Skip to content

พลิกปฐพี 239

ตอนที่ 239

เมาสุรารำร้องทำนองเพลง

ชีวิตคนยาวนานแค่ไหนกัน

“เจ้าก็ให้ความสนใจกับชุดของข้าขนาดนั้นเชียว?” อยู่ ดีๆ หานฉายไฉ่ก็เข้ามาใกล้ใบหน้าที่ดูเย้ายวนเผยรอยยิ้มมีเลศนัย เสียงคำพูดสบายๆ ดูมีเสน่ห์น่าหลงใหล

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วต่อต้าน ร่างกายถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เอ่ยเตือนเสียงเข้มว่า “อยู่ห่างข้าให้ไกลหน่อย”

แต่ว่า หานฉายไฉ่ก็ทำเหมือนว่าไม่ได้ยิน ก้าวเข้าไปอีกก้าว เสียงราวกับอสรพิษชอนไชเข้าไปในหูของมู่ชิงเกอ “เจ้ากลัวงั้นหรือ?”

มู่ชิงเกอยิ้มเย็นออกมา “การล้อเล่นเช่นนี้ไม่ได้ตลกเลยสักนิด”

หานฉายไฉ่เก็บรอยยิ้มบนใบหน้ากลับ สะบัดแขนเสื้อด้านหน้าของมู่ชิงเกอ หันหลังเดินกลับไป พร้อมกับหยิบกาเหล้าโยนไปด้านหลัง

กาเหล้าใบใหญ่พุ่งมาทางมู่ชิงเกอ นางยื่นมือออกไปรับ แขนเสื้อไหลลง เผยให้เห็นแขนขาวนวล หานฉายไฉ่หันกลับมา ก็มองไปเห็นแขนขาวนวลเข้าพอดี ดวงตาเรียวยาวเกิดความหวั่นไหว สายตาจ้องมองไปบนนั้น

มู่ชิงเกอถอนมือกลับมา แขนเสื้อตกลงไป ปิดบังแขนขาวนวลเอาไว้ทำเอาดวงตาของหานฉายไฉ่เผยความผิดหวังออกมา

เปิดจุกกาเหล้า มู่ชิงเกอขยับหน้าเข้าไป เหล้าใสไหลลงมาตามปากของกา เป็นดังนํ้าตกสีเงินไหลเข้าไปสู่ปากของมู่ชิงเกอ

ดื่มไปอึกหนึ่ง เหล้าร้อนแรงแผดเผาหลอดอาหารของนาง ทำให้ร่างกายร้อนรุ่มขึ้นมาในพริบตา

“เหล้าดี!” มู่ชิงเกอเอ่ยชื่นชม นัยน์ตาเปล่งประกาย

หานฉายไฉ่ส่ายหัวเอ่ยว่า “เจ้าช่างไม่เหมาะกับเหล้าผลไม้ของผู้หญิงจริงๆ”

เขามองมู่ชิงเกอในตอนนี้ ดวงตาที่วาววาบนั่น หากว่าเป็นคนที่ไม่คุ้นเคยกับนาง เห็นแล้ว คงจะคิดว่านางนั้นเป็นคนคอแข็ง

มู่ชิงเกอกลับยิ้มแล้วเอ่ยออกมาว่า “ไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป อารมณ์แบบไหน ก็ดื่มเหล้าชนิดนั้น ข้าก็ไม่ได้ชื่นชอบดื่มเหล้าชนิดเดียวเสมอไป”

มองๆไปที่กาเหล้าในมือ เขย่าเบาๆ แล้วเอ่ยกับหานฉายไฉ่ว่า “เหล้าที่ร้อนแรงเช่นนี้ ข้าสามารถดื่มได้ เหล้าผลไม้ที่อ่อนดุจนํ้าเปล่าข้าก็ไม่ปฏิเสธ”

หานฉายไฉ่มองนาง มองไม่ออกถึงความคิดของเขาในตอนนี้

เขาเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “หากอยากดื่มเหล้า ตามข้ามา”

พูดจบแล้วก็หันกายจากไป

วันนี้ที่มู่ชิงเกอมาที่นี่ เดิมก็มาดื่มเหล้า จากนั้นก็รอฟังข่าวเกี่ยวกับพญาเพลิง แน่นอนว่าจะไม่ถอยในตอนนี้ นางยกกาเหล้าในมือขึ้นมาดื่มอีกอึกหนึ่ง ก่อนจะวางกาลง ตามหานฉายไฉ่ไป

ที่หานฉายไฉ่พานางไปไม่ใช่ทางที่นางขึ้นมา

แต่ก็เป็นทางลงไปชั้นล่าง

ลงตามบันไดวงกลม ไม่รู้ว่าลึกแค่ไหน แต่เมื่อมองความสูงก็ไม่ใช่เพียงแค่เจ็ดชั้น

มู่ชิงเกอตามหานฉายไฉ่ลงบันไดไป เข้าไปในห้องใต้ดินแห่งหนึ่ง ประตูห้องใต้ดิน มีประตูเหล็ก หานฉายไฉ่ล้วงกุญแจจากหน้าอกออกมาดอกหนึ่ง เปิดประตูเข้าไปได้อย่างง่ายดาย

ประตูถูกผลักให้เปิดออก สายลมเย็นพัดออกมา พัดจนทำให้คนรู้สึกหนาว มู่ชิงเกอรู้สึกมีสติขึ้นหลายส่วน

“เข้ามาเถอะ” หานฉายไฉ่เอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง ก้าวเข้าไปในห้องใต้ดิน

ไม่มีการชักช้า มู่ชิงเกอก็เดินตามเขาเข้าไป ด้านในนั้นเป็นอุโมงค์ที่มืดและยาวสายหนึ่ง อุโมงค์นั้นแคบมาก สามารถเดินผ่านไปได้แค่คนสองคน แต่หากเป็นคนเดียวเดินอยู่ที่นี่กลับพอดี ทั้งสองคนเดินตามกันไปในความมืดหน้าหลัง แต่ก็ไม่ได้เดินช้าลงเพราะบรรยากาศและความมืด

ข้างในคดเคี้ยวเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดและก็ไม่รู้ว่าจะไปโผล่ที่ไหน

เดินไปประมาณสิบห้านาที หานฉายไฉ่ก็หยุดลง ภายในความมืด มู่ชิงเกอเกือบจะชนเข้ากับแผ่นหลังของเขาแล้ว ดีที่นางตอบสนองได้ทัน ควบคุมร่างกายเอาไว้ได้

มู่ชิงเกอได้ยินเสียงกุญแจไขประตูอีกครั้ง ในใจของนางเอ่ยว่า ‘ดูท่า ที่หานฉายไฉ่หยุดอย่างกระทันหันก็เพราะว่าข้างหน้ามีประตูขวางทางเอาไว้’

กุญแจเปิดประตูอีกครั้ง

ประตูบานนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ถูกเปิดมานาน ในตอนที่หานฉายไฉ่ผลักเข้าไปนั้นก็เกิดเสียง ‘ครืด’ ออกมา

หานฉายไฉ่เดินเข้าไปด้านใน มู่ชิงเกอก็เดินเข้าไปตาม

หลังจากเข้าไปแล้ว หานฉายไฉ่ก็ยกมือขึ้นดีดนิ้วจุดไฟ เปลวไฟดวงหนึ่งกระโดดออกมาจากปลายนิ้วของเขา กระโดดไปยังเตาถ่านที่ถูกแขวนไว้กลางอากาศ พริบตาเดียวก็ลุกไหม้ขึ้นมา ทำให้ห้องนี้สว่างไสว

เมื่อที่นี่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงไฟสีส้ม มู่ชิงเกอถึงได้พบว่า ที่นี่นั้นเป็นโดมรูปทรงกลม

สิ่งที่ทำให้นางตกตะลึงที่สุดก็คือรอบโค้งของผนังที่เต็มไปด้วยชั้นวาง ทุกๆ ชั้นวางเต็มไปด้วยไหเหล้า สูงๆ ต่ำๆ จัดเรียงเป็นอย่างดี

คำนวณอย่างคร่าวๆ น่าจะมีประมาณหลายพันไห

แม้ว่าไหหล้าเหล่านี้จะถูกปิดไว้อยู่แต่ก็มีกลิ่นหอมของเหล้าอบอวลอยู่ในอากาศ

“ที่นี่เป็นห้องเก็บเหล้าของหอสรรพสิ่งงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

หานฉายไฉ่บอกว่าดื่มเหล้า นางกลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะพานางมาดื่มที่ห้องเก็บเหล้าเลย ไม่กลัวเมาตายหรือไง?

หานฉายไฉ่ไม่ได้ตอบคำถามของนาง เพียงแต่ดีดนิ้วอย่างต่อเนื่อง เปลวไฟหลายดวงพุ่งออกมาจากนิ้วมือของเขา แยกออกไปยังเตาถ่านอันอื่นๆ ทำให้ห้องเก็บ เหล้าสว่างขึ้นหลายส่วน

หานฉายไฉ่เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เหล้าที่อยู่ที่นี่เป็นของเก็บสะสมมาที่เก็บมาหลายร้อยหลายพันปีของหอสรรพสิ่ง ไม่เคยนำออกขาย คืนนี้เจ้ามีลาภปากแล้ว”

ของเก็บสะสมของหอสรรพสิ่ง!

เหล้าที่อยู่ที่นี่ไม่แน่ว่าอายุล้วนแต่มากกว่านาง!

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกายขึ้นมา

นางไม่ถือว่าเป็นคนที่ชอบดื่มเหล้า แต่ว่าหากสามารถได้ดื่มเหล้าดีที่บ่มมาอย่างยาวนานได้ก็นับเป็นความสุขอย่างหนึ่งของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นชีวิตในชาติก่อนหรือว่าชาตินี้ เครื่องดื่มใดๆ ในโลกก็มีแต่เหล้าเท่านั้นที่เหมาะกับนาง! นํ้านั้นจืดเกินไป ชาสงบเกินไป…มีแค่เหล้าถึงได้ร้อนแรงและดุดัน

“สามารถเอากลับไปด้วยได้หรือไม่?” มู่ชิงเกอยิ้มจนตาโค้งเอ่ยกับหานฉายไฉ่

มุมปากของหายฉายไฉ่กระตุกเล็กน้อย สบถว่า “ได้คืบ จะเอาศอก”

พูดแล้วเขาก็เดินไปยังพื้นที่ว่างตรงกลาง กระทืบลงบนพื้น ชั่วขณะนั้น พื้นก็เริ่มสั่นขึ้นมา ห้องทั้งห้องเริ่มสั่นขึ้นมาดุจดังเสียงฟ้าร้องคำรามดังเข้ามาข้างหูของมู่ชิงเกอ

นัยน์ตาของนางเปลี่ยนไป กำลังคิดจะถามหานฉายไฉ่ ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็พลันถูกฉากตรงหน้าทำให้ตกตะลึง

โดมทรงกลมของห้องเก็บเหล้า ค่อยๆ เปิดกลีบของมันออก นำแสงดวงดาวส่องเข้ามา คืนที่ท้องฟ้าสดใส อากาศดี ดวงดาวงดงาม พระจันทร์ทอแสงเย็นตา ทำให้ คนดื่มด่ำไปกับความงามตรงหน้า เหล้าดี บรรยากาศดี…

สายตาของมู่ชิงเกอผละออกจากยอดโดมที่ถูกเปิดออก ค่อยๆ กลับมาสู่ร่างของหานฉายไฉ่ ‘ยังมีสาวงาม!’

ในใจอดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา ‘เพื่อที่จะต้อนรับข้า หานฉายไฉ่ถือว่าตั้งใจจัดเตรียมไม่น้อย’

การเข้ามาของความเย็นและสดใสของแสงดาว ทำให้เปลวไฟบนเตาถ่านมืดมนลงไปหลายส่วน

มีหิ่งห้อยลอยเข้ามาจากยอดโดมที่เปิดออก ลงมาใต้โดม ปรากฏขึ้นข้างกายของมู่ชิงเกอกับหานฉายไฉ่ เกิดเป็นเหมือนกับแสงดาวในห้องเก็บเหล้า

แสงสีเขียวอ่อนที่ทำให้บรรยากาศน่าหลงใหล สะท้อนอยู่บนร่างของทั้งสองคน สายลมยามคํ่าคืนพัดผ่าน พัดเอาชายเสื้อของทั้งสองคนโบกสะบัด เหมือนกับกาล เวลาที่เงียบลงชั่วเวลาหนึ่ง

“แค่ก แค่ก” เมื่อรู้สึกได้ว่าบรรยากาศดูแปลกๆ มู่ชิงเกอก็อดไม่ได้ที่จะไอออกมา

การส่งเสียงของนาง ทำให้หิ่งห้อยที่อยู่รอบตัวได้รับผลกระทบกระจายตัวออกไปรอบด้าน และก็ส่งผลต่อหิ่งห้อยข้างกายของหานฉายไฉ่ที่ค่อยๆ ลอยออกไปไกล

หิ่งห้อยไปแล้ว แสงสว่างรอบกายของทั้งสองคนก็มืดขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าถูกปกคลุมไว้ด้วยเงามืด

“หอสรรพสิ่งเลือกสถานที่ได้ดีจริงๆ” มู่ชิงเกอเงยหน้ามองดวงดาวและพระจันทร์บนยอดโดม เอ่ยชมเชยในความงาม

ภายในดวงตาเรียวยาวของหานฉายไฉ่ มีความเศร้า เขาไม่ได้ตอบคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบของมู่ชิงเกอ แต่เดินไปด้านหน้าของชั้นเหล้าฝั่งหนึ่ง เลือกไหเหล้าแล้วถือเข้ามา

นำไหเหล้าวางลงตรงหน้าของมู่ชิงเกอ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอละจากบรรยากาศด้านบนกลับมาบนพื้น

หานฉายไฉ่เปิดไหเหล้าต่อหน้าของมู่ชิงเกอ เมื่อเปิดไหเหล้า ชั่วขณะนั้นเอง กลิ่นหอมของเหล้าอันร้อนแรงก็หอมอบอวลเต็มไปทั้งห้องเก็บเหล้า

ภายในห้องเก็บเหล้า ไม่มีจอกเหล้า มีแต่เพียงกาเหล้า

หานฉายไฉ่หยิบกาเหล้าสองอันมาวางตรงหน้า เทเหล้าจากไหลงในกา จากนั้นก็ส่งไปให้มู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอก็ไม่ได้รังเกียจ ยื่นมือออกไปรับ จากนั้นก็วางไว้บนริมฝีปากของตนเอง สูดดมครั้งหนึ่ง พริบตานั้น นัยน์ตาของนางก็เปล่งประกายชมเชยออกมา “เหล้า

ดี!”

“นอกจากคำว่าเหล้าดี เจ้ายังสามารถมีคำชมอื่นๆ อีกหรือไม่?” หานฉายไฉ่เอ่ยเหน็บขึ้น

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก จ้องมองเขา “เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าไม่มีความรู้ใช่หรือไม่? อย่าลืมละว่าข้านั้นเกิดมาจากคนไม่เอาไหน ความรู้ไม่ดี ต่อสู้ไม่ได้ เป็นเศษสวะ!”

“แต่ทำไมข้าเคยได้ยินมาว่า ตอนนั้นที่เจ้าอยู่ในลานล่าสัตว์ของราชวงศ์แคว้นฉินกลับสามารถยิงธนูได้เก้าดอกต่อเนื่องกัน ทั้งยังรํ่าสุราควบม้าพร้อมกับร่ายกลอนออกมาอย่างอารมณ์ดีบทหนึ่งเล่า?” หานฉายไฉ่หัวเราะ พร้อมกับเอ่ยหยอกเย้า

“เหอะ!” มู่ชิงเกอชะงัก นั่นคือการละเมิดลิขสิทธิ์รู้หรือไม่? ไม่ใช่นางเขียนเองเสียหน่อย

เขามองไปทางมู่ชิงเกอ ความหมายในดวงตายากจะเดาความหมาย เสียงที่ฟังดูเกียจคร้านร่ายกลอนที่ดูคุ้นเคย สำหรับมู่ชิงเกอออกมา “ฟ้าดินสร้างสรรค์ข้าเกิดมา เข้าสู่โชคชะตาในยุทธภพ มุ่งล่าอำนาจแผ่นดินสยบ ไม่อาจเอาชนะความพ่ายแพ้ครั้งหนึ่งในชีวิต”

เสียงของหานฉายไฉ่ดูเหมือนว่าจะนำมู่ชิงเกอเข้าไปในความทรงจำ

เบื้องหน้าของนาง เกิดภาพความทรงจำของชีวิตก่อน รวมทั้งประสบการณ์เมื่อแรกเข้ามาในโลกแห่งนี้

ยังมีความอิสระและเสรี…

ในลานล่าสัตว์ของราชวงศ์แคว้นฉิน ตอนที่นางสร้างวีรกรรมควบม้าร่ำสุรานั้นก็ยังมีอิสระและเสรีอยู่มาก ไร้แก่นสาร ราวกับรุ่นเยาว์วัยคึกคะนอง

แต่ว่าเมื่อนางเติบโตขึ้น ภาระก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ น้อ มากที่นางจะได้ดื่มอย่างอิสระสบายใจ

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววหวนคำนึง

ถ้าหากว่าทำได้นางก็อยากจะให้ตนเองเป็นเด็กไม่รู้ความต่อไป ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องอะไร

แต่ว่า นั่นเป็นไปได้หรือ?

ทุกก้าวของนาง ล้วนแต่เต็มไปด้วยอันตราย ทุกครั้งที่เติบโตนั้นไม่ใช่เพื่อความยิ่งใหญ่ แต่เพื่อจุดมุ่งหมายที่ยาวไกลกว่านั้น

นางยังอ่อนแอเกินไป ยังคงต้องเติบโตต่อไป

บางทีในวันที่นางเดินไปถึงจุดสูงสุด จนสามารถกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้แล้ว นางก็อาจจะกลับไปอิสระและเสรีดังเดิม

“มู่ชิงเกอ?”

เสียงของหานฉายไฉ่ ดึงนางกลับมาสู่ความเป็นจริง

นางหันไปมองหานฉายไฉ่ มองเห็นความเป็นห่วงในดวงตาเรียวยาวของเขา

มู่ชิงเกอยิ้ม ยกกาขึ้นมา คำนับหานฉายไฉ่ “จอกนี้ คารวะเจ้าเป็นการขอบคุณ!” พูดจบนางก็ดื่มเหล้าร้อนแรงในกาลงไปจนหมด

มีหยดเหล้าเล็กน้อยไหลออกมาจากมุมปากของนาง เปื้อนขอบเสื้อของนาง แต่นางก็ไม่คิดที่จะเช็ด ดื่มต่อไป

ไม่นาน ก็มองเห็นก้นกา

“ฮา ฮา ฮา ฮา เป็นเหล้าดีจริงๆ!” มู่ชิงเกอวางกาเหล้าลง ยกมือขึ้นใช้ชายเสื้อที่หลังมือเช็ดปากของตน ใบหน้าที่งดงามเผยรอยยิ้มที่ทำให้คนหวั่นไหวออกมา

หานฉายไฉ่ดูอย่างโง่งม หลังจากที่นางดื่มเหล้าไปหนึ่ง

กาแล้ว เขาก็วางกาเหล้าในมือไว้ที่ริมฝีปาก ดื่มไปหนึ่งกาเป็นเพื่อนนาง

“หมด!”

“หมด!”

“หมด!”

“หมด!”

อิสระนานๆ ทีทำให้มู่ชิงเกอดื่มอย่างรวดเร็ว นางกับหานฉายไฉ่ไม่ได้พูดคุยกันมากมาย ดูเหมือนจะ เป็นการดวลเหล้ามากกว่า ไหเหล้าที่ถูกเปิดเยอะขึ้นเรื่อยๆ กาเหล้าที่แตกบนพื้นก็มากขึ้น…มากขึ้น

มีเพื่อนอาบแสงดาวดื่มเหล้าดีเป็นเพื่อนก็ช่างดีนัก ชีวิตเช่นนี้นานมากแล้วที่มู่ชิงเกอไม่ได้ประสบ แต่ก่อนภายในแคว้นฉิน ในลั่วตู มีเจ้าอ้วนแซ่เช่าเป็นเพื่อนนาง อยู่ในแคว้นกู่วู่ ในอาณาจักรเซิ่งหยวน มีเจียงหลีเป็นเพื่อน มาถึงโลกแห่งยุคกลาง ห่างจากแผ่นดินถิ่นเดิม คิดไม่ถึงว่าจะได้หานฉายไฉ่เป็นเพื่อนดื่มกับนาง บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขานั้นเป็นคนประเภท เดียวกัน ดังนั้นจึงรู้จักกันและกันดี และก็สามารถเปิดใจต่อกัน

“หานฉายไฉ่ เจ้าอยากฟังข้าร่ายกลอนใช่หรือไม่?” ในตอนที่ครึ่งเมาครึ่งตื่น อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็เอ่ยกับหานฉายไฉ่

หานฉายไฉ่มองนาง ยิ้มอย่างท้าทาย “อย่างไร? ตอนนี้มีอารมณ์อยากร่ายกลอนขึ้นมาแล้วหรือ? คิดจะฟังเจ้าร่ายกลอนนั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ เสียเหล้าดีๆ ของข้าไปตั้งหลายไห”

มู่ชิงเกอยิ้มกว้างเอ่ยว่า “นี่เป็นของนอกกาย จะไปสนใจทำไม? ดื่มเหล้ากับคนรู้ใจพันจอกยังน้อยไป!”

“ดื่มเหล้ากับคนรู้ใจพันจอกยังน้อยไปงั้นรึ?” หานฉายไฉ่เอ่ยเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ในดวงตาเรียวยาวที่ดูเหมือนเมาแล้วของเขา ก็เหมือนกับว่าจะตื่นขึ้นมาดุจดัง หายเมาเป็นปกติแล้ว

เห็นท่าทางที่ดูปล่อยตัวปล่อยใจของมู่ชิงเกอแล้ว หานฉายไฉ่ก็เอ่ยในใจขึ้นว่า ‘เขาได้อยู่เป็นเพื่อนเจ้าเช่นนี้หรือไม่? มู่ชิงเกอเจ้าเป็นคน ไม่ใช่เทพ ในตอนที่ทุกคนคาดหวังกับเจ้านั้น มีใครเคยคิดแทนเจ้าบ้างหรือไม่ว่า เจ้าก็เหนื่อยเป็นเจ็บเป็น? คืนนี้เจ้าพักผ่อนให้สบายสักหน่อยเถอะ’

มู่ชิงเกอโงนเงนลุกขึ้นมาจากพื้น เงยหน้าขึ้นไปยังท้องฟ้า นัยน์ตาดูล่องลอย ฉายแววคิดถึง

แสงดาวสาดส่องลงบนตัวของนาง จนดูเหมือนว่าร่างกายของนางโอบล้อมไปด้วยชั้นแสง

นางเก็บรอยยิ้มกลับมา นํ้าเสียงดูเหมือนว่ามีร่องรอยของความทรงจำ “ยังมีกลอนอีกหนึ่งกลอนที่ข้าชอบมาก แต่ว่าไม่ใช่ข้าเขียน และข้าก็ไม่มีความสามารถที่จะ เขียนด้วย หากว่าเจ้าอยากฟัง ข้าจะจะพูด”

หานฉายไฉ่มองนาง ไม่พูดจา ในตอนนี้ เขามองมู่ชิงเกอ ดวงตาเรียวยาวมีแต่เงาร่างของนาง เพียงแต่รู้สึกว่า ‘งดงามนัก งดงามจริงๆ…’

หานฉายไฉ่จะคิดอย่างไรนั้น มู่ชิงเกอในตอนนี้ไม่ได้สนใจ นางกำลังจมดิ่งลงไปในความทรงจำของตนเอง ปากค่อยๆ เอื้อนเอ่ยออกมา “ตลอดพรมแดนยาวเหยียด สงครามไร้จุดสิ้น หนทางอันยาวไกลความโศกเศร้าไม่สิ้นสูญ ขอเพียงนายพลผู้กล้ายังอยู่ก็จักไม่ยอมให้ศัตรูผ่านทัพเข้ากรํ่ากราย”

นัยน์ตาของหานฉายไฉ่วาววาบ ค่อยๆ นิ่งงันออกมา ความหมายในกลอนนี้ให้อารมณ์เหมือนอยู่ในสงคราม จากคำกลอนเป็นกลอนสำหรับทหารชายแดน เป็นความคิดที่จะปกป้องดินแดน

แต่ว่า เมื่อออกมาจากปากของมู่ชิงเกอ กลับเหมือนกลับมันมีความกล้ามุ่งไป ไปข้างหน้าอย่างไม่ยอมถอย

‘ผู้หญิงเช่นนี้…ผู้หญิงเช่นนี้…’ นัยน์ตาของหายฉายไฉ่เปลี่ยนเป็นร้อนแรง

ยิ่งสนิทกับมู่ชิงเกอมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งวางไม่ลง

ความพิเศษของนางไม่เหมือนกับคนทั่วไป! หากว่า ปล่อยมือ เขากลัวว่าจะต้องเสียใจไปจนชั่วชีวิต หานฉายไฉ่จ้องมองแผ่นหลังของมู่ชิงเกอ นางที่อาบไล้อยู่ภายใต้แสงดาว แผ่นหลังดูสูงและเหยียดตรง เหมือนกับยอมหักไม่ยอมงอ เบื้องหน้าของนางเหมือนจะเป็นภูเขาสูง กับดักอันตราย ใต้เท้าก็เต็มไปด้วยขวากหนามแหลมคม แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ก็ไม่อาจจะต่อต้านนางได้เลย นางเหยียบลงไปบนขวากหนาม บนเลือดของศัตรู เดินไปบนเลือดของตนเองท่ามกลางเปลวไฟ

ทันใดนั้น หานฉายไฉ่ก็รู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรกับผู้หญิงเช่นนี้

นางสว่างเจิดจ้าเกินไป แข็งแกร่งเกินไป! ทุกๆ คนที่อยู่ต่อหน้านางล้วนแต่รู้สึกว่าตัวเองตํ่าต้อย ต้องมีสักวันที่นางจะเดินไปจนถึงจุดสูงสุดของแผ่นดินนี้ ส่วนเขาก็คงจะได้แค่มอง

“ไม่! ข้าไม่ยอมให้วันนั้นมาถึง! ข้าจะต้องไม่ถูกเจ้าทิ้งเอาไว้!”

อยู่ดีๆ หานฉายไฉ่ก็ตะโกนออกมา ดึงดูดสายตาที่ดูมึนเมาของมู่ชิงเกอ

นางมองเขาอย่างสงสัย รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ บนใบหน้าที่งดงาม เป็นเพราะมึนเมาและไม่เข้าใจ จึงดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาบนแก้มถูกฤทธิ์ของสุราทำให้ขึ้นสีแดง ทำให้นางดูเอียงอายอ่อนหวาน แม้ว่านางในตอนนี้จะมีต่างหูที่ซ่อนสถานะเอาไว้อยู่ แต่ก็ไม่อาจขวางความงามล่มเมืองของนางได้

เมื่อถูกนัยน์ตาคู่นั้นของมู่ชิงเกอจ้องมอง หานฉายไฉ่ก็ได้สติกลับคืนมาส่วนหนึ่ง เขาหลบสายตาที่ดูสงสัยของมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอถอนสายตากลับ ไม่ได้สืบค้นต่อ เพียงแต่ เงยหน้าไปบนท้องฟ้า มือหนึ่งถือกาเหล้า อีกมือจับกระดิ่งที่ห้อยที่หว่างเอว

‘เขาอยู่ที่ไหน? อยู่ใต้ผืนฟ้าที่มีดาวผืนเดียวกันหรือไม่?’ เหล้ามอมเมาคน ในที่สุดมู่ชิงเกอก็รู้สึกถึงความคิดถึงในใจที่ยากจะข่มลง

ประตูความรู้สึกของนาง หลังจากเปิดออกมาแล้ว ก็ดุจดังนิสัยของนาง ร้อนแรง บ้าคลั่ง

เหล้า ยิ่งดื่มต่อไป ค่ำคืนค่อยๆ สว่างขึ้น

ภายในห้องเก็บเหล้าของหอสรรพสิ่ง ภายในเวลาแค่คืนเดียว ทำให้ชั้นวางเหล้าว่างเปล่าไปหลายชั้น เหล้าชั้นดีที่คนนอกยากจะพบเห็น ได้ถูกสองคนนี้ดื่มจนเกลี้ยง

แสงแรกของพระอาทิตย์สาดส่องลงมาจากยอดโดมที่เปิดออก สาดลงบนร่างของมู่ชิงเกอที่นอนกลิ้งอยู่กับไหเหล้า

แสงอาทิตย์อันอบอุ่น ทำให้มู่ชิงเกอค่อยๆ ตื่นขึ้นมา ขนตายาวและหนาของนางสั่นเบาๆ ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ในตอนที่นางลืมตาขึ้นนั้น ดวงตาก็ไม่ได้ดูมึนงง กลับไปเป็นสดใสดังเดิม ดวงตาขยับเล็กน้อย นางลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบๆ ไหเหล้าที่กลิ้งอยู่รอบกาย แล้วก็ยังมีกาเหล้าที่แตก

ด้านหน้าของตนเอง ในกองไหใบใหญ่หลายใบก็มีเงาสีแดงฟุบอยู่ด้านใน

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ลุกขึ้นมาจากพื้น ก้มลงมองร่างเพรียวยาวที่กองอยู่บนพื้น

จัดรอยยับบนเสื้อของตนเองเล็กน้อย จากนั้นมู่ชิงเกอก็เดินไพล่หลัง ไปหาหานฉายไฉ่ เมื่อใกล้แล้ว แสงอาทิตย์ก็ส่งมาทางด้านหลังนาง ทำให้เงาของนางคลุมตัวของหานฉายไฉ่

มุมปากของมู่ชิงเกอคลี่ออก ยื่นปลายเท้าออกไป เตะบนขาของหานฉายไฉ่ “นี่เจ้า หานฉายไฉ่ แดดส่องก้นแล้ว”

คนที่นอนอยู่บนพื้นถูกการเคลื่อนไหวที่หยาบคายนี้ของนางปลุกให้ตื่น ขนตาสั่นไหวเบาๆ

“คออ่อนขนาดนี้ เจ้ามีความสามารถหรือไม่!” มู่ชิงเกอหัวเราะเยาะ ถีบไปอีก

หานฉายไฉ่เบิกตาขึ้นในทันใด ดวงตาเรียวยาวดูไม่เหมือนกำลังหลับ? เขาลุกขึ้นนั่ง เงยหน้ามองมู่ชิงเกอ เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “อย่าพูดกับผู้ชายว่าเจ้ามีความ สามารถหรือไม่ มิเช่นนั้นเจ้าจะได้ลองว่ามีความสามารถหรือไม่กันแน่!”

มู่ชิงเกอชะงัก เข้าใจในความหมายของหานฉายไฉ่ในทันที ถีบเขาอย่างโมโหไปอีกที ด่าว่า “เก็บความคิดอันสกปรกของเจ้าไปซะ!”

“สกปรกงั้นหรือ?” หานฉายไฉ่เอ่ยขึ้นอย่างธรรมดา “หากเป็นผู้ชายก็ล้วนแต่คิดเช่นนี้นอกจากว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ชาย”

พูดไป เขาก็มองไปทางมู่ชิงเกอ เหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้มเอ่ยขึ้น “เจ้าอย่าบอกข้าเชียวว่า แม้แต่มือเจ้า เขาก็ยังไม่เคยได้จับ”

คำพูดแทงใจดำเช่นนี้ทำให้มู่ชิงเกอคิดไปถึงฉากที่นางอยู่กับซือมั่วขึ้นมา ชั่วขณะนั้นสองแก้มก็แดงขึ้น ความอับอายเปลี่ยนเป็นโกรธ ถีบหานฉายไฉ่อย่างรุนแรงอีกครั้ง “ผู้ชายขี้นินทาเช่นเจ้านี้หาได้น้อยนัก!”

ถีบนี้ไม่เบาเลย แต่ที่หานฉายไฉ่เจ็บมากที่ลุดไม่ใช่ขาแต่เป็นหัวใจ

ที่จริง หลังจากที่เขาพูดคำนั้นออกไป เขาก็เสียใจแล้ว อาจเป็นเพราะปกติเขาทะเลาะกับมู่ชิงเกอบ่อยแล้ว ดังนั้นก็เลยโพล่งปากออกไปโดยไม่ทันได้คิด บุรุษที่ได้เฝ้าสาวงามล่มเมืองเช่นมู่ชิงเกอผู้นี้ขอแค่เป็นผู้ชายปกติก็จะล้วนแต่ไม่อาจไม่ตัดสินใจทำเรื่องชั่วช้าได้ อีกทั้งจากท่าทางของมู่ชิงเกอ ก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่า จูงมืออะไรนั้นไม่รู้ว่าผ่านมากี่ครั้งแล้ว แล้วก็ยังมีที่ยิ่งกว่านั้นอีก…

แค่คิดว่ามู่ชิงเกอถูกผู้ชายคนอื่นโอบเข้าไว้ในอ้อมอก หานฉายไฉ่ก็โกรธจนเลือดเดือดพล่าน แค้นที่ตัวเองเอามีดมาแทงหัวใจตัวเอง

ตัวเองพูดคำผิดเอง ขมขื่นแค่ไหนก็ต้องกลืนลงไป

หานฉายไฉ่นิ่งเงียบกลืนเหล้าขมที่ตัวเองบ่มเองนี้ลงไป ปวดจนเจ็บหัวใจ

ครู่หนึ่ง เขาถึงได้กลับคืนสู่สภาพเดิม “เหล้าก็ดื่มแล้ว เจ้ายังไม่ไปอีกหรือ?”

มู่ชิงเกอยิ้มเย็น เอ่ยอย่างหยอกเย้าว่า “เจ้าลืมอะไรไปหรือเปล่า?”

อะไร!

หานฉายไฉ่เงยหน้ามองนาง

มู่ชิงเกอหรี่ตาทั้งคู่ลง เผยกลิ่นอายที่ดูอันตราย “นายน้อยหาน เจ้าคงจะไม่ลืมว่าเงื่อนไขที่ข้ามาดื่มเหล้าคืออะไรแล้วใช่หรือไม่?”

คิดล่อเล่นกับนางไม่ได้ง่ายขนาดนี้!

ถ้าหากว่าหานฉายไฉ่กล้าหลอกนาง นางรับประกันว่า นางจะทำให้หานฉายไฉ่เสียใจที่ได้พบเจอนาง!

ดีที่หานฉายไฉ่ไม่ได้โง่

ในตอนที่รู้สึกได้ว่าร่างกายของมู่ชิงเกอแผ่ความอันตรายออกมาแล้ว เขาก็พูดออกมาในทันทีว่า “อ้อ พญาเพลิง”

คำว่าพญาเพลิงนี้ทำให้มู่ชิงเกอเก็บกลิ่นอายความอันตรายบนตัวกลับ เพียงแต่นํ้าเสียงยังคงดูเย็นชา “พูด”

หานฉายไฉ่เอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เจ้ารู้เกี่ยวกับพญาเพลิงในโลกแห่งยุคกลางหรือไม่?”

มู่ชิงเกอชะงัก นางไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยจริงๆ “พญาเพลิงของโลกแห่งยุคกลางคงไม่ใช่ว่ามีการจัดลำดับเหมือนกันหรอกใช่ไหม? และก็คงไม่บังเอิญว่าเจ้าเป็น คนเขียนอีกกระมัง?”

“เจ้ามองข้าสูงส่งเกินไปแล้ว ลำดับของพญาเพลิงนั้นมีแน่นอน แต่ว่าในตอนที่ข้ายังไม่เกิดมันก็มีอยู่แล้ว” หานฉายไฉ่เอ่ย

“พูดมาข้ารอฟัง” มู่ชิงเกอเกิดความสนใจ

หานฉายไฉ่เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “บนการจัดลำดับทั้งหมด มี 10 พญาเพลิง แต่ว่า 6 ชนิดในนั้นเจ้าไม่ต้องไปสนใจ”

“ทำไม?” มู่ชิงเกอถามอย่างแปลกใจ

หานฉายไฉ่เอ่ยว่า “เพราะว่าพญาเพลิง 6 ชนิดนี้มีเจ้าของแล้ว แม้ว่าเจ้าจะรู้ก็เอามาไม่ได้ ดังนั้นไม่สู้พิจารณาที่เหลือที่ยังไม่มีเจ้าของอีกสี่ชนิด อีกอย่าง พญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนของเจ้าก็มีไว้แค่กลืนกิน”

“ต่อไป” มู่ชิงเกอพยักหน้าเอ่ย

หานฉายไฉ่จัดระเบียบความคิดครู่หนึ่ง เอ่ยกับนางว่า “พญาเพลิงที่เหลืออีกสี่ชนิด แบ่งเป็นอันดับเจ็ดพญาเพลิงไฟบาดาลเสวียนหมิง อันดับห้าพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด อันดับสองพญาเพลิงอัคคีสวรรค์แล้วก็ยังมี อันดับหนึ่งพญาเพลิงพญามังกรเซียนคุน”

“พญาเพลิงไฟบาดาลเสวียนหมิง พญาเพลิงอัคคีแรก กำเนิด พญาเพลิงอัคคีสวรรค์พญาเพลิงพญามังกรเซียนคุนงั้นหรอ?’’ มู่ชิงเกอลอบจำชื่อพญาเพลิงทั้งสี่

หานฉายไฉ่พยักหน้า มองไปทางมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “ข่าวของพญาเพลิงที่ข้าจะบอกเจ้าก็คือพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดที่กำลังอยู่ในช่วงอ่อนแอ”

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกายขึ้นมา

หานฉายไฉ่ยกมือขึ้น ในระหว่างคนทั้งสอง มีแผนที่ภาพเสมือนโผล่ออกมา

มู่ชิงเกอมองฉากภาพนี้อย่างตกตะลึง แผนที่นี้มันเหมือนกับเทคนิคภาพเสมือนจริงในชีวิตก่อนเลย!

มองเห็นอาการตกตะลึงของนาง แล้วหานฉายไฉ่ก็อธิบาย “ไม่ต้องแปลกใจ เพียงแค่แผนที่ในมือของข้า เหนือชั้นกว่าของเจ้าก็เท่านั้น”

“หมายความว่าอย่างไร?” มู่ชิงเกอเงยหน้ามองเขา หานฉายไฉ่ยื่นมือออกมา มู่ชิงเกอถึงได้พบว่าภายในกลางฝ่ามือของเขามีหยกนอนอยู่ชิ้นหนึ่ง

ส่วนแสงบนแผนที่นั้นก็ดูเหมือนว่าเชื่อมต่อกับหยกก้อน

“ในโลกแห่งยุคกลาง มีแผนที่อยู่สองชนิด ชนิดแรกก็คือ แผนที่ที่วาดขึ้นบนหนังสัตว์อสูรวิญญาณที่เจ้าครอบครองอยู่ แล้วก็ยังมีอีกชนิดก็คือแผนที่ที่ซ่อนอยู่ในแผ่นหยก เพียงแค่ส่งพลังจิตเข้าไป ก็สามารถเปิดแผนที่ได้ มันจะแสดงให้เห็นภูมิประเทศที่แม่นยำและมีรายละเอียดมากขึ้น ทั้งยังสามารถเก็บภาพบางส่วนของพื้นที่ อย่างเช่น…”

หานฉายไฉ่อธิบาย ยื่นมือออกไปชี้บางจุดบนแผนที่

ทันใดนั้นในจุดที่นิ้วมือของเขาสัมผัสก็มีภาพใบหนึ่ง ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา แสดงให้เห็นถึงรูปร่างของภูเขาและภูมิประเทศของป่า

มู่ชิงเกอตกตะลึงจนเบิกตากว้าง นี่เป็นเทคโนโลยีชั้นสูง!

ภาพเหล่านี้ ก็เหมือนกันกับภาพถ่าย ถึงแม้จะเป็นคนที่ดูแผนที่ไม่เป็น หากได้มันไปแล้วก็สามารถอาศัยภาพเหล่านี้ ระบุตำแหน่งที่ตนเองอยู่ได้อย่างง่ายดาย

นัยน์ตาของมูชิงเกอตกไปอยู่ที่หยกในมือของหานฉายไฉ่ รู้สึกรุ่มร้อน

แต่หานฉายไฉ่กลับเก็บได้ทันเวลา เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “แผนที่ชนิดนี้ มีเฉพาะคนสำคัญในตระกูลบรรพกาลเท่านั้นถึงจะมี”

ความหมายนอกคำพูดก็คือบอกนางว่าอย่าได้โลภไป ระวังจะเกิดปัญหา

มู่ชิงเกอขบริมฝีปาก เก็บสายตากลับ

เห็นนางไม่ได้สนใจแผนที่แล้ว หานฉายไฉ่ถึงได้เอ่ยต่อว่า “ตามรายงานที่ข้าสืบมาได้ ตอนนี้พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดก็อยู่ที่นี่” นิ้วเรียวยาวของเขาชี้ลงไปบนจุด หนึ่งบนแผนที่

มู่ชิงเกอมองตามไป นัยน์ตาหดตัวลง เอ่ยอย่างสิ้นหวังว่า “นอกเมืองหลานอูเฉิง!”

หานฉายไฉ่พยักหน้า เอ่ยอย่างหยอกเย้าว่า “เจ้าก็คิดว่า ข้ารู้ว่าเจ้าจะมาที่นี่ก่อนล่วงหน้า จากนั้นก็มารอเจ้างั้นหรือ? ข้าก็มาเพื่อพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดต่างหาก”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว มองไปทางเขา

นางไม่เข้าใจความหมายของหานฉายไฉ่ในเมื่อเขามาเพราะพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด แล้วเหตุใดจึงต้องมาบอกข่าวคราวนี้แก่นาง หรือว่า เขาหวังจะให้ตนไป แย่งกับเขาจริงๆ งั้นหรือ?

“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามเสียงเข้ม

หานฉายไฉ่หัวเราะเอ่ยว่า “ข้าแน่นอนว่าต้องการพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด แต่ว่าที่ต้องการก็เฉพาะเพียงพลังสายหนึ่งเท่านั้น พวกเราสามารถร่วมมือกัน หลังจากเอาชนะมันได้แล้ว ข้าเอาพลังส่วนหนึ่งของมันไป ที่เหลือก็ให้พญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนของเจ้ากลืนกิน”

“เจ้าไม่ใช่ว่ามีพญาเพลิงเมฆสุริยาอยู่แล้วมิใช่หรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างสงสัย

หานฉายไฉ่เอ่ยว่า “พญาเพลิงเมฆสุริยาอ่อนแอลงแล้ว ในตอนนั้นก็แค่เป็นการผสานรวมเอาดาบหน้าเท่านั้น ข้าในตอนนี้หากต้องการนั่งบนตำแหน่งอย่างมั่นคง ก็จะต้องสะกดข่มพวกคิดไม่ซื่อลับหลังพวกนั้นให้ได้ซึ่งนั้นก็ทำได้เพียงหาพญาเพลิงชนิดอื่นๆ มากระตุ้นพญาเพลิงเมฆสุริยาให้แข็งแกร่งขึ้น จากนั้นค่อยไปกลืนพญาเพลิงที่สืบทอดกันมาในตระกูล”

“เจ้าสามารถกลืนพญาเพลิงได้สองชนิดอย่างนั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

หานฉายไฉ่กลับส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ได้ กระตุ้นพญาเพลิงเมฆสุริยาใหม่ก็เพราะข้าต้องการมันช่วยเหลือข้า ให้มีสิทธิ์ในการสืบทอด เมื่อมีสิทธิ์แล้ว ในก่อนที่จะรับเอาพญาเพลิงที่รับสืบทอดกันมานั้น ผู้อาวุโสในตระกูลก็จะขจัดพญาเพลิงเมฆสุริยาภายในร่างกายของข้าให้ จากนั้นก็ค่อยรับการสืบทอด”

“ขจัดพญาเพลิง!” มู่ชิงเกอสูดลมหายใจเย็นเข้าไป นางเคยได้ยินเหมิงเหมิงพูดว่า ขจัดพญาเพลิงนั้นมีความอันตรายและความเจ็บปวด ความผิดพลาดเพียงเล็ก น้อยก็อาจจะทำให้ตายได้

แต่ หานฉายไฉ่กลับเสี่ยงถึงขนาดนี้?

“อำนาจของตระกูลสำคัญมากไปกว่าชีวิตของเจ้าจริงๆ หรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่ได้

นัยน์ตาของหานฉายไฉ่เปล่งประกาย หัวเราะอย่างเกียจคร้านพลางเอ่ยว่า “นี่ถือว่าเจ้าเป็นห่วงข้าได้หรือไม่?”

มู่ชิงเกอยิ้มเย็นออกมาไม่ได้ตอบ

หานฉายไฉ่ก็ไม่ได้สนใจ แต่ก็ไม่คิดให้มู่ชิงเกอเข้าใจผิด เอ่ยอธิบายว่า “ไม่ใช่เพื่ออำนาจ แต่เพื่อเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้น ขอเพียงแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ถึงจะมีสิทธิ์ไล่ตามสิ่งที่ต้องการได้ อีกอย่าง มีหลายอย่างที่ไม่ว่าข้าคิดจะยอมแพ้แล้วก็จะสามารถยอมแพ้ได้ง่ายๆ สถานการณ์ในตอนนี้ก็คือหากว่าข้าไม่ชนะนั่นก็คือตาย ดังนั้นข้าจึงไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะเลือก”

มู่ชิงเกอเงียบลงไป คำพูดของหานฉายไฉ่ ทำให้นางไม่รู้จะต่ออย่างไร แต่เดิมนี่ก็เป็นโลกที่แสนโหดร้าย และความอดทนก็ไม่ได้หมายความว่าจะแลกสันติภาพ มาได้

มู่ยี่ก็คือตัวอย่างที่ดีตัวอย่างหนึ่ง

ส่วนหานฉายไฉ่ก็เพียงไม่หวังให้เหตุการณ์ที่แสนโหดร้ายนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง จึงพยายามต่อไป

“พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดมีลักษณะอย่างไร?” มู่ชิงเกอกลับคืนมาสู่ประเด็นหลัก และก็ยอมรับข้อเสนอของหานฉายไฉ่

หานฉายไฉ่หัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “ตำนานของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดบอกเล่ากันมาว่าในตอนที่ดวงอาทิตย์ขึ้นมาครั้งแรกนั้นก็ทิ้งเปลวเพลิงเอาไว้ดวงหนึ่ง มีชีวิตนับจากโบราณมา อายุยาวนานมาก ยาวนานยิ่งกว่าช่วงชีวิตตั้งแต่เกิดจนถึงดับของพญาเพลิงชนิดอื่นๆ มากนัก ดังนั้นถ้าหากว่าพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนของเจ้า กลืนกินมันลงไป ก็จะสามารถขยายขอบเขตของเขาได้ ขณะเดียวกัน พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดนั้นกลายร่างมาจากความร้อนของดวงอาทิตย์ดังนั้นความร้อนของมันจึงร้อนแรงกว่าพญาเพลิงชนิดอื่นๆ ถ้าหากว่าจัดลำดับตามอุณภูมิความร้อนแล้ว มันสมควรจะเป็นที่หนึ่ง ตอนนี้มันอยู่ในช่วงอ่อนแอ สำหรับพวกเราแล้วก็พอดีเป็นโอกาสให้เข้าไป”

‘ร้ายกาจถึงขนาดนั้นเชียว!’ มู่ชิงเกอตกตะลึงในใจ นางเอ่ยถามว่า “พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดร้ายกาจถึงขนาดนี้ยังอยู่ลำดับที่ห้า เช่นนั้นพญาเพลิงอันดับที่หนึ่ง

ที่สองมีอะไรเป็นพิเศษหรือไม่?”

เสียงของนางเพิ่งจะหลุดออกไป ม้วนภาพหนึ่งก็ถูกโยนมาที่หน้าอกของนาง

มู่ชิงเกอรับด้วยสองมือ เปิดดูแวบหนึ่ง ด้านในนั้นมีการจัดลำดับของพญาเพลิงทั้งสิบในโลกแห่งยุคกลางพร้อม ทั้งคำแนะนำ

ดูคร่าวๆ มู่ชิงเกอไม่ได้อ่านอย่างละเอียด ก่อนจะเก็บมันลงไป

ไม่ว่าพญาเพลิงชนิดอื่นๆ จะเป็นอย่างไร จุดมุ่งหมายของนางในตอนนี้ก็คือพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด!

“จะออกเดินทางเมื่อไหร่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

หานฉายไฉ่กลับโยนคำถามไปให้นาง“คงต้องดูที่การวางแผนของเจ้า เจ้าไม่ใช่ว่าต้องไปช่วยคนๆ นั้นของตระกูลมู่มิใช่หรือ?”

มู่ชิงเกอขบริมฝีปาก นางต้องช่วยมู่ยี่ออกมาจริงๆ แต่ว่าสถานการณ์ของมู่ยี่ในตอนนี้ยังไม่ชัดเจน และนางก็ไม่จำเป็นต้องรอไปเฉยๆ ระยะห่างจากพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดก็ไม่ไกลจากเมืองหลานอูเฉิง นางต้องจัดการช่วงเวลานี้ดีๆ สักหน่อย

ครุ่นคิดในใจรอบหนึ่ง จากนั้นมู่ชิงเกอก็เอ่ยกับหานฉายไฉ่ว่า “เจ้ารอข่าวจากข้า หลังจากข้าจัดการทุกอย่างเสร็จแล้วจะไปจัดการพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดกับเจ้า” หานฉายไฉ่พยักหน้า

“ต้องการให้ข้าไปส่งหรือไม่?” หานฉายไฉ่เสนอออกมา

มู่ชิงเกอมองชุดอันเร่าร้อนของเขาแล้วก็เอ่ยอย่างรังเกียจว่า “ข้าไปเองดีกว่า”

ออกมาจากหอสรรพสิ่งแล้วมู่ชิงเกอก็กลับไปยังที่พักชั่วคราว ทั้งร่างของนางมีแต่กลิ่นเหล้าต้องล้างให้สะอาด การดื่มเหล้าเมื่อคืน นางดื่มไปมาก ไม่ได้กินยาแก้เมา ดังนั้นตอนนี้จึงรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย

กลับไปถึงเรือนเล็ก จึงไห่ก็กำลังฝึกฝนขั้นพื้นฐาน

การฝึกขั้นพื้นฐานเหล่านี้เป็นเขาเรียนมาตอนที่อยู่กับองครักษ์เขี้ยวมังกร ได้ยินมาว่ามู่ชิงเกอต้องการให้องครักษ์เขี้ยวมังกรฝึกฝนทุกวัน เขาก็ฝึกฝนไปกับพวกเขา สำหรับเรื่องนี้มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ห้าม

มู่ชิงเกอหยุดฝีเท้า ยืนอยู่นอกประตูเรือนมองดูจิงไห่ฝึกฝนเงียบๆ

จิงไห่ก็ไม่ได้ค้นพบว่ามู่ชิงเกอยืนอยู่ใต้ประตูเรือน ยังคงฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งต่อไป สองขาของเขาห้อยถุงทรายที่ทำขึ้นเอง ด้านในบรรจุผงเหล็กเต็มถุง เหล่า องครักษ์เขี้ยวมังกรนั้นไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วยฝึกพวกนี้นานแล้ว แต่ว่าสำหรับจิงไห่แล้ว ตอนที่อยู่ในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง จิงไห่ก็ทำขึ้นมาตามคำแนะนำขององครักษ์เขี้ยวมังกร

วิดพื้น ซิทอัพ กระโดดกบ…

การฝึกพื้นฐานเหล่านี้ เป็นการพัฒนากล้ามเนื้อและกระดูกของจิงไห่ ช่วงเวลาหลายเดือนมานี้ เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มไร้เดียงสาที่เพิ่งออกมาจากหมู่บ้านชาวประมงอีกต่อไปแล้ว ร่างกายของเขาเริ่มมีร่องรอยกล้ามเนื้อเด่นชัด ผิวก็เปลี่ยนเป็นดำคลํ้าขึ้น

ไม่นาน บนใบหน้าและแผ่นหลังของเขาก็เกิดเหงื่อ

“ฮึบ ฮึบ ฮึบ ฮึบ!”

จิงไห่ฝึกฝนอย่างลืมตัว ฝึกฝนวิดพื้นมือเดียว ทันใดนั้นก็มองเห็นรองเท้าคู่หนึ่งปรากฏเข้ามาในสายตา ชะงักแวบหนึ่ง เขาก็รีบกระโดดขึ้นมาจากพื้น ร้องขึ้นว่า “ครูฝึก!”

มู่ชิงเกอมองเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อของเขาแล้ว ก็พยักหน้า “ฝึกฝนเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ทำตามคำสอนของครูฝึก ข้าในตอนนี้ถึงระดับพลังชั้นสีม่วงชั้นสูงสุดแล้ว” ใบหน้าของจิงไห่เผยรอยยิ้มอันเจิดจ้าออกมา ฟันสีขาวสะท้อนไปกับแสงอาทิตย์

ระดับพลังชั้นสีม่วงชั้นสูงสุด จุดเริ่มต้นของโลกแห่งยุคกลางก็คือระดับพลังชั้นสีม่วง เพียงเวลาไม่กี่เดือน จิงไห่ก็สามารถมาจนถึงระดับพลังชั้นสีม่วงชั้นสูงสุดได้แล้ว ต้องรู้ว่าร่างกายของเขาไม่ได้ผ่านการดัดแปลงพันธุ์กรรม ความสามารถของเขานั้นก็ไม่ใช่หนึ่งในหมื่น

พูดง่ายๆ ก็คือเขาเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง อย่างเดียว ที่แตกต่างก็คือมีจิตใจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าคนธรรมดา

“การเร่งรีบฝึกฝนก็ต้องการการพักผ่อนควบคู่กันไป” มู่ชิงเกอเอ่ยกับจิงไห่

แต่ว่า จิงไห่กลับส่ายหน้า “ข้าไม่เหนื่อย ข้าก็ต้องการฝึกสำเร็จโดยไว จากนั้นช่วยเหลือครูฝึกทำงาน!”

เขาไม่ได้โง่ ยังคงสังเกตเห็นพวกเสวี่ยหยาเข้าๆ ออกๆ และสำหรับองครักษ์เขี้ยวมังกรเขาก็ยังอิจฉามาก

มู่ชิงเกอยิ้มออกมา “การปิดประตูสร้างรถ ก็สร้างยอดฝีมือที่มีความสามารถอันดับหนึ่งในแผ่นดินออกมาไม่ได้ ตอนไหนที่เจ้าทะลวงสู่ระดับสีเทาได้แล้ว ก็ไปรายงานตัวกับองครักษ์เขี้ยวมังกรในตอนนั้น เรียนรู้ไปกับพวกเขา สนามรบในนั้นเหมาะสมกับเจ้า”

“ครูฝึก ข้าสามารถงั้นหรือ?” นัยน์ตาของจิงไห่เปล่งประกายตื่นเต้นและดีใจ

สามารถร่วมสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับองครักษ์เขี้ยวมังกรได้ เป็นเรื่องที่เขารอคอยที่สุดหลังจากที่กราบมู่ชิงเกอเป็นอาจารย์แล้ว

มู่ชิงเกอพยักหน้า เก็บรอยยิ้มกลับ นัยน์ตาดูเข้มงวดเอ่ยว่า “เสี่ยวไห่ บางทีในใจของเจ้าข้าอาจจะไม่ใช่อาจารย์ที่ดีนัก แต่ไม่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไร สิ่งที่ข้าสามารถมอบให้ เจ้าได้ก็คือเงื่อนไขและพื้นที่ให้เจ้า ในอนาคตจะเป็นอย่างไรนั้น ดูสิ่งที่เจ้าเลือกและความพยายามของเจ้า”

“ครูฝึก ข้าทราบแล้ว!” จิงไห่รีบเอ่ย

มู่ชิงเกอเอ่ยกับจิงไห่ว่า “ข้าสอนคนก็ไม่เคยเก็บไว้อยู่แค่ข้างกายให้เรียนรู้ไปทีละอย่างทีละวิชาเช่นนั้น พอมีความสามารถเพียงพอ ที่เหลือต้องอาศัยการฝึกฝนของ ตนเอง ไปหาองครักษ์เขี้ยวมังกรคือการมอบโอกาสให้เจ้า เป็นเพราะช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เจ้าฝึกฝนอย่างหนัก ถึงได้มันมา ถ้าหากว่าเจ้าไม่พยายาม ข้าก็จะไม่เสนอให้เลย”

จิงไห่กลั้นหายใจ ภาคภูมิใจในความสำเร็จ “ครูฝึก ข้าเข้าใจแล้ว”

โอกาสมีไว้ให้แก่คนที่เตรียมพร้อม ถ้าหากว่าไม่มีการเตรียมพร้อม เช่นนั้นโอกาสก็จะหายไป!

จิงไห่คิดมาตลอดว่ามู่ชิงเกอยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับงานในมือ ไม่ได้สนใจการฝึกฝนของเขา แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางจะลอบมองเขา ทดสอบเขามาโดยตลอด ในตอนที่นางรู้สึกว่าสมควรแล้ว ถึงได้พูดว่าก้าวต่อไปควรเดินอย่างไร ทันใดนั้นจิงไห่ก็คิดขึ้นได้ว่า ถ้าหากตัวเองโง่งม ทุกวันฝึกฝนตามปกติ ไม่ได้พยายามฝึกนอกรอบเป็นพิเศษ อาจจะไม่ได้รับคำพูดในวันนี้ของอาจารย์ไปจนชั่วชีวิต? อาจจทำให้อาจารย์ผิดหวังโดยไม่รู้สึกตัว จากนั้นก็จะโดนทิ้ง?

จิงไห่รู้สึกกลัวย้อนหลัง แต่ก็รู้สีกดีที่ตนเองตื่นตัวได้ทันเวลา

‘ยังดีที่ทุกอย่างยังไม่สายไป!’ จิงไห่เอ่ยกับตัวเองในใจ คำแนะนำของมู่ชิงเกอไม่ได้มีมาง่ายๆ แต่เมื่อเป็นคำพูดของเขา จิงไห่ล้วนแต่จำใส่ใจ

“ครูฝึก คำพูดของท่านข้าจำไว้แล้ว!” หลังจากคิดอย่าง เข้าใจแล้ว จิงไห่ก็พูดออกมาอีกครั้ง

มู่ชิงเกอหยิบเม็ดยาเม็ดหนึ่งออกมา ยื่นให้แก่จิงไห่ “ย เม็ดนี้มีฤทธิ์ล้างไขกระดูก ในก่อนที่เจ้าจะทะลวงสู่ระดับสีเทาก็กินมันลงไป”

ยาล้างไขกระดูกนี้นางหลอมขึ้นมาเอง ฤทธิ์ยานั้นอาจจะไม่สู้การดัดแปลงพันธุ์กรรม แต่ก็ถือว่าเป็นยาที่ไม่เลว

หลังจากจิงไห่กินลงไป สามารถใช้พลังทะลวงระดับ ทำให้ฤทธิ์ยาออกฤทธิ์ได้สูงสุด ขจัดความสกปรกในร่างกาย เปลี่ยนเส้นเลือดและกระดูกในร่างให้แข็งแกร่งขึ้น

ทั้งยังมีความสามารถในการเพิ่มพรสวรรค์ในด้านต่างๆ

จิงไห่รับยามาอย่างระมัดระวัง เอ่ยด้วยท่าทีที่ดูหนักแน่นว่า “ขอบคุณครูฝึก”

มู่ชิงเกอโบกมือ ก่อนจะเดินไปที่ห้อง

รอนางอาบนํ้าเสร็จ หลับสักตื่นแล้ว ถึงได้มองเห็นเสวี่ยหยาและคนอื่นๆ กลับมาจากด้านนอก

ดื่มยาแก้อาการเมาค้างแล้ว แสงสีขาวสายหนึ่งก็ลอยมาจากอากาศ ตกลงมาบนชามในมือของมู่ชิงเกอ

“ชิงเกอ กิน” ไป๋สี่อ้าปากพูดออกมา

มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างหมดทางเลือกว่า “โย่วเหอกำลังเตรียมการอยู่”

“เร็วหน่อย กินเสร็จแล้วข้ายังต้องกลับไปดูเจ้าคนแซ่มู่นั้นอีก” ไป๋สี่เอ่ยเร่ง

“เป็นอย่างไรบ้าง? มีอะไรคืบหน้าบ้างหรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

ไป๋สี่ส่ายหน้า “คืนเมื่อวานเขาไม่ได้ไปไหนเลย อยู่แต่ใน จวนตระกูลมู่”

มู่ชิงเกอพยักหน้า คำตอบนี้นางคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว นางเอ่ยกับไป๋สี่ว่า “ช่วงนี้เจ้าจับตาดูให้ดีๆ หากว่ามีเรื่องที่ไม่เร่งด่วนจะต้องลงมือก็รอให้ข้ากลับมาก่อน ข้าจะ จากไประยะหนึ่ง จะรีบกลับมา”

“เจ้าจะจากไปงั้นหรือ?” ไป๋สี่ชะงักไป พร้อมกับเอ่ยขึ้นในทันใด “นำเจ้าจิ้งจอกเหม็นตนนั้นไปด้วย หากว่ามีอะไรอันตราย ก็โยนเขาออกไปขวางดาบ”

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก ไม่ได้สนใจคำพูดของไป๋สี่ ในตอนนี้โย่วเหอก็เข้ามาพอดี เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชาย เตรียมเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

ได้ยินว่าของกินเตรียมเสร็จแล้ว นัยน์ตาสีม่วงทองของไป๋สี่ก็เปล่งประกาย ‘สวบ’ แวบหนึ่ง หายไปจากตรงหน้าของมู่ชิงเกอและโย่วเหอ

รอจนทั้งสองคนเดินไปถึงจวนด้านหลังแล้ว ไป๋สี่ก็ได้กลายร่างสู่ร่างเดิมเริ่มกินอาหาร แล้วกองเนื้อที่มากยิ่งกว่าวันแรกถูกนางกลืนลงท้องไปในพริบตา

“พวกเจ้าสามคน ข้าจะจากไประยะหนึ่ง จัดการเรื่องราวเล็กน้อย พวกเจ้าอยู่ที่นี่ ดำเนินแผนการตามคำสั่งข้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ล้วนแต่ไม่อาจเคลื่อนไหวโดย พลการ รอข้ากลับมา น้อยสุดก็ไม่กี่วัน อย่างมากก็ครึ่งเดือน ข้าก็จะกลับมา” มู่ชิงเกอเอ่ยสั่งการ

วันถัดไป มู่ชิงเกอก็เดินออกไปนอกประตูเมืองหลานอูเฉิงเพียงลำพัง

นอกเมืองหลานอูเฉิง หานฉายไฉ่กำลังรอนางอยู่

ในตอนที่พบกันอีกครั้ง เขาก็นั่งอยู่บนหลังสัตว์อสูรวิญญาณที่จะดูคล้ายหมาป่าก็ไม่เชิง จะคล้ายเสือไม่ใช่เสือ กวักมือชวนมู่ชิงเกอ “อาชาเพลิงของเจ้าไม่ได้นำมา ด้วย ไม่สู้นั่งไปกับข้า”

มู่ชิงเกอกลอกตาขาวใส่เขา ปฏิเสธไปตรงๆ “ไม่จำเป็น”

“เจ้าคิดจะอาศัยสองขาเดินไปงั้นหรือ?” หานฉายไฉ่เอ่ยอย่างขี้เล่น ดวงตาเรียวยาวเต็มไปด้วยแสงเปล่งประกาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version