Skip to content

พลิกปฐพี 237

ตอนที่ 237

สู้เพื่อนาง! เข้าหอสรรพสิ่งอีกครั้ง

“เจ้ากับข้าสู้กันแบบสุดกำลังความสามารถ หากเจ้าเอาชนะข้าได้ข้าจะตัดขาเจี่ยงเทียนอี้ด้วยมือตัวเอง จบสิ้นความแค้นระหว่างพวกเขา แต่หากเจ้าแพ้ เจ้าก็ต้องทิ้งมือของสตรีผู้นี้ที่ลอบสังหารน้องชายข้าเอาไว้ เจ้ากล้าหรือว่าไม่กล้า?” เจี่ยงเทียนเฮ่ามองมู่ชิงเกอตั้งแต่หัวจรดเท้าเอ่ยถามขึ้น

กล้า หรือไม่กล้า?

มู่ชิงเกอเลิกหางคิ้วน้อยๆ สายตาที่มองเจี่ยงเทียนเฮ่า เพิ่มความชื่นชมขึ้นส่วนหนึ่ง “นายน้อยเจี่ยงคิดว่าใจแข็งพอที่จะลงมือตัดขาน้องชายตนเองหรือว่าเชื่อมั่นว่าตนเองจะไม่พ่ายแพ้กันแน่?”

ฉินอี้เหยาผุดลุกขึ้นเอ่ยกับเจี่ยงเทียนเฮ่าว่า “เรื่องระหว่างข้ากับตระกูลเจี่ยงของเจ้า เหตุใดต้องไปลำบากเขากันเล่า? หากต้องการประลอง ข้าจะประลองกับเจ้า

เอง! ”

“เจ้า?” เจี่ยงเทียนเฮ่าปรายตามองฉินอี้เหยา ฉายให้เห็นแววตาไม่สนใจไยดีอย่างไม่ปิดบัง

เพียงแวบเดียว เขาก็ตวัดสายตากลับไปมองมู่ชิงเกออีกครั้ง “กำลังและความเชื่อมั่นข้านั้นมีเต็มเปียม ตอนนี้ต้องดูที่ความใจกล้าของเจ้าแล้ว”

“เจี่ยงเทียนเฮ่า ข้าประลองกับเจ้าเอง!” เซิ่งอวี้หลีลุกขึ้นกันฉินอี้เหยาไว้ด้านหลังพลางเชิดหน้าเอ่ยกับเจี่ยงเทียนเฮ่า

แต่ว่า เจี่ยงเทียนเฮ่ากลับเอ่ยด้วยความหยามหมิ่น “เจ้า ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”

“เจ้า!” เซิ่งอวี้หลีสบถด้วยความโกรธ

แต่ว่าไม่รอให้เขาได้เอ่ยปาก มู่ชิงเกอก็ยกมือขึ้นปรามเอาไว้หันมากล่าวกับฉินอี้เหยาและเขาว่า “เป้าหมายของเขาคือข้า คนอื่นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น”

ผู้ที่เจี่ยงเทียนเฮ่าสนใจตั้งแต่ทีแรกนั้นไม่ใช่ฉินอี้เหยา แต่เป็นนาง

ยกเรื่องของฉินอี้เหยาขึ้นมาพูด ก็เป็นเพียงข้ออ้างที่จะสู้กับนาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้

“ได้ เจ้าคิดจะประลองอย่างไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยกับเจี่ยงเทียนเฮ่า

“ประลองอย่างไร เจ้าตัดสินใจได้เลย” เจี่ยงเทียนเฮ่าเอ่ยอย่างมั่นใจในตนเอง ราวกับเขาสนใจว่ามู่ชิงเกอจะใช้ลูกเล่นอะไรมาเอาชนะเขาหรือไม่ นี่จะต้องมีความมั่นใจในระดับไหนกันถึงได้ไม่เห็นความสำคัญเพียงนี้?

มู่ชิงเกอนึกขันอยู่ในใจ ความมั่นใจของเจี่ยงเทียนเฮ่า กระตุ้นใจนักสู้ของนาง นางก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า เขา เพียงแค่ปากกล้าหรือมีพลังความสามารถให้ยโสกันแน่

“เช่นนั้นก็จู่โจมเต็มที่ ใครคว้าสิ่งของบนตัวฝ่ายตรงข้ามได้ก่อนถือเป็นผู้ชนะ” มู่ชิงเกอเอ่ยปาก

สายตาเจี่ยงเทียนเฮ่าขรึมลงคว้ายุทธภัณฑ์ขึ้นมา กระโดดพุ่งตัวราวสัตว์อสูรเข้าใส่มู่ชิงเกอ

ท่าทางการเปิดศึกโดยไม่มีคำกล่าวทักทายทำเอาสายตาที่ฉายแววนึกสนุกของมู่ชิงเกอเข้มขึ้นกว่าเดิม นางออกฝ่าเท้าท่าก้าวดาราก่อกำเนิด เกิดเป็นเงาภาพ

สายหนึ่งบนพื้น ตัวคนกลับมาปรากฏอยู่ด้านหลังเจี่ยงเทียนเฮ่า กำทวนหลิงหลงเอาไว้

เมื่อเจี่ยงเทียนเฮ่าโจมตีใส่ความว่างเปล่าก็ไม่ละความมุ่งมั่น หมุนตัวกลับมาฉับพลัน หอกยาวที่อยู่ในมือวาดเป็นแนวนอน เกิดเสียงดังแหวกอากาศ

เขาพุ่งใส่มู่ชิงเกอ การสู้รบอันดุเดือดกลางอากาศของทั้งสอง กลายเป็นเงารางๆ สองสายจนเห็นไม่ชัด

เสียงการสู้รบอันดุเดือดแว่วมาไม่ขาดสาย เกลียวคลื่นพลังโหมซัดกรวดหินดินทรายบนพื้นปลิวว่อน พัดจนผู้คนที่ยืนอยู่ที่พื้นไม่หยุดที่จะถอยร่นไปข้างหลัง คลื่นพลัง เฉียบคมราวกับมีดบินฟันก้อนหิน ตัดต้นหญ้า ฟาดเป็นร่องรอยมากมายบนพื้น

ครืน ครืน ครืน!

เสียงคลื่นพลังดังลงมา แววตาเซิ่งอวี้หลีหดเกร็ง จับข้อมือฉินอี้เหยาแน่น พานางถอยเท้าไปข้างหลังทันที พวกเขาพอจากไป บริเวณพื้นที่ที่พวกเขาเคยยืนอยู่ก่อน หน้านี้ก็ถูกฟาดลงมาเป็นร่องลึก หลงเหลือร่องดินน่าหวาดเสียวรอยหนึ่งอยู่บนพื้น พอมองเห็น ‘ร่องดิน’ นั่นแล้วฉินอี้เหยาก็รู้สึกตื่นตระหนกอยู่ในใจเงียบๆ

ถึงแม้ว่านางจะมาถึงโลกแห่งยุคกลางเร็วอยู่บ้าง แต่ว่ายังไม่เคยได้สัมผัสกับการต่อสู้ระดับนี้

การจู่โจมของเจี่ยงเทียนเฮ่ารวดเร็วรุนแรงมากอีกทั้งไม่สนใจผลที่ตามมา และก็ไม่สนใจด้วยว่าจะไปทำร้ายใครหรือไม่ การลงมือที่โหดเหี้ยมทำเอานางเหงื่อตกแทนมู่ชิงเกอ

นางไม่รู้ว่า มู่ชิงเกอจะสามารถรับมือไหวหรือไม่!

“แม่นางฉิน ระวังหน่อย” เซิ่งอวี้หลียกมือขึ้นปัดป้องก้อนหินที่ร่วงลงมาให้ฉินอี้เหยา เอ่ยเตือนด้วยความห่วงใย

ฉินอี้เหยามองหน้าเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงแค่พยักหน้ารับ

ส่วนอีกด้านหนึ่ง จิงไห่ถูกการต่อสู้เบื้องหน้าทำเอาตะลึง ตาโตอ้าปากค้าง กระทั่งลืมไปว่าตนเองยืนอยู่ในที่อันตราย จนเสวี่ยหยาต้องลากเขาถอยออกมาอยู่

รอบนอกนั่นแหละเขาถึงได้รู้สึกตัว เอ่ยกับเสวี่ยหยา “ครูฝึกเก่งกาจยิ่งนัก!”

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยถอยมาอยู่รอบนอกตั้งแต่แรกแล้ว เลี่ยงการประสบภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด

พวกเขามั่นใจในตัวมู่ชิงเกออย่างไร้ข้อกังขา!

คุณชายจะพ่ายแพ้ได้อย่างไรกัน? เหอะ!

“ครูฝึกเก่งกาจจริงๆ!” จิงไห่พึมพำออกมาไม่หยุด

เขาย่อมมองการต่อสู้ของทั้งสองไม่ออก เพียงแต่ว่าการต่อสู้ที่เคลื่อนไหวเช่นนี้ในใจของเขาก็รู้สึกว่าร้ายกาจพอแล้ว

เสวี่ยหยากวาดตามองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงแค่เงยหน้าขึ้นจับจ้องไปยังทั้งสองคนที่โรมรันกันอยู่ ท่ามกลางแสงประกายระหว่างหอกยาวกับทวนเงินในตอนนั้นอาจหมายถึงแพ้ชนะ!

เจี่ยงเทียนเฮ่าเป็นคนรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์ที่สุดในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง พรสวรรค์ของเขาก้าวลํ้ารุ่นบิดา อายุยังน้อยก็มาถึงขั้นระดับพลังชั้นสีเทาขั้นที่ห้า

ในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงระดับนี้ เขาเป็นที่หนึ่งที่ควรยกย่องหรือแม้แต่พรสวรรค์ของเขาในเขตภาคใต้นี้ก็เป็นการมีอยู่หนึ่งคนในพันลี้

พรสวรรค์ที่เก่งกล้าทำให้เขามีความมั่นใจในตนเองอย่างมาก

ที่เขาท้าประลองวันนี้ เหตุผลส่วนใหญ่มาจากรู้สึกไม่ยอมรับเรื่องที่มู่ชิงเกอกวาดล้างตระกูลเล่อ ฆ่าล้างตระกูลเล่อภายในคืนเดียว ไม่ยอมรับว่าเป็นเพราะเรื่องนี้เขาคิดอยากทำแต่เขากลับทำไม่ได้!

มาวันนี้มีคนทำได้ เขาย่อมต้องมาท้าประลอง สู้กันให้รู้แพ้ชนะ!

เพียงแต่ว่าเวลานี้เสวี่ยหยาก็อ่านความคิดของเจี่ยงเทียนเฮ่าออก เหตุใดเขาถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ และยังเสนอเงื่อนไขโหดร้ายเช่นนี้

นางสามารถอ่านความคิดของผู้อื่นได้โดยง่าย แต่ทว่า นางกลับไม่สามารถอ่านใจของมู่ชิงเกอได้ออก

‘นายน้อยไม่ว่ายังไงก็เป็นนายน้อย? ในฐานะบ่าวรับใช้ ไม่มีความสามารถในการมองเข้าไปในใจของเจ้านายได้’ เสวี่ยหยาเอ่ยถามอยู่ภายในใจ ดวงตาไม่ละไปจากการต่อสู้กลางอากาศ

การโจมตีของเจี่ยงเทียนเฮ่ารวดเร็วดุดัน รุกชิดถอยห่าง เกิดเป็นพลังแสนแข็งแกร่งสามารถทำให้ผู้อื่นรู้สึกกดดัน ส่วนมู่ชิงเกอกลับเหมือนกับหินปะการังท่ามกลางคลื่นทะเล ไม่ว่าลมโชยฝนกระหน่ำ คลื่นทะเลซัดสาด นางก็ยังหนักแน่นไม่ไหวติง ราวกับเสาคํ้าสมุทรก็ไม่ปาน

อาวุธปะทะกันจนเกิดเป็นสะเก็ดไฟกระจายไปทั่ว เงาร่างของทั้งสองรวดเร็วจนจับทิศทางไม่ถูก

เซิ่งอวี้หลีมองดูการต่อสู้นี้สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปเคร่งขรึม เอ่ยเสียงทุ้ม “เขาแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน หากการแข่งขันจัดอันดับดำเนินการต่อไป เกรงว่าคนรุ่นหนุ่มสาวของตระกูลอื่นก็จะไม่มีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ของเขา”

สิ่งที่เขาเอ่ยออกมาถูกฉินอี้เหยาได้ยินเข้าเต็มหู สายตามองแผ่นหลังเขาแวบหนึ่งฉายให้เห็นความกังวล นางกำลังเป็นห่วงมู่ชิงเกอ เป็นห่วงว่านางจะสามารถรับมือกับการจู่โจมอันรวดเร็วดุดันนี้ได้อย่างไร?

จากนั้นนางก็มองไปยังบริเวณที่เสวี่ยหยากับจิงไห่ยืนอยู่ เห็นว่าเสวี่ยหยาก็กำลังมุ่งความสนใจจับจ้องที่ที่การต่อสู้กลางอากาศนั้นอยู่ ส่วนลึกของแววตานางเป็น ประกายความสิ้นหวัง

สามารถยืนอยู่ข้างกายนางได้อย่างไม่มีข้อกังขา ดีเหลือเกิน

ฉินอี้เหยาหลุบตาลงละสายตาแห่งความอิจฉา นางไม่ได้สนใจว่าตนเองจะโดนตัดมือขวาหรือไม่ นางสนใจเพียงแค่ว่ามู่ชิงเกอจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่

นางกำลังต่อสู้เพื่อตนเองอยู่

การรับรู้นี้ทำเอากระบอกตาของฉินอี้เหยาเปียกชื้น ขนตาหนาเป็นแพยาวของนางบดบังสายตาเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดได้เห็นนํ้าตารื่นในตานาง

ปัง ปัง!

การกระแทกอันรุนแรงครั้งต่อมา คลื่นพลังแพร่กระจายออกมาพุ่งใส่ผู้คนที่อยู่บนพื้น

ชายผ้าของเซิ่งอวี้หลี ฉินอี้เหยา เสวี่ยหยาและจิงไห่ปลิวสะบัด จนกระทั่งยืนไม่มั่นคง ส่วนเจี่ยงเทียนอี้ที่ถูกปล่อยไว้บนหลังสัตว์อสูรยิ่งน่าอนาถ ถูกพัดร่วงลงไปกับพื้นอย่างแรง

สัตว์อสูรรับแรงกดดันของการต่อสู้ไม่ไหว ร้องคำรามเสียงดัง ก่อนกระโจนหนีไปอย่างคลุ้มคลั่ง

ภาพระลอกคลื่นพลังแพร่กระจายตัดยอดไม้ของป่าเล็กๆ ด้านข้าง ใบไม้ร่วงราวพิรุณโปรยลงมาช่างสวยงามนัก ทว่ากลับดูไม่เหมาะกับสถานการณ์นัก

การต่อสู้นี้ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว

มู่ชิงเกอแทงทวนเข้าใส่

เจี่ยงเทียนเฮ่าไม่หลบเลยแม้แต่น้อยยกหอกยาวในมือแทงสวนใส่เขาเช่นกัน

เมื่อด้ามหอกกับปลายทวนปะทะกัน มู่ชิงเกอกลับเบี่ยงมือฉับพลัน หอกยาวและทวนหลิงหลงเสียดสีผ่านกัน เสียดสีกันจนเกิดเป็นสะเก็ดไฟ

ภายใต้พลังความรวดเร็วดุจฟ้าผ่าช่วงชิงจี้ที่หน้าอกของเจี่ยงเทียนเฮ่า

มู่ชิงเกอออกแรงตวัดที่ข้อมือ จี้ก็หลุดออกจากกายเจี่ยงเทียนเฮ่า นางฉวยโอกาสเบี่ยงตัวขึ้นหลบหอกยาวของเจี่ยงเทียนเฮ่า ตอนที่ทั้งสองปะทะและสวนกัน สายตาประสาน

แยกกันลงไปด้านข้าง การต่อสู้หยุดชะงักลง

มู่ชิงเกออยืนอยู่ด้านหน้าของพวกเซิ่งอวี้หลี ส่วนเจี่ยงเทียนเฮ่ากลับยืนอยู่ข้างๆ เจี่ยงเทียนอี้ที่นอนสลบไม่ได้สติอยู่ที่พื้น

“ชิงเกอ!” ฉินอี้เหยาอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องเรียกเบาๆ แต่ว่านางไม่ได้เดินขึ้นหน้ามา เพียงแค่ยืนอยู่กับที่ใช้สายตาสำรวจว่านางได้รับบาดเจ็บหรือไม่

หลังจากแน่ใจแล้วว่าบนชุดของนางไม่เสียหาย ไม่ได้รับบาดเจ็บ และลมหายใจยังเป็นปกติ จิตใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะของฉินอี้เหยาถึงปล่อยวาง

มู่ชิงเกอเก็บทวนหลิงหลง ยกมือซ้ายที่กำไว้แน่นขึ้นยื่นไปทางเจี่ยงเทียนเฮ่า

เจี่ยงเทียนเฮ่าเม้มมุมปากแน่นเป็นเส้นตรง โครงหน้ายิ่งฉายความดุดันชัดขึ้น

เขาจับจ้องไปยังมือซ้ายที่กำไว้ของมู่ชิงเกอ ในสายตามองไม่ออกว่ารู้สึกเช่นไร

มู่ชิงเกอแบมือซ้ายออก จี้อันหนึ่งอยู่กลางฝ่ามือของนาง ด้านหนึ่งของเชือกยังอยู่ในมือของนาง ส่วนที่หน้าอกของเจี่ยงเทียนเฮ่ายังหลงเหลือเชือกที่ตัดขาดอยู่ครึ่งหนึ่ง

แพ้ชนะเห็นกันอย่างชัดเจน!

“นายน้อยเจี่ยง ยอมรับเถอะ” มู่ชิงเกอโยนจี้ที่อยู่ในมือให้เจี่ยงเทียนเฮ่า

เจี่ยงเทียนเฮ่ายกมือขึ้นรับไว้มองของในมือแวบหนึ่ง เก็บเอาไว้อย่างเงียบๆ ไม่ส่งเสียงใดออกมา เขายกหอกยาวในมือขึ้นมา หัวหอกลงกับพื้นชี้ไปทางขาของเจี่ยงเทียนอี้ “กล้าพนันก็กล้าเสีย!”

จากนั้น หอกยาวในมือเขาก็ตวัด แสงเย็นยะเยือกสายหนึ่งตวัดผ่านเข่าข้างซ้ายของเจี่ยงเทียนอี้

“อ๊าก!” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นในทันใด

เจี่ยงเทียนอี้ที่อยู่ในอาการสลบไสลถูกความเจ็บปวดเล่นงานจนได้สติขึ้นมา

สีหน้าเขาซีดขาว เลือดสีแดงทะลักออกมาจากบาดแผลไม่หยุด เจี่ยงเทียนอี้ยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รู้สึกเพียงความเจ็บปวดบริเวณแผลของตนเองเท่านั้น เขาใช้สองมือกุมขาที่ขาดกลิ้งกับพื้นไปมา ส่วนเจี่ยงเทียนเฮ่ายังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า ราวกับว่าผู้ที่มีสีหน้าเจ็บปวดทรมานที่อยู่บนพื้นนั้นไม่ใช่น้องชายตนเองอย่างไรอย่างนั้น

มู่ชิงเกอเก็บสายตาตระหนกของตนเอง การกระทำของเจี่ยงเทียนเฮ่าช่างเกินความคาดหมายของนางไปจริงๆ ลงมือกับน้องชายตนเองเหี้ยมโหดเพียงนี้ คนเช่นนี้ไม่ใช่คนธรรมดา!

มู่ชิงเกอมองเซิ่งอวี้หลีคลับคล้ายมีเจตนาและไม่มีเจตนา เซิ่งอวี้หลีมีสีหน้าไม่น่าชมนัก

คิดว่า ตัวเขาเองก็ถูกการลงมืออันเหี้ยมโหดของเจี่ยงเทียนเฮ่าพาให้ตะลึง เมืองอวี้สุ่ยเฉิงมีคนเช่นเจี่ยงเทียนอี้เป็นโชคดีของตระกูลเจียงและก็เป็นโชคไม่ดีของตระกูลอื่น โดยเฉพาะกับตระกูลเซิ่งที่เพิ่งจัดการตระกูลเล่อไป หากไม่มีผู้ใด สามารถคานกับเจี่ยงเทียนเฮ่าได้ เกรงว่า…

ในดวงตาของเซิ่งอวี้หลี เริ่มต้นที่ตื่นตระหนกจากนั้นค่อยๆ เปลี่ยนไปแน่วแน่ขึ้นมา

ดูท่าว่าเขาเองก็เข้าใจในจุดนี้

ฉินอี้เหยาเม้มปากมองดูเจี่ยงเทียนอี้ไม่กล่าวสิ่งใดออกมา นางเข้าใจว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่นางจะพูดอะไรได้

สายตาของมู่ชิงเกอหยุดอยู่ที่เจี่ยงเทียนเฮ่า นางไม่เข้าใจอยู่บ้างว่าผู้ที่อยู่บนพื้นผู้นั้นมิใช่น้องชายแท้ๆ ของเจี่ยงเทียนเฮ่าหรือ?

สีหน้าของโย่วเหอและฮวาเยวี่ยก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร ไม่ใช่ว่าพวกนางไม่เคยเห็นเลือด เพียงแต่รู้สึกแปลกใจระคนสงสัย กับความอำมหิตของเจี่ยงเทียนเฮ่าอยู่บ้าง

ก็เหมือนกับสิ่งที่จิงไห่คิดอยู่ในใจ

เจี่ยงเทียนอี้เป็นน้องชายร่วมบิดามารดาเดียวกันกับเจี่ยงเทียนเฮ่า!

แต่กับเสวี่ยหยากลับเห็นชัดว่านางมีสีหน้านิ่งเฉย ราวกับว่านางรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า เจี่ยงเทียนเฮ่าเป็นคนเช่นไร

เจี่ยงเทียนเฮ่าก็มองมาที่นางเช่นกัน เอ่ยด้วยความเย็นชา “กล้าพนันก็กล้าเสีย! จากนี้เป็นต้นไปบุญคุณความแค้นระหว่างเจี่ยงเทียนอี้กับสตรีผู้นั้นถือว่าลบล้างกันไป ไม่ว่าใครในตระกูลเจี่ยงก็จะไม่ไปหาเรื่องนางอีก”

พูดจบ เขาก็ส่งเสียงดังชัดเจน ไม่นานสัตว์อสูรที่หนีไปก่อนหน้านี้ก็หวนกลับมา

เจี่ยงเทียนเฮ่ายกเจี่ยงเทียนอี้ขึ้นไปบนสัตว์อสูร หมุนกายจากไป ทิ้งไว้เพียงท่อนขาที่เปื้อนเศษฝุ่นอยู่กับพื้น จวบจนเงาร่างของเจี่ยงเทียนเฮ่าหายไป มู่ชิงเกอถึงได้ หันกลับมามองเซิ่งอวี้หลีกับฉินอี้เหยา

“วันนี้ทำให้ข้าได้เปิดตาเห็นตัวตนที่แท้จริงของเจี่ยงเทียนเฮ่า” เซิ่งอวี้หลีเอ่ยกับมู่ชิงเกอ ในเมื่อเขาเองก็รู้สึกระแวดระวัง มู่ชิงเกอก็ไม่จำเป็นต้องพูดมาก หลังจากพยักหน้าลงเล็กน้อยโดยแทบไม่ทันสังเกต นางก็มองหน้าฉินอี้เหยาและเอ่ยกับนางว่า “เรื่องนี้จบแล้ว ดูแลตนเองให้ดี”

ฉินอี้เหยาพยักหน้า มู่ชิงเกอละสายตากลับไป หมุนตัวเดินไปอยู่ข้างๆ โย่วเหอ ฮวาเยวี่ย เสวี่ยหยาและจิงไห่ เอ่ยกับจิงไห่ที่ยังอยู่ในอาการตะลึงว่า “ไปกันเถอะ”

ทั้งห้าคนเดินจากไปช้าๆ ค่อยๆ หายไปจนสุดสายตาเซิ่งอวี้หลีกับฉินอี้เหยา

ฉินอี้เหยายังคงปักหลักยืนอยู่กับที่ราวกับรูปสลัก มองไปยังทิศทางที่มู่ชิงเกอจากไปเนิ่นนานอย่างใจลอย เซิ่งอวี้หลีก็ไม่ได้รบกวนนางแต่อย่างใด เพียงแค่อยู่เคียงข้างนาง

ฉินอี้เหยามองไปทางทิศที่มู่ชิงเกอจากไป ส่วนตัวเขาก็มองนาง

เจี่ยงเทียนเฮ่าพาเจี่ยงเทียนอี้กลับมาที่เมืองอวี๋สุ่ยเฉิง เมื่อมาถึงจวนตระกูลเจี่ยง เจี่ยงเทียนอี้ก็ได้สลบไปเพราะความเจ็บปวดจากบาดแผล ทำการห้ามเลือดเป็นที่เรียบร้อยแล้วแต่ก็ต้องยอมรับว่าต่อจากนี้จะต้องใช้ชีวิตอย่างคนพิกลพิการตลอดไป

เจี่ยงเทียนเฮ่ากระโดดลงจากสัตว์อสูร ส่งตัวเจี่ยงเทียนอี้ให้กับบ่าวรับใช้ในจวน จากนั้นก็เอ่ยอย่างเยือกเย็นเป็นที่สุดออกมาประโยคหนึ่ง “เอาสัตว์เลี้ยงตัวนี้ไปฆ่าทิ้งซะ เลาะเนื้อออกเป็นชิ้นแล้วโยนออกไป”

บ่าวรับใช้ตื่นตระหนก “นายน้อย นี่เป็นสัตว์อสูรที่ท่านชอบที่สุดมิใช่หรือขอรับ!”

เจี่ยงเทียนเฮ่ากลับเอ่ยขึ้นอย่างไร้เยื่อใย “เจ้านายอยู่ระหว่างการต่อสู้มันกลับหันหลังหนีไปจากเจ้านายเพราะความหวาดกลัว จะเก็บมันไว้ทำไม? ฆ่าทิ้งซะ”

พูดจบ เขาก็เดินกลับเข้าไปในจวนตระกูลเจี่ยง

ไม่ว่าสัตว์อสูรด้านหลังเขาจะส่งเสียงอ้อนวอนร้องขอความเมตตาเพียงไร เขาก็ไม่เปลี่ยนใจ!

กลับไปที่เรือนตนเอง หลังจากที่เจี่ยงเทียนเฮ่าสั่งให้ทุกคนออกไปจากแล้ว ก็ควักจี้ที่ถูกมู่ชิงเกอช่วงชิงไปจากในอก

เขาค่อยๆ กำจี้ที่อยู่ในมือไว้แน่น เอ่ยกับตนเอง “ต้องมีสักวันที่ข้าจะได้พบเจ้าอีกครั้ง แล้วเอาชนะเจ้าให้ได้!”

นอกเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง ยังคงเหลือร่องรอยของการต่อสู้ เพียงแต่คนกลับจากไปนานแล้ว

ในที่สุดฉินอี้เหยาก็ตื่นจากภวังค์นางหันกลับมามอง

เซิ่งอวี้หลีที่อยู่ข้างๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของโฉมงามที่ทอดมองมา เซิ่งอวี้หลีก็รีบดีดตัวยืดหลังตรง

ดวงตาคู่งามสุกสกาวของฉินอี้เหยาจับจ้องมาที่เขาเนิ่นนานก่อนจะกล่าวว่า “ท่านก็รู้ว่าข้ามีผู้ที่อยู่ในใจ บางทีชั่วชีวิตนี้อาจจะไม่ลืมตลอดไป”

เซิ่งอวี้หลีพยักหน้า ในสายตามีความจำยอมอยู่บ้าง เขาไม่สามารถพบเจอกับฉินอี้เหยาในเวลาที่ดีที่สุด พลาดอดีตของนาง แล้วยังจะไปติดใจอันใด?

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านยังจะสิ้นเปลืองความคิดกับข้าไปทำไม?” ฉินอี้เหยาถาม

เซิ่งอวี้หลีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อพวกเจ้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน ย่อมต้องมีเหตุผลที่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันอย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดข้าจึงไม่สามารถช่วงชิงสักรอบได้?”

“ถูกต้อง! พวกเรามีเหตุผลที่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้” สายตาฉินอี้เหยาเป็นประกายเลื่อนลอย

นางกลืนความชอกชํ้าในดวงตา เอ่ยกับเซิ่งอวี้หลีว่า “สิ่งที่ท่านทุ่มเทไม่แน่ว่าจะมีสิ่งตอบแทน”

“ข้าไม่สนใจ ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วเจ้าจะไม่เลือกข้า ข้าก็จะไม่กล่าวโทษ” เซิ่งอวี้หลีแสดงจุดยืนของตน

ฉินอี้เหยาตะลึง เอ่ยยั่วเย้าว่า “การทุ่มเทที่ไม่ขอการตอบแทน มีอยู่จริงบนโลกนี้หรือ?”

เซิ่งอวี้หลีร้อนรนเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าจะไม่เชื่อก็ได้ แต่ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าได้เห็น”

ฉินอี้เหยาละสายตาจากไปมองที่อื่น ไม่มองหน้าเขา

เซิ่งอวี้หลีขบเม้มริมฝีปาก เอ่ยด้วยความหนักแน่น “ข้ารู้ ว่าที่เจ้าตกลงที่จะอยู่ต่อเพื่อให้เขาเดินทางปลอดภัยโดยไม่ต้องเป็นกังวล ข้าไม่รู้ว่าในวันหนึ่งเหตุใดจึงทำให้เจ้าเปลี่ยนความตั้งใจที่ต้องการจะจากไปพร้อมเขา แต่ว่าความรู้สึกของข้าเป็นของจริง ไม่ว่าในอนาคตเจ้าจะอยู่ต่อหรือจากไปข้าก็ไม่ฉุดรั้งเจ้าและก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ”

ฉินอี้เหยาทอดสายตามองมาที่เขาอีกครั้ง ผ่านไปเพียงชั่วครู่จึงเอ่ยขึ้นว่า “ไปกันเถอะ ตอนนี้ข้าต้องการสถานที่ปักหลักชั่วคราวครึ่งปี หลังครึ่งปีข้าจะไปจากที่นี่ ภาย ในช่วงครึ่งปีนี้หากมีอะไรต้องการให้ข้าทำและข้าสามารถทำอะไรได้ให้เอ่ยปากบอกข้าได้เลยถือว่าเป็นการตอบแทนที่ข้าอาศัยอยู่จวนตระกูลเซิ่ง”

นางที่แบ่งเส้นชัดเจน ทำให้เซิ่งอวี้หลีชํ้าใจอยู่บ้างแต่ยังคงฝืนยิ้มพยักหน้ารับตามนั้น

มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของฉินอี้เหยากำขวดยาที่มู่ชิงเกอมอบไว้ให้แน่น

‘สามเดือน นางบอกว่าสามเดือนก็สามารถทำให้ปัญหาภายในร่างกายตนเองหมดไป จากนั้นใช้เวลาอีกสามเดือนยกระดับพลังยุทธ์ที่กดอัดมาตลอด คว้าความ สามารถในการปกป้องดูแลตนเอง! จากนั้นก็ถึงเวลาที่ต้องจากไป’

นางไม่เคยคิดจะใช้ประโยชน์จากความรู้สึกของเซิ่งอวี้หลีรั้งอยู่ที่ตระกูลเซิ่งต่อ

จากที่นางมองดู เซิ่งอวี้หลีควรได้รับความรู้สึกที่เป็นของเขา และนั่นก็ไม่ใช่จากตัวนาง

ท่ามกลางความสับสน เงาร่างสีทองร่ายรำอยู่ด้านหน้า มู่ชิงเกอฝึกพลังยุทธ์ตามเงาร่างสีทองนั่น

ทันใดนั่นพลังในตัวนางก็เริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมา พุ่งใส่ แขนขาองคาพยพของนางไม่หยุดทำให้ร่างกายของนางกลายเป็นก้อนกลมๆ

ปัง!

เสียงดังสนั่น ร่างกายของนางระเบิดเป็นผงธุลี เลือดเนื้อร่วงลงสู่พื้น

เฮือก!

ภายในห้องที่เงียบสงบ มู่ชิงเกอสะดุ้งตื่นจากฝัน เหงื่อเย็นเปียกสันหลังชุ่ม

นั่งลงบนเตียง นางพยายามควบคุมหัวใจที่เต้นรัวอย่างบ้าคลั่งให้สงบลง

นี่เป็นความฝันครั้งที่เท่าไรแล้ว? แม้ว่าเป็นความฝัน แต่นางก็รู้สึกถึงตอนที่ร่างกายระเบิดได้อย่างชัดเจนราวกับมันเป็นเรื่องจริง

อย่าลืมว่าชาติที่แล้วนางก็ตายในระเบิด

ความรู้สึกยามร่างกายแหลกละเอียดยังคงเด่นชัดในความทรงจำของนาง

ลมหายใจค่อยๆ กลับเป็นปกติ มู่ชิงเกอจมอยู่ในความคิด หวนนึกถึงอย่างละเอียด ราวกับว่าหลังจากที่นางสนใจเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนในครั้งนั้น นางก็เริ่มฝันเช่น นี้อย่างต่อเนื่อง

เป็นเช่นนี้แทบจะทุกคืน ขอเพียงนางเข้าสู่การฝึกพลังยุทธ์สุดท้ายแล้วก็จะหลับไปอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็จะฝันว่าตนเองฝึกพลังยุทธ์ตามวิธีการฝึกพลังยุทธ์ในเคล็ดวิชาเทวะส่วนบน สุดท้ายก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาท่ามกลางภาพที่ร่างกายระเบิดออก

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วถามตนเอง

สายตาของนางกวาดตามองไปที่กระดิ่งข้างเอว กระดิ่งเงียบสนิทเหมือนกับว่าจะไม่ได้ส่งเสียงมาช่วงหนึ่งแล้ว

‘เขากำลังยุ่งอะไรอยู่นะ?’ ปลายนิ้วของมู่ชิงเกอลาก

ผ่านกระดิ่งเบาๆ กระดิ่งสีทองสั่นไหวขึ้นทันใดเกิดเป็นเสียงดังชัดเจน

เสียงของกระดิ่งปัดเป่าหมอกควันที่อยู่ภายในจิตใจของ มู่ชิงเกอ

นางอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มมุมปาก นำกระดิ่งมาวางไว้บนมือเขย่าเบาๆ

กริ๊ง!

เสียงของกระดิ่งกรีดผ่านการกั้นขวางของเวลาส่งไปยังอีกด้านหนึ่ง

ไม่ทันไร กระดิ่งในมือของมู่ชิงเกอก็ส่งเสียงดังออกมาไม่ขาดสาย

กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง!

เสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มู่ชิงเกอเริ่มอารมณ์ดีมีความสุข แม้แต่หางคิ้วก็ฉายแววยินดี เพราะนางจำได้ว่าเคยมีใครบางคนบอกเอาไว้ว่า หากกระดิ่งดังตลอดก็หมายถึงว่าเขาคิดถึงนางมากๆ ลองนับดูแล้วหลังจากที่ออกจากหลินชวนมา พวกนางก็ไม่ได้พบหน้ากันมาเป็นปีแล้ว

มู่ชิงเกอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เอากระดิ่งลง สงบสติอารมณ์

เมื่อปรารถนาจะเดินไปอยู่ข้างกายเขา สามารถร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เขาได้เร็วๆ เช่นนั้นนางก็จะต้องเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว นางไม่ปรารถนาที่จะอยู่ภายใต้ปีกของเขา กลายเป็นคู่ที่ต้องการการปกป้อง

สิ่งที่นางต้องทำคือเป็นสตรีที่สามารถเดินและรบเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเขา เผชิญหน้าและฝ่าฟันทุกอย่างไปด้วยกัน!

มู่ชิงเกอนำหม้อปรุงยาออกมา รวบรวมจิตใจให้สงบลง มือหลอมยา

การรักษาอาการบาดเจ็บภายในของซือมั่วจำเป็นต้องใช้โอสถระดับมหาเทพ ในจุดนี้นางไม่มีทางลืมและก็กำลังพยายามเพื่อสิ่งนี้อยู่ เมื่อยาหม้อแรกเสร็จสิ้น ท้องฟ้าก็สว่างมากแล้ว มู่ชิงเกอเก็บหม้อหลอมยาเรียบร้อยแล้วลุกขึ้นยืดเส้นยืด สาย ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู

“เข้ามาได้” ส่งเสียงบอกออกไป ประตูก็ถูกเปิดออก ผู้ที่เข้ามาคือฮวาเยวี่ย นางยกอ่างล้างหน้าไว้ในมือเพื่อมาปรนนิบิตมู่ชิงเกอล้างหน้าทำความสะอาด

“คุณชาย โย่วเหอกำลังเตรียมอาหารเช้า บ่าวมาปรนนิบัติท่านล้างหน้าก่อนเจ้าค่ะ” ฮวาเยวี่ยวางอ่างไว้บนชั้นพลางเอ่ยรายงานมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอเดินไปถกแขนเสื้อ หลังจากใช้น้ำสะอาดล้างหน้าและใช้ผงขัดฟันบ้วนปากแล้วจึงรับนํ้าชาอุ่นกระเพาะที่ฮวาเยวี่ยยื่นมาให้

ดื่มชาลงไปหนึ่งอึก มู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าร่างกายสดชื่นขึ้นมาก

ความรู้สึกว่าร่างกายระเบิดฉีกขาดก็ถูกขจัดไป ร่างกายรู้สึกอบอุ่น

ส่งจอกชาคืนให้ฮวาเยวี่ย นางก็เอ่ยถาม “เสวี่ยหยากับจิงไห่ล่ะ?”

ฮวาเยวี่ยเอ่ยตอบ “แม่นางเสวี่ยหยาออกไปข้างนอก ตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ เหมือนว่าจะไปสืบข่าวเรื่องที่คุณชายกำชับ ส่วนจิงไห่ยังคงฝึกพลังยุทธ์ไม่ได้ออกมาเจ้าค่ะ”

มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว เอ่ยขึ้นยิ้มๆ “คล้ายกับว่าช่วงนี้เจ้าหนุ่มน้อยนี่จะขยันขันแข็ง”

ฮวาเยวี่ยหัวเราะเล็กน้อยแต่มิได้เอ่ยสิ่งใด

มู่ชิงเกอครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “พวกเราออกจากเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงมานานเพียงใดแล้ว?”

“หนึ่งเดือนได้เจ้าค่ะ” ฮวาเยวี่ยตอบอย่างว่องไว

“หนึ่งเดือน” มู่ชิงเกอเอ่ยพึมพำขึ้นหนึ่งรอบ ระยะเวลาหนึ่งเดือนมานี้นางมุ่งหน้าเดินทางไปยังฝั่งตะวันตกของโลกแห่งยุคกลางไม่หยุดหย่อน เพราะว่าตระกูลซางของมารดาอยู่ที่ภาคตะวันตกของโลกแห่งยุคกลาง แต่ในเวลาเดียวกันระหว่างทางนางก็สืบข่าวของมู่ยี่ไปด้วย ตอนแรกเรื่องที่นางรับปากฟ่งอวี๋เฟยถึงเวลาที่ต้องทำตามสัญญาแล้ว

สืบข่าวมู่ยี่ นางใช้วิธีเดียวกับสืบข่าวตระกูลเล่อ ไปซื้อข่าวที่กลุ่มของพวกหลิวเค่อ นางให้เสวี่ยหยาไปเดินเที่ยวที่กลุ่มของเหล่าหลิวเค่อแทบจะทุกเมืองที่ผ่าน

แต่ว่าข่าวที่ได้รับกลับมาไม่ราบรื่นเช่นของตระกูลเล่อ

เพราะว่าตระกูลมู่*ในโลกแห่งยุคกลางนี้ไม่ได้มีเพียงตระกูลเดียว ส่วนชื่อมู่ยี่ก็ไม่ถือว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงอะไรในโลกแห่งยุคกลางนี้

จนถึงตอนนี้ มู่ชิงเกอยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าตระกูลมู่อยู่ที่เขตภาคใต้หรือไม่

ตอนนี้นางทำได้เพียงเดินทางหาไปเรื่อยๆ ตามทาง

หาที่ภาคใต้ไม่เจอ ก็ไปที่ภาคตะวันตก หากยังหาไม่เจอ อีกก็ไปที่ภาคตะวันออก ภาคเหนือหรือไปยังภาคกลาง ไม่ว่าอย่างไรนางจะต้องมีอะไรไปบอกกับฟ่งอวี๋เฟย!

โย่วเหอยกสำรับอาหารเช้าเข้ามา เป็นอาหารที่มู่ชิงเกอคุ้นชิน

มู่ชิงเกอพักความคิดลิ้มรสอย่างพิถีพิถัน หลังจากกินเสร็จนางก็กำชับโย่วเหอให้นำไปให้จิงไห่ชุดหนึ่ง

โย่วเหอเพิ่งออกไป เสวี่ยหยาก็กลับมา

“เป็นเช่นไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

เสวี่ยหยานำจดหมายสามฉบับออกมาส่งให้มู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอรับมาเปิดออกดู

“คุณชาย ที่กลุ่มของพวกหลิวเค่อแห่งนี้ข้าได้ข้อมูลของตระกูลมู่มาสามตระกูล แต่ข้าไม่สามารถตัดออกได้” เสวี่ยหยากล่าว

มู่ชิงเกอหลุบตาลงมองจดหมายที่อยู่ในมือ มีจดหมายฉบับหนึ่งที่ทำให้ตานางเป็นประกาย

ข้างบนนั้นเขียนว่า ตระกูลมู่ที่เขตภาคใต้เมืองหลานอูเฉิง เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนเกิดสงครามตระกูลครั้งใหญ่ เป็นการแย่งชิงการควบคุมอำนาจของตระกูลระหว่าง สายหลักกับสายรอง

จุดนี้สอดคล้องกับที่ฟ่งอวี๋เฟยบรรยายอยู่บ้าง

นางเคยบอกว่าเหตุที่มู่ยี่ไปหลินชวนก็เพราะหนีสงครามของตระกูล ส่วนคนที่ตามเขามานั้นคล้ายกับเคียดแค้นเขาเป็นนักหนา ถึงแม้มู่ยี่จะปล่อยวางการแย่งชิง อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อยเขาไป

“เอาแผนที่ขึ้นมา” มู่ชิงเกอสั่งความขึ้นหนึ่งประโยค

เสวี่ยหยาเอาแผนที่ภาคใต้ขึ้นมาทันที กางบนโต๊ะตรงหน้ามู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอลากปลายนิ้วบนแผนที่เบาๆ กำหนดตำแหน่ง เมืองหลานอูเฉิงอย่างรวดเร็ว เมืองหลานอูเฉิงตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเขตภาคใต้ อยู่ใกล้กับภาคตะวันตก จุดนี้เป็นทางที่มู่ชิงเกอจะไปพอดี

ทันใดนั้นนางก็ขมวดคิ้วแน่น มองเสวี่ยหยาแล้วเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าตอนที่ผ่านเมืองก่อนหน้านี้ มีคนบอกว่าหอสรรพสิ่งมีสาขาหนึ่งอยู่ที่เมืองหลานอูเฉิง?”

เสวี่ยหยานึกอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า

ทำให้มู่ชิงเกอมีแววครุ่นคิดในแววตา

ตอนแรกที่นางได้รับแผนที่โลกแห่งยุคกลางภาคตะวันตกจากมือของหานฉายไฉ่ ยังค้างโอสถจักรพรรดิเม็ดหนึ่ง ตอนนี้ก็จะถึงเวลาส่งโอสถได้แล้ว เมื่อจัดการเรื่องที่ค้างผู้อื่นไว้จนหมดสิ้น นางก็จะได้จัดการเรื่องของตนเอง!

นิ่งไปชั่วขณะ มู่ชิงเกอก็กำหมัดวางบนแผนที่เมืองหลานอูเฉิง สายตาเป็นประกายรุ่งโรจน์พลางเอ่ยขึ้นว่า “สถานีต่อไปเมืองหลานอูเฉิง หวังว่าพวกเราจะโชคดี ตระกูลมู่ที่นั่นเป็นตระกูลเดียวกับที่เราตามหา”

เสวี่ยหยาเม้มปากเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “นายน้อย วันนี้ที่ข้าไปกลุ่มของพวกหลิวเค่อยังมีอีกหนึ่งข่าว”

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วมองหน้านาง รอฟังประโยคถัดไป

เสวี่ยหยาเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้หัวข้อที่ทุกคนกำลังกล่าวขานอยู่ในตอนนี้คือกองกำลังหลิวเค่อที่จู่ๆ ปรากฎตัวขึ้นมา ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือน จากที่ไม่มี ระดับกระโดดไปเป็นกองกำลังหลิวเค่อระดับทมิฬ อีกทั้งภารกิจที่รับไม่เคยพลาดมือมาก่อนชื่อของกองกำลังหลิวเค่อกลุ่มนั้นก็คือเขี้ยวมังกร”

มู่ชิงเกอยกมุมปากยิ้มๆ เผยรอยยิ้มที่คาดเดาไว้อยู่แล้ว ตอนที่เสวี่ยหยาเอ่ยขึ้นมา นางก็เดาคำตอบได้อยู่แล้ว ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน พวกมั่วหยางกลายเป็นกองกำลังหลิวเค่อระดับทมิฬ ในสายตาของผู้อื่นมองว่าเป็นเรื่องสุดยอด แต่สำหรับนางแล้วก็สมเหตุสมผล

เมืองหลานอูเฉิงสำหรับโลกแห่งยุคกลางเขตภาคใต้แล้ว นับเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เมืองหนึ่ง

แต่ตระกูลที่ดูแลเมืองนี้กลับมีเพียงสามตระกูล

ทุกสิบปีจะมีการแข่งขันกันระหว่างสามตระกูล ตระกูลที่ชนะจะได้อำนาจครองเมืองนี้เป็นเวลาสิบปี ยังมีผลประโยชน์อื่นๆ สามตระกูลที่ครองอยู่ได้แก่ เฉา ลี่ว มู่

นอกจากสามตระกูลนี้ที่มีอำนาจในเมืองหลานอูเฉิง ยังมีขั้วอำนาจสายหนึ่งที่อยู่นอกเหนือการแย่งชิงอำนาจ แต่อยู่ในตำแหน่งที่สามตระกูลนี้ไม่สามารถหาเรื่องได้ นั่นก็คือหอสรรพสิ่งร้านสาขา

มู่ชิงเกอยืนอยู่ด้านนอกประตูหอสรรพสิ่งร้านสาขา มองดูการตกแต่งร้านที่คุ้นตา ยังมีป้ายแขวนหอสรรพสิ่งของโลกแห่งยุคกลางเหมือนกับหอสรรพสิ่งที่หลินชวนไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบไปบ้างก็เท่านั้น ยืนอยู่ด้านหน้านี้นางรู้สึกเหมือนได้ข้ามผ่านเวลาจริงๆ ราวกับว่าตนเองยังอยู่ที่หลินชวน ยังอยู่หน้า หอสรรพสิ่งของหลินชวน

“เหตุใดไม่เข้าไป?” เสียงของไป๋สี่ยังคงน่ารักเช่นเด็กน้อย

หลังจากเข้ามาในเมืองหลานอูเฉิงแล้ว มู่ชิงเกอก็ให้เสวี่ยหยาพาคนอื่นๆ ไปหาที่พักชั่วคราว ในเมื่อจะสืบข่าวของมู่ยี่ ก็ยังไม่รู้ว่าจะเสียเวลาอยู่ที่เมืองหลานอูเฉิงนานแค่ไหน พักโรงเตี๊ยมไม่ค่อยสะดวกเท่าไร ทางที่ดีคือเช่าเรือนหลังหนึ่งที่ห่างไกลและเงียบสงบ

ส่วนไป๋สี่ที่ไม่ปรารถนาจะอยู่ในช่องว่างก็ถูกมู่ชิงเกอปล่อยออกมา มาเยือนหอสรรพสิ่งเป็นเพื่อนตนเอง

มู่ชิงเกอไม่ได้ตอบคำถามของไป๋สี่

ไป๋สี่มองนางครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “คงมิใช่ว่าเจ้าคิดถึงบ้านหรอกนะ?”

พูดจบสายตานางก็ฉายแววแปลกใจ ในความทรงจำของนางคนอย่างมู่ชิงเกอ ไม่มีทางคิดถึงบ้าน และก็ไม่มีทางทิ้งโซ่ตรวนพันธนาการตัวเองเอาไว้

ผู้แข็งแกร่งทำได้เพียงไม่หยุดที่จะก้าวไปข้างหน้า ไม่มีทางหันหลังกลับมาถูกเรื่องราวหรือผู้ใดรั้งเท้าไว้

“ถูกต้อง! คิดถึงบ้านนิดหน่อย” มู่ชิงเกอกลับให้คำตอบที่อยู่นอกเหนือความคิดของไป๋สี่

ไป๋สี่ตกใจจนอ้าปากค้าง

มู่ชิงเกอกวาดสายตามองนางครู่หนึ่ง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ทำไมหรือ? ข้าคิดถึงบ้านไม่ได้หรืออย่างไร?”

ไป๋สี่เก็บความแปลกใจในสายตา เอ่ยกระซิบ “เจ้าไม่เหมือนคนที่อารมณ์เปราะบาง”

มู่ชิงเกอหัวเราะ “นี่ไม่ใช่ว่าอารมณ์เปราะบาง บางครั้งการคิดถึงครอบครัวและมิตรสหายก็เป็นพลังอย่างหนึ่ง”

เมื่อในใจมีคนที่ต้องการจะปกป้อง ก็จะเปลี่ยนเป็นไม่หวาดกลัวสิ่งใด

มองดูท่าทางตะลึงงันของไป๋สี่แล้ว มู่ชิงเกอก็รู้ว่าเป็นเรื่องยากที่จะให้อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบสัมผัสได้ว่าสิ่งใดเรียกว่ารักจริงในโลกมนุษย์

“ไปกันเถอะ ไปทำเรื่องที่ต้องทำก่อน” มู่ชิงเกอจบหัวข้อนี้ สาวเท้าก้าวไปที่ประตูทางเข้าหอสรรพสิ่ง

(ตระกูลมู่ ของมู่ยี่เป็นคนละตระกูลกับตระกูลมู่ของมู่ชิงเกอ เป็นแซ่ตระกูลที่ออกเสียงพ้องกันแต่ตัวอักษรและความหมายแตกต่างกัน)

“นายท่านทั้งสอง ต้องการสิ่งใดหรือเจ้าคะ?”

เพิ่งจะเดินเข้าไป พนักงานต้อนรับหน้าตาสะสวยตรงหน้าประตูก็ออกมาต้อนรับ แน่นอนว่านางพุ่งความสนใจอยู่ที่ตัวมู่ชิงเกอ ไม่ใช่ว่านางรู้สึกว่าไป๋สี่ไม่งาม เพียงแต่ว่ามู่ชิงเกอแต่งกายเป็นบุรุษ การปรากฏตัวของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี พวกนางย่อมคิดว่าผู้จ่ายเงินเป็นบุรุษ มิใช่โฉมงามที่ดูเยือกเย็นเช่นไป๋สี่

“หึ” เมื่อสัมผัสได้ว่าสายตาของฝ่ายต้อนรับแทบจะติดอยู่ที่ตัวมู่ชิงเกอ ไป๋สี่ส่งเสียงในลำคอด้วยความไม่พอใจ สองแขนเรียวราวงูคล้องแขนมู่ชิงเกอ

การกระทำที่ประกาศตัวออกมาเช่นนี้ทำเอาพนักงานต้อนรับของหอสรรพสิ่งนิ่งชะงัก ก้าวถอยหลังออกไปอย่างรู้งาน

เดิมมู่ชิงเกอคิดจะบอกว่าตนเองมาแลกเปลี่ยนโอสถ แต่ว่าพอคิดๆ ดูแล้วก็เปลี่ยนคำพูดฉับพลัน “มาเดินดูสิ่งของ”

ในเมื่อสถานที่แห่งนี้คือหอสรรพสิ่งของโลกแห่งยุคกลาง นางก็อยากเปิดหูเปิดตาดูบ้างว่ามีตรงไหนที่ไม่เหมือนกับหอสรรพสิ่งของหลินชวน

“ได้เจ้าค่ะ เชิญทั้งสองท่าน” พนักงานต้อนรับมีความเป็นมืออาชีพ หลังจากเดินนำพวกมู่ชิงเกอเข้าไปแล้ว ก็เริ่มเอ่ยแนะนำเกี่ยวกับหอสรรพสิ่ง

แต่ว่าในขณะที่นางแนะนำ สายตาก็ลอบมองไปยังมู่ชิงเกอเป็นระยะ สองแก้มเห่อร้อน ‘คุณชายท่านนี้ช่างหล่อเหลาเสียจริง แต่น่าเสียดายหญ้างามมีเจ้าของเสียแล้ว’

“คุณชาย แม่นาง หอสรรพสิ่งของเมืองหลานอูเฉิงก็เป็นแบบเดียวกับหอสรรพสิ่งที่เมืองอื่นๆ ชั้นแรกเป็นสินค้าทั่วไป มีสมุนไพร โอสถที่หลอมเสร็จแล้วและก็ยุทธภัณฑ์บางส่วน สรุปคือสิ่งของที่ท่านต้องการล้วนสามารถหาได้ที่หอสรรพสิ่งของเรา ชั้นที่สองเป็นสินค้าที่มีคุณภาพขึ้นมาหน่อย มีหลายชนิด หอสรรพสิ่งมีทั้งหมดเจ็ดชั้น ชั้นยิ่งสูงสินค้าที่วางจำหน่ายก็ยิ่งลํ้าค่า ดังนั้นของดีล้วนอยู่ชั้นบน”

พนักงานต้อนรับชี้นิ้วไปยังบริเวณที่เป็นชั้นบันได

“เพียงแต่หากคิดจะขึ้นไปชั้นบน จำเป็นต้องจ่ายเงินค่าวางมัดจำ ชั้นไม่เหมือนกันเงินค่าวางมัดจำที่ต้องจ่ายก็ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นต้องการขึ้นชั้นสอง จำเป็นต้องจ่ายเป็นศิลาวิญญาณระดับตํ่า 1 ก้อน ต้องการจะขึ้นไปชั้นเจ็ดก็ต้องจ่ายเป็นศิลาวิญญาณระดับตํ่า 100 ก้อนหรือคิลาวิญญาณระดับกลาง 1 ก้อน ไม่ว่ายังไงสิ่งของด้านบนล้วนเป็นของลํ้าค่า หากไม่ระวังทำเสียหาย ความเสียหายนี้…” พนักงานต้อนรับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

มู่ชิงเกอพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เอ่ยกับนางว่า “สิ่งของที่หอสรรพสิ่งมีครอบจักรวาล ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งของที่ข้าต้องการสามารถหาเจอได้ในชั้นไหน ต้องจ่ายค่ามัดจำเท่าไร?”

พนักงานต้อนรับแย้มยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “นั่นเป็นเรื่องของพนักงานต้อนรับเช่นพวกเราแล้ว ลูกค้าเพียงแค่บอกพวกเรามาว่าท่านต้องการอะไร พวกเราย่อมพาท่านไปยังชั้นที่เหมาะสมที่สุด”

มู่ชิงเกอพยักหน้าลงเล็กน้อยแทบจะไม่ทันสังเกต “ลดเรื่องยุ่งก็ลดเรื่องยุ่งเถอะ แต่ว่าสำหรับคนที่ต้องการเข้ามาเดินดูเล่นๆ ไม่มีจุดหมายแล้วกลับไม่สะดวกอยู่บ้าง คงมิใช่ว่าขึ้นชั้นหนึ่งก็จ่ายศิลาวิญญาณชั้นหนึ่งหรอกนะ? ใครจะไปรู้ว่าสิ่งของที่เข้าตาตนเองอยู่ชั้นไหน?”

พนักงานต้อนรับชะงัก คิดทวนดูอย่างละเอียดก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “หากเป็นเช่นนั้น ลูกค้าก็สามารถจ่ายศิลาได้ถึงชั้นที่เจ็ด เช่นนี้ก็สามารถเข้าไปได้ทุกชั้น หากสุดท้ายแล้วไม่ได้ซื้อสิ่งของที่เหมาะสม ก็จะคืนเงินค่าวางมัดจำที่จ่ายไว้ทั้งหมด เงินค่าวางมัดจำเป็นเพียงการวางมัดจำ ไม่เกี่ยวอันใดกับค่าสินค้าของลูกค้า”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง” มู่ชิงเกอพยักหน้ายิ้มรับ

ถามไปแล้วรอบหนึ่ง นางถึงได้พบว่าหอสรรพสิ่งที่โลกแห่งยุคกลางกับหอสรรพสิ่งที่หลินชวนมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ไม่เหมือนกันอยู่บ้าง

“รบกวนแล้ว” มู่ชิงเกอโยนศิลาวิญญาณระดับกลางหนึ่งก้อนใส่มือของพนักงานต้อนรับ

สายตาของพนักงานต้อนรับฉายแววตกใจ ก่อนจะฉีกยิ้มขึ้นทันควัน โค้งคำนับมู่ชิงเกอ “คุณชายโปรดรอสักครู่”

พูดจบ นางก็นำศิลาวิญญาณถอยอออกไป คล้ายกับว่าไปดำเนินการลงทะเบียนอีกด้านหนึ่ง

หลังจากที่นางเดินจากไป ไป๋สี่ก็กระซิบกับมู่ชิงเกอว่า

“เจ้ามีเรื่องต้องไปทำมิใช่หรือ? เหตุใดจู่ๆ ถึงคิดจะเที่ยวเล่นซะแล้ว?”

มู่ชิงเกอหัวเราะพลางเอ่ยขึ้นว่า “ถึงอย่างไรก็ไม่ได้รีบเร่งอะไร เดินเล่นสบายๆ เผื่อว่าจะได้เจอของดีอะไรบ้าง?”

เข้ามาในหอสรรพสิ่งแล้วนางกลับไม่รีบมอบโอสถ

ถึงอย่างไรโอสถจักรพรรดิก็อยู่ในช่องว่างของนาง ไม่มีทางหายไป

พนักงานต้อนรับกลับมาอย่างรวดเร็ว เอ่ยกับมู่ชิงเกอและไป๋สี่ว่า “คุณชาย ทำเรื่องเสร็จแล้ว จะขึ้นไปด้านบนเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่?”

มู่ชิงเกอพยักหน้า

ดังนั้น พนักงานต้อนรับจึงพานางและไป๋สี่เดินขึ้นบันไดชั้นสอง

ภายในชั้นสอง จำนวนคนน้อยกว่าชั้นแรกอยู่บ้าง พื้นที่ก็น้อยลงหนึ่งในสามส่วน เมื่อทั้งสามขึ้นมา ผู้คนที่อยู่ชั้นสองต่างก็พากันส่งสายตาสำรวจใส่พวกนาง

ถึงอย่างไรนับตั้งแต่ชั้นนี้ไปก็ไม่ใช่ว่าใครจะขึ้นมาได้

เมื่อพวกเขาได้เห็นมู่ชิงเกอกับไป๋สี่ชัดๆ สายตาก็ปรากฏความตะลึงในความงามอย่างไม่เป็นตัวเอง พวกบุรุษหลังจากที่ตะลึงในความงามก็ส่งสายตาเจ้าชู้ใส่ไป๋สี่ ส่วนสตรีหลังจากส่งสายตาเชือดเฉือนไป๋สี่แล้วก็ส่งสายตามีความหมายไปที่มู่ชิงเกอ

บุรุษผู้หล่อเหลาและมีเงินทองมากมาย ไม่ว่าเป็นอดีตหรือปัจจุบัน หรือว่าห้วงเวลาต่างกันต่างก็เป็นที่หมายปองของสตรี

รูปลักษณ์ภายนอกของมู่ชิงเกอหล่อเหลาสง่างาม สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์คุณภาพดีซํ้ายังพกสาวงามมาด้วย ย่อมถูกพวกนางถือเป็น ‘บุรุษผู้หล่อเหลาสง่างามและมั่งคั่ง’

สายตาชื่นชมชำเลืองมองเขาไม่ขาดสาย

ถูกสายตาเหล่านี้ท่วมท้น ไป๋สี่อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องออกมาด้วยความไม่พอใจ พาให้ผู้คนที่หลงใหลตื่นจากภวังค์

พนักงานต้อนรับยิ้มขออภัย พาทั้งสองไปอีกด้านหนึ่ง แม้ว่าพวกนางจากไปแล้ว ผู้คนก็กลับสู่ปกติ แต่ว่าก็มีสายตาไม่น้อยที่มองมาที่พวกเขาอย่างมีเลศนัย

“คุณชาย แม่นาง โอสถและยุทธภัณฑ์ของชั้นสองเมื่อเทียบกับชั้นหนึ่งแล้ว คุณภาพดีกว่า ยังมีสมุนไพรคุณภาพลํ้าค่า…” พนักงานต้อนรับเอ่ยแนะนำอย่างขมี ขมัน

มู่ชิงเกอพาไป๋สี่เดินดูคร่าวๆ รอบหนึ่ง จากนั้นจึงบอกว่าจะขึ้นชั้นสาม

เดิมทีตัวนางก็เป็นนักปรุงยาและก็เป็นผู้หลอมศาสตรา จะเห็นของในชั้นที่สองอยู่ในสายตาได้อย่างไร? ส่วนสมุนไพรตัวอื่นๆ ก็ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ ดังนั้นจึงไม่จำ เป็นต้องเสียเวลาอยู่ที่ชั้นนี้

ขึ้นมาชั้นสาม จำนวนคนก็ยิ่งน้อย

แน่นอนว่าเมื่อถึงที่นี่ พวกนางยังคงได้รับสายตาจ้องมองมา

มู่ชิงเกอกวาดตามองรอบหนึ่งพอเป็นพิธีจากนั้นขึ้นตึกไป นางค่อยๆ เข้าใจระดับการหลอมโอสถและการหลอมศาสตราของโลกแห่งยุคกลาง

โอสถที่หอสรรพสิ่งนำออกมาจำหน่ายตั้งแต่ชั้นที่ห้าลงไป หลักๆ แล้วจะเป็นโอสถระดับสมบัติลงไป ส่วนศาสตราเหล่านั้น…ด้วยสายตาของมู่ชิงเกอล้วนมีข้อ บกพร่อง วัตถุดิบระหว่างที่ถูกหลอมก็ไม่ได้ดึงคุณภาพสูงสุดของมันออกมา ดูสิ้นเปลืองอยู่บ้าง

ความรู้สึกนั้นก็คล้ายกับมืออาชีพมองสิ่งที่ไม่เป็นมืออาชีพ

ถึงอย่างไรมู่ชิงเกอก็รู้ว่า นั่นเพราะสายเลือดของผู้หลอมศาสตราในกายนางกำลังทำงาน

“คุณชาย นี่คือชั้นที่หก” พนักงานต้อนรับเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอพยักหน้า พูดตามตรงนางรู้สึกผิดหวังกับหอสรรพสิ่งที่เมืองหลานอูเฉิงนี้อยู่บ้าง ที่นี่ไม่มีของที่เข้าตานาง และก็ไม่รู้ว่าหอสรรพสิ่งที่อื่นจะเป็นเช่นนี้หรือไม่?

“นายท่าน โอสถในชั้นนี้ล้วนเป็นโอสถระดับสมบัติ” พนักงานต้อนรับเอ่ยกับมู่ชิงเกอพลางชี้ไปยังขวดกระเบื้องที่มีให้เห็นประปราย

ด้านหน้าของขวดกระเบื้องยังมีกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนชื่อยาและประสิทธิภาพยาเอาไว้

โอสถระดับสมบัติเหล่านั้นล้วนเป็นโอสถธรรมดา แม้ว่าระดับจะสูงแต่ประสิทธิภาพของยากลับดาษดื่น เทียบไม่ได้เลยกับโอสถจักรพรรดิที่นางนำมาแลกเปลี่ยน

เมื่อเห็นว่ามู่ชิงเกอไม่ค่อยสนใจเท่าไร พนักงานต้อนรับก็พาเขามาหยุดอยู่ตรงหน้ายุทธภัณฑ์แถวหนึ่ง เอ่ยกับเขาว่า “ยุทธภัณฑ์เหล่านี้มาจากตระกูลซางแถบตะวันตก แต่ละชิ้นล้วนประณีต แม้ว่าจะไม่ใช่ระดับเทวะ…”

“เดี๋ยวก่อน เจ้าบอกว่ายุทธภัณฑ์เหล่านี้มาจากที่ไหนนะ?” มู่ชิงเกอขัดจังหวะพนักงานต้อนรับ

พนักงานต้อนรับรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ก็ตอบตามความจริงว่า “ตระกูลซางของภาคตะวันตก”

ภาคตะวันตก ตระกูลซาง!

ชื่อนี้ไม่ได้ปรากฏในชีวิตของมู่ชิงเกอเป็นครั้งแรก แต่ครั้งนี้ก็เป็นการได้สัมผัสถึงมันที่ใกล้ชิดที่สุดครั้งหนึ่ง มู่ชิงเกอยื่นมือออกไปช้าๆ ปลายนิ้วแตะเบาๆ ที่ตัวดาบ ของดาบเก้าห่วง ความรู้สึกคุ้นเคยในสายเลือดพลุ่งพล่านขึ้นในทันใด นางรับรู้ได้ถึงโครงสร้างของดาบเล่มนี้อย่างแจ่มชัด รวมไปถึงขั้นตอนการสร้าง สัมผัสได้ถึง วัตถุดิบทั้งหมดที่มีรวมถึงการหลอมรวมระหว่างพวกมัน ในระหว่างที่มู่ชิงเกอกำลังจมดิ่งในภวังค์เวลานี้เองก็มี สตรีนางหนึ่งสวมชุดสีม่วงเดินลงมา นางยืนอยู่บนบันได ทอดสายตามองมาที่มู่ชิงเกอ…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version