียว” เจี่ยงเทียนเฮ่าเก็บอาวุธที่ชี้ฉินอี้เหยากลับ

เขาหันมามองมู่ชิงเกออีกครั้ง เอ่ยกับนางว่า “เจ้ากับข้า มาประลองกันรอบหนึ่ง หากชนะข้าแล้ว ข้าจะตัดขาของเจี่ยงเทียนอี้เอง สะสางความแค้นระหว่างพวกเจ้า หากว่าแพ้ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องทิ้งแขนข้างที่ผู้หญิงคนนั้นใช้ลอบฆ่าน้องชายของข้าเอาไว้ เจ้ากล้าหรือไม่?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version