ตอนที่ 238
รสนิยมของข้าไหนเลยที่คนธรรมดาจะลอกเลียนได้
“คุณชายมู่” สตรีหน้าตางดงามที่ยืนอยู่บนขั้นบันได อยู่ๆ ก็เปิดปากออกมา แต่ที่เรียกก็กลับเรียกแซ่ของมู่ชิงเกอ ออกมาแทน
มู่ชิงเกอกับไป๋สี่หันหน้ามองไป ทั้งสองล้วนแต่รู้สึกประหลาดใจ
ในเมื่อที่นี่ก็ไม่ใช่หลินชวนแต่เป็นโลกแห่งยุคกลาง ยังจะมีใครรู้จักมู่ชิงเกออีก?
มู่ชิงเกอตอนที่หันมองไป หญิงสาวนางนั้นก็กำลังกวาดตามองมาที่นาง ก่อนพบว่านางนั้นมีใบหน้างามลํ้า โครงหน้าหยาดเยิ้มได้รูป ดูสูงสง่า ก็ช่างเป็นชายงามที่หาตัวจับได้ยากในใต้หล้านี้
ในแววตาของหญิงชุดม่วงปรากฏแววตกตะลึงออกมาสายหนึ่ง
ส่วนมู่ชิงเกอเองก็มองไปยังร่างสูงโปร่งและใบหน้างดงามนางนั้นอย่างนึกสงสัย รูปลักษณ์ของนางก็ไม่ต้องบรรยายให้มากความ ในเมื่อมู่ชิงเกอเองก็เป็นคนที่พบ เจอหญิงงามมามากคนหนึ่ง เพียงแต่กลิ่นไอของนางนั่น ก็ไม่ใช่หญิงธรรมทั่วไปที่จะมีได้
หญิงชุดม่วงดึงเก็บความตกตะลึงในดวงตากลับ เอ่ยยิ้มขึ้นน้อยๆ “นายท่านบอกว่ามีคนรู้จักมาเยือน เลยสั่งให้ข้าน้อยลงมารับคุณชายมู่ที่ด้านล่าง’’
คนรู้จัก?
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ
ที่สามารถเรียกนายท่านในหอสรรพสิ่งได้ทั้งยังเป็นคนที่ รู้จักกับนางนอกจากหานฉายไฉ่จอมเจ้าเล่ห์ผู้นั้นแล้ว นางก็คิดไม่ออกว่ายังมีใครอื่นอีก
‘หานฉายไฉ่เจ้านั้นก็กลับมาที่โลกแห่งยุคกลางแล้ว?’ มู่ชิงเกอลอบเอ่ยขึ้นในใจ นางใช้คำว่า ‘กลับ’ ไม่ใช่คำว่า ‘มา’ นั่นเป็นเพราะนางรู้ตั้งนานแล้วว่าหานฉายไฉ่เกิดที่โลกยุคกลาง แต่เป็นเพราะเหตุผลบางประการก็เลยไปที่หลินชวน
โลกแห่งยุคกลางก็เป็นสถานที่ที่หานฉายไฉ่จะต้องกลับมา เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า เขาจะมาถึงในตอนที่นางเพิ่งจะมาถึงที่นี่
มู่ชิงเกอนึกคิดอยู่ในใจ ก่อนจะพาไป๋สี่เดินขึ้นบันไดไป ก่อนจากไป สายตาก็ยังกวาดมองไปยังอาวุธและยุทธภัณฑ์ที่ถูกหลอมตีขึ้นจากตระกูลซางสายตาหนึ่ง หลังจากได้เห็นอาวุธของตระกูลซางแล้ว พอนึกย้อนไปถึงสิ่งของที่เห็นอยู่ด้านล่างพวกนั้น ก็ชัดเจนว่าสามารถใช้คำว่าเศษเหล็กมาอธิบายได้จริงๆ นี่ก็ไม่ได้เป็นเพราะนางต้องการยกฐานะของตระกูลมารดา แต่เป็นเพราะการที่อาวุธชิ้นหนึ่งถูกตีขึ้นมาด้วยคนที่มีสายเลือดของผู้หลอมอาวุธหรือไม่นั้น มันก็มีความแตกต่างกันอยู่มาก ไม่เช่นนั้นอาวุธของตระกูลซางนี้ก็คงไม่มีทางมาปรากฏที่ชั้นหกของหอสรรพสิ่ง
พอจะขึ้นไปบนบันได้หญิงชุดม่วงอยู่ๆ ก็วาดมือออกมาขวางทางเดินของไป๋สี่เอาไว้
และในตอนที่ไป๋สี่มองไปที่นาง นางก็ยิ้มขึ้นอย่างสุภาพ “นายท่านต้องการพบคุณชายมู่เพียงคนเดียว แม่นาง เชิญรออยู่ที่นี่”
ไป๋สี่แววตาดุดัน ประกายอำมหิตปรากฏวูบขึ้น
“ไป๋สี่” มู่ชิงเกอหันกลับไปเอ่ยปลอบ “รอข้าอยู่ที่นี่”
มู่ชิงเกอพอเปิดปาก ไฟโกรธในดวงตาของไป๋สี่ก็พลันดับมอดลง นางส่งสายตาดุดันไปทางหญิงชุดม่วงสายตาหนึ่ง ก่อนจะล่าถอยออกไป พนักงานต้อนรับที่รับรองพวกนางเมื่อตอนก่อนหน้าก็เร่งร้อนพานางไปยังโถงย่อยของชั้นหก ให้นางพักรอที่นั่น
ไป๋สี่พอจากไป หญิงชุดม่วงก็พลันดึงมือกลับ เชิญให้มู่ชิงเกอขึ้นไป
“คุณชายมู่ เชิญ” หญิงชุดม่วงพามู่ชิงเกอขึ้นไปยังชั้นเจ็ดของหอสรรพสิ่ง
ในชั้นเจ็ดก็ไม่ได้มีชั้นสินค้า และไม่ได้มีสิ่งของวางขาย แต่อย่างใด การตกแต่งก็เหมือนกับห้องโถงของตระกูลรํ่ารวยตระกูลหนึ่ง บนผนังก็ยังแขวนไว้ด้วยอักษรที่ดูขึงขังแผ่นหนึ่ง ภาพสัญลักษณ์ที่เขียนไว้ว่า ‘ไม่มีไม่รู้ รู้แล้วจักพูด พูดเอ่ยจนสุด ขอเพียงจ่ายเงิน’
ลายมือที่ดูคุ้นตาก็ทำให้มู่ชิงเกอหัวเราะร่าขึ้นในใจ
“คุณชายมู่โปรดรอสักครู่” หญิงชุดม่วงหันมากล่าวกับมู่ชิงเกอ
เพียงแต่ยังไม่รอให้มู่ชิงเกอเปิดปาก เสียงเกียจคร้านทั้งยังฟังคุ้นหูสายหนึ่ง ก็พลันดังเข้ามาในหูของนาง “เย่ว์เหนียง เจ้าถอยออกไปก่อน”
หญิงชุดม่วงร่างกายนิ่งชะงัก ก่อนจะค้อมกายลงอย่างนอบน้อม เอ่ยขึ้นอย่างเชื่อฟัง “เจ้าค่ะ นายท่าน”
พอกล่าวจบ นางก็หันไปพยักหน้าให้กับมู่ชิงเกอ ก่อนจะก้าวถอยออกไป
นางก็ไม่ได้เดินจากไปไกล แต่เป็นเดินลงบันไดไปเฝ้าอยู่ ตรงปากทางเข้าของบันไดชั้นเจ็ด
ในชั้นหกก็ไม่ได้มีลูกค้าหลงเหลืออยู่แล้ว ชั้นเจ็ดก็ยิ่งกลายเป็นเงียบสงบ
“หานฉายไฉ่ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพอมาถึงโลกแห่งยุคกลางแล้วก็ยังจะได้พบเจ้า” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ก้าวเดินไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่งก่อนจะนั่งลงไป นางนั้นทำตัวผ่อนคลายมาก ราวกับว่าไม่ได้อยู่ในสภาพแวดด้อมที่ไม่คุ้นเคยอย่างไรอย่างนั้น
นางพอนั่งลง ฉากม่านที่ลู่ตกอยู่ตรงกลางห้องโถง ก็ถูก ‘สายลมกรรโชก’ เปิดออกเผยให้เห็นฉากภาพด้านหลัง
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไป ก่อนจะเห็นเข้ากับชายหนุ่มเจ้าสำอาง นอนเอนอยู่บนตั่งตัวยาว เส้นผมยาวลู่ตกลง นัยน์ตาเรียวยาวยกโค้ง โครงหน้าเกลี้ยงเกลาหมดจด บนตัวห่มคลุมด้วยชุดลายบุปผาตัวโคร่ง อกเสื้อแหวกออกเล็กน้อย เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าได้รูปกับอกแกร่งเลือนราง
ถึงแม้จะอยู่ในโลกแห่งยุคกลาง หานฉายไฉ่ก็ยังคงทำตัวลอยชายเหมือนเดิม!
ชายหนุ่มเจ้าสำอางที่นอนเอนกายอยู่บนตั่ง ใช้สายตาเรียวยาวจ้องเขม็งมาทางมู่ชิงเกอ ทั้งยังแฝงอารมณ์เกรี้ยวกราดเอาไว้
มู่ชิงเกอก็ไม่เข้าใจว่าความโกรธขึงนี้ของเขามาจากที่ใดกัน?
วินาทีถัดไปมู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่ามัวไปครู่หนึ่ง สายลมแรงระลอกหนึ่งพุ่งพัดมาทางตน นัยน์ตาของนางทันใดนั้นกลายเป็นหรี่เล็กลง เตรียมจะขยับตัวออก แต่กลับค้นพบว่าตนเองก็ได้ถูกกดอยู่บนเก้าอี้แล้ว แขนทั้งสองถูกกดเอาไว้ใบหน้าออกไปทางเจ้าเล่ห์ของหานฉายไฉ่ พลันปรากฏขึ้นที่ตรงหน้าของตน ใกล้เพียงแค่คืบเท่านั้น
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เท้าด้านข้างทันใดนั้นก็ถีบไปทางท้องน้อยของหานฉายไฉ่อย่างรวดเร็ว
หานฉายไฉ่คลายมือออก เบี่ยงกายหลบฝ่าเท้าของนาง ที่พุ่งมาอย่างไร้เยื่อใย แต่พร้อมกันนั้นก็ยังลากนางออกจากเก้าอี้มาด้วย ลอยโค้งไปกลางอากาศ
หานฉายไฉ่ใช้แรงดึงออกไป ร่างของมู่ชิงเกอก็พลันพุ่งเข้าไปที่ในอกของเขา
นี่ก็ทำให้ดวงตาของมู่ชิงเกอกลายเป็นแหลมคมขึ้น ข้อมือที่ถูกหานฉายไฉ่จับเอาไว้ก็พลันปรากฏเปลวเพลิงสีหิมะขึ้นมา
“พญาเพลิงปีศาจไปกู่!” ความร้อนเผาไหม้บนฝ่ามือ ก็ทำให้หานฉายไฉ่จับจ้องไปยังด้านบนข้อมือของมู่ชิงเกอที่ตนจับเอาไว้ และในตอนนั้นเอง มู่ชิงเกอก็ได้พลิกกายกลางอากาศ ฝ่าเท้าข้างหนึ่งถีบไปที่อกของหานฉายไฉ่เข้าอย่างจัง เตะเข้าออกไปสองก้าว และก็ทำให้นางร่วงตกไปที่พื้น ไม่ได้ตกเข้าไปในอกของเขา
ทั้งสองคนยืนประจัญหน้ากัน ตรงจุดที่มือกับแขนสัมผัสกัน เปลวเพลิงสีขาวก็ยังคงลุกไหม้ไม่หยุด ฝ่ามือของหานฉายไฉ่ก็เกิดรอยแผลขึ้นแล้ว ส่งกลิ่นเหม็นไหม้ออกมา
“ปล่อยมือ” มู่ชิงเกอมองไปทางหานฉายไฉ่สายตาเย็นชา เอ่ยเสียงกำชับเตือน
นางแต่เดิมนึกว่านี่จะเป็นการพบกันของคนรู้จักครั้งหนึ่ง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหานฉายไฉ่จะทำเรื่องอุกอาจเช่นนี้ได้ คิดอยากจะเอาเปรียบนาง การเอาเปรียบนางคิดว่าง่ายดายเช่นนั้นรึ?
“ปล่อยมือ? ถือสิทธิ์อะไร? มู่ชิงเกอเจ้ามันคนหลอกลวง!” นํ้าเสียงของหานฉายไฉ่ก็เย็นเฉียบราวกับก้อนนํ้าแข็ง เอ่ยขึ้นอย่างคับข้องใจ
มู่ชิงเกอนิ่งชะงัก ล้วนแต่ยังดึงสติกลับมาไม่ทัน
นางไปหลอกลวงหานฉายไฉ่ตอนไหนกัน?!
เรื่องที่ไม่เคยทำ นางไม่มีทางไปยอมรับมัน!
มู่ชิงเกอนัยน์ตาหรี่เล็กลง เอ่ยขึ้นเสียงเย็น “ถ้าหากไม่อยากมีแขนข้างเดียวนับจากนี้ ก็รีบปล่อยมือเสีย”
“ข้าไม่ปล่อย! เจ้ามีปัญญาก็เผามันต่อไป!” แต่ว่าหานฉายไฉ่ตอนนี้ก็ช่างดื้อรั้นราวกับเด็กก็ไม่ปาน ไม่เพียงไม่ยอมปล่อย กลับกันยิ่งจับแน่นขึ้น
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว “หานฉายไฉ่ เจ้าเป็นบ้าอันใด?”
“บ้า? เรื่องที่บ้ามากกว่านี้เจ้าก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน” หานฉายไฉ่พอกล่าวจบ มืออีกข้างก็จะพุ่งเข้าไปจะจับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอแววตาไหววูบ แขนขวาโบกขึ้นมา ทวนหลิงหลงในมือทันใดนั้นพุ่งแทงไปยังฝ่ามือของหานฉายไฉ่ที่จะคว้าจับมา แต่ว่าหานฉายไฉ่กลับไม่ยอมหลบ ไม่สนใจทวนหลิงหลงของมู่ชิงเกอ พุ่งมือไปคว้าจับนางต่อ
ฉึก—–!
ปลายทวนหลิงหลงพุ่งแทงไปที่ฝ่ามือของหานฉายไฉ่ และสามารถหยุดยั้งอาการบ้าคลั่งของเขาเอาไว้ได้ หยุดมือของเขาไว้จนไม่สามารถขยับได้ เลือดสีแดงสดไหลหยดออกมาตามบาดแผลและปลายทวนหลิงหลง หยดลงไปที่พื้นทีละหยดสองหยด ก่อนจะหยดกองเป็นเลือดกองหนึ่ง
“หานฉายไฉ่!” มู่ชิงเกอในน้ำเสียงก็แฝงไว้ด้วยไฟโกรธอยู่หลายส่วน
นางที่ให้การยอมรับหานฉายไฉ่ ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะสามารถกระทำการไร้ยางอายเช่นนี้ได้!
หานฉายไฉ่กลับจ้องกลับมาทางนาง ดวงตาเรียวคู่นั้นก็ทอแววเจ็บปวดขึ้น ในนํ้าเสียงเกียจคร้านก็แฝงไว้ด้วยความขมขื่นสายหนึ่ง “เจ้าแม้แต่จะจับก็ไม่ให้ข้าจับ นี้ เป็นเพราะเขางั้นรึ?”
มู่ชิงเกอชะงักขึ้นในใจ นางภายใต้การจับจ้องของหานฉายไฉ่ ก็เหมือนกับจะคาดเดาถึงความผิดปกติของเขาได้
เพียงแต่นางไม่อยากจะไปเชื่อมัน
หานฉายไฉ่ชอบนาง?!
มู่ชิงเกอชั่วขณะนั้นความคิดกลายเป็นสลับซับซ้อน
หานฉายไฉ่ชอบนาง เรื่องนี้เจียงหลีก็บอกไว้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่านางไม่ได้คิดเป็นจริงมาโดยตลอด รู้สึกแค่ว่า ระหว่างนางกับหานฉายไฉ่เป็นเพียงคู่แข่งที่มีกำลังและสติปัญญาทัดเทียมกัน เห็นเป็นเพื่อน เห็นเป็นคนรู้จักก็เท่านั้น ไม่มีทางกลายเป็นคนรักได้
เพราะว่านางสำหรับตัวเขาไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น!
อีกทั้งนางในตอนนี้ก็ได้เลือกซือมั่วแล้ว แล้วจะยังไปเกี่ยวพันกับชายอื่นได้อย่างไร?
มู่ชิงเกอดึงพญาเพลิงไป๋กู่บนข้อมือกลับ หยุดการเผาไหม้ฝ่ามือของหานฉายไฉ่ ทวนหลิงหลงที่ถืออยู่ในมือขวาก็แปลงกลับไปเป็นปลอกนิ้วอีกครั้ง สวมลงไปบนนิ้วชี้ข้างขวาของนาง รอยเลือดที่ติดอยู่ด้านบนหยดหนึ่ง ถูกนางสะบัดออกไปเบาๆ กระเด็นตกลงไปที่พื้น
มือของหานฉายไฉ่ที่ยกค้างอยู่กลางอากาศก็ยังทิ้งไว้ด้วยรูลึกสายหนึ่ง
“เจ้าก็น่าจะรู้ว่าข้าไม่ชอบให้ใครมาโดนตัว” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นเสียงขรึม
“แล้วเหตุใดเขาถึงทำได้?” หานฉายไฉ่เอ่ยไปทางนางอย่างไม่ยินยอม
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไปทางเขา แววตากระจ่างใสดุจสายนํ้า ความเย็นยะเยือกนั้นทันใดนั้นดับมอดเปลวเพลิงที่กำลังเผาไหม้สติของหานฉายไฉ่ ชั่วขณะนั้นเอง เขาก็พลันคลายมือออกจากข้อมือของมู่ชิงเกอ
เวลานี้ ฝ่ามือของเขาก็ได้มีเลือดเนื้อเหวอะหวะ ดำมะเมื่อมไปผืนหนึ่ง
หากไม่ใช่ว่าตัวเขามีสายเลือดอัคคีอยู่ ตอนนี้มือของเขาก็คงจะต้องถูกเผาจนแหลกเละแล้ว จะบาดเจ็บเพียงแค่ผิวหนังได้อย่างไร?
มู่ชิงเกอดึงข้อมือของตนเองกลับ ด้านบนยังติดอยู่ด้วยเนื้อหนังของหานฉายไฉ่จำนวนหนึ่ง นางหยิบเอาผ้าออกมา ก่อนจะเช็ดมันออกพร้อมเอ่ยขึ้นกับหานฉายไฉ่ “ไปจัดการบาดแผลตัวเองให้ดีก่อน รอเจ้าสงบสติอารมณ์ลงแล้ว พวกเราค่อยมาพูดคุยกัน”
หานฉายไฉ่เม้มริมฝีปาก หันมองไปทางยังท่าทางของมู่ชิงเกอ ก่อนที่สุดท้ายจะหมุนกายเดินออกไป
รอจนถึงตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง มือทั้งสองข้างของเขาก็ได้หายเป็นปกติเหมือนเดิมแล้ว ไม่มีร่องรอยของบาดแผลอะไรอีก
สำหรับเรื่องนี้มู่ชิงเกอก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย ด้วยสถานะของหานฉายไฉ่ในหอสรรพสิ่ง ทำไมจะไม่มียาสมานบาดแผลลบริ้วรอยได้เล่า?
ตอนที่เขาปรากฏตัวออกมา มู่ชิงเกอก็วกกลับลงไปนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง หานฉายไฉ่ก็ไม่ได้เข้ามาใกล้นาง แต่เป็นนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับนาง
“เจ้าชัดเจนว่าเป็นสตรี ทำไมตอนนั้นเจ้าถึงไม่ยอมรับกัน!” หานฉายไฉ่เอ่ยถามราวกับกู่ก้องความในใจออกมาก็ไม่ปาน เขาก็เคยทดสอบและสงสัยมาก่อน แต่ นางกลับปกปิดดีเกินไป
ใครจะสามารถเดาได้ว่า คุณชายที่เป็นผู้สืบบรรดาศักดิ์คนหนึ่งในแคว้นฉิน จะเป็นคนหลอกลวงผู้หนึ่งเล่า?!
ถ้าหากเขารู้ความจริงแต่แรก แน่นอนว่าเขาจะเฝ้าอยู่ข้างกายนางไม่ห่าง ไม่ให้ผู้ชายคนไหนได้เข้าใกล้ แย่งนางไป!
“เป็นสตรีหรือเป็นบุรุษก็มีอันใดแตกต่างรึ?” มู่ชิงเกอประสานมือเข้าหากันพลางเอ่ยขึ้น
“แน่นอนว่าแตกต่าง! ถ้าหากรู้แต่แรกว่าเจ้าเป็นสตรี เขายังจะมีโอกาสรึ?” หานฉายไฉ่เอ่ยขึ้นเสียงชิงชัง
มู่ชิงเกอถอนหายใจออกมาเสียงหนึ่ง นางมองไปทางหานฉายไฉ่ เอ่ยขึ้นกับเขา “ต่อให้ไม่มีเขา ระหว่างข้ากับเจ้าก็ไม่มีทางเป็นไปได้”
“เพราะอะไร?” คำกล่าวประโยคนี้ก็ทำให้หานฉายไฉ่เจ็บชํ้ายิ่งนัก ทำเอาอดที่จะถามขึ้นอย่างเจ็บปวดใจไม่ได้
เรื่องของความรู้สึก มู่ชิงเกอก็ไม่อยากจะไปโต้เถียงอธิบายกับใครให้มากความ แต่จากท่าทางของหานฉายไฉ่ กลับทำให้นางยกเว้นให้โดยเฉพาะ
“ถ้าหากสามารถบอกเห็นผลได้ แล้วจะเรียกว่าความรักได้อย่างไร? เจ้าถ้าหากต้องการรู้คำตอบให้ได้ ข้าก็สามารถบอกเจ้าได้เพียงว่า ข้าก็ไม่ได้มีความรู้สึกเช่นนั้นกับเจ้า” มู่ชิงเกอเอ่ย
หานฉายไฉ่ยิ้มเย็น จ้องไปทางมู่ชิงเกอ นิ่งเงียบไม่กล่าววาจาอยู่นาน
“มู่ชิงเกอ ข้านับว่าตกอยู่ในกำมือเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับมาบอกข้าว่า เจ้าไม่มีความรู้สึกอันใด? แล้วเช่นนี้เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร?”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ตอบกลับอย่างหมดความอดทน “หรือข้าจะต้องตอบรับคนที่ชอบข้าทั้งหมดกัน?”
ถ้าหากเป็นเช่นนั้น งั้นอันดับแรกนางก็คงต้องตอบรับฉินอี้เหยาก่อนแล้ว พอเทียบกับหานฉายไฉ่นางก็ติดค้างฉินอี้เหยามากกว่า
หานฉายไฉ่นิ่งชะงัก คำถามของมู่ชิงเกอก็ทำให้เขาไม่สามารถโต้กลับได้
เพียงแต่เขาก็ยังไม่อยากยินยอม ไม่ยินยอมที่ตัวยังไม่ได้เคลื่อนไหวก็ต้องมาพ่ายแพ้เช่นนี้ การสู่ขออันน่าตื่นตาตื่นใจที่หลินชวนฉากภาพนั้น เขาที่เห็นมันก็รู้สึกบาดตาบาดใจยิ่งนัก
มู่ชิงเกอสะกดข่มความกรุ่นโกรธในใจ เอ่ยขึ้นกับหานฉายไฉ่ “หานฉายไฉ่ ข้าก็เห็นว่าเจ้าเป็นสหายคนรู้จักกัน ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำลายความสัมพันธ์นี้ ถ้าหากเจ้ายังคงพัวพันกับเรื่องที่เป็นไปไม่ได้นี้อีก เกรงว่าพวกเราก็คงเป็นได้เพียงศัตรูต่อกันแล้ว”
“เจ้ากลัวว่าข้าจะไปทำอะไรเขาหรือว่าไปทำอะไรเจ้ากัน?” หานฉายไฉ่ยิ้มหยันเอ่ยขึ้น
มู่ชิงเกอก็กล่าวออกไปตรงๆ “ใช่! ก็กลัวว่าเจ้าจะเหมือนกับสุนัขบ้ากัดคนเขาไปทั่ว เวลาของข้ามีจำกัด เรื่องที่ต้องไปทำนั้นมีมากมาย ไม่มีเวลาไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องวุ่นๆ ที่เจ้าจะก่อขึ้น”
“เจ้าก็ช่างเลือดเย็นไร้เยื่อใยนัก แต่ไม่ว่าจะยังไง ถึงความรู้สึกที่ข้ามีให้เจ้าเจ้าจะไม่รับไว้ แต่อย่างน้อยมันก็เป็นของจริง แต่เจ้ากลับมาปฏิเสธมันอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้ได้” หานฉายไฉ่เอ่ยเหน็บแนมขึ้น
มู่ชิงเกอกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย “ชัดเจนว่าไม่มีความรู้สึกอันใดกับเจ้า แต่กลับแสร้งทำเป็นมีความรู้สึก นั่นก็ไม่ใช่ว่าเป็นการกระทำอันเลือดเย็นอย่างแท้จริงหรอกรึ”
ถึงแม้ว่านางจะหัวช้าเกี่ยวกับเรื่องความรู้สึก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่เข้าใจถึงการตัดไฟแต่ต้นลม
เรื่องของความรู้สึกก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากที่สุด
เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้น เช่นนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือพูดให้ชัดเจน ทำการตัดไฟเสีย ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ รักษานํ้าใจผู้คน รักษาภาพลักษณ์ อันดีงามของตน ไม่ว่าใครก็อย่าไปผิดใจด้วย นี่ก็ไม่ใช่นิสัยของนาง
“เจ้าจะพูดปลอบใจข้าสักประโยคไม่ได้เลยรึ?” หานฉายไฉ่กัดฟันเอ่ยขึ้น
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เอ่ยขึ้นยิ้มหยัน “เจ้ายังต้องการการปลอบใจรึ? หานฉายไฉ่เป็นคนที่ไม่ชอบให้เห็นใจและปลอบใจมากที่สุด คำพูดเลื่อนลอยพวกนั้น ข้าไม่มีทางไปพูดมัน”
“ช่างเป็นผู้หญิงที่น่าตายนัก!” หานฉายไฉ่เอ่ยขึ้นอย่างมีอารมณ์
คำพูดของมู่ชิงเกอ มักจะทำให้ผู้คนนึกโมโห!
มู่ชิงเกอจัดแจงปกเสื้อของตนเบาๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นกับหานฉายไฉ่ “ข้าตอนนี้คือคุณชายมู่”
“ยังคิดจะปลอมเป็นบุรุษต่ออีกรึไง?” หานฉายไฉ่ยิ้มหยัน
มู่ชิงเกอยกมุมปากขึ้นอย่างนึกสนุก “อย่างน้อยก็จะได้หลีกเลี่ยงปัญหายุ่งยากอย่างคนเช่นเจ้า”
แครก—–!
ขอบโต๊ะใต้ฝ่ามือของหานฉายไฉ่กลายเป็นแตกละเอียด ร่วงตกลงไปกับพื้น
ทันใดนั้นเอง เขาก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา เอ่ยขึ้นกับมู่ชิงเกอ “ข้าตอนนี้อยู่ระดับสีเงินขั้นหนึ่งแล้ว เจ้าไม่ใช่คู่มือของข้า ถ้าหากยั่วโมโหข้าขึ้นมาจริงๆ ข้าก็จะจับเจ้าเอาไว้ ขังไม่ให้เจ้าหนีจากข้างกายของข้าไปได้ตลอดกาล”
ระดับสีเงินขั้นหนึ่ง!
นัยน์ตาทั้งสองของมู่ชิงเกอพลันหดเล็กลง ในใจตื่นตระหนก ‘หานฉายไฉ่ถึงกับฝึกฝนได้รวดเร็วเช่นนี้!’
ราวกับว่าจะสัมผัสได้ถึงความตกตะลึงของมู่ชิงเกอ หานฉายไฉ่ยิ้มเย็นพลางอธิบายขึ้น “ไม่ต้องสงสัย ข้าพอกลับมาที่นี่ ก็ได้ผ่านการชำระล้างครั้งที่สองของตระกูลแล้ว พลังแน่นอนว่าต้องก้าวกระโดด ถ้าหากไม่เป็นเช่นนี้ข้าตอนนี้จะสามารถทั้งพูดคุยอยู่กับเจ้าแบบนี้ได้อย่างไร? กล่าวไม่แน่ว่าในตอนที่เจ้าพบกับข้าอีกครั้ง ก็คงจะทำได้เพียงร่ำสุราด้านหน้าหลุมศพข้าแล้ว”
คำกล่าวของหานฉายไฉ่ก็ทำ เอามู่ชิงเกอแววตาไหววูบ ถึงแม้เขาจะพูดอย่างเนิบๆ สบายๆ แต่มู่ชิงเกอก็เดาได้ว่าเขาจะต้องผ่านความยากลำบากอันแสนสาหัสมา อย่างไม่ต้องสงสัย ถึงได้สามารถกลับไปที่ตระกูลอีกครั้ง อีกทั้งยังได้ควบคุมหอสรรพสิ่ง
นางก็ไม่รู้ว่าหานฉายไฉ่ตอนนี้อยู่ในตระกูลหานก็มีสถานะอะไร และก็ไม่รู้ว่าเขายังจะต้องพบเจอสิ่งใดอีก ทำได้เพียงเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าหากต้องการให้ช่วยอะไร ก็ให้ รีบพูดออกไม่ต้องเกรงใจ”
สำหรับคำกล่าวที่เขาบอกว่า ‘จะจับนางขัง’ นั้น นางก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจแต่อย่างใด
เพราะนางรู้ว่าหานฉายไฉ่ไม่มีทางทำเช่นนั้น อีกอย่างหากมีวันนั้นจริงๆ ใครจะจัดการใครก็ยังไม่แน่
“ข้าควรซาบซึ้งใจดีหรือไม่?” สำหรับการเสนอตัวของมู่ชิงเกอหานฉายไฉ่ก็เอ่ยหยอกเย้าขึ้นมา ไม่ใช่ไม่เชื่อความสามารถของมู่ชิงเกอ แต่เป็นเพราะถูกคำพูดของนางประโยคนี้ทำเอานิ่งชะงักขึ้นในใจ
มู่ชิงเกอพยักหน้ารับ “หากเจ้ารู้สึกซาบซึ้งใจในความหวังดีของข้า ข้าก็จะไม่ปฏิเสธ”
หานฉายไฉ่สบถขึ้นเสียงเย็น ผละสายตาออกอย่างหยิ่งทะนง คายคำพูดออกมาจากปากเสียงเย็น “ฝันไปเถอะ”
ผ่านไปอึดใจหนึ่ง เขาก็ขยับสายตากลับมาอีกครั้ง มองไปทางมู่ชิงเกอพลางกล่าวขึ้น “ถึงแม้ว่าคำพูดที่เจ้าพูดในวันนี้จะทำให้ข้าอยากบีบเจ้าให้ตาย แต่ข้าก็จะขอบอกเจ้าตรงนี้ก่อนเลยว่าข้าจะไม่มีทางยอมแพ้ ถ้าหากเจ้าพบว่าเขาไม่เหมาะกับเจ้า อ้อมกอดของข้าก็ยังรอคอยเจ้าอยู่ทุกเมื่อ อีกอย่าง ถ้าหากมีโอกาสให้ข้าได้ แย่งชิงกับเขา ข้าก็จะไม่มีทางพลาดอย่างแน่นอน”
มู่ชิงเกอยกมือขึ้นอย่างหมดวาจาจะกล่าว “เจ้าทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยเล่า? เสียเวลาเปล่าๆ”
หานฉายไฉ่เอนหลังพิงพนัก เอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน
“เจ้าเลือกปฏิเสธได้ ข้าก็สามารถเลือกที่จะยึดมั่นต่อไปได้เช่นกัน”
มู่ชิงเกอก็หมดวาจาจะกล่าว
พอหานฉายไฉ่กล่าวยืนกรานเช่นนี้นางจะยังพูดอะไรได้อีก?
สรุปแล้ว ที่ควรพูดนางก็ล้วนแต่พูดแล้ว เรื่องที่เหลือ นางก็จะไม่ไปสนใจอีก
มู่ชิงเกอที่เอือมระอา ก็เพียงแค่พูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง “เจ้าไม่มีทางมีโอกาสนั้น”
ไม่ว่านางจะเกิดเบื่อซือมั่วขึ้นมา หรือว่าเป็นการแข่งขันอย่างยุติธรรมแบบไหน ทั้งหมดนั้นก็คงจะไม่มีทางเกิด นางเป็นคนที่ซื่อตรงยึดมั่น หากได้เลือกแล้วก็จะไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงแต่เส้นทางนี้เส้นทางเดียวที่จะเดินไปจนถึงจุดสิ้นสุด
นอกเสียจากว่า ซือมั่วจะทำให้นางผิดหวังก่อน ทรยศนางก่อน แต่ว่าซือมั่วจะทำรึ?
ชายผู้ยิ่งใหญ่มากเล่ห์ผู้นั้น ชายที่เพื่อนางแล้วสามารถละทิ้งพลังฝึกฝนหมื่นปีทิ้งไป ชายที่ยึดนางเป็นหลัก ไม่จำกัดการพัฒนาของนางผู้นั้น จะทรยศนางรึ? จะทำให้นางผิดหวังรึ?
“อย่าได้กล่าวมั่นใจเกินไปนัก” หานฉายไฉ่จับจ้องมองนาง สบถออกมาประโยคหนึ่งอย่างไม่พอใจ
มู่ชิงเกอขี้เกียจที่จะต่อปากต่อคำกับเขาอีก นางเอาขวดที่บรรจุโอสถจักพรรดิหยิบออกมา ก่อนจะโยนมันไปทางหานฉายไฉ่
หานฉายไฉ่ยื่นมือออกไปรับเอาไว้มองมันแวบหนึ่งก็รู้แล้วว่าด้านในใส่อะไรเอาไว้
“หลอมเสร็จแล้ว?” เขาเงยหน้าเอ่ยถามขึ้น
มู่ชิงเกอพยักหน้า “ข้าได้ทำตามคำสัญญาในครั้งนั้น แล้วส่งมอบโอสถจักพรรดิให้แก่เจ้า เรื่องหลังจากนี้ก็ไม่ เกี่ยวอันใดกับข้าอีก”
หานฉายไฉ่พยักหน้ารับ เก็บโอสถจักพรรดิลงไป
“แล้วก็อีกอย่าง ข้ายังมีเรื่องเรื่องหนึ่งที่อยากจะถามกับหอสรรพสิ่ง แต่ในเมื่อได้พบกับเจ้าแล้ว ข้าก็จะได้เหลือเก็บเงินส่วนนี้เอาไว้ ในเมื่อข้าตอนนี้ก็ยังยากจนมาก” มู่ชิงเกอก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง
หานฉายไฉ่เบ้มุมปาก ขบกรามเอ่ยขึ้น “มู่ชิงเกอเจ้าก็เป็นสตรี จะสนใจหน้าตา เกียรติยศหน่อยได้หรือไม่? อีกอย่าง ตอนไหนที่ข้าบอกว่าจะไม่เก็บเงิน”
มู่ชิงเกอกะพริบตาปริบๆ “ข้ายังนึกว่าพวกเราสองคนเป็นสหายร่วมรบกันเสียอีก เจ้าอย่างน้อยก็ควรจะต้องไม่เก็บเงินข้าสักหนึ่งหรือสองครั้ง ไม่สิสามครั้ง แล้วการค้าหลังจากนั้น ก็ต้องลดราคาให้ข้าอีกสักหน่อยหนึ่ง เกื้อกูลสหายร่วมรบหน่อยเล็กๆ น้อยๆ”
หานฉายไฉ่จ้องมองนาง ชั่วขณะนั้นก็พลันส่ายหน้าขึ้นอย่างเอือมระอา “มู่ชิงเกอ ทำไมหลังจากที่เจ้ารู้ว่าข้าคิดยังไงกับเจ้าแล้ว ยังกล้าพูดกล่าวเช่นนี้ออกมาได้อย่าง หน้าตาเฉย?”
เขาชัดเจนว่าจะถูกหญิงนางนี้ทำให้ โมโหจนอกจะแตกตายอยู่แล้ว!
มู่ชิงเกอเท้าแขนไปที่พนักเก้าอี้พร้อมกับเท้าคางลงไป เอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “นั่นก็เป็นเพราะว่าข้าพูดกับเจ้าชัดเจนแล้ว ข้าก็ไม่ได้คิดรังเกียจเจ้า ถึงได้พูดกับเจ้า เหมือนตอนปกติ ถ้าหากข้าหลบๆ ซ่อนๆ จากนี้ไปหลบหน้าเจ้า นั่นก็ถึงจะเรียกว่าหวาดระแวง นึกรังเกียจเจ้า”
สำหรับหลักการของมู่ชิงเกอหานฉายไฉ่ก็ไม่อาจโต้เถียงได้
ก็คงไม่อาจพัวพันกับนางมากๆ มอบเหตุผลให้พูดได้ว่า จากนี้ไปก็เป็นคนแปลกหน้าต่อกันเถอะ? เช่นนั้นก็ไม่สู้สังหารเขาตรงๆ จะดีกว่านัก
เขาไม่เข้าใจ เวลาที่อยู่กับหญิงสาวนางนี้นางก็มักจะทำให้เขาโมโหได้บ่อยๆ ช่างเป็นหญิงสาวที่ไม่ไว้กริยาและไม่มีความอ่อนหวานแม้แต่น้อย ทำไมตนจะต้องไปต้องตานางด้วย หากไม่ใช่นางก็จะไม่ต้องใจงั้นหรือ?
“เจ้าอยากรู้อะไร?” ในที่สุดหานฉายไฉ่ก็เลือกที่จะให้ความร่วมมือ
พอกลับมาที่เรื่องสำคัญ มู่ชิงเกอก็พลันเหยียดหลังตรงขึ้น ร่างบางโน้มไปด้านหน้าเล็กน้อย เอ่ยขึ้นเสียงขรึม “เรื่องเล่าของฟ่งอวี๋เฟยเจ้าคงรู้อยู่กระมัง”
หอสรรพสิ่งก็มีชื่อเสียงที่ว่าไม่มีสิ่งใดไม่รู้
เรื่องราวในหลินชวนก็มีเท่าไรกันที่สามารถปกปิดหูตาของหอสรรพสิ่งได้? แล้วก็อีกอย่าง ในตอนนั้นเรื่องนี้ก็วุ่นวายจนชุลมุนไปทั้งแคว้น
และก็เป็นอย่างที่คาด หานฉายไฉ่พยักหน้า
เขาที่รู้ฉะนั้นเรื่องต่อมาก็พูดกันง่ายแล้ว มู่ชิงเกอนึกยินดีในใจ เอ่ยขึ้นกับเขา “ข้าได้รับการไหว้วานจากฟ่งอวี๋เฟย ให้ตามมาหามู่ยี่แทนนาง ตอนนี้ที่เมืองหลานอูเฉิงก็มีตระกูลมู่อยู่ตระกูลหนึ่ง เปรียบกับคำบรรยายของนาง แล้วก็คล้ายกันอยู่หลายส่วน ที่ข้าอยากรู้ก็คือ ที่ข้าต้องการหาเป็นตระกูลมู่ตระกูลนี้หรือไม่? มู่ยี่ในตอนนี้อยู่ในที่แห่งใด?”
ถ้าหากพูดถึงโลกแห่งยุคกลาง ที่มาของข่าวสารธรรมดาๆ จำนวนหนึ่งก็จะมาจากกลุ่มหลิวเค่อ ส่วนข่าวที่เป็นความลับและไม่ต้องการให้ผู้คนรับรู้นั้นก็จะมาจากหอสรรพสิ่ง
“เรื่องของคนอื่นเจ้าก็ช่างใส่ใจนัก” หานฉายไฉ่เอ่ยเหน็บไปประโยคหนึ่ง
“รับปากแล้วก็ต้องทำตามที่กล่าวไว้” มู่ชิงเกอเอ่ยตอบ
หานฉายไฉ่จ้องเขม็งไปทางนางสายตาหนึ่ง แววตาราวกับกำลังพูดว่า ‘คำพูดของเจ้าประโยคนี้ข้าทำไมถึงไม่ค่อยเชื่อกัน?’
มองเข้าใจถึงความหมายในแววตาของเขา มู่ชิงเกอก็ไม่ได้รู้สึกติดขัดแม้แต่น้อย เอ่ยขึ้น “ถ้าหากรู้ก็บอกข้ามา อย่าให้ข้าต้องมาเสียเที่ยว”
ถ้าหากตระกูลมู่ที่นางต้องการหา ไม่ใช่ตระกูลมู่ของเมืองหลานอูเฉิง เช่นนั้นนางก็คงไม่หยุดพักอยู่ที่นี่ แต่ เป็นมุ่งไปทางตะวันตกต่อไป หลังจากนั้นสืบข่าวของ ตระกูลมู่ต่อไป
“ตระกูลมู่ที่เจ้าต้องการตามหาก็คือตระกูลมู่ของเมืองหลานอูเฉิงแห่งนี้แหละ” หานฉายไฉ่เปิดปากขึ้น
มู่ชิงเกอพอได้ฟัง นัยน์ตาก็เปล่งประกายเจิดจ้าออกมา
เรื่องลำบากยากเย็นยังไงก็ไม่มีทางสู้กับความตั้งมั่นของคนได้! มู่ยี่ผู้นี้นางก็เริ่มตามหามาตั้งแต่หลินชวน ในที่สุดก็มาหาเจอที่โลกแห่งยุคกลางนี้แล้ว อีกทั้งดวงก็ยังดีไม่เลว เรื่องนี้ก็จะได้จัดการให้เสร็จที่เขตภาคใต้ไปเสีย
“ข่าวคราวของมู่ยี่ที่เจ้าต้องการนั้นก็ไม่ได้ซับซ้อนอันใด ข้าตอนนี้ก็สามารถบอกเจ้าได้ แต่หากว่าเจ้าต้องการได้ตัวคนผู้นี้ ก็คงจะต้องเค้นสมองนิดหน่อยแล้ว”
คำกล่าวนี้ก็ทำเอาอารมณ์ความตื่นเต้นของมู่ชิงเกอสงบลง นางเอ่ยถามขึ้นเสียงขรึม “เรื่องราวจริงๆ แล้วเป็นยังไงกันแน่?”
นางเดาได้แต่แรกแล้วว่าเรื่องนี้จะต้องยากลำบาก ไม่เช่นนั้นมู่ยี่ก็คงจะไปตามหาฟ่งอวี๋เฟยนานแล้ว
และบางทีมู่ยี่ก็อาจจะเป็นชายหลายใจผู้หนึ่งที่ลืมเลือนฟ่งอวี๋เฟยไปตั้งแต่แรกแล้ว ใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญอยู่ที่โลกแห่งยุคกลาง
พอนึกถึงฟ่งอวี๋เฟยที่เฝ้ารอคอยอย่างว้าวุ่นใจอยู่ที่แคว้นลี่แห่งหลินชวนในใจของมู่ชิงเกอก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่เป็นไปอย่างนางคาดเดา
จะว่านางเป็นพวกจิตใจชั่วช้าก็ได้นางยังยอมที่จะเชื่อว่ามู่ยี่ตายไป แล้วหรือไม่ก็ถูกคุมขังเอาไว้ถึงไม่ได้กลับไปหาฟ่งอวี๋เฟย เดาว่าเป็นเช่นนี้ยังจะดีกว่า
หายฉายไฉ่ปรับท่านั่ง นํ้าเสียงเกียจคร้านเริ่มเอ่ยอธิบายไปทางมู่ชิงเกอ “22 ปีก่อน ตระกูลมู่ของเมืองหลานอูเฉิงก็ได้เกิดความวุ่นวายภายในครั้งใหญ่ สาย เลือดหลักในตอนนั้นก็อ่อนแอเกินไป ตระกูลสายรองแข็งแกร่งกว่า ดังนั้นก็เลยถูกกดดันจากตระกูลสายรอง ไปจนถึงขั้นเสนอให้ตั้งประมุขตระกูลขึ้นใหม่อย่างเหิมเกริม ให้คนมีความสามารถรับตำแหน่ง แต่ไม่ใช่กะเกณฑ์ด้วยสายเลือด ล้วนแต่เป็นคนตระกูลมู่เลือดของสายหลักสายรองก็ล้วนแต่เหมือนๆ กัน ใครจะเป็นประมุขผู้นำตระกูลก็ไม่ต่างกัน คนสายรองของตระกูลมู่ แต่เดิมก็คิดที่จะใช้เหตุผลนี้ยึดอำนาจ แต่ก่อนที่การประลองคัดสรรจะเริ่มขึ้น มู่ยี่ที่มีสายเลือดของสายหลักกลับทะลวงระดับพลังได้สำเร็จ กลายเป็นรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของ ตระกูล ข่าวนี้สำหรับสายหลักแล้วก็ถือว่าเป็นข่าวดี แต่ว่าสำหรับสายรองที่จับจ้องตำแหน่งประมุขผู้นำตระกูล ก็ถือว่าเป็นข่าวร้ายข่าวหนึ่ง เพราะถ้าหากสายหลักมีคนที่มีพรสวรรค์แข็งแกร่งกว่าขึ้นมา นั่นก็หมายความพวกเขาไม่มีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนตำแหน่งผู้นำตระกูลอีก ไปจนถึงขั้นที่มู่ยี่ก็อาจจะกลายเป็นผู้สืบทอดคนถัดไปของผู้นำตระกูลได้อย่างราบรื่น แผนการทั้งหมดก็กลายเป็นพังทลายหลังจากที่มู่ยี่เลื่อนระดับสำเร็จ สายรองจะยินยอมง่ายๆ ได้อย่างไร? ดังนั้นพวกเขาก็เลยลอบคิดอุบาย ต้องการจะกำจัดสายตรงของตระกูลออกไป โดนเฉพาะมู่ยี่ แต่ใครจะรู้ ข้อมูลกลับรั่วไหล แผนการของสายรองถูกสายหลักล่วงรู้เข้า มู่ยี่ก็นับว่าเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม ทนไม่ได้หากสายเลือดเดียวกันจะฆ่าล้างกันเอง ก็เลยรุดไปพูดคุยกับสายรองเพียงลำพัง ขอเพียงสายรองยอมตกลงที่จะล้มเลิกแผนการไม่สร้างความลำบากให้สายหลักอีก เขาก็จะละทิ้งตำแหน่งผู้นำ ตระกูลออกเดินทางไปให้ไกล ถึงขนาดที่ยินยอมให้สายรองมากุมอำนาจ สายรองสุดท้ายตอบตกลง เขาก็เลยทำตามสัญญาเดินทางจากไป”
“ไร้เดียงสา โง่งม” พอได้ฟัง มู่ชิงเกอก็กล่าวเย้ยหยันขึ้นมาประโยคหนึ่ง
หานฉายไฉ่พยักหน้าเห็นด้วย “มู่ยี่หลังจากจากไปแล้ว ตระกูลมู่ก็ไม่ได้กลับไปสงบสุขเหมือนกับที่เขาคิดเอาไว้ คนของสายรองในคืนหนึ่งก็ลงมือสังหารผู้กุมอำนาจของสายหลักจนหมด รวมถึงพวกรุ่นเยาว์ก่อนจะบีบบังคับให้ตระกูลสายย่อยอื่นๆ ยอมสยบ แต่ว่าพวกเขาก็ยังเกรงกลัวพรสวรรค์ของมู่ยี่ กลัวว่าระดับพลังของเขาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วหลังจากที่รู้ข่าวความเป็นไปของตระกูลแล้ว ก็จะนำความแค้นรุดกลับมาแก้แค้นพวกเขา ดังนั้น พวกเขาก็เลยตัดสินใจส่งคนออกไปไล่ล่ามู่ยี่ ทำการถอนรากถอนโคน”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เอ่ยเสียงพึมพำ “นี่ก็ถึงจะถือเป็นการเริ่มต้นที่แท้จริง”
หายฉายไฉ่พยักหน้าเห็นด้วยขึ้นอีกครั้ง
เขาหยุดเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง มองไปทางมู่ชิงเกอพลางเอ่ยขึ้น “การไล่ล่านี้ ก็ไล่ล่ากันตั้งแต่โลกแห่งยุคกลางไปจนถึงหลินชวน มู่ยี่หลังจากออกจากตระกูลมู่ไปแล้ว ก็ท่องเที่ยวไปยังสถานที่มีชื่อต่างๆ ก่อนจะพบเข้ากับประตูมิติโบราณที่สามารถเดินทางไปหลินชวนได้ เขาก็เลยเปิดการทำงานของมัน มุ่งหน้าไปยังหลินชวน สามารถพูดได้ว่าเขายังไม่รู้เรื่องน่าเศร้าของครอบครัวตน ที่เลือกไปที่หลินชวนก็เป็นเพราะเขาตัดสินใจแน่วแน่ แล้วว่าจะไม่กลับมาที่นี่อีก แต่ว่าคนของสายรองกลับไล่ตามไม่ปล่อย ต่อจากนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่มู่ยี่ไปพบฟ่งอวี๋เฟยที่แคว้นลี่ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเล่าต่ออีกกระมัง”
“หอสรรพสิ่งก็ไม่มีอะไรที่ไม่รู้จริงๆ” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นทอดถอนใจ
หานฉายไฉ่กลับกล่าวขึ้นมาอย่างถ่อมตนที่น้อยนักจะได้พบ “ไม่ถึงขนาดนั้น เรื่องเรื่องนี้ที่ข้าสามารถรู้ได้ชัดเจนก็เป็นเพราะว่าเรื่องเรื่องนี้ทำเอาวุ่นวายกันใหญ่โตมาก อีกทั้งเมืองหลานอูเฉิงก็อยู่ใต้ขอบเขตของหอสรรพสิ่ง แต่ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของพวกตระกูลบรรพกาล นอกจากตระกูลหานกับตระกูลที่ใกล้ชิดกับตระกูลหานไม่กี่ตระกูลแล้ว ข้าก็ไม่ได้ชัดเจนอันใดอีก”
“ตระกูลบรรพกาล” มู่ชิงเกอลอบเอ่ยทวนขึ้นในใจ นางก็จำที่ซือมั่วเคยพูดได้ว่า ตระกูลซางของมารดา ก็เป็นหนึ่งในตระกูลบรรพกาล มีพลังสืบทอดทางสายเลือด
ตระกูลหานของหานฉายไฉ่ ก็เป็นตระกูลบรรพกาล
ดึงเก็บความคิดกลับ มู่ชิงเกอเอ่ยหยอกเย้าขึ้น “หอสรรพสิ่งไม่ใช่มีฉายาว่าไม่สิ่งใดไม่รู้ไม่ใช่รึ?”
หานฉายไฉ่ยิ้มเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “สำหรับคนส่วนมากแล้วพวกเราก็แน่นอนว่าไม่มีอะไรไม่รู้ถ้าหากเจ้าอยากรู้เกี่ยวกับตระกูลบรรพกาลก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่คงต้องดูว่าเจ้าจะจ่ายให้มากเท่าไร”
มู่ชิงเกอก็ล้มความคิดที่จะสืบถามเรื่องตระกูลซางที่เขตตะวันตก มีบางเรื่องที่นางจำเป็นต้องเดินไปถึงตรงหน้าของมันด้วยตัวเอง ไปทำความเข้าใจกับความจริงทั้ง
หมด
เพราะถึงยังไง ที่นั่นก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของนาง ที่นางต้องการจะรู้ก็เป็นที่อยู่ของท่านแม่ แล้วก็เรื่องศพของท่านพ่อในตอนนั้น ไม่ได้คิดจะไปสานสัมพันธ์อันใดกับตระกูลซาง
“หลังจากนั้นมู่ยี่เป็นเช่นไร?” มู่ชิงเกอ วกกลับไปที่หัวข้อหลัก
นี่ถึงจะเป็นกุญแจสำคัญ
หานฉายไฉ่เอ่ย “มู่ยี่สุดท้ายก็ถูกจับตัวกลับมา รับรู้เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับตระกูล รับรู้ข่าวการตายของเครือญาติ แต่ถึงอย่างนั้น คนของสายรองก็ไม่ได้สังหารเขา เพียงแค่ตัดเอ็นมือเท้าของเขา สลายวรยุทธ์ก่อนจะขังเขาไว้ในคุกลับสักแห่ง”
“เพื่ออะไร?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว
นางไม่เข้าใจการกระทำของตระกูลมู่สายรอง ในเมื่อจับตัวมู่ยี่ได้แล้ว ทำไมถึงไม่รีบตัดรากถอนโคนกัน?
หานฉายไฉ่ประสานมือเอ่ยขึ้น “จากที่ได้ยินมา นายน้อยของตระกูลมู่คนปัจจุบันที่เป็นคนจับมู่ยี่กลับมาด้วยตัวเอง ต้องการจะทรมานเขา ไม่อยากให้เขาตายสบายๆ”
มู่ชิงเกอเบ้มุมปากขึ้น จากคำพูดราบเรียบของหานฉายไฉ่ นางก็สัมผัสได้ถึงความชิงชังที่อยู่ในนั้น
“แม้แต่เจ้าก็ไม่รู้ว่ามู่ยี่อยู่ที่ไหน?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามขึ้น
หานฉายไฉ่พยักหน้า “เรื่องของตระกูลมู่ ข้าไม่ได้จับตามองเป็นพิเศษ ข้าก็คงจะไม่เบื่อหน่ายจนถึงขั้นไปหาที่ซ่อนของคนพิการผู้หนึ่ง ถ้าหากเจ้าอยากรู้ข้าก็สามารถช่วยเจ้าสืบหาได้ แต่ว่า นี่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทน”
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไปทางเขา
ดวงตารียาวของหานฉายไฉ่หรี่เล็กลง ในแววตาฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมา “ในช่วงนี้ที่เจ้าอยู่ในเมืองหลานอูเฉิง จะต้องอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา และแน่นอนเรื่องที่เจ้าต้องการทำ ข้าก็จะคอยช่วยอยู่ด้านข้าง”
มู่ชิงเกอหลังจากได้ฟังแล้วก็ยิ้มเย็นขึ้น “เกรงว่าถึงเวลานั้น เจ้าก็คงจะขอค่าตอบแทนจากข้าเพิ่มอีกกระมัง?”
หานฉายไฉ่เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา ไม่ได้ปฏิเสธ
มู่ชิงเกอยิ้มขันพลางเอ่ยขึ้น “ราคาของเจ้าสูงเกินไป การแลกเปลี่ยนคงไม่อาจหารือได้ ดูท่าที่อยู่ของมู่ยี่ ข้าก็คงจะต้องไปสืบหาเองแล้ว”
พอกล่าวจบ นางก็ลุกยืนขึ้น เตรียมที่จะจากไป
“ช้าก่อน” หายฉายไฉ่อยู่ๆ ก็ส่งเสียงออกมา เรียกหยุดมู่ชิงเกอไว้
มู่ชิงเกอหันหน้ามองไปทางเขา
เขาเอ่ยแย้มยิ้มขึ้น “ยังมีข่าวอีกข่าวหนึ่งที่เกี่ยวกับพญาเพลิงฮุ้นหยวนของเจ้า ต้องการฟังหรือไม่? ข้อแลกเปลี่ยนก็แค่คืนนี้ร่ำสุราเป็นเพื่อนข้า”
มู่ชิงเกอนัยน์ตาทั้งสองข้างหรี่เล็กลง ไอพลังดุดัน เอ่ยออกไปตรงๆ “เจ้ามีข่าวของพญาเพลิง?”
หยวนหยวนจำเป็นต้องใช้การดูดกลืนพญาเพลิงถึงจะแข็งแกร่งขึ้น ข่าวของหานฉายไฉ่ที่เกี่ยวกับหยวนหยวน นอกจากพญาเพลิงแล้วจะเป็นอันใดได้?
หานฉายไฉ่ก็พยักหน้าออกไปตามความจริง เขาชันกายลุกขึ้น เดินไปที่ด้านข้างของมู่ชิงเกอ ในเสียงเกียจคร้าน ก็เต็มไปด้วยการเย้ายวน “ทำไมรึ? แค่เพียงรํ่าสุราเป็นเพื่อนข้า แค่สุราไม่กี่จอกก็สามารถแลกเปลี่ยนข่าวสารของพญาเพลิงได้ นี่สำหรับเจ้าแล้ว ได้เปรียบเป็นอย่างมาก เจ้าที่ลังเลเป็นเพราะกังวลว่าหลังจากที่ข้าดื่มเหล้า ก็จะทำอะไรกับเจ้ารึ?”
ด้านหนึ่งหลอกล่อ อีกด้านหนึ่งยั่วยุ
สายตาของมู่ชิงเกอตกลงไปยังใบหน้าเจ้าเล่ห์ของหานฉายไฉ่ ก่อนที่อึดใจหนึ่ง นางจะยิ้มขันส่งเสียงเย็นขึ้นมา “คืนนี้เตรียมสุรากับอาหารชั้นเลิศให้พร้อม”
พอกล่าวจบ นางก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
หลังออกมาจากหอสรรพสิ่ง มู่ชิงเกอก็ถึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ทุกครั้งที่อยู่กับหานฉายไฉ่ ก็ล้วนเป็นการสู้ปัญญา สู้ความกล้า และแน่นอนก็ยังมีช่วงเวลาที่คุยได้ปกติ แต่นั่นก็น้อยมาก โดยเฉพาะตอนนี้นางที่รู้ถึงความในใจของหานฉายไฉ่แล้ว ก็ยิ่งรู้สึกว่าควรจะรักษาระยะห่างเอาไว้ถึงดีที่สุด ตัวนางในใจก็ไม่ได้มีความคิดอะไร แต่ถ้าหากเรื่องพวกนี้หลุดไปเข้าหูของคนบางคนเข้า ก็เกรงว่าหานฉายไฉ่ก็คงจะต้องพบกับภัยพิบัติที่ไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว
มู่ชิงเกอเบ้ปากขึ้น ก่อนจะโยนทิ้งเรื่องหญิงๆ ชายๆ พวกนี้ไปด้านหลัง
“ชิงเกอ เจ้ากำลังคิดอันใดรึ?” ไป๋สี่เห็นมู่ชิงเกอมีอาการเหม่อลอย ก็เลยเอ่ยถามขึ้น
มู่ชิงเกอมองไปทางไป๋สี่ เอ่ยขึ้นกับนาง “ไป๋สี่ ข้ามีงานมอบให้เจ้าอย่างหนึ่ง”
พอได้ยินว่ามีงานให้ทำ นัยน์ตาของไป๋สี่ก็พลันสว่างวาบขึ้นมา “ชิงเกอเจ้ารีบว่ามา ครั้งนี้จะให้กินใคร?”
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก “ไม่ใช่ให้ไปกินใคร”
ไม่ใช่ไปกินคน!
ไป๋สี่ทันใดกลายเป็นหมดอารมณ์
มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เจ้าเพิ่งจะกินอิ่มมาได้ไม่นาน คงไม่ใช่ว่าจะหิวขึ้นมาอีกแล้วนะ?”
“ไม่นานอะไรกัน? ข้าครั้งที่แล้วที่กินก็อยู่บนเกาะในทะเลแห่งทุกข์หลังจากนั้นก็ยังรับศึกหนักกับฉวีอวี้เป็นเวลานานอีก ตอนนี้ก็ล้วนแต่ผ่านไปครึ่งปีแล้ว ข้าจะไม่หิวได้อย่างไร?” ไป๋สี่เอ่ยขึ้นอย่างน้อยใจ
เอ่อ!
มู่ชิงเกอลองคำนวณเวลาคร่าวๆ ในใจ ก็พบว่ามันเหมือนจะจริง นี่ใกล้จะถึงเวลากินของไป๋สี่แล้ว
ขบกรามไปรอบหนึ่ง มู่ชิงเกอก็หันไปเอ่ยกับไป๋สี่ “เช่นนั้นก็เอาเถอะ ไปกินให้อิ่มก่อนแล้วค่อยไปทำภารกิจ”
หากไม่ทำให้ไป๋สี่อิ่มเสียก่อนนางก็กลัวว่าระหว่างทำภารกิจ ไป๋สี่ก็จะถ่อไปกินมื้อใหญ่เข้าเสียก่อน
“จริงรึ! ชิงเกอช่างเป็นคนดีนัก!” ไป๋สี่นัยน์ตาทั้งสองข้างเปล่งประกายออกมา
มู่ชิงเกอยิ้มไปทางนางอย่างหมดวาจาจะกล่าว ใครให้ตนเลี้ยงตัวกินเก่งเช่นนี้กันเล่า?
นางพาไป๋สี่เดินเข้าไปในร้านขายเนื้อจำนวนหนึ่งที่อยู่บนถนน สั่งซื้อเนื้อสัตว์อสูรจำนวนมากจนผู้คนต้องตกตะลึง ก่อนจะบอกให้พวกเขารออยู่ที่ร้าน บอกว่าอีกสักครู่จะมีคนส่งแผนที่ส่งของมาให้
หลังจากนั้นถึงค่อยไปตามจุดนัดรวมตัวกับเสวี่ยหยา แล้วค่อยมุ่งหน้าไปยังจวนที่ได้เช่าเอาไว้
จวนที่เสวี่ยหยาเลือกก็อยู่ในเมืองหลานอูเฉิง แต่มันค่อนข้างปลีกวิเวก ทางผ่านก็ต้องผ่านอาคารรกร้างจำนวนหนึ่ง ดูแล้วก็น่าจะไม่มีคนอาศัยอยู่มาเป็นเวลานาน
แต่ว่า จวนที่พักเช่นนี้ กลับตรงกับความต้องการของมู่ชิงเกอ
ยามคํ่า คนของร้านขายเนื้อก็พากันส่งเนื้อสัตว์อสูรมาที่จวนชั่วคราวของพวกมู่ชิงเกอตามที่อยู่ที่โย่วเหอส่งไปให้ มองไปยังชิ้นเนื้อสัตว์อสูรชุ่มเลือดที่ค่อยๆ กองเต็มพื้นที่ของจวนด้านหลัง กลายเป็นภูเขาลูกย่อมๆ ดวงตาของไป๋สี่ก็กลายเป็นส่องแสงสีเขียวออกมา
คนส่งเนื้อ ก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนพวกนี้ที่ล้วนแต่เป็น หญิงงามร่างบอบบาง ทำไมถึงได้ต้องการเนื้อมากมายขนาดนี้ แต่แน่นอน มีเงินเข้ามาแล้วไม่รับก็ล้วนแต่เป็นคนโง่ ขอเพียงมีเงินเพียงพอ พวกเขาก็แน่นอนว่าจะไม่ไปสนใจถึงการใช้เนื้อพวกนี้
หลังจากส่งคนส่งเนื้อพวกนั้นจากไป ไป๋สี่ก็แปลงกลับไปเป็นร่างเดิมร่างที่แท้จริงของอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ ขดอยู่ที่จวนด้านหลัง ชั่วขณะนั้นก็เบียดแน่นจนจวนด้านหลังที่ยังนับว่ากว้างขวางแคบลงไปถนัดตา เบียดเสียดจนพวกมู่ชิงเกอไม่กี่คนต้องหลบไปบนหลังคาบ้าน
พอเห็นไป๋สี่เปิดปากดูดกลืนครั้งหนึ่งก็สามารถดูดกลืนภูเขาชิ้นเนื้อไปได้เกือบครึ่งเช่นนี้ มู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้นมาอย่างทอดถอนใจว่า ‘ยังดีที่เนื้อพวกนี้ในโลกแห่งยุคกลางสามารถใช้เงินตำลึงซื้อหาได้ ถ้าหากต้องใช้ศิลาวิญญาณไปแลก ในไม่ช้าข้าจะต้องถังแตกเป็นแน่!’
พอเห็นร่างจริงของไป๋สี่ จิงไห่ก็กลายเป็นตกอกตกใจขึ้นมา เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าไป๋สี่จะเป็นสัตว์อสูรที่จำแลงกายมา ที่สำคัญก็คือ…ยังกินเก่งถึงขนาดนี้!
สูดลมหายใจลึกเข้าไปสายหนึ่ง จิงไห่หันไปกล่าวกับมู่ชิงเกอ “ครูฝึก ข้าคงต้องขอตัวไปฝึกฝนก่อนแล้ว ตารางของวันนี้ยังฝึกไม่ครบดีขอรับ”
มู่ชิงเกอมองไปทางเขา ก่อนจะพยักหน้าให้
จิงไห่เร่งรีบหมุนกายจากไป เขาก็รู้สึกว่าถ้ามัวแต่มองดูการกินของไป๋สี่ เขาในสามวันนี้ก็คงจะไม่ต้องกินข้าวแล้ว
จิงไห่เพิ่งจะจากไป กองเนื้อที่กองอยู่ในจวนด้านหลังก็ราวกับสายลมพัดก็ไม่ปานถูกไป๋สี่กินจนหมด นางแปลงกลับเป็นร่างของหญิงสาวบอบบางอีกครั้ง บนใบหน้ายังฉายแววไม่หนำใจ เอ่ยออดอ้อนไปทางมู่ชิงเกอ “ชิงเกอ ข้าอยากกินอีก”
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก มองไปทางสีท้องฟ้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นกับไป๋สี่ “วันนี้มืดมากแล้ว เช่นนี้แล้วกัน พรุ่งนี้ข้าจะให้โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยไปซื้อเพิ่มมาอีกจำนวนหนึ่ง แต่เจ้าตอนนี้ต้องไปทำภารกิจให้ข้าก่อนภารกิจหนึ่ง ลอบเข้าไปในตระกูลมู่หาตัวนายน้อยของพวกเขา หลังจากนั้นจับตามองเขา”
ความคิดของมู่ชิงเกอนั้นง่ายมาก นางก็ไม่มีอารมณ์จะเข้าไปยุ่งกับบุญคุณความแค้นของตระกูลมู่ เป้าหมายของนางก็คือช่วยมู่ยี่ หลังจากนั้นคิดหาวิธีส่งเขาไปให้ฟ่งอวี๋เฟย ทำตามสัญญาให้สำเร็จ ในเมื่อหานฉายไฉ่เคยบอกว่ามู่ยี่ที่ไม่ตายก็เพราะนายน้อยของตระกูลมู่คนปัจจุบันต้องการทรมานเขา ด้วยเหตุนี้ขอเพียงจับตามองนายน้อยตระกูลมู่อาไว้ไม่ให้คลาดสายตา เช่นนั้นจะช้าจะเร็วก็จะต้องหาสถานที่ที่มู่ยี่ถูกขังพบ
พอรู้ถึงสถานที่คุมขังคน เรื่องต่อมาก็จะกลายเป็นชัดเจนแล้ว
คนที่ชอบทรมานฝ่ายตรงข้ามผู้หนึ่งก็ไม่มีทางเว้นระยะนานที่จะไปหาคนผู้นั้นในแต่ละครั้ง
ไป๋สี่พอเข้าใจความต้องการของมู่ชิงเกอ ก็พยักขึ้นอย่างจริงจัง กลายร่างเป็นแสงเล็กๆ สีขาวสายหนึ่งหายไปจากตรงหน้าของกลุ่มคม
“นายน้อย” เสวี่ยหยาเอ่ยขึ้นเสียงเบา
มู่ชิงเกอเอ่ยสั่งการไปทางนาง “พรุ่งนี้เป็นต้นไป ให้เจ้าเริ่มรวบรวมข่าวสารที่เกี่ยวกับตระกูลมู่มาให้หมด”
จะช่วยคนก็แน่นอนว่าจะต้องชัดเจนถึงขุมกำลังของฝ่ายตรงข้าม
เสวี่ยหยาพยักหน้าเบาๆ
หลังจากนั้นมู่ชิงเกอก็หันไปกล่าวกับโย่วเหอและฮวาเยวี่ย “พวกเจ้าสองคนค่อยช่วยเสริมเสวี่ยหยา ส่วนเวลาที่ไม่ได้ออกไปก็ให้คอยดูจิงไห่ฝึกฝน”
การสืบข่าวเกี่ยวกับมู่ยี่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสำเร็จได้ในเร็ววัน หากโชคดี กล่าวไม่แน่ว่าคืนนี้ก็จะสามารถหาที่คุมขังที่มู่ยี่ถูกขังเอาไว้ได้ แต่ถ้าหากโชคไม่เข้าข้าง ก็คาดว่าจะต้องรอเป็นสิบวันไปจนถึงครึ่งเดือน หรือไม่ก็ยาวนานกว่านั้น
มู่ชิงเกอก็ไม่ได้คิดจะสิ้นเปลืองเวลา
คืนนี้พอไปพบหานฉายไฉ่ หลังจากถามถึงข้อมูลของพญาเพลิงแล้ว นางก็จะสามารถใช้เวลาที่รอข่าวคราวของมู่ยี่นี้พาหยวนหยวนไปดูดกลืนพญาเพลิงก่อน พอเป็นเช่นนี้พลังของฝั่งนางก็คงจะแข็งแกร่งขึ้นมาไม่น้อย และก็จะไม่ต้องเสียเวลารออยู่เฉยๆ
“คืนนี้ ข้ามีธุระต้องออกไปข้างนอก พวกเจ้าให้คอยอยู่ที่นี่ ถ้าหากมีเรื่องอันใด ให้ใช้แผ่นป้ายส่งข่าว” มู่ชิงเกอเอ่ยสั่งการไปทางพวกเขา
พอใกล้ถึงยามคํ่า มู่ชิงเกอก็มาที่หอสรรพสิ่งอีกครั้ง คนที่รอรับรองนางก็เป็นเย่ว์เหนียง หญิงในชุดกระโปร่งสีม่วงนางนั้น นางนำมู่ชิงเกอขึ้นไปที่ชั้นเจ็ดโดยตรง พาไปพบกับหานฉายไฉ่
คืนนี้ ที่ใส่บนตัวของหานฉายไฉ่ก็เป็นชุดผ้าสีแดงตัวหนึ่ง ถึงแม้จะเทียบกับความประณีตของชุดของมู่ชิงเกอไม่ได้ แต่จากสีสันกลับทำผู้คนรู้สึกว่าทั้งคู่ดูเข้ากัน
ปกเสื้อของเขาก็ยังคงดูรุ่ยร่าย เผยแผ่นอกออกมา พอไม่มีลายดอกไม้พวกนั้น ใบหน้าของหานฉายไฉ่ใบนั้นก็กลายเป็นหล่อเหลาเย้ายวนขึ้น
พอเห็นเสื้อผ้าของเขา มู่ชิงเกอก็พลันขมวดคิ้วขึ้นมาในทันใด ในเมื่อ เมื่อกลางวันชายผู้นี้ก็เพิ่งจะสารภาพรักกับนาง คืนนี้ก็ยังมาใส่เสื้อผ้าสีเดียวกับที่นางใส่บ่อยๆ นี่หมายความว่ายังไง?
ชุดคู่รัก?
มู่ชิงเกอฝ่ามือเดียวพลันปัดคำสามพยางค์ในหัวนี้ทิ้งไป นางยิ้มเยาะพลางหันไปกล่าวกับหานฉายไฉ่ “ทำไมคืนนี้ถึงได้ใส่ชุดเพื่อนสาวเป็นเพื่อนข้าได้กัน?”
ชุดเพื่อนสาว?
คำกล่าวสามพยางค์นี้ก็ทำเอารอยยิ้มของหานฉายไฉ่แข็งชะงักไป บนใบหน้าห่มคลุมด้วยชั้นนํ้าแข็งขึ้นชั้นหนึ่ง “ปากของเจ้า จะพูดคำพูดดีๆ ออกมาบ้างไม่ได้หรือไง”
มู่ชิงเกอยักไหล่ขึ้น เอ่ยไปทางหานฉายไฉ่ “อย่าได้คิดมาเลียนแบบข้า รสนิยมของข้าไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาเช่นเจ้าจะสามารถลอกเลียนได้ วาดตัวเองเป็นพยัคฆ์แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นสุนัข กลายเป็นตัวตลก”
หายฉายไฉ่ยิ้มเจ้าเล่ห์พลางเดินเข้าไปใกล้นาง ขยับไปที่ด้านหน้าของนาง เอ่ยถามขึ้นเสียงเกียจคร้าน “เจ้าให้ความสนใจกับชุดของข้าขนาดนั้นเชียว?”
การเข้ามาใกล้ของเขา ก็ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้วต่อต้านขึ้นมา…