ตอนที่ 240
ตระกูลจิงสายเลือดทะลวงสวรรค์
ตระกูลซางสายเลือดผู้หลอมศาสตรา
“เจ้าคิดจะใช้เท้าเดินไป?” หานฉายไฉ่เอ่ยหยอกขึ้น
ในดวงตาเรียวยาวของเขาคู่นั้น เต็มไปด้วยความซุกซน รอคอยการตัดสินใจของมู่ชิงเกอ
“เดิน?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วสูงขึ้น เดินไปทางหานฉายไฉ่
“ข้าก็ไม่ได้โง่งมขนาดนั้น” นางเดินไปที่ด้านหน้าของสัตว์อสูรในตอนที่หานฉายไฉ่รอคอยว่านางจะทำอันใดนั้น นางอยู่ๆ ก็พลันยื่นมือออกไป ยื่นมือไปคว้าจับที่ข้อเท้า ของหานฉายไฉ่ ใช้แรงดึงมัน ก่อนจะลากเขาลงมาจากบนหลังของสัตว์อสูร
หานฉายไฉ่ที่ไม่ทันระวัง ร่วงตกลงหลังของสัตว์อสูรในทันใด ส่วนมู่ชิงเกอก็อาศัยจังหวะนั้นพลิกตัวขึ้นไปด้านบนแผ่นหลังของสัตว์อสูร
“มู่ชิงเกอเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะไม่กล้าสวนกลับ?” หานฉายไฉ่พอยืนได้มั่นคง ก็เอ่ยไปทางมู่ชิงเกอเสียงขรึม
มู่ชิงเกอก็ยังคงนั่งอยู่บนหลังของสัตว์อสูร เลิกคิ้วมองไปทางเขา เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง “รอพร้อมรับมือทุกเมื่อ!”
พอกล่าวจบ นางก็สะกิดไปที่ท้องของสัตว์อสูร ให้สัตว์อสูรพานางพุ่งทะยานออกไป
กีบเท้าของสัตว์อสูรย่ำพื้นจนเกิดฝุ่นตลบ ทำเอาหานฉายไฉ่ต้องสำลักฝุ่นไปคำหนึ่ง
“แค่ก แค่ก!” หานฉายไฉ่สะบัดแขนเสื้อ ปัดป้องฝุ่นควัน ที่พุ่งมาด้านหน้า ท่าทางอเนจอนาถอยู่บ้าง
มองไปยังแผ่นหลังของมู่ชิงเกอที่ค่อยๆ ไกลออกไป เขาก็ส่ายหน้าขึ้นอย่างหมดวาจาจะกล่าว ในแววตาทอแววผิดหวังขึ้นรางๆ
มู่ชิงเกอที่ขี่อยู่บนแผ่นหลังของสัตว์อสูร เส้นผมของนาง ถูกสายลมพัดสะบัดออกไป นางเอ่ยทอดถอนใจขึ้นในใจ สำหรับหานฉายไฉ่แล้ว ยิ่งใช้ท่าทีเหมือนปกติกับเขาเท่าไร เขาก็ยิ่งยอมแพ้เร็วมากขึ้นเท่านั้น
ถ้าหากนางเอาแต่ระมัดระวัง จงใจหลบหน้า ในทางกลับกันนั้นก็จะทำให้เขาในใจเกิดความหวังขึ้นมา
ไม่นาน ด้านหลังของมู่ชิงเกอดังสะท้อนด้วยเสียงวิ่งควบของสัตว์อสูรดังเข้ามา นางหันมองกลับไป ก่อนจะเห็นเข้ากับใบหน้าเจ้าเล่ห์ของหานฉายไฉ่ที่เข้ามาใกล้ สายตากระจ่างชัดมองไปยังสัตว์อสูรที่เขาขี่อยู่สายตาหนึ่ง นางหรี่ตาลงพลางเอ่ยเสียดสีขึ้น “ดูท่า เจ้าก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เตรียมอะไรมา”
หานฉายไฉ่ก็คร้านที่จะสนใจนาง ใช้แรงฟาดแส้ใปที่สัตว์อสูร สัตว์อสูรคำรามขึ้นเสียงหนึ่ง พริบตานั้นพุ่งแซงสัตว์อสูรที่มู่ชิงเกอขี่อยู่ ฝุ่นผงบนพื้นพุ่งตลบขึ้นมา พร้อมกันนั้นมันก็พุ่งตรงมาทางมู่ชิงเกอ นางยกมือสะบัดขึ้น พลังจิตพุ่งออกไปจากฝ่ามือของตน วาดปัดฝุ่นควันออกไป ก่อนจะพุ่งทะยานออกไปจากตรงกลางของกลุ่มควัน
“นี่ เขาวิ่งไปไกลขนาดนั้น เจ้าที่ยังชักช้าอยู่ไม่เสียหน้าบ้างหรือไง!” มู่ชิงเกอตบเบาๆ ไปที่หัวของสัตว์อสูร
สัตว์อสูรตัวนี้มีสติปัญญา มันฟังเข้าใจคำพูดของมู่ชิงเกอ
ความหมายเย้ยหยันที่อยู่ในน้ำเลียงนั้น ก็ทำให้มันร้องคำรามออกมา ทันใดนั้น ขาทั้งสี่ของมันเพิ่มแรงขึ้น ราวกับลูกศรที่พุ่งออกไป เหมือนกับมันต้องการทวงศักดิ์ศรีของมันกลับคืนมา
ไม่ทันไร มู่ชิงเกอก็สามารถตามทันหานฉายไฉ่ มุ่งหน้าออกไปพร้อมกันกับเขา
หานฉายไฉ่มองไปทางนางสายตาหนึ่ง ก่อนจะดึงสายตากลับ
ทั้งสองคนขี่สัตว์พุ่งตรงไปด้านหน้า มุ่งไปยังเขตรกร้างด้านนอกเมืองหลานอูเฉิง
เดินทางไปเกือบหนึ่งวันหนึ่งคืน ในตอนก่อนที่ดวงอาทิตย์ของวันที่สองจะลอยขึ้นมานั้น พวกนางก็ค่อยมาถึงสถานที่รกร้างที่มีอาณาเขตประมาณหนึ่งร้อยลี้ สถานที่ที่ไร้ซึ่งต้นไม้ใบหญ้า หลังจากได้เห็นเข้ากับตาแล้ว มู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าใช้คำว่าภูเขาหินมากล่าวบรรยายมันก็จะใกล้เคียงกว่า
ที่นี่ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า มีก็เป็นก้อนหินรูปลักษณ์แปลกประหลาดต่างๆ นานา ตั้งตระหง่านอยู่บนภูเขาหิน
ก้อนหินพวกนั้น บ้างก็มีรูปลักษณ์ดุดันเหมือนกับสัตว์ร้าย บ้างมีรูปร่างสูงตระหง่านราวกับต้นไม้ใหญ่ บนพื้นก็ไม่ได้มีรอยแตกระแหงของผิวดิน มีเพียงชั้นหินสีดำปกคลุมอยู่ด้านบนเป็นชั้นๆ ร่องรอยด้านบนก็ราวกับเป็นระลอกคลื่นก็ไม่ปาน
หานฉายไฉ่พลิกตัวลงจากสัตว์อสูร มู่ชิงเกอก็ลงไปตาม นางกวาดตามองไปยังสภาพรอบด้าน หานฉายไฉ่ยืนอยู่ เดิมพร้อมกับปิดตาทั้งข้างลง
มู่ชิงเกอก็รู้ว่าเขากำลังใช้พลังทางสายเลือดสัมผัสหาจุดที่พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดกบดานอยู่ ดังนั้นก็เลยไม่ได้ออกเสียงรบกวน
ผ่านไปครู่หนึ่ง หานฉายไฉ่ก็พลันเปิดเปลือกตาขึ้น เอ่ยไปทางมู่ชิงเกอ “พวกเราไปหาที่พักกันก่อน”
สำหรับเรื่องนี้ มู่ชิงเกอก็ไม่ได้มีความเห็นอันใด ทั้งสองคนปล่อยสัตว์อสูรเอาไว้ เส้นทางต่อจากนี้ พาพวกมันไปด้วยก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก ให้พวกมันรอพวกนางเรียกหาอยู่ที่นี่ก็จะดีกว่า
หานฉายไฉ่หาเจอช่องหินที่เว้าเข้าไปด้านในพบแห่งหนึ่ง ก็เลยใช้มันเป็นจุดพักเท้า ไปรวบรวมเศษฟืนมาก่อนจะจุดไฟขึ้นกองหนึ่ง หลังจากนั้นนั่งลงไปด้านข้างกองไฟ พร้อมกันกับมู่ชิงเกอ
“อุณหภูมิของที่นี่นั้นต่ำมาก อบอุ่นร่างสักหน่อย พรุ่งนี้พวกเราค่อยออกตามหาต่อ” หานฉายไฉ่เอ่ยขึ้น
มู่ชิงเกอมองไปยังแสงอาทิตย์ด้านนอก เอ่ยขึ้นไปทางเขา “ห่างจากฟ้ามืดก็ยังมีอีกครึ่งวัน”
ความหมายในคำพูดก็คือ ทำไมจะต้องเสียเลาพักผ่อนอยู่ที่นี่ด้วย?
พวกนางก็สามารถพักแค่หนึ่งชั่วยาม แล้วก็เริ่มตามหาพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดได้ ต่อจากนั้น พอฟ้าใกล้มืดแล้ว ก็ค่อยหาจุดพักเท้าอีกครั้ง แต่หานฉายไฉ่กลับเอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็รู้สึกถึงจุดที่อยู่คร่าวๆ แล้ว แต่กว่าจะเดินทางจากที่นี่ไปถึงที่นั้น ฟ้าก็คงจะมืดพอดี ไม่สะดวกที่จะเคลื่อนไหว ดังนั้นพักยาวๆ ถึงพรุ่งนี้ แล้วไปทีเดียวจะดีกว่า”
มู่ชิงเกอพยักหน้า ไม่กล่าวอะไรต่ออีก
“ใช่แล้ว ตอนที่ยังไม่ได้พบกับพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด ก็อย่าได้ปล่อยพญาเพลิงฮุ้นหยวนของเจ้าออกมา หลีกเลี่ยงไม่ให้มันสัมผัสถึง” หานฉายไฉ่เอ่ยกำชับเตือน
“รู้แล้ว” คำพูดนี้ของเขา ก็ทำเอามู่ชิงเกอที่เดิมจะเรียกหยวนหยวนออกมาหลีกเลี่ยงความขัดเขินก็ต้องเก็บความดิดกลับ
นางมองไปยังด้านนอก ในใจบ่นอุบอิบ ‘หนึ่งชายหนึ่งหญิงอยู่กันเพียงลำพังในป่าเขาห่างไกล หากถูกนายท่านมั่วรู้เข้า เขาฆ่านางทิ้งแน่’
เมื่อก่อนยังไม่รู้สึกอะไร แต่หลังจากที่แน่ใจถึงความสัมพันธ์กับซือมั่ว และมาได้ยินการสารภาพรักของหานฉายไฉ่เช่นนี้แล้ว มู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าการทำเช่นนี้ ก็ดูจะ เป็นการผิดต่อซือมั่วอยู่บ้าง และแน่นอนการดื่มเหล้าเมื่อคืนวานก็เป็นเพราะนางต้องการหาข้อมูลให้หยวนหยวน!
และนางก็ไม่ได้มีความคิดไม่ดีอันใด ในใจบริสุทธิ์ไม่กลัวว่าจะมีใครมาต่อว่าทวงถาม
ระหว่างคิด มู่ชิงเกอก็นั่งหลังเหยียดตรงขึ้น
“เจ้ากำลังคิดอะไร?” หานฉายไฉ่ระหว่างที่พูด ก็ส่งกาเหล้ามาให้นางใบหนึ่ง
มู่ชิงเกอยกมือขึ้นไปรับ มองมันสายตาหนึ่ง แต่ไม่ได้เปิดมันออก แต่เป็นวางไว้ที่ข้างกาย
หานฉายไฉ่พอเห็นการกระทำของนาง ก็พลันเอ่ยขึ้นเสียงเกียจคร้าน “นี่ก็ถือว่าเป็นเหล้าหมักชั้นดี หมักเอาไว้หลายร้อยปี”
มู่ชิงเกอมองมันเงียบๆ สายตาหนึ่ง วาดมืออกไป กาเหล้าทันใดนั้นก็หายไปจากตรงหน้าของนาง หลังจากนั้น นางก็หันไปกล่าวทางหานฉายไฉ่ “มีภารกิจ
ติดตัวอยู่ ไม่ควรดื่มของมึนเมา”
หานฉายไฉ่ยิ้มเย็นขึ้นเสียงเย้ยหยันเสียงหนึ่ง ดวงตาเรียวยาวจ้องเขม็งไปทางนาง ก่อนจะเหยียดร่างนอนลงไปกับพื้นอย่างเกียจคร้าน ยกกาเหล้าขึ้น ก่อนจะดื่มลิ้ม รสมันเพียงลำพัง
ส่วนมู่ชิงเกอนั้นก็นั่งขัดสมาธิอยู่อีกด้านหนึ่ง ราวกับว่าเข้าสู่การฝึกฝน
ทั้งสองคนไม่รบกวนกันและกัน สีของฟ้าก็ค่อยๆ กลายเป็นดำมืดลง
ทันใดนั้น ที่ไกลๆ ออกไปก็พลันมีเสียงร้องสัตว์อสูรดังเข้ามาเสียงหนึ่ง รบกวนการฝึกฝนของมู่ชิงเกอ ทำให้นางต้องค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น มองไปยังพื้นที่รกร้างที่ถูกความมืดมิดเข้าปกคลุม
ผ่านไปเพียงชั่วอึดใจ นางก็หันสายตามองไปทางหานฉายไฉ่ แต่กลับเห็นเขาราวกับจะเมามายอยู่ไม่น้อย มุมปากยกขึ้นด้วยรอยยิ้มรางๆ ดวงตาเรียวยาวก็ไม่รู้ว่าหรี่ อยู่หรือว่าปิดไปแล้ว
“หานฉายไฉ่” มู่ชิงเกอเปิดปากเอ่ยเรียก
“หืม” หานฉายไฉ่ใช้เสียงในจมูกตอบรับ
พอแน่ใจว่าเขาไม่ได้หลับ มู่ชิงเกอก็ถึงค่อยเอ่ยต่อขึ้น “มีคำถามข้อหนึ่ง”
“ว่า” หานฉายไฉ่เอ่ยขึ้นง่ายๆ คำพูดหนึ่ง
มู่ชิงเกอเอ่ยถามออกไป “สัตว์อสูรในโลกแห่งยุคกลางก็เหมือนกับจะถูกคนฝึกและใช้สอยกันเกือบแพร่หลาย แต่กลับพบเห็นสัตว์อสูรระดับสูงน้อยมาก”
หานฉายไฉ่ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น เอ่ยขึ้นเสียงเบา “ในโลกแห่งยุคกลาง มีอยู่ตระกูลหนึ่งที่พลังของสายเลือด สามารถเพิ่มระดับความใกล้ชิดกับสัตว์อสูรให้สูงขึ้นได้ จนมีความสามารถพอที่จะฝึกปรือและสั่งการพวกมัน ผู้คนเรียกพวกเขาว่าอาจารย์ทะลวงสวรรค์ ที่เจ้าได้พบมา พวกนั้นก็เป็นสัตว์อสูรที่ได้ผ่านการฝึกฝนมาแล้ว และส่วนมากก็ล้วนแต่มาจากฝีมือของพวกเขา สัตว์อสูรที่ถูกฝึกมาพวกนี้ไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานของพวกมันก็จะกลายเป็นเชื่องมาก ก็เหมือนกันกับสัตว์เลี้ยงที่เลี้ยงเอาไว้ในบ้านไม่มีข้อแตกต่างกัน”
“ก็ดูคล้ายกับสำนักหมื่นอสูรของหลินชวนอยู่บ้าง” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น
หานฉายไฉ่นั่งลุกขึ้นมาจากพื้น เลียนแบบท่านั่งของมู่ชิงเกอนั่งขัดสมาธิ “ไม่เหมือนกัน สำหนักหมื่นอสูรนั้นใช้เคล็ดวิชาบางอย่างในการควบคุมสัตว์อสูร ซึ่งนั่นจะลดระดับความสามารถในการต่อสู้ของพวกมันลง แต่อาจารย์ทะลวงสวรรค์ที่ข้ากล่าวถึง การฝึกสัตว์อสูรระดับตํ่าให้ผู้คนก็ถือเป็นความสามารถขั้นตํ่าสุดของ พวกเขา ในตระกูลนั่นไม่ว่าใครก็ทำมันได้ไม่ว่าจะเป็นทารกที่เพิ่งเกิดก็สามารถสยบสัตว์อสูรให้เชื่องได้ มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ในตระกูลแห่งนั้น ในทุกครั้งที่มีเด็กแรกเกิดเกิดขึ้นมา ทางตระกูลก็จะใช้เลือดของพวกเขาไปสยบสัตว์อสูร ยิ่งสามารถสยบได้มาก ก็จะสามารถยืนยันได้ว่าเขาแข็งแกร่งมาก หากเป็นผู้มีพรสวรรค์ก็จะได้รับความสำคัญและได้รับการฝึกฝนจากตระกูล แต่ในทางกลับกัน ถ้าแม้แต่สัตว์อสูรสักตัวก็ยังสยบไม่ได้ เช่นนั้นก็จะสามารถบ่งบอกได้ว่าเขาไม่มีพรสวรรค์ถูกละทิ้ง ไปจนถึงขั้นขับออกจากตระกูล”
“เลือดเย็นนัก แต่นั่นก็เป็นกฎเกณฑ์ของโลกแห่งความเป็นจริง” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ นางก็ไม่มีทางเป็นเพราะเหตุนี้รู้สึกเกรี้ยวกราดทวงถามความยุติธรรม
หานฉายไฉ่พยักหน้า เอ่ยขึ้นต่อ “ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของอาจารย์ทะลวงสวรรค์นั้นก็คือสามารถทำสัญญากับสัตว์อสูรระดับเทวะไปจนขั้นมหาเทพ อีกทั้งจะไม่ส่งผลต่อระดับการฝึกฝนของพวกมัน แต่เป็นสามารถสอดประสานกับมันได้อย่างลงตัว ทำศึกร่วมกัน”
ในแววตาของมู่ชิงเกอค่อยๆ ส่องประกายขึ้น
หานฉายไฉ่มองไปทางนาง พลางเอ่ยขึ้นกับนาง “ก็เหมือนกับราชาจิ้งจอกหิมะของเจ้าตนนั้น”
เว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด เขาก็น่าจะจำแลงกายได้แล้วกระมัง?”
พอพูดถึงหยินเฉิน มู่ชิงเกอก็แววตากระจ่างวูบ โบกมือออกไป ก่อนที่ทันใดนั้นหยินเฉินจะปรากฏขึ้นตรงหน้าของหานฉายไฉ่
เส้นผมสีเงิน นัยน์ตาสีเลือด โครงหน้าที่งดงามงามเย้ายวนเช่นเดียวกัน นี่ก็ทำให้บรรยากาศระหว่างบุรุษทั้งสองที่ได้พบหน้ากัน เกิดเป็นความรู้สึกที่ต่อต้านกันและกันขึ้นมา
“ขอแนะนำหน่อยก็แล้วกัน นี่ราชาจิ้งจอกหิมะหยินเฉิน ส่วนคนผู้นี้หานฉายไฉ่” มู่ชิงเกอไม่สนใจบรรยากาศต่อต้านกันตรงหน้า เอ่ยแนะนำทั้งสองคนขึ้น หยินเฉินมองไปทางหานฉายไฉ่สีหน้าเรียบเฉยสายตาหนึ่ง ก่อนที่จะนั่งลงที่ด้านข้างของมู่ชิงเกอ
หานฉายไฉ่สีหน้าเขียวคลํ้า เขาเกลียดตัวเองนักที่อยู่ๆ ไปเอ่ยถึงราชาจิ้งจอกหิมะอะไรนั่น สุดท้ายกลายเป็นกำชับเตือนมู่ชิงเกอ ทำลายการได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังแค่สองคน
แต่ว่าหยินเฉินก็ได้ถูกปล่อยมาแล้ว เขาก็หาเหตุผลที่เหมือนกันกับของของหยวนยวนไม่ได้ให้มู่ชิงเกอเรียกเขากลับไป ทำได้เพียงดึงกลับความไม่พอใจลงไป สะกดข่มความไม่พอใจในใจไปครู่หนึ่ง หานฉายไฉ่ถึงค่อยเอ่ยขึ้นต่อ “อาจารย์ทะลวงสวรรค์ไม่เพียงสามารถทำสัญญากับสัตว์เทพหรือสัตว์มหาเทพ แต่ก็ยังสามารถช่วยคนอื่นทำสัญญา แต่ว่าการทำสัญญานี้ก็อันตรายมาก สามารถถูกพลังตีกลับได้อย่างง่ายดายนัก ดังนั้นโดยปกติแล้ว อาจารย์ทะลวงสวรรค์ก็จะไม่ค่อยช่วยคนอื่นทำพันธะสัญญา นอกจากว่าจะมีเหตุผลให้ไม่ทำไม่ได้ถึงได้ทำเช่นนั้น”
ภายใต้การกล่าวอธิบายของหานฉายไฉ่ มู่ชิงเกอก็ค่อยๆ เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างอาจารย์ทะลวงสวรรค์กับสำนักหมื่นอสูรขึ้นมาบ้าง “แล้วอย่างนี้พันธะสัญญาของอาจารย์ทะลวงสวรรค์ที่ใช้กับสัตว์เทพ สัตว์มหาเทพ มันมีข้อจำกัดหรือไม่? ในโลกแห่งยุคกลางก็มีสัตว์เทพ กับสัตว์มหาเทพมากมายขนาดนั้นเลยรึ?”
หานฉายไฉ่บ่นกระปอดกระแปดขึ้นมาประโยคหนึ่ง “คำถามของเจ้าช่างเยอะนัก”
แต่เขาก็ยังเอ่ยอธิบายไปทางมู่ชิงเกออย่างอดทน “สัตว์เทพกับสัตว์มหาเทพของโลกแห่ยุคกลางจริงๆ แล้วมีมากเท่าไร ไม่ว่าใครก็คงไม่อาจรู้ได้ เพราะว่าที่ไปถึง ระดับนั้นได้พวกมันก็ล้วนแต่สามารถแปลงกลายเป็นมนุษย์ใช้ชีวิตปะปนกับผู้คน มีน้อยมากที่คนจะมองมันออก บางที เจ้าก็อาจจะเคยพบมาก่อน เดินเฉียดผ่านกัน หรือบางทีอาจจะไม่เคยได้พบเจอเลยก็เป็นได้ อาจารย์ทะลวงสวรรค์จะสามารถทำสัญญาได้มากน้อยแค่ไหน ที่สำคัญก็คือต้องดูที่จิตหยั่งรู้ของพวกเขาว่า อ่อนแอหรือกล้าแข็ง หากจิตหยั่งรู้แข็งแกร่ง สัญญาที่พวกเขาทำได้ก็จะยิ่งมาก แต่ว่าตามที่ข้ารู้มา ในประวัติของตระกูลพวกเขา สัญญาที่ทำได้มากที่สุดก็มีเพียง หนึ่งสัตว์มหาเทพกับสองสัตว์เทพ แต่นั่นก็เป็นเรื่องเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว ตอนนี้ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลของพวกเขา ก็แค่ทำสัญญากับสัตว์เทพพร้อมกันสองตน ในเมื่อตามความเป็นจริงแล้วสัตว์มหาเทพก็ไม่ได้หาง่ายดายขนาดนั้น อีกทั้งทำสัญญาด้วยก็ยังไม่ง่าย”
มู่ชิงเกอมองไปทางหยินเฉิน
นางกับหยินเฉินก็มีพันธะสัญญาเชื่อมต่อกัน แต่นอกจากนั้นนางก็ยังมีสายสัมพันธ์กับไป๋สี่และก็หยวนหยวนอีก…
ราวกับรู้ว่ามู่ชิงเกอกำลังคิดอะไร หยินเฉินได้หันไปมองนาง ส่งกระแสจิตเอ่ย ‘ข้าทำพันธะสัญญากับชิงเกอด้วยตัวเอง ดังนั้นก็เลยไม่ส่งผลอะไรต่อจิตหยั่งรู้ของเจ้า รอมีเวลา ชิงเกอก็สามารถทำสัญญากับไป๋สี่งูตะกละนางนั้น คิดดูแล้วนางก็น่าจะไม่ปฏิเสธ ทำเช่นนี้จิตหยั่งรู้ของเจ้าก็จะไม่โดนยึดไปเช่นเดียวกันในภายหลังถ้าหากได้พบกับตัวช่วยที่เหมาะสมอีก ก็ยังสามารถทำสัญญาได้อีก’
มู่ชิงเกอฟังจนนิ่งชะงัก เอ่ยถามกลับ ‘เอ่อ ข้าก็ไม่ใช่อาจารย์ทะลวงสวรรค์สามารถทำพันธะสัญญาได้ตรงๆเลยรึ?’
หยินเฉินกลับเอ่ยตอบไปว่า ‘ความรู้สึกใกล้ชิดที่เจ้ามีให้สัตว์อสูรก็ไม่ได้ตํ่าไปกว่าอาจารย์ทะลวงสวรรค์หากไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้อย่างไร? อีกอย่าง มีข้ากับงูตะกละนางนั้นช่วยเจ้าสะกดข่มอยู่ ถึงต่อให้สัญญาจะทำไม่สำเร็จ เจ้าก็จะไม่มีอันตรายอะไร’
คำพูดของหยินเฉินก็พูดจนมู่ชิงเกอในใจตื่นเต้นขึ้นมา
ในหัวของนางก็เหมือนจะปรากฏฉากภาพที่นางบังคับฝูงสัตว์อสูร ใช่แล้ว! นางก็ยังมีขลุ่ยอสูรที่ชิงมาจากสำนักหมื่นอสูรอยู่ด้วย
แต่นางก็พลันได้สติขึ้นมา ยิ้มเอ่ยขึ้น ‘ไม่ได้ยินที่หานฉายไฉ่พูดรึไง สัตว์เทพกับสัตว์มหาเทพก็ไม่ได้หาได้ง่ายๆ’
หยินเฉินกลับมองมันในแง่ดี “หากมีวาสนาก็จักได้พบ ไม่ต้องรีบร้อน”
มู่ชิงเกอเบ้มุมปาก นางก็ไม่ได้รีบร้อนอันใด
“แล้วตระกูลนั่นมีแซ่ว่าอะไร? ตั้งอยู่ในเขตๆ ไหน?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
หานฉายไฉ่มองไปทางนาง แววตาเรียวยาวทอแวววาววับ
“อะแฮ่ม ก็ถามเอาไว้เฉยๆ เท่านั้น ถ้าหากวันไหนเกิดเจอเข้าจะได้ระวังตัวเอาไว้?” มู่ชิงเกอยิ้มขำขึ้นมา จะต้องรู้ว่า การถามคำถามกับหอสรรพสิ่ง ก็จะต้องจ่ายเงิน
“ศิลาวิญญาณระดับกลางหนึ่งก้อน” หานฉายไฉ่ชูนิ้วหนึ่งนิ้วไปทางมู่ชิงเกอ ส่ายมันไปมา
มู่ชิงเกอถลึงตามองไปทางเขา ร้องเอ่ยขึ้น “เจ้า นี่มันปล้นกันชัดๆ! ศิลาวิญญาณระดับตํ่าสิบก้อน ถ้ามากกว่านี้ก็ไม่ต้องเอาแล้ว!”
เพียงแค่ข่าวข่าวหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ใช่ความลับอันใด ก็เพียงแค่นางเพิ่งจะมาถึงโลกแห่งยุคกลางก็เลยยังไม่เข้าใจก็เท่านั้น ถึงกับกล้าตั้งราคาสูงลิบลิ่วกับนาง!
“ราคานี้ของเจ้าก็ไม่ใช่ว่าจะโหดเหี้ยมเกินไปหน่อยรึ?” หานฉายไฉ่หรี่ตาลงยิ้มเย็น
มู่ชิงเกอก็เช่นเดียวกันยิ้มเย็น “นี่ก็ไม่ใช่ความลับอันใด การค้านี้เจ้าไม่รับ ข้าก็สามารถไปที่กลุ่มหลิวเค่อที่นั้นซื้อหาเอาได้ เปรียบกับหอสรรพสิ่งของเจ้าแล้วก็คงจะได้ราคาที่ถูกกว่าไม่น้อย”
หานฉายไฉ่แววตาเคร่งขรึม ขบกรามเอ่ยขึ้น “ส่งมา”
มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มของผู้ชนะ เอาศิลาวิญญาณระดับตํ่าสิบก่อนโยนไปที่ตักของหานฉายไฉ่
หานฉายไฉ่ก้มหน้าลงไปมองแวบหนึ่ง ก่อนจะสบถออกมาเสียงหนึ่ง พร้อมกับเอ่ยขึ้น “พวกเขาแซ่จิง ที่อยู่ของพวกนั้นก็คือเขตภาคกลาง โดยปกติแล้วจะไม่มายุ่งวุ่นวายกับเขตภาคอื่นๆ คิดว่าเจ้าช่วงนี้ก็คงจะไม่ได้พบเจอกับพวกเขาได้ง่ายๆ”
“แซ่จิง?” มู่ชิงเกอนิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง คิดไปถึงจิงไห่ลูกศิษย์ของตน
จิงไห่ก็แซ่จิง เขากับอาจารย์ทะลวงสวรรค์ตระกูลจิงในเขตภาคกลางก็มีความเกี่ยวข้องอะไรกันหรือไม่? แต่ไม่ทันไร มู่ชิงเกอก็ได้ล้มเลิกความคิดนี้ไป
จิงไห่เกิดที่หมู่บ้านชาวประมงแสนห่างไกลของเขตภาคใต้ ตั้งแต่ติดตามนางมา ก็เหมือนกับว่าจะไม่ได้แสดงพรสวรรค์ที่สามารถใกล้ชิดกับสัตว์อสูรอะไรได้ แล้วจะไปมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลของเขตภาคกลางได้อย่างไรกัน? พ่อแม่ของเขา จากที่เขาพูดมาก็เป็นคนของหมู่บ้านชาวประมง เพียงแต่บิดาอยากแข็งแกร่งก็เลยออกไปจากบ้าน ส่วนในตอนเด็กมารดาของก็ออกจากบ้านไปเพื่อตามหาบิดาของเขา จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้กลับมาอีก ถึงต่อให้จิงไห่จะมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลจิงจริงๆ ก็เกรงว่าจะเป็นพวกเดียวกันกับที่หานฉายไฉ่กล่าวถึงพวกนั้น ไม่ได้มีพรสวรรค์อะไร เป็นคนที่ถูกขับออกจากตระกูลกระมัง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จิงไห่กับคนของตระกูลจิงในโลกแห่งยุคกลางจะมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ มันยังจะสำคัญอะไรอีก?
ดึงเก็บความรู้สึกกลับ มู่ชิงเกอใช้ความสนใจไปกับคำพูดของหานฉายไฉ่อีกครั้ง
“ระหว่างเขตแดนต่างๆ ในโลกแห่งยุคกลาง ก็มีการแบ่งสูงตํ่า เขตภาคใต้ก็นับว่าเป็นเขตแดนที่อ่อนแอที่สุด ที่นี่โดยพื้นฐานแล้วก็ไม่มีตระกูลบรรพกาลอันใด ล้วนแต่เป็นตระกูลที่เพิ่งจะรุ่งเรืองขึ้นมาในภายหลัง ไม่ว่าพวกเขามองไปจะดูเจิดจ้าสะดุดตามากเท่าไร แต่ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ไม่ได้มีทรัพย์สมบัติหรือได้รับการสืบทอด เหมือนตระกูลบรรพกาลที่แข็งแกร่งขึ้นมาจากนั้นก็เป็นเขตภาคตะวันตก ภาคเหนือ ภาคตะวันออก แล้วก็ภาคกลาง ในทั้งห้าเขตนี้ เขตภาคกลางก็ถือว่าแข็งแกร่งที่สุด ถ้าหากเจ้าอยากจะทำความเข้าใจกับโลกแห่งยุคกลาง โดยเร็วที่สุด ข้าขอแนะนำให้เจ้าหลังจากที่จัดการเรื่องราวที่เมืองหลานอูเฉิงเสร็จแล้วให้เลาะตามเส้นทางไปยังเมืองหลักของเขตภาคใต้ เมืองจินไห่ ที่นั้นก็มีบันทึกถึงความรุ่งเรืองและความตกตํ่าของตระกูลต่างๆ ของเขตภาคใต้ในช่วงพันปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังมีบันทึกเหตุการณ์ของโลกยุคกลางในแต่ละปี และก็ยังเป็นที่ตั้ง ของประตูมิติในการเดินทางไปยังเมืองสำคัญต่างๆ ของเขตภาคใต้ถือเป็นเมืองที่มีความมั่งคั่ง มีตระกูลต่างๆ ตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก”
มู่ชิงเกอฟังจนต้องเลิกคิ้วขึ้น ดูท่าเมืองจินไห่นี้ก็เป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจ การปกครอง และวัฒนธรรมของเขตภาคใต้แล้ว
“ทุกทุกเขตภาคก็จะมีเมืองหลักอยู่หนึ่งแห่ง เจ้าเพิ่งมาถึงโลกแห่งยุคกลางเป็นครั้งแรก ตามจริงก็ควรจะไปเยือนเมืองหลักเป็นอันดับแรก ทำความเข้าใจข้อมูลทั้ง หมด หลังจากนั้นก็ค่อยวางแผนการที่จะทำ ก็จะได้ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่ราวกับเป็นแมลงวันไร้หัวเดินทางสะเปะสะปะไปทั่ว จนถึงขนาดต้องมาจ่ายเงินซื้อข่าวสารจากข้า”
หานฉายไฉ่ยิ้มเยาะขึ้น หยิบเอาศิลาวิญญาณที่อยู่บนตักส่ายไปส่ายมาตรงหน้าของมู่ชิงเกอ ราวกับกำลังจะบอกว่า คำพูดที่เขากล่าวเมื่อครู่ ก็ล้วนแต่สามารถสืบหาได้ที่เมืองหลักได้อย่างง่ายได้ แต่มู่ชิงเกอกลับต้องมาเสียเงินให้เขา
มู่ชิงเกอแววตาเคร่งขรึม แต่ก็ทำได้เพียงยอมรับว่าตนถูกหลอก
นางก็มาถึงโลกแห่งยุคกลางเป็นครั้งแรก แม้แต่คนนำทางก็ยังไม่มี ทำได้เพียงมุ่งหน้าไปตามเบาะแส ต่อให้บนแผนที่มีสัญลักษณ์ของเมืองจินไห่เขียนเอาไว้นาง ไหนเลยก็จะรู้ว่าที่เมืองจินไห่นั้นมีอะไร? ที่นางเร่งรีบมากที่สุดก็คือการจัดการกับตระกูลเล่อ และแน่นอนว่า นั่นก็ทำได้เพียงอาศัยวิธีของตนตามหาตระกูลเล่อ หลังจากนั้นมาที่เมืองหลานอูเฉิง ที่มาเมืองหลานอูเฉิงได้ ก็เป็นเพราะว่าเป็นเส้นทางที่มุ่งไปยังทิศตะวันตก ในเวลาเดียวกันที่เดินทางไปเขคภาคตะวันตกก็สืบหาข้อมูลของตระกูลมู่จนมาถึงที่นี่
ก็เหมือนกับที่หานฉายไฉ่พูดเอาไว้นางตลอดทางที่มาก็เหมือนจะมีจุดหมายชัดเจน แต่ตามจริงแล้วเรื่องที่เกี่ยวกับโลกแห่งยุคกลาง นางก็เหมือนกับแมลงวันไร้หัวที่บิน สะเปะสะปะไปทั่ว
เพียงแต่…
มู่ชิงเกอค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้น นางนึกย้อนไปถึงจุดที่ตั้งของเมืองจินไห่บนแผนที่ ถ้าหากตนเองออกไปจากเมืองหลานอูเฉิงแล้ว เดินทางอ้อมไปยังเมืองจินไห่อีก นี่ก็ เกรงว่าเวลาที่จะได้เข้าสู่โลกแห่งยุคกลางก็คงจะขยายยืดยาวไปแล้ว
แต่ว่าถ้าหากสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลกแห่งยุคกลางได้ และปรับตัวให้กลมกลืนเข้าไปได้ การเดินทางไปเมืองจินไห่ก็ถือว่ามีความจำเป็นเป็นอย่างมาก
ชั่วขณะนั้น มู่ชิงเกอก็ทำการตัดสินใจขึ้นในใจ
“มู่ชิงเกอ เจ้าที่มาโลกแห่งยุคกลางจริงๆ ต้องการทำอันใดกันแน่? เพียงแค่เพราะตระกูลเล่อ? เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น?” หานฉายไฉ่อยู่ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นมา
ในแววตาเรียวยาวของเขาคู่นั้น ก็ปรากฏเส้นแสงครุ่นคิดสว่างวาบไปมา
เขาก็มักจะรู้สึกว่ามู่ชิงเกอยังมีเป้าหมายอื่นๆ อีก แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แล้วก็สายเลือดที่อยู่ในตัวของมู่ชิงเกอจริงๆ แล้วคืออะไร? นักปรุงยา? หรือว่าเป็นผู้หลอมศาสตรา? ช่างน่าตายนัก! นางไม่ว่าในด้านไหนก็แสดงออกมาได้สมบูรณ์แบบ จนทำให้เขาไม่สามารถคาดเดาได้
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น สายตาร่วงตกไปที่ศิลาวิญญาณบนตักของเขา “ศิลาวิญญาณระดับต่ำ 20 ก้อน”
หานฉายไฉ่มุมปากกระตุก ส่วนหยินเฉินก็ยกมุมปากยิ้มอารมณ์ดีขึ้นมา
“เจ้านี่แม้แต่โอกาสเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่คิดจะปล่อยไป!” หานฉายไฉ่ขบกรามเอ่ยขึ้น
มู่ชิงเกอแย้มยิ้มออกมา “เรื่องเล็กน้อย เรื่องเล็กน้อย”
“เหอะ” หานฉายไฉ่สบถขึ้นเสียงหนึ่ง
ในรอยยิ้มของมู่ชิงเกอก็แฝงแววเจ้าเล่ห์ขึ้นมา “ข่าวของเจ้าก็ไม่ได้มีเพียงแค่เจ้าที่เดียว แต่ข่าวที่เจ้าอยากรู้นั้น มันก็เป็นข่าวที่มีเพียงข้าที่เดียวที่รู้เก็บเงินเจ้าเพียงแค่ 20 ศิลาวิญญาณระดับตํ่า เจ้าก็ถือว่าได้กำไรมากแล้ว ตรองดูให้ดี”
“เจ้ามันคนเห็นแก่เงิน!” หานฉายไฉ่เอ่ยขึ้นเสียงเจ็บใจ หยิบเอาศิลาวิญญาณระดับต่ำออกมาสิบก้อน รวมกับศิลาวิญญาณระดับตํ่าของมู่ชิงเกอก่อนหน้าสิบก้อน โยนพวกมันทั้งหมดไปทางมู่ชิงเกอ
เขาพอโยนออกไป ก็ใช้แรงเพิ่มไปเล็กน้อย ทั้งยังแฝงไว้ด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธของเขา
ศิลาวิญญาณทั้งยี่สิบพลันพุ่งไปทางมู่ชิงเกอ รุนแรงดั่งอาวุธลับก็ไม่ปาน แต่ทันใดนั้นหยินเฉินก็พลันวาดฝ่ามือขึ้นมาสายหนึ่ง แขนเสื้อใหญ่กว้างสะบัดม้วนขึ้นอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางรับเอาศิลาวิญญาณเอาไว้ เอาพวกมันห่อไว้ในแขนเสื้อ แล้วค่อยดึงมือกลับ
รอยยิ้มของมู่ชิงเกอก็ยิ่งต้องตาผู้คนมากขึ้นไปอีก “ขอบใจ”
อาการได้ใจของมู่ชิงเกอกับการลงมือของหยินเฉิน นั่นก็ทำเอาสีหน้าของหานฉายไฉ่มืดครึ้มลง
“ข้ามาที่โลกแห่งยุคกลางแน่นอนว่ายังมีเหตุผลอื่นอีก ใช่แล้วหลังจากที่ข้าจัดการเรื่องราวที่เขตภาคใต้เสร็จแล้ว ข้าก็จะไปหาคนที่ภาคตะวันตก” มู่ชิงเกอก็ยังตอบกลับไปตามข้อตกลง
“หาใคร?” หานฉายไฉ่เอ่ยขึ้นอย่างนึกสงสัย
คนที่สามารถทำให้มู่ชิงเกอออกมาตามไกลนับพันลี้เช่นนี้ได้ แน่นอนว่าจะต้องไม่สามัญ
ในหัวของเขาคิดคำนวณไปมาอย่างรวดเร็ว นึกย้อนไปถึงข้อมูลของมู่ชิงเกอทั้งหมด คิดอยากจะหาเบาะแส ใช่แล้ว! อยู่ๆ นัยน์ตาของหานฉายไฉ่ก็พลันกระจ่างวูบขึ้นมา เขาจำได้แล้ว มีครั้งหนึ่งที่อาณาจักรเซิ่งหยวนของหลินชวน เขาก็เคยมอบแผนที่ของภาคตะวันตกแผ่นหนึ่งให้กับมู่ชิงเกอ ที่แลกเปลี่ยนก็คือโอสถจักพรรดิที่นางเอามาส่งมอบเมื่อสองวันก่อน
ตอนนั้นเขาเพียงคิดว่ามู่ชิงเกอไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องออกไปจากหลินชวน แผนที่ของโลกแห่งยุคกลางไม่ว่าจะเป็นภาคไหนก็ล้วนแต่มีประโยชน์สำหรับนาง ตอนนี้พอมาลองนึกๆ ดู ความสนใจที่นางมีให้กับโลกแห่งยุคกลาง ก็เหมือนกับว่าจะไม่ได้มีขึ้นหลังจากเรื่องของตระกูลเล่อ แต่เป็นก่อนหน้านั้น!
แล้วก่อนหน้านั้นเวลาไหนกัน?
หานฉายไฉ่ก็นึกถึงครั้งแรกตอนที่พวกเขาสองคนพบหน้ากัน เกี่ยวกับการคาดเดาถึงสายเลือดของกันและกันเวลานั้นก็เหมือนกับว่าจะเปิดเผยออกมาส่วนหนึ่งแล้ว ถึงความไม่ธรรมดาในสายเลือดของมู่ชิงเกอ ก็เหมือนกับว่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวข้องกับโลกแห่งยุคกลาง
และนางตอนนี้ก็ยังมาเอ่ยถึงเขตภาคตะวันตกอีก หรือว่าสายเลือดของนางจะมาจากเขตภาคตะวันตก?
แต่ว่าที่ภาคตะวันตก ตระกูลบรรพกาลก็มีอยู่หลายตระกูล สายเลือดบนตัวของมู่ชิงเกอก็มาจากตระกูลไหนกัน? พอลองนึกถึงของพรสวรรค์นางดูดีๆ นัยน์ตาของ หานฉายไฉ่ก็พลันกลายเป็นเปล่งประกายเข้มขึ้น “ตระกูลซางแห่งภาคตะวันตก”
เขาก็ยังจำได้ว่ามารดาของมู่ชิงเกอนั้นมีแซ่ซาง อีกทั้งยังมีความเป็นมาที่ลึกลับ
และตระกูลซางก็พอดีที่การสืบทอดทางสายเลือดคือนักหลอมศาสตรา
มู่ชิงเกอถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจแสดงความสามารถในการหลอมศาสตราของตนออกมา แต่ดูจากอุปกรณ์และอาวุธขององครักษ์เขี้ยวมังกรพวกนั้นแล้ว ก็จะสามารถจับเบาะแสอะไรได้หานฉายไฉ่จนถึงตอนนี้ยังจดจำได้ถึงความตกตะลึงในตอนที่ได้เห็นปืนยิงระเบิด
“เป็นตระกูลซางของเขตภาคใต้จริงๆ” หานฉายไฉ่ที่เดาออกมาได้ มู่ชิงเกอก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ ถ้าหากเดาไม่ออก กลับกันนางก็คงจะสงสัยถึงสติปัญญาของเขา
หานฉายไฉ่ค่อยๆ ดึงเก็บความตกตะลึงในแววตาของตัวเองกลับ เขาก็กำลังย่อยสลายข้อมูลจำนวนมากในหัว
คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า มู่ชิงเกอก็จะมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลซางของเขตภาคตะวันตก อย่างช้าๆ สีหน้าของเขาก็จริงจังขึ้นมาหลายส่วน “มู่ชิงเกอ เจ้ารู้หรือไม่ ว่าตระกูลซางอยู่ที่ภาคตะวันตกก็หมายถึงสิ่งใด?”
“ไม่รู้” มู่ชิงเกอเอ่ยออกไปตามจริง
หานฉายไฉ่ก็ส่งสายไปทางนางประมาณว่า ‘ข้าก็กะแล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้’
สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ สายหนึ่ง เอ่ยขึ้นกับนาง “ตระกูลซางของภาคตะวันตกนั้นมีสายเลือดโบราณของนักหลอมศาสตราไหลอยู่ด้านใน นักหลอมศาสตรากับนักปรุงยานั้นก็เหมือนกัน ล้วนแต่เป็นที่เคารพนับถือของผู้ฝึกฝนจำนวนนับไม่ล้วน ตระกูลซางในตอนที่เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ผู้ฝึกตนก็ล้วนแต่ถือว่าการได้ครอบครองอาวุธที่หลอมตีจากตระกูลซางเป็นเกียรติยศ ไม่ว่าจะเป็นยุทธภัณฑ์ระดับจิตวิญญาณที่ต่ำที่สุด ตระกูลเล็กๆ กับพวกหลิวเค่อที่เข้าไปอยู่ใต้อาณัติ ของตระกูลซางก็มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เหมือนกับใบไม้ที่ลอยอยู่บนผิวนํ้า”
จากการบรรยายของหานฉายไฉ่ มู่ชิงเกอก็เหมือนกับว่าจะมองเห็นฉากภาพที่เจริญรุ่งเรืองของตระกูลซาง
“แต่ว่า หลังจากนั้นวันหนึ่งพลังของสายเลือดตระกูลซางก็ค่อยๆ บางเบาลง จำนวนคนลดลงไปอย่างรวดเร็ว จากการถูกกล่าวขานเป็นเทพร่วงตกลงมา ในร้อยปีมานี้ก็ยิ่งกลายเป็นถดถอยจนน่ากลัวนัก กลายเป็นว่าตอนนี้ ก็อาจสุ่มเสี่ยงสูญเสียซึ่งสถานะของตระกูลบรรพกาลได้ตลอดเวลา อัจฉริยะรุ่นหลังของตระกูลซางไม่ค่อยปรากฏ รุ่นผู้ใหญ่ก็ไม่มีใครสามารถเป็นเสาหลักค้ำยันตระกูลได้ รุ่นแก่ชราก็ค่อยๆ อ่อนกำลังลงทุกวัน”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเข้าหากัน นางก็สามารถฟังออกถึงสถานะสุ่มเสี่ยงในตอนนี้ของตระกูลซางได้จากคำพูดของหานฉายไฉ่ แต่ว่านี่ก็จะเกี่ยวอันใดกับนาง? นางนั้น ก็ต้องการไปหาคน แต่ไม่ใช่ไปกอบกู้ตระกูลซาง ตระกูลมู่เลี้ยงดูนางมา ไม่ว่าเวลาไหนสามารถให้อะไรนางได้ก็จะให้นางจนหมด ไม่ว่าจะเป็นมู่ซงหรือว่ามู่เหลียนหรงก็ล้วนแต่คิดห่วงใยแต่นาง ดังนั้นนางก็ต้องรู้คุณ นำเอาตระกูลมู่เข้าสู่ร่มปีกของตน
แต่สำหรับตระกูลซาง…
หากพูดออกไปตรงๆ ที่นั่นก็เป็นแค่ตระกูลฝั่งมารดาก็เท่านั้น
ที่นางต้องการตามหามารดา ก็เป็นเพราะว่าต้องการคำตอบคำตอบหนึ่ง หลังจากนั้นนำมันไปบอกให้ท่านปู่ ให้ท่านได้สงบใจ
การนับญาติพันลี้อะไรนั้น โทษที นางก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอันใด
แต่นี่ก็ชัดเจนว่าหานฉายไฉ่กำลังเข้าใจผิดแล้ว เขาที่บอกตนเองเกี่ยวกับข้อมูลของตระกูลซางมากมายขนาดนี้ ก็เหมือนกับว่ากำลังจะกล่าวเตือนนาง และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ในตอนที่มู่ชิงเกอยังไม่ทันเปิดปาก หานฉายไฉ่ก็พลันเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เจ้าถ้าหากไปถึงตระกูลซาง บางทีเจ้าก็อาจจะกลายเป็นความหวังที่พวกเขาไม่อยากปล่อยออกจากตระกูล แต่ว่าสิ่งที่เจ้าจะต้องแบกรับก็จะเพิ่มมากขึ้น จะต้องแบกรับการกอบกู้ตระกูล ตระกูลหนึ่งเอาไว้ ที่เจ้าต้องเผชิญ ก็จะไม่ใช่ตระกูล ธรรมดาๆ อีกต่อไป แต่เป็นตระกูลบรรพกาลที่มีการสืบทอดมาอย่างยาวนานเช่นกัน แรงกดดันนั้นก็ยากที่จะนึกถึงได้ ดังนั้น…”
“ช้าก่อนใครบอกเจ้าว่าข้าต้องการจะกลับไปนับญาติกับตระกูลซาง?” มู่ชิงเกอขัดคำพูดของเขาขึ้น
หานฉายไฉ่นิ่งชะงักไป
แต่มู่ชิงเกอกลับนั่งหลังเหยียดตรงท่าทีสบายๆ ขยับไหล่และคอที่ค่อนข้างเมื่อยของตนเล็กน้อย “ข้าที่ไปตระกูลซางก็เพราะว่าไปหาคน ตระกูลซางจะเป็นยังไง ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า และข้าก็ไม่มีทางไปเกี่ยวข้องกับบุญคุณความแค้นของตระกูลบรรพกาลอะไรพวกนั้น”
“เจ้าไม่ได้คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลซาง? แต่ในตัวเจ้าก็มีสายเลือดตระกูลซางอยู่นะ!” หานฉายไฉ่เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ
เขาถึงแม้จะเป็นคนมากเล่ห์มากแผนการ อารมณ์ร้ายเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่สำหรับตระกูลแล้วก็ยังมีความเข้าใจถึงความสำคัญของมัน ไม่เช่นนั้น หลังจากถูกละทิ้งเนรเทศแล้ว ก็คงจะไม่พยายามอย่างต่อเนื่อง พยายามกลับไปยังตระกูลอีกครั้ง
แต่เขาก็ไม่รู้ว่า ในใจมู่ชิงเกอโดยพื้นฐานแล้วก็ไม่มีคำว่าตระกูลอะไรพวกนั้น
ความคิดของนางนั้นง่ายดายมาก ใครดีกับนาง นางก็ดีกับคนนั้น ใครต้องการฆ่านาง นางก็จะถอนรากถอนโคน ก็ง่ายดายเช่นนี้
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร? สายเลือดนี้ก็ไม่ใช่ว่าข้าต้องการเอง เรื่องที่ข้าต้องทำก็มีมากมาย ตระกูลซางก็เป็นแค่จุดผ่านทางเท่านั้น ไม่ได้เป็นจุดสิ้นสุด หากหาคนที่ข้าต้องการเจอพบแล้ว ถามเรื่องที่ข้าต้องถามจนกระจ่างแล้ว ข้าก็จะเดินหน้าต่อไป” มู่ชิงเกอเอ่ยเป้าหมายของนาง
ในตอนนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือหลอมโอสถระดับมหาเทพให้สำเร็จ หลังจากนั้นก็คือเพิ่มระดับพลังอย่างต่อเนื่อง ขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดให้ได้โดยเร็ว จะได้มีกำลังเผชิญหน้าทุกอย่างด้วยกันกับซือมั่ว
ซือมั่วชายผู้หนึ่งที่ทำเพื่อนางโดยไม่ปริปากพูดสิ่งใด จากคำพูดของกู่หยากับกู่เย่ นางก็ได้เข้าใจแล้วว่า เขายังมีอุปสรรคและอันตรายที่เป็นของเขาเองอยู่ เพียงแต่ ว่า นางตอนนี้ยังอ่อนแอเกินไป ไม่สามารถไปช่วยเหลือเขาได้ก็เท่านั้น
ดังนั้น นางก็จะต้องพยายามให้ตัวเองแข็งแกร่ง หลังจากนั้นทำการปกป้องคนที่ตนเองต้องการปกป้อง
สำนักบัญญัติโอสถของเขตภาคตะวันออก ก็ถือเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่นางจะใช้เพิ่มความรู้ในศาสตร์การปรุงยา หลังจากจัดการเรื่องทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว สถานที่ที่นางจะหยุดอยู่ก็สมควรเป็นที่นั้น!
หานฉายไฉ่พยักหน้าเบาๆ เอ่ยขึ้นกับมู่ชิงเกอ “มีบางครั้ง เจ้าก็ช่างไร้เยื่อใยยิ่งนัก”
มู่ชิงเกอกลับยิ้มเอ่ยขึ้น “นี่ก็ถือว่าเป็นคำชมที่เจ้ามีต่อข้าก็แล้วกัน”
นางก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้มากความ ไม่ได้ไปโต้เถียงว่าหานฉายไฉ่หากพบกับเรื่องราวที่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเอง ก็จะเป็นเช่นเดียวกันกับนางเลือดเย็นไร้ เยื่อใย
คำพูดที่อัดแน่นเต็มท้องของหานฉายไฉ่ก็กลายเป็นถูกมู่ชิงเกอทำเอาไม่สามารถเอ่ยต่อได้
ผ่านไปอึดใจหนึ่ง เขาก็ถึงค่อยพูดเสียงกระซิบกระซาบขึ้น “แต่ถึงอย่างไร สภาพการณ์ในตอนนี้ของตระกูลซาง ก็ซับซ้อนมาก เจ้าถ้าหากไป ก็ต้องระวังให้มาก ถ้าหากเจ้าไม่ต้องการยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของตระกูลซาง ดีที่สุดก็อย่าให้พวกเขารู้ถึงเรื่องที่ในตัวเจ้ามีพลังของสายเลือดผู้หลอมศาตราไหลเวียนอยู่ แล้วยิ่งอย่าให้พวกเขารู้ว่าเจ้ามีพญาเพลิงในครอบครอง”
“ขอบใจที่เอ่ยเตือน” มู่ชิงเกอพยักหน้ารับ
หนึ่งคืน ก็ผ่านพ้นไปด้วยบทสนทนาของโลกแห่งยุคกลางกับเรื่องของตระกูลซาง
พอมีหยินเฉินอยู่ ระหว่างมู่ชิงเกอกับหานฉายไฉ่ ก็ลดความกระดากใจลงไปได้หลายส่วน อย่างน้อยถ้าหากนางถูกนายท่านมั่วจับได้นางก็ยังสามารถเอ่ยได้อย่าง ขึงขังว่า นี่ไม่ใช่การอยู่กันเพียงลำพัง แต่ยังมีหยินเฉินอยู่อีกคน!
ก่อนที่แสงอรุณรุ่งจะมาเยือน มู่ชิงเกอก็ผล็อยหลับไป โดยที่มือของตนยังคว้าจับกระดิ่งตรงเอวเอาไว้
ในตอนที่ฟ้าสว่าง นางก็ถูกเสียงสั่นของกระดิ่งปลุกจนตื่นขึ้นมา
พอเปิดเปลือกตาทั้งสองข้าง สายตาของมู่ชิงเกอก็ร่วงตกไปยังกระดิ่งสีทองงดงามที่แขวนอยู่ตรงเอวของตน
ยิ้มรับขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนที่นางจะชันกายลุกขึ้นจัดแจงร่างกาย
รอจนถึงตอนที่หาฉายไฉ่เตรียมตัวพร้อมแล้ว ทั้งสามก็มุ่งไปยังจุดซ่อนตัวของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดต่อไป
“เจ้าคิดว่าจะจัดการกับพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดยังไง?” ระหว่างทาง มู่ชิงเกออยู่ๆ ก็เอ่ยถามขึ้น
หานฉายไฉ่พูดแผนการของตนเองออกไป “พวกเราสองคน…”
แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีหยินเฉินก็เลยแก้คำพูดเอ่ยขึ้น “พวกเราสามคนพัวพันมันเอาไว้ลดกำลังของมัน มันในตอนนี้ก็อยู่ในช่วงอ่อนแอ มีเพียงแต่จะ อ่อนแอลงเรื่อยๆ รอจนพวกเราลดพลังของมันไปได้เกือบหมดแล้ว ก็ให้พญาเพลิงฮุ้นหยวนของเจ้าออกมา ทำการกลืนกินมัน และแบ่งพลังของมันมาให้ข้า สายหนึ่งก็ได้แล้ว แต่ว่าในตอนที่ข้าดูดกลืนพลัง เจ้าก็จะต้องคุ้มกันให้ข้า อย่าได้เหมือนคราวที่แล้วทิ้งข้าไว้แล้วจากไป”
เขาก็หมายถึงเหตุการณ์ที่ที่ราบลั่วรื่อ ครั้งที่เขาต้องกำราบพญาเพลิงเมฆสุริยา
มู่ชิงเกอพลันสีหน้าเปลี่ยนสี “ถ้าหากเจ้าต้องใช้เวลาครึ่งปีในการหลอมกลืน ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะต้องรอเจ้าไปครึ่งปีหรอกรึ?”
หานฉายไฉ่เลิกคิ้วขึ้น ขบกรามเอ่ย “เจ้ารอไม่ได้ขนาดนั้นเชียว?”
“ข้านั้นยุ่งมาก!” มู่ชิงเกอเอ่ยไปตามความจริง
หานฉายไฉ่สีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าวางใจ ครั้งนี้ก็เพียงแค่ดูดกลืนพลังส่วนหนึ่ง คงใช้เวลาไม่นาน อย่างมากก็เพียงแค่หนึ่งวันสองวัน ไม่มีทางทำให้เจ้าล่าช้าแต่อย่างใด”
“เช่นนั้นก็ยังต้องไตร่ตรองอยู่บ้าง” มู่ชิงเกอพยักหน้า พลางเอ่ยขึ้นเสียงพึมพำ
หานฉายไฉ่กลับเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์คุกรุ่น “มู่ชิงเกอ!”
ช่างน่าตายนัก นางยังจะต้องครุ่นคิดอันใดอีก!
ด้านในพื้นที่รกร้าง ภูเขาทอดแนวยาวขยายออกไป แต่ว่ามันก็ยังคงดูเต็มไปด้วยกลิ่นไอของความตายไปทั้งผืน เต็มไปด้วยหินลาวาสีเทาดำ ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต
“จริงๆ แล้วมันอยู่ที่ไหนกันแน่?” พอเดินมาแล้วเกือบครึ่งวัน มู่ชิงเกอก็พลันเอ่ยถามขึ้น
หานฉายไฉ่เอ่ย “หากข้ามผ่านป่าหินนี่ไปก็จะมองเห็นได้แล้ว” เขาชี้ออกไปทางด้านหน้า ชี้ไปยังป่าหินทรงประหลาดที่ขวางอยู่ด้านหน้าของทั้งสามคน ป่าหินที่ บดบังภูมิประเทศด้านหน้าเอาไว้
มู่ชิงเกอมองไปยังก้อนหินเหล่านั้น จากรูปลักษณ์แปลกประหลาดของพวกมัน ก็สามารถเห็นได้ว่าพวกมันมีลักษณ์คล้ายสัตว์อสูรและพวกต้นไม้
‘ก้อนหินก็สามารถก่อร่างขึ้นมาเหมือนจริงได้เช่นนี้เชียว?’ มู่ชิงเกอนึกสงสัยขึ้นในใจ
ตามติดหานฉายไฉ่ไป พวกเขาเดินผ่านเข้าไปในป่าหินด้านหน้า พอก้าวผ่านก้อนหินแปลกประหลาดพวกนั้นออกมาได้ ตรงหน้าของพวกนางก็กลายเป็นกระจ่างชัดขึ้น แต่พร้อมกับนั้นก็มีคลื่นความร้อนที่พุ่งเข้ามาพร้อมกันด้วย
“ร้อนยิ่งนัก!” หยินเฉินขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่คุ้นชิน
จิ้งจอกหิมะ ที่ชอบก็เป็นสภาพแวดล้อมที่หนาวเย็น ระดับความร้อนของที่นี่ก็ทำให้เขาไม่สบายตัวเอาเสียเลย
“หยินเฉินเจ้ายังทนได้อยู่กระมัง?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
หยินเฉินพยักหน้า เอ่ยขึ้นกับมู่ชิงเกอ “เพียงแค่รู้สึกร้อนไปบ้างเท่านั้น ด้านอื่นๆ ยังปกติอยู่”
มู่ชิงเกอพยักหน้า นางที่ย่ำเท้าลงไปบนกองหินลื่นชัน ก็ยังรู้สึกเหมือนกับว่าเท้าของตนกำลังจะละลาย สถานที่ที่มีพญาเพลิงก็จะต้องมีความไม่ปกติ แต่นางก็เคยพบกับพญาเพลิงมาไม่ตํ่ากว่าสี่ชนิด แต่กลับไม่มีชนิดไหนที่ครอบครองความร้อนระดับนี้
ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ทำให้ลมหายใจของผู้คนรู้สึกแผดร้อนได้ถึงขนาดนี้
แน่นอน หานฉายไฉ่ที่พูดไว้ก็ไม่ผิด พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดก็ถือเป็นพญาเพลิงที่ร้อนแรงที่สุด ฉากภาพรอบด้านก็ยังเป็นเช่นเดิม ยังคงเต็มไปด้วยเศษก้อนสีดำเทา เพียงแต่ระยะสายตาโดยรอบกลายเป็นกว้างขวาง อุณหภูมิรอบด้านกลายเป็นสูงขึ้น
“ไม่ไกลแล้ว” หานฉายไฉ่เงยหน้าขึ้นไป ดวงตาที่หลับรับสัมผัสคู่นั้นค่อยๆ เปิดออก
“เช่นนั้นก็ไปต่อกันเถอะ” มู่ชิงเกอเชิดคางพลางเอ่ยขึ้น ทั้งสามคนมุ่งหน้าไปด้านหน้า แต่ว่า ยิ่งเดินไปก็ยิ่งรู้สึกร้อน ด้วยระดับความสามารถของพวกเขา ก็ล้วนแต่ไม่สามารถต้านรับความร้อนระดับนี้ได้บนผิวหนังเริ่มที่จะมีหยาดเหงื่อไหลหยดออกมาแล้ว
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราก็คงจะมีอาการขาดนํ้าเฉียบพลันเป็นแน่” มู่ชิงเกอหยิบเอาถุงนํ้าออกมาสามถุง หลังจากนั้นแบ่งไปให้หานฉายไฉ่กับหยินเฉินแล้ว ตนเองก็เอาถุงเทตํ่าลงไป เทกรอกลงไปในปาก
“เจ้าเอานํ้ามามากเท่าไร?” หานฉายไฉ่ดื่มนํ้าไปพลางเอ่ยถามไปพลาง
ความหมายของเขาก็เหมือนกับว่าหากมีน้ำค่อยช่วยก็สามารถฝืนทนต่อไปได้
มู่ชิงเกอส่ายหน้าเบาๆ นางก็ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะไปอธิบายเรื่องความร้ายแรงของอาการขาดนํ้าเฉียบพลัน ให้หานฉายไฉ่ฟัง อธิบายว่าอะไรคือการขาดดุลของอิ เล็คโทรไลท์หากเกิดอาการขาดนํ้าเฉียบพลันขึ้นมา ก็ไม่ใช่เพียงดื่มนํ้าเข้าไปแค่นั้นก็จะช่วยได้
“พวกเราจะต้องคิดหาวิธีลดอุณหภูมิ” มู่ชิงเกอพูดออกไปประโยคหนึ่ง
คำพูดของนางพอหลุดออกไป นางก็พลันสัมผัสได้ว่าผิวกายเย็นสบายขึ้น
นางก้มหน้าลงไปมอง ก่อนจะพบว่าด้านนอกผิวกายของตน ก็ถึงกับมีเกล็ดนํ้าแข็งปรากฏขึ้นมาชั้นหนึ่ง ทำการป้องกันไอร้อนด้านนอกแทนนาง
มู่ชิงเกอก็รู้สึกประหลาดใจนัก หานฉายไฉ่กลับหรี่ตาเล็กลงพลางเอ่ยขึ้น “พญาเพลิงปีศาจไปกู่”
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไปทางเขา นางแน่นอนว่ารู้ว่านี่คือพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าหยวนหยวนจะคิดวิธีลดอุณหภูมิเช่นนี้ออกมาได้
“พญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ถือเป็นเพลิงธาตุเย็น อุณหภูมินั้นต่ำมาก ตํ่าราวกับนํ้าแข็ง” หานฉายไฉ่เอ่ยความพิเศษของพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ออกมา หลังจากนั้นก็มองมา ทางมู่ชิงเกอ เอ่ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงอิจฉา “พญาเพลิงฮุ้นหยวนดีกับเจ้ามากนัก”
แต่ที่มู่ชิงเกอกังวลก็เป็นปัญหาอีกข้อหนึ่ง “หยวนหยวนทำแบบนี้ก็จะไม่ไปดึงดูดความสนใจของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดรึ?”
หายฉายไฉ่ยกมุมปากพลางเอ่ยขึ้น “วางใจเถอะ พญาเพลิงฮุ้นหยวนก็เพียงแค่ส่งพลังส่วนหนึ่งออกมาลดอุณหภูมิให้เจ้าเท่านั้น ห่างตั้งไกลขนาดนี้ไม่มีทางไปทำ ให้พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดรู้สึกอันใดได้”
พอมีการรับรองของหานฉายไฉ่ มู่ชิงเกอก็ถึงค่อยวางใจ พยักหน้าขึ้น
คิดแล้วคิด นางก็ค่อยยกมือขึ้นจับไปที่แขนของหยินเฉิน เกล็ดนํ้าแข็งของพญาเพลิงไป๋กู่ก็พลันขยายออกจากมือของนาง พุ่งเข้าไปครอบคลุมทั้งตัวของหยินเฉินเอาไว้อย่างรวดเร็ว
รอจนมู่ชิงเกอปล่อยมือ นางกับหยินเฉินก็กลายเป็นมนุษย์น้ำแข็งสองตนแล้ว
มู่ชิงเกอมองไปทางหานฉายไฉ่
หานฉายไฉ่ก็เร่งรีบเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาออกมา เป็นฝ่ายยื่นมือออกไปด้านหน้าของมู่ชิงเกอด้วยตัวเอง “ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใด แต่ถูกเจ้าประทับตราเอาไว้สักครั้ง ก็ถือว่าไม่เลวนัก”
“ปากมากเสียจริง” มู่ชิงเกอเหลือกตาขาวให้เขาหนหนึ่ง ไม่ได้ยื่นมือออกไปจับที่แขนที่หานฉายไฉ่ยื่นออกมา แต่เป็นดีดดอกไม้สีขาวขนาดเล็กออกไปจากนิ้วดอกหนึ่ง
ส่งมันลอยไปยังผิวแขนของหานฉายไฉ่
ดอกไม้ทันใดนั้นก็ละลายลงอย่างรวดเร็ว ภายใต้การจับจ้องของหานฉายไฉ่ ทำการปกคลุมตัวเขาเอาไว้ด้านใน
ไม่ทันไร มนุษย์นํ้าแข็งคนที่สามก็ปรากฏขึ้น
ผิวกายของทั้งสามคนปรากฏสีฟ้าจางๆ ของนํ้าแข็งขึ้นมา มองดูไปก็ช่างประหลาดตานัก
มู่ชิงเกอเอามือไพล่หลังพลางเอ่ยขึ้น “ข้ากล้ารับรองว่า หยวนหยวนตอนนี้คงจะต้องอยากออกมาดูผลงานของตัวเองมากเป็นแน่! ไปเถอะ”
พอเตรียมความพร้อมเรียบร้อย ทั้งสามคนก็ออกเดินทางอีกครั้ง พอเข้าใกล้เข้าไปเรื่อยๆ อุณหภูมิรอบด้านก็ร้อนแรงขึ้น พญาเพลิงไป๋กู่ที่ต้านทานพลังความร้อนของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด ก็ปรากฏไอสีข่าว ‘ซ่า ซ่า’ ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ไปจนขั้นที่บนตัวของทั้งสามคนล้วนแต่ปรากฏเปลวเพลิงสีฟ้าขนาดเล็กออกมาแล้ว
ภายใต้การนำทางของหานฉายไฉ่ ทั้งสามคนในที่สุดก็มาถึงภูเขาขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
ยอดของภูเขาก็ดูสูงชัน และก็ยังไม่มีกลิ่นอายของสิ่งชีวิตเช่นเดิม มันตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้า พร้อมกันนั้นก็ปล่อยหมอกควันออกมาสู่ด้านนอกอย่างต่อเนื่อง
สายตาของมู่ชิงเกอขยับสูงขึ้นไป มองทะลุผ่านกลุ่มเมฆหมอกที่ล้อมรอบภูเขา มองจ้องไปยังแสงไฟที่กำลังสาดกระเซ็นไปมาท่ามกลางหมู่เมฆ
ซวยแล้ว!
มู่ชิงเกอดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างขึ้น
นี่ไหนเลยจะเป็นภูเขาอีก! ไม่ ไม่มีทาง ใช่แล้ว! นี่ก็ไม่ใช่ภูเขาธรรมดา แต่มันเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ!
มู่ชิงเกอก็เหมือนกับว่าจะมองเห็นเพลิงลาวาปะทุออกมาอยู่ในหมู่เมฆ พุ่งไหลลงมาจากภูเขา ก่อนที่มันจะค่อยๆ เย็นชืดลง แข็งจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของภูเขา
นางก็รู้สึกว่ามาตลอดทางถึงความประหลาดของที่นี่ที่ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า กับก้อนหินลาวาที่ได้พบเจอพวกนั้น ก็คิดไม่ถึงว่าหานฉายไฉ่จะพานางมาที่ตรงหน้าของภูเขาไฟลูกหนึ่ง
“เจ้าคงไม่ใช่จะบอกข้าว่าพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดนั้นซ่อนกายอยู่ในภูเขาลูกนี้หรอกกระมัง?” มู่ชิงเกอชี้นิ้วไปทางภูเขาไฟตรงหน้า เอ่ยขึ้นกับหานฉายไฉ่
หานฉายไฉ่พยักหน้าพลางเอ่ยขึ้น “ไม่ผิด ที่นี่แต่เดิมก็ไม่ได้มีภูเขาไฟ เป็นพญาเพลิงอัคคีหลังจากปรากฏกายออกมาแล้ว ถึงได้เกิดเป็นภูเขาไฟ ขอเพียงเป็นพญา เพลิงในตอนที่จะตกเข้าไปสู่ช่วงอ่อนแอ ก็ล้วนแต่จะหาที่พักในการกบดาน ให้มันได้ตายไปอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นไปจุติใหม่อีกครั้ง ที่นี่ ก็ถือเป็นสถานที่ที่พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดเลือกให้ตน”
“เช่นนั้นพวกเราจะเข้าไปยังไง?” มู่ชิงเกอเบ้มุมปากขึ้น “เจ้าคิดจะกระโดดลงไปจากปล่องภูเขาไฟ หลังจากนั้นหาร่องรอยของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดในธารลาวารึ?”
ที่ใต้ดินของเขตที่ราบลั่วรื่อ อย่างน้อยก็ยังมีจุดให้พัก แต่ในภูเขาไฟลูกนี้ก็ล้วนแต่เป็นอุโมงค์ลาวา ไม่ได้มีที่ให้หยั่งเท้าแต่อย่างใด
“ดูท่าเจ้าก็จะเข้าใจเกี่ยวกับภูเขาไฟมากนัก” หานฉายไฉ่มองไปทางมู่ชิงเกอสายตาหนึ่งอย่างนึกแปลกใจ
มู่ชิงเกอก็คร้านที่จะตอบคำพูดของเขา
ภูเขาไฟนางก็ชัดเจนว่ารู้จักมันดีมาก
ชีวิตก่อนหน้า นางก็ไม่ได้เข้าไปทำภารกิจที่ภูเขาไฟเพียงแค่ครั้งเดียว ถึงแม้จะยืมความสามารถของอุปกรณ์กันความร้อนที่วิทยาการสูงลํ้า นางก็ยังคงไม่สามารถดิ่งลึกเข้าไปในก้นภูเขาไฟได้ แล้วตอนนี้เล่า? ถึงต่อให้โลกแห่งใหม่นี้จะมีการฝึกฝนพลังจิต แต่หากลงไปที่ก้นภูเขาไฟก็เกรงว่าจะต้องใช้พลังหมดจนตกตายเป็นแน่แล้ว
“มันที่น่ากลัวที่สุดก็ไม่ใช่อุณหภูมิหรือธารลาวา แต่เป็นความไม่แน่นอนของมัน ที่จะสามารถทำให้มันปะทุขึ้นได้ตลอดเวลาหากพวกเราเข้าไปในนั้นแล้วเกิดมันปะทุขึ้น พวกเราก็คงจะต้องถูกเผาจนกลายเป็นผุยผง” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นสีหน้าเคร่งขรึม
ภูเขาไฟแห่งนี้ก็เป็นเพราะพญาเพลิงถึงได้ก่อตัวขึ้น ก็ไม่ใช่อุโมงค์ลาวาธรรมดาทั่วไปพวกนั้น พลังของมันก็มีแต่จะแข็งแกร่งไม่ธรรมดา
อีกอย่าง หานฉายไฉ่ก่อนหน้าก็ได้บอกเอาไว้แล้วว่า พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดก็เกิดมาจากสะเก็ดไฟตอนที่ดวงอาทิตย์ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกได้ทิ้งเอาไว้ ดวงอาทิตย์ อ่า อ่า…ในโลกก่อนของนาง ในตอนที่วิทยาสูงลํ้าเช่นนั้น ก็ยังไม่สามารถเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ได้แม้แต่น้อย โลกที่อยู่ห่างไกลกับดวงอาทิตย์มากมายขนาดนั้น แต่ก็ยังคงต้องอาศัยอุณหภูมิจากดวงอาทิตย์ถึงจะดำรงอยู่ต่อไปได้
“โอกาสก็มักจะตามมาด้วยความเสี่ยงและอันตรายเสมอ” หานฉายไฉ่กลับวางใจนิ่งเฉยเสียอย่างนั้น
มู่ชิงเกอทอดถอนใจพลางเอ่ยขึ้น “ข้าก็ไม่ปฏิเสธในจุดนี้ แต่เจ้าก็ต้องหาวิธีการที่ดูรับได้มากกว่านี้มา แต่ไม่ใช่บุกเข้าไปโดยไม่ได้เตรียมการอันใด โชควาสนาก็ไม่ใช่ว่า มันจะอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเราทุกครั้งไป”
จากไปนั้นก็คงไม่มีทาง แต่ก็ไม่สามารถบุกเข้าไปตายได้เช่นกัน!
หานฉายไฉ่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สำหรับภูเขาไฟ เขาก็ไม่ได้มีวิธีอะไรที่ดีกว่านั้น
มู่ชิงเกอพอเห็นเขานิ่งเงียบ ก็พลันขมวดคิ้วเอ่ยถามขึ้น “เจ้าชัดเจนถึงเวลาที่มันปะทุทุกครั้งหรือไม่?”