ตอนที่ 262
แพ้ชนะแล้วอย่างไร? เหตุใดเป็นเจ้า!
บนทุ่งหญ้าอัสดง ลมโชยหญ้าพลิ้วไหว กว้างใหญ่ไพศาลไร้พรมแดน กระโจมนับพันนับหมื่นเรียงรายยาวสุดลูกหูลูกตา บริเวณพื้นที่ด้านนอกทุ่งหญ้าอัสดง มีผู้คนนับล้านถึงขั้นหลายด้านเบียดเสียดกันอยู่ด้านนอกทุ่งหญ้าอัสดง รอคอยการเริ่มต้นเทศกาลล่าสัตว์
แต่มีสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่เหมือนกับสถานที่ซึ่งมีผู้คนเบียดเสียดที่อื่นๆ ผู้คนพากันถอยออกไปเปิดพื้นที่ว่างเป็นวงกลม
ในนั้นมีคนยืนอยู่สองคน คนหนึ่งสวมอาภรณ์สีแดง โดดเด่นสะดุดตาราวดวงอาทิตย์ อีกคนสวมเกราะเบาหนัง ห้าวหาญทรงพลัง
“มาเถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ยปากกับอิ๋งเจ๋อ ส่วนลึกของนัยน์ตาสุกสกาวลุกโชนเป็นเปลวไฟ
กำหนดไว้สามกระบวนท่า เพิ่งจะผ่านไปกระบวนท่าเดียว กลับทำให้จิตใจชื่นชอบสงครามของนางยกสูงขึ้น ด้านหลังของนางพื้นที่ที่อยู่ติดกัน รอยแยกทางหนึ่งแผ่กระจายบนพื้นช้าๆ ดูน่าหวาดเสียวนัก
ไอกดดันของอิ๋งเจ๋อกระจายไปรอบๆ ทั้งสี่ด้านอย่างไร้สุ่มเสียง
“กระบวนท่าที่สอง” อิ๋งเจ๋อเอ่ยออกมาเสียงทุ้มต่ำ
เขายกแขนขวาขึ้นมาอีกครั้ง พลังมหาศาลโอบล้อมแขนเขาเอาไว้ ราวกับซ่อนอสูรบรรพกาลเอาไว้ด้านใน และพร้อมที่จะปล่อยมันให้หลุดออกมาจากกรงที่คุมขังได้ตลอดเวลา
ซางเสวี่ยอู่ที่เพิ่งวางใจลง ใจก็เต้นโครมครามขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของนางซีดเผือดจนแทบจะไม่มีสีเลือด ‘พลังของอิงเจ๋อแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนไม่น้อยเลยทีเดียว’
‘กระบวนท่าก่อนหน้านี้เทียบกับกระบวนท่านี้ไม่ได้เลย!’ มั่วหยางคิดในใจ ส่งสายตามองมู่ชิงเกอด้วยความเป็นห่วง มืออดที่จะกุมกระบี่ที่เหน็บอยู่ข้างเอวไม่ได้
“พลังที่แสนแข็งแกร่ง!”
“น่ากลัวเหลือเกิน! หากข้าอยู่ในกำมือนายน้อยอิ๋งไม่มีทางรับกระบวนท่านี้ได้แน่นอน”
“หมัดนี้ปล่อยออกไป เกรงว่าจะระเบิดคนกลายเป็นจุณหรือไม่?”
“เช่นนั้นคนแซ่มู่ผู้นี้คงต้องตายเป็นแน่แท้!”
“ข้าก็บอกแล้วว่านายน้อยอิ๋งไม่มีทางยอมให้เขารับกระบวนท่าที่สองได้!”
มู่ชิงเกอดวงตาแน่วแน่ ท่าทีสุขุมสงบนิ่ง เส้นผมของนางถูกพลังที่อิ๋งเจ๋อปล่อยออกมาปลิวสะบัดเริงระบำอย่างบ้าคลั่ง พลังทำลายล้างพังพินาศทุกสิ่งอย่างกดดันจนนางหายใจลำบาก
‘แข็งแกร่งเหลือเกิน!’
มู่ชิงเกอลอบเอ่ยขึ้นในใจ
ที่ตอบรับเงื่อนไขของอิ๋งเจ๋อ นอกจากแก้ไขปัญหาแล้ว ยังต้องการถือโอกาสนี้สัมผัสถึงพลังความสามารถของผู้ติดอันดับหนึ่งในห้าบนทำเนียบชิงอิงด้วย อิ๋งเจ๋อเก่งกาจถึงเพียงนี้ยังจัดอันดับอยู่แค่อันดับที่สี่ คิดดูก็รู้ว่าสามอันดับก่อนหน้าเขาจะร้ายกาจเพียงใด
อีกอย่าง มู่ชิงเกอไม่ลืมว่าจิงฟ่งอวี่เคยพูดไว้ว่าผู้ที่ติดอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิงเว่ยมั่วลี่ มีข่าวลือว่าทะลวงถึงระดับพลังชั้นสีทองแล้ว!
“เจ้า เตรียมตัวพร้อมหรือยัง?” พลังบ้าคลั่งฉีกทึ้งผืนดิน ต้นหญ้าบริเวณโดยรอบ อิ๋งเจ๋อมองมู่ชิงเกอด้วยใบหน้าราบเรียบ เอ่ยขึ้นอย่างไร้ความรู้สึก
มู่ชิงเกอหรี่ตาลงเพียงแค่นยิ้มเย็นชาให้เขา
มุมปากยกโค้งนั่นตกอยู่ในสายตาของอิ๋งเจ๋อ ทำให้เขารู้สึกขัดตาอยู่บ้าง
ส่วนสึกในตาของเขามีอารมณ์โมโหปกคลุมอยู่จางๆ เอ่ยตะคอกเสียงดัง “ยอมรับความตายเสียเถอะ!”
พลังที่แข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนหน้านี้หลายเท่าจู่โจมเข้าใส่มู่ชิงเกอ ภายใต้การปะทะกันของทั้งสองเกิดเป็นเสียงอัสนีบาตดังขึ้น พลังแข็งแกร่งนี้ฉีกทึ้งต้นหญ้าพัดลอย ขึ้นจากผิวดินบดบังสายตาของผู้คน
“อึก!”
“อึก!”
เสียงกรีดร้องตื่นตระหนกดังขึ้นรอบด้าน ทุกคนต่างพากันถอยร่นออกไปด้วยความหวาดกลัวทำให้พื้นที่ว่างกว้างขึ้น พวกเขาไม่ได้ห่วงว่าจะกระทบการต่อสู้ในครั้งนี้ หากแต่เป็นห่วงว่าชีวิตน้อยๆ ของตนเองจะได้รับผลกระทบไปด้วย
“คุณชาย!” มั่วหยางไม่ได้ถอยหลัง ยืนปักหลักรับไอพลังแข็งแกร่งนั่นอยู่ที่เดิม ส่งเสียงร้องออกมาอย่างเป็นกังวล
“พี่สาว…อุบ…”
ซางอี้เฉินถูกซางเสวี่ยอู่ปิดปากไว้แน่น ไม่ปล่อยให้เขาได้ส่งเสียงร้องที่ไม่ควรออกไป
ซางอี้เฉินมองหน้านาง กลับถูกนางส่งสายตาเตือนเด็ดขาด ในการเตือนที่เด็ดขาดนั่นแฝงความเป็นห่วงที่ปิดไม่มิด
ซางอี้เฉินพยักหน้า ซางเสวี่ยอู่จึงได้คลายมือออก หันสายตากลับไปมองบริเวณที่ละอองธุลี ผิวดินคละคลุ้ง ค่ายขององครักษ์เขี้ยวมังกร ผู้คนที่ยืนอยู่บนที่สูงต่างก็ มองดูหมอกควันที่พวยพุ่งนั่นด้วยอาการตกตะลึง
“พลังร้ายกาจขนาดนี้เชียว?” ไป๋สี่เอ่ยอย่างแปลกใจ
ในแววตาหยินเฉินฉายความเคร่งขรึมชัดเจน เขาส่งพลังเสียงเรียกมู่ชิงเกอในใจ
ส่งเสียงร้องอยู่หลายครั้งมู่ชิงเกอถึงได้มีปฏิกิริยาตอบกลับมา ‘ข้าไม่เป็นอะไร’
ทำให้หยินเฉินคลายความกังวลใจลงมาได้หน่อย ผ่อนลมหายใจเอ่ยบอกกับทุกคนว่า “ชิงเกอไม่เป็นอะไร”
ในทุ่งหญ้าอัสดงผู้คนที่รายล้อมชมความสนุกสนานต่างก็ถูกทำให้สำลักไม่เบา
เกิดเป็นเสียงดังกระแอมกระไอเป็นระยะ แต่กลับไม่มีผู้ใดปรารถนาที่จะจากไปในตอนนี้ทุกคนต่างพากันจ้องมองไปยังตำแหน่งที่มู่ชิงเกอปักหลักตาไม่กะพริบ
เมื่อฝุ่นควันสลายจางหายไป ก็เผยให้เห็นร่างของคนทั้งสองออกมา
บริเวณที่พวกเขายืนอยู่ยุบลงไปเป็นแอ่ง มีลักษณะเป็นหลุมทรงกลม
ทุกคนจึงได้เห็นว่าหมัดของทั้งคู่ประสานกัน ส่วนแขนเสื้อของมู่ชิงเกอทั้งแถบสลายกลายเป็นผง เผยให้เห็นเรียวแขนขาวเนียนดุจหยก
เวลานี้เองแขนของมู่ชิงเกอบวมเป่ง มีรอยเลือดอาบย้อม ผิวหนังตรงกำปั้นถึงขั้นมีเลือดซึมออกมา ไม่มีสิ่งที่เป็นความงามน่าชมเลยสักนิด ลำคอและหน้าผากของนาง เห็นเป็นเส้นเอ็นเกร็งนูนขึ้นมา ผิวหนังซีดขาวอยู่บ้าง ทว่ายังคงมีท่าทีแน่วแน่ไม่ยอมถอย
สายตาของอิงเจ๋อเป็นประกายประหลาดใจ “เอ? คิดไม่ถึงว่าจะรับได้!”
“นี่ก็ออกจะเก่งเกินไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะสามารถรับมือกับนายน้อยอิ๋งได้ถึงสองกระบวนท่า!”
“ดูแล้ว พลังความสามารถของคุณชายมู่ผู้นี้ก็ไม่ด้อยนะ! แต่ว่าเหตุใดบนทำเนียบชิงอิงถึงไม่มีชื่อของเขากัน?”
“แปลกจริงๆ ด้วย ทำเนียบชิงอิงเพิ่งจะปรับปรุงแก้ไข คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีคนผู้นี้”
“หากไม่ต้องการปกปิดก็คงมีความสามารถโดดเด่นเหนือผู้ใด เช่นเดียวกับพวกกองกำลังเขี้ยวมังกร!”
“ถ้าหากรับได้สองกระบวนท่า เช่นนั้นแล้วกระบวนท่าที่สามเป็นไปได้ไหมว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขี้น?’’
“เหอะ จะเป็นไปได้อย่างไร? กระบวนท่าที่สามนายน้อยอิ๋งย่อมไม่ไว้ไมตรีให้แน่นอน ทุ่มเทสุดกำลังความสามารถ ส่วนคุณชายมู่ผู้นี้รับไปสองกระบวนท่า เกรงว่าตอนนี้ร่างกายก็คงถึงขีดจำกัดแล้ว จะสามารถรับกระบวนท่าที่สามได้อย่างไร?”
“วิเคราะห์ได้มีเหตุผล ดูแล้วหลังจากจบกระบวนท่าทีสองแล้ว ฉากจบคงไม่มีอะไรนอกเหนือความคาดหมาย”
“พูดเช่นนี้หากสู้กันเช่นนี้ต่อไป คุณชายมู่ท่านนี้ก็ต้องตายแน่น่ะสิ?”
“ตายแน่นอน! นายน้อยอิ๋งจะปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่แล้วมาทำลายความน่าเกรงขามของตนเองหรือ? หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปว่าสามกระบวนท่าของเขาไม่สามารถจัดการกับบุคคลนิรนามที่ไม่ปรากฎชื่อบนทำเนียบชิงอิงได้ เขาในฐานะผู้ที่ได้อันดับสี่บนทำเนียบชิงอิงจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”
“แต่หากชนะแล้ว คุณชายมู่ผู้นี้ก็สามารถมีชื่อเสียงจากการต่อสู้นี้ได้”
“ก็ต้องอยู่ที่มีชีวิตรอด ถึงจะมีชื่อเสียง”
“กระบวนท่าที่สามนี้ เขาตายแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย!”
“อืม โอกาสรอดไม่มีเลย”
“เจ้าทำให้ข้าคาดไม่ถึงจริงๆ” อิ๋งเจ๋อเอ่ยปาก ราวกับว่าการที่มู่ชิงเกอสามารถรับกระบวนท่าที่สองได้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของเขา
มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก ชักมือกลับมาไพล่ไปไว้ด้านหลัง ปฏิกิริยานี้ของนางทำให้ทุกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังมองเห็นสภาพบาดแผลของนาง เรียวแขนที่บวมเป่งและมีเลือดซึมออกมา ผิวค่อยๆ กลายเป็นสีม่วง ซางเสวี่ยอู่เอามือปิดปากไว้น้ำตาเอ่อคลอในกระบอกตา
คนตระกูลซางเองก็ได้รับแรงสั่นสะเทือนไม่น้อย ถูกแขนของมู่ชิงเกอทำเอาหวาดผวา
สีหน้ามั่วหยางเคร่งขรึม ส่วนลึกในตาเขาเต็มไปด้วยความปวดใจ เขาปลดเสื้อคลุมกันลมของตนเองออกเดินเอาไปคลุมไว้บนร่างกายของมู่ชิงเกอ ปิดบังแขนข้างนั้นของนางโดยไม่พูดอะไร
เพราะเขารู้ว่าอีกไม่นาน สภาพแขนของมู่ชิงเกอก็จะฟื้นฟูกลับคืนสู่ปกติ ความผิดปกตินี้ให้ผู้ใดรู้ไม่ได้เด็ดขาด
“ลูกผู้ดีผิวบางจริงนะ” การกระทำของมั่วหยาง ทำให้อิ๋งเจ๋ออดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงออกมา
มู่ชิงเกอกลับยิ้มมุมปาก “การสนับสนุนด้วยใจจริงของผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ใช่ว่าผู้ใดจะได้สัมผัส”
“เหอะ” ฟังออกถึงการเสียดสีในถ้อยคำของมู่ชิงเกอ อิ๋งเจ๋อแค่นเสียงเย็นชา เขาหันหลังสาวเท้าก้าวยาวๆ ออกไป รักษาระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสอง เอ่ยวาจายั่วยุขึ้นว่า “ก็หวังว่าความสามารถของเจ้าจะดีเหมือนปากของเจ้าเช่นกัน ไม่เช่นนั้นแล้วเจ้ารับกระบวนท่าที่สามไม่ได้แน่”
มู่ชิงเกอยังคงยิ้มมุมปากอยู่เช่นเดิม มีเพียงแววตาที่เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา
เดินกลับไปที่เดิม อิ๋งเจ๋อหันกลับมามองมู่ชิงเกอ เอ่ยอย่างหยิ่งทะนง “กระบวนท่าที่สามนี้ข้าจะแสดงให้เห็นถึงพลังทั้งหมด ไม่รักษาไว้เด็ดขาด!”
ชิ้ง——!
ผู้คนโดยรอบได้ฟังวาจาของอิ๋งเจ๋อแล้ว ในใจก็พากันลอบเอ่ยขึ้นว่า ‘เป็นเช่นนี้นี้เอง!’
“ดูท่านายน้อยอิ๋งจะถูกกระตุ้นอารมณ์โกรธเสียแล้ว!”
“นายน้อยอิ๋งมีโทสะ คนผู้นี้ไม่อยากตายก็ไม่ได้แล้ว”
“น่าเสียดายนะ ผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเช่นนี้ หากข่มอารมณ์อดกลั้นเอาไว้ได้ไม่แน่ว่าเขาอาจมีชื่อบนทำเนียบชิงอิงได้สักวันหนึ่ง มาบัดนี้กลับต้องมาฝังร่างไว้ ที่นี่”
“เขี้ยวมังกรฟังคำสั่ง หากมีผู้ใดกล้าเอ่ยดูหมิ่นออกมาอีก ฆ่าได้ไม่ละเว้น!” คำพูดเมื่อครู่นี้กระตุ้นอารมณ์โกรธของมั่วหยางถึงขีดสุด เขาสั่งการลงไปทำให้ผู้คนที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ตกอยู่ในความเงียบ
“เขี้ยวมังกรรับบัญชา!’’
องครักษ์เขี้ยวมังกรห้าร้อยนายเอ่ยประสานเสียงดัง ไอกดดันนั่นไม่ด้อยไปกว่าตระกูลอิ๋งเลยแม้แต่น้อย พวกเขาแต่ละคนมีใบหน้าดุจคมมีด คมคายเฉียบขาด แววตาแฝงความโกรธและรังสีสังหารกวาดตามองผู้คนโดยรอบ
คนพวกนี้กล้าแช่งให้คุณชายของพวกเขาตายรึ? พวกเขาทนฟังมานานแล้ว!
“กล้าดูหมิ่นคุณชาย ฆ่า! กล้าเอ่ยแช่งคุณชาย ฆ่า ฆ่า ฆ่า!”
“กล้าดูหมิ่นคุณชาย ฆ่า! กล้าเอ่ยแช่งคุณชาย ฆ่า ฆ่า ฆ่า!”
“กล้าดูหมิ่นคุณชาย ฆ่า! กล้าเอ่ยแช่งคุณชาย ฆ่า ฆ่า ฆ่า!”
องครักษ์เขี้ยวมังกรห้าร้อยนายกระจายตัวล้อมเป็นวงอย่างรวดเร็ว อาวุธคมกริบชี้ไปยังผู้คนที่ล้อมวงมุงดู พวกเขาราวกับเป็นอาวุธที่คมกริบและโหดเหี้ยมพิทักษ์มู่ชิงเกอ
พลังกดดันนี้พาให้ผู้คนที่รายล้อมสั่นสะเทือนตื่นตระหนก เป็นครั้งแรกที่สัมผัสถึงความแตกต่างระหว่างกองกำลังเขี้ยวมังกรกับกองกำลังหลิวเค่ออื่นๆ
ภายใต้ความน่าหวั่นเกรงของกองกำลังเขี้ยวมังกร ผู้คนที่รายล้อมอยู่อดไม่ได้ที่จะถอยไปด้านหลัง ปิดปากตนเองไว้สนิท กลั้นลมหายใจ
ผู้อาวุโสสามที่เห็นฉากนี้ ถึงกับอุทานออกมาว่า “ถ้าหากคนผู้นี้ไม่ตายแล้วล่ะก็ ในภายภาคหน้ากองกำลังเขี้ยวมังกรจะต้องสยบทั่วทุกมุมโลกแห่งยุคกลางเป็นแน่!”
กองกำลังเขี้ยวมังกรของมู่ชิงเกอทำให้อิ๋งเจ๋ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา
เขามองหน้ามู่ชิงเกอ ไม่เลี่ยงความชื่นชมของตนเองแม้แต่น้อย “ข้าสามารถให้โอกาสเจ้าหนึ่งครั้ง หากเจ้ามอบเขี้ยวมังกรให้ข้า ข้าก็จะไม่ออกกระบวนท่าที่สาม และเรื่องที่เจ้าตัดลิ้นของอิ๋งชวนก็ถือว่าจบกันไป”
คิดไม่ถึงว่าเขาจะให้มู่ชิงเกอใช้องครักษ์เขี้ยวมังกรมาแลกกับความเป็นความตายของตนเอง?
มู่ชิงเกอหัวเราะสัพยอก ในแววตาเปี่ยมด้วยเสียดสีเย้ยหยัน “นายน้อยอิ๋ง มาแย่งเอาสิ!”
เขาปฏิเสธ!
คิดไม่ถึงว่าเขาจะปฏิเสธ!
แววตาอิ๋งเจ๋อเป็นประกายเย็นชา
“หรือว่าเจ้าไม่กลัวตาย?” อิ๋งเจ๋อพูดลอดไรฟันออกมา
“ต้องกลัวอยู่แล้ว! แต่ว่าเจ้ายังฆ่าข้าไม่ตาย ข้าเองก็ไม่สามารถนำผู้ใต้บังคับบัญชาไปแลกเปลี่ยนอะไรได้” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
คำพูดของนางไม่ได้ใช้พลังเสียงดังนัก แต่ว่ากลับทำให้ทุกคนได้ยินชัดเจนถ้วนหน้า เวลานี้บรรดากองกำลังหลิวเค่อที่ชมความสนุกอยู่บริเวณรอบๆ ราวกับได้เข้าใจแล้วว่าความจงรักภักดีของกองกำลังเขี้ยวมังกรนั้นมาจากไหน แน่นอนว่ามีคนไม่น้อยที่ขบขันว่ามู่ชิงเกอเป็นคนโง่งม
ท่าทางการแสดงออกของบรรดาองครักษ์เขี้ยวมังกรไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เพราะว่าพวกเขาต่างก็รู้ดีถึงตำแหน่งในใจของมู่ชิงเกออยู่แล้ว
ความตื้นตันเช่นนี้มากมายหลายต่อหลายครั้ง ทุกครั้งที่ประสบก็ทำให้พวกเขายืนหยัดติดตามอยู่ข้างหลังมู่ชิงเกอ พิชิตสงครามไปทั่วหล้าเพื่อนาง!
ซางอี้เฉินได้ยินแล้วนํ้าตาอุ่นๆ ก็ไหลคลอออกมา ตื้นตันไม่หยุด ทันใดนั้นเขาก็สลัดหลุดออกจากซางเสวี่ยอู่ ผ่านสายตาของมั่วหยางพุ่งตัวไปอยู่ด้านหน้ามู่ชิงเกอ มองนางด้วยความตื้นตัน
มู่ชิงเกอมองชายหนุ่มที่พุ่งตัวมายืนอยู่ตรงหน้านางด้วยความสงสัย โครงหน้าของเขาพาให้นางรู้สึกคุ้นเคย
“คุณชาย!” มั่วหยางตะลึงรีบไปหมายจะพาตัวซางอี้เฉินจากไป
“อี้เฉิน!” ซางเสวี่ยอู่ถูกการกระทำของซางอี้เฉินทำเอาสะดุ้งตกใจ ในใจรู้สึกตึงเครียดขึ้นมา
มู่ชิงเกอยกมือขึ้น ยับยั้งการเข้ามาใกล้ของมั่วหยาง นางหันไปเอ่ยถามซางอี้เฉินว่า “เจ้าเป็นใครกัน?”
“ข้าเอง ข้าเอง ข้าคือซางอี้เฉินไง! ข้า…ข้า…ข้าเป็น…ของเจ้า ข้า…” ยิ่งได้มองมู่ชิงเกอใกล้ๆ ซางอี้เฉินยิ่งตื่นเต้นจนพูดไม่เป็นคำ
มู่ชิงเกอฟังแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว เอ่ยถามเสียงเข้ม “เจ้าอยากจะพูดว่าอะไร?”
ซางอี้เฉินสูดลมหายใจเข้าลึก ในที่สุดก็สงบอารมณ์เป็นปกติ เขามองดูมู่ชิงเกออย่างจริงจังเต็มตาครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันหลังบังตัวมู่ชิงเกอไว้หันไปเผชิญหน้ากับอิ๋งเจ๋อ เอ่ยขึ้นเสียงดังว่า “กระบวนท่าที่สามข้ารับเอง!”
“เจ้ารึ?” อิ๋งเจ๋อหัวเราะเสียงเย็น
ซางอี้เฉินกลับเชิดหน้าขึ้นแล้วเอ่ยขึ้นว่า “แน่นอน! ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับซางเสวี่ยอู่ ข้าเป็นน้องชายของซางเสวี่ยอู่ย่อมต้องออกหน้าอยู่แล้ว”
ที่แท้ก็น้องชายของซางเสวี่ยอู่นี่เอง
ในที่สุดมู่ชิงเกอก็เข้าใจแล้วว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้านางนี้เป็นผู้ใด และเหตุใดถึงทำให้นางรู้สึกคุ้นเคย เมื่อมองดูดีๆ แล้ว คิดไม่ถึงว่าใบหน้าของเขาจะคล้ายคลึงกับซางเสวี่ยอู่
อิ๋งเจ๋อหัวเราะ แต่ว่ารอยยิ้มกลับเยือกเย็นยิ่งนักไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย เขาไม่ได้สนใจซางอี้เฉินเพียงแค่มองมู่ชิงเกอ “เขาบอกว่า เขาจะรับกระบวนท่าที่สามแทนเจ้า”
ประโยคนี้ราวกับมอบสิทธิ์การตัดสินใจให้มู่ชิงเกอ ให้คนรู้สึกว่าเขาใจกว้าง มู่ชิงเกอหัวเราะดูถูก ผลักซางอี้เฉินไปทางหนึ่ง แล้วก้าวเท้าเดินออกมาเอ่ยกับอิ๋งเจ๋อว่า “ไม่ต้องหรอก”
“ดี!” อิ๋งเจ๋อพยักหน้ายิ้มไม่ชัดเจน
ซางอี้เฉินที่ถูกผลักออกไปคิดที่จะเอ่ยอธิบายบางอย่าง ก็ถูกมั่วหยางจับเสื้อเอาไว้ในขณะที่เขายังไม่ทันได้เตรียมรับมือก็ถูกโยนไปทางตระกูลซาง
“ไม่ ข้าพูดเรื่องจริง! ให้ข้า…”
“อี้เฉิน เจ้าสงบสติลงก่อนเถอะ!” ผู้อาวุโสสามยั้งการดิ้นรนของซางอี้เฉินเอาไว้ สั่งการให้ผู้ดูแลตระกูลซางสองคนจับตาดูเขาเอาไว้
ในหัวสมองของซางเสวี่ยอู่ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว นางปล่อยให้เกิดเรื่องกับซางอี้เฉินไม่ได้ยิ่งไม่สามารถปล่อยให้มู่ชิงเกอตาย
หากนางออกไปตอนนี้ เกรงว่าก็ไม่มีประโยชน์อันใด
นางเร่งฝีเท้าเดินไปอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโส คุกเข่าลงอ้อนวอนในทันใด “ผู้อาวุโสสาม รบกวนท่านคิดหาวิธี คุณชายมู่เป็นผู้พระคุณของเสวี่ยอู่ ปล่อยให้เกิดเรื่องกับเขาไม่ได้!”
“เสวี่ยอู่ เจ้าทำอะไรน่ะ?รีบลุกขึ้นเร็วเข้า!” ผู้อาวุโสสามรีบพยุงตัวนางลุกขึ้นมา
ซางเสวี่ยอู่กลับไม่ยอมลุกขึ้น เพียงแต่อ้อนวอนไม่หยุด
ซางจื่อหลันทนมองต่อไปไม่ได้ เอ่ยกับซางเสวี่ยอู่ว่า “เจ้ากำลังทำให้ผู้อาวุโสสามลำบากใจอยู่นะ? เรื่องทั้งหมดไม่ใช่เป็นเจ้าก่อเรื่องมาหรืออย่างไร? ซางเสวี่ยอู่ เจ้าดูสิว่าทำเรื่องดีงามอะไรเอาไว้ไม่เพียงแต่ลำบากตระกูลยังลำบากคนอื่นอีก!”
“เสวี่ยอู่ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราสามารถควบคุมได้ ตอนนี้ได้แต่หวังว่าสวรรค์จะคุ้มครองคนดีเช่นคุณชายมู่ สามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี!” ผู้อาวุโสสามกล่าวพลางถอนหายใจ
“พวกเจ้าเงียบให้หมด!” มั่วหยางหันหลังกลับมาตวาดใส่ตระกูลซางที่กำลังคุยกันเสียงจอแจ
บรรดาศิษย์ผู้น้อยตระกูลซางถูกพลังความโหดเหี้ยมที่เขาแผ่มาสยบ ไม่กล้ากล่าวอะไรขึ้นมาอีก
สายตาเย็นชาของมั่วหยางกวาดตามองพวกเขา เอ่ยด้วยนํ้าเสียงแน่วแน่ขึ้นประโยคหนึ่ง “คุณชายของข้าไม่มีทางตาย!”
ความเชื่อเช่นนี้ไม่เพียงอยู่ในส่วนลึกจิตใจของเขาเท่านั้น ยังอยู่ในส่วนลึกขององครักษ์เขี้ยวมังกรทุกคน
“พวกเจ้าพูดกันจบหรือยัง? อย่ามาเปลืองเวลาของข้า” อิ๋งเจ๋อเอ่ยด้วยความทะนง
ปฏิกิริยาของคนตระกูลซางพวกนั้นพออยู่ในสายตาของเขา ก็ราวกับเป็นเรื่องขบขัน
มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ “เวลาของข้าก็มีจำกัด เริ่มเลยเถอะ”
อิ๋งเจ๋อกวาดสายตามอง แค่นเสียงเย็นชา “เจ้าหาเรื่องตายเอง ลงไปปรภพแล้ว หากคิดจะตามมาแก้แค้นข้า ข้าก็จะรอเจ้า!” พูดจบเขาก็ทะยานตัวขึ้นมา โผขึ้นบน ท้องฟ้า
มู่ชิงเกอแววตาสุขุม โผตามขึ้นไปบนท้องฟ้าประจันหน้ากับเขา
ทั้งสองลอยตัวอยู่กลางอากาศยืนเผชิญหน้ากัน สายลมที่ทุ่งหญ้าอัสดงพัดเส้นผมของพวกเขาปลิวไสวเริงระบำ เกิดเป็นเสียงชายเสื้อปลิวสะบัด
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ พากันเงยหน้าขึ้นไปมอง ไม่ปรารถนาที่จะพลาดฉากที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้
มั่วหยาง ซางเสวี่ยอู่ ซางอี้เฉินต่างพากันเงยหน้าขึ้นมองดูมู่ชิงเกอและอิ๋งเจ๋อที่อยู่บนอากาศ
อิ๋งเจ๋อยกมือขึ้นค่อยๆ วาดอยู่บริเวณหน้าอก
ด้านหลังของเขาปรากฎอักขระสีทองขนาดใหญ่ขึ้นช้าๆ ปรากฎขึ้นเป็นพักๆ…
‘นี่มันอะไร?’ มู่ชิงเกอสงสัยอยู่ในใจ
‘เขาไม่ได้พูดโกหก ครั้งนี้ทุ่มพลังทั้งหมดจริงๆ สายเลือดตระกูลอิ๋งมีพลังมหาศาล ผู้ที่ทิ้งสายเลือดพวกเขาไว้ หากทุ่มแรงโจมตีทีเดียวแม้แต่ตัวข้าเองยังต้องถอยให้ห่างเก้าสิบลี้ แม้ว่าคนตรงหน้านี้จะไม่ได้ถึงหนึ่งในพันของคนผู้นั้น แต่ว่าถ้าด้องการฆ่าเจ้ากลับเป็นเรื่องง่ายดายมาก’ เสียงของโห่วดังขึ้นในห้วงความคิดของมู่ชิงเกอในทันใด
มู่ชิงเกอชะงัก เอ่ยถามด้วยความแปลกใจระคนสงสัย
‘เจ้าจะกลับมาเมื่อไร?’
โห่วไม่ได้วิ่งเข้าไปหาอาหารที่เทือกเขาซางหลานด้วยตนเองหรอกหรือ?
โห่วเอ่ยด้วยความโมโห ‘ตอนนี้ข้ายังอยู่ในเทือกเขาซางหลาน กำลังรีบกลับไป! ข้าไม่อยู่แค่ไม่นาน เจ้าก็เอาชีวิตมาเล่น คิดจะให้ข้าตายใช่หรือไม่? เจ้าถ่วงเวลาเขาไว้อย่างไรก็ได้ รอข้ากลับมา!’
มู่ชิงเกอเข้าใจแล้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับโห่ว ทำให้มันรับรู้ได้ว่าตนเองมีอันตราย และรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทางนี้ผ่านความสัมพันธ์ดังกล่าว
มีโห่วคอยช่วยเหลือ มู่ชิงเกอย่อมปลอดภัยไร้กังวลอย่างแน่นอน
แต่ว่านางสัมผัสได้ว่าพลังที่รายล้อมอิ๋งเจ๋อทวีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ กลับเอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ ‘ไม่ทันแล้ว’
‘เพ่ย! เจ้าอย่าทำเรื่องวุ่น! เจ้าอยากตายก็อย่าดึงข้าไปเอี่ยว!’ โห่วละลํ่าละลักเอ่ย
“มู่ชิงเกอ เจ้าเป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว ถึงขั้นทำให้ข้าจดจำเจ้าได้! วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของเจ้า วันนี้ในปีหน้าข้าจะมาไว้ทุกข์ให้เจ้าที่นี่’’ อี่งเจ๋อมองหน้ามู่ชิงเกอ เปล่งแสงสีทองออกมาทั่วร่าง
พลังที่ไม่ถือเป็นของของโลกใบนี้ ค่อยๆ รวมตัวกันอยู่ด้านหน้าสองมือของเขา
แววตาและท่าทีของมู่ชิงเกอนิ่งขรึมแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ความรู้สึกแบบนั้นเหมือนกับว่าเบื้องหน้านางคือวัตถุระเบิดหนึ่งพันตันอย่างไรอย่างนั้น น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว
อิ๋งเจ๋อยังไม่ทันได้จู่โจมมู่ชิงเกอก็สัมผัสได้ราวกับความตายคุกคามอยู่ตรงหน้า
ที่สำคัญคือนางยังไม่สามารถตอบโต้ได้ ทำได้เพียงอาศัยความสามารถของตนเองตั้งรับ!
เช่นนั้น ปัญหาก็มาแล้ว!
ร่างกายของนาง สามารถตั้งรับได้อยู่หรือไม่?
ร่างกายของนางถูกดัดแปลงพันธุ์กรรมมาก่อน มีความสามารถในการฟื้นฟูพละกำลัง หลังจากนั้นก็ผ่านการฝึกทัณฑ์สายฟ้า ระดับพลังของการป้องกันเหนือกว่าคนธรรมดา
แต่ว่า วันนี้กลับเป็นครั้งแรกที่นางเผชิญหน้ากับการรับพลังโจมตีตรงๆ
กดความหวั่นไหวส่วนลึกในจิตใจแล้ว มู่ชิงเกอก็เอ่ยกับอิ๋งเจ๋อว่า “เกรงว่า ข้าจะไม่มีวาสนาได้รับสุราไว้ทุกข์ของเจ้า ข้าบอกแล้วว่าเจ้ายังฆ่าข้าไม่ตาย!”
ไม่ว่าอย่างไร ความแน่วแน่ก็ไม่อาจขาดหาย!
‘เหมิงเหมิง ข้าจะใช้ร่างกายตัวเองเป็นสื่อกลางส่งพลังส่วนหนึ่งเข้าไปในช่องว่าง เจ้าเตรียมรับให้ดี!’ วิธีเดียวที่มู่ชิงเกอคิดออกในตอนนี้คือใช้ช่องว่างที่เป็นหนึ่งเดียวกับนางช่วยนางต้านรับพลังส่วนหนึ่งของอิ๋งเจ๋อ
‘เจ้านายวางใจเถอะ!’ เหมิงเหมิงตอบรับกลับมาทันที
คำพูดของมู่ชิงเกอทำเอาอิ๋งเจ๋ออดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเย็นชา “คนอวดเก่งมักตายไว!”
เขากระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว พลังแข็งแกร่งกลายเป็นมังกรขนาดใหญ่ส่องสว่างไปทั่วพื้นดิน คำรามใส่มู่ชิงเกอ ช่วงเวลานั้นคล้ายกับว่าจู่ๆ โลกทั้งใบก็มืดมิด
“กระบวนท่าที่สาม!” มู่ชิงเกอพึมพำออกมา แววตาหนักแน่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ภาพมังกรคำรามสะท้อนในตานางชัดเจน
มังกรเคลื่อนผ่านสถานที่แห่งหนึ่งในทุ่งหญ้าอัสดง กระต่ายตัวหนึ่งที่เคลื่อนที่รวดเร็วดุจสายฟ้าหยุดนิ่งอย่างฉับพลัน ยืนนิ่งงันอยู่กับที่ตัวแข็งทื่อราวกับก้อน หินอย่างไรอย่างนั้น หญ้าสีเขียวโดยรอบบดบังเงาของมันไว้
“น่ากลัวเหลือเกิน!”
“พลังนี้น่ากลัวเหลือเกิน! นี่คือพลังของตระกูลอิ๋ง?”
“พลังนี้เพียงพอที่จะระเบิดเมืองๆ หนึ่งเป็นผุยผง นับประสาอะไรกับคนๆ หนึ่ง?”
การปรากฎตัวของมังกรขนาดใหญ่ดึงดูดสายตาของทุกคนเอาไว้
ส่วนอิ๋งเจ๋อผู้ซึ่งปล่อยมังกรขนาดใหญ่ก็ราวกับเสร็จสิ้นภารกิจอย่างไรอย่างนั้น ยืนเอามือไพล่หลังอยู่กลางอากาศ มุมปากประดับรอยยิ้มแห่งชัยชนะ มองดูว่ามู่ชิงเกอจะสลายเป็นเถ้าถ่านดับสูญไปต่อหน้าเขาอย่างไร บนพื้นดิน ใจของมั่วหยางยิ่งบีบคั้นมากขึ้น จับจ้องไปยังจุดที่มู่ชิงเกออยู่อย่างกระสับกระส่าย ไม่กล้าที่จะปล่อยผ่านให้หลุดรอดไป
ซางเสวี่ยอู่ล้มพับไปกับพื้น ซางอี้เฉินเองก็จ้องมองไปบนอากาศอย่างเหม่อลอย
แสงเจิดจ้าแสบตาทำให้ที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางของทุ่งหญ้าอัสดง คนที่อยู่สถานที่ห่างไกลค่อยๆ มุ่งมารวมตัวกันที่นี่
บนเนินเขาในค่ายขององครักษ์เขี้ยวมังกร คนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บนที่สูงมองดูลำแสงบนท้องฟ้าในใจหนักอึ้ง
“เกิดเรื่องแล้ว!” ไป๋สี่นํ้าเสียงเคร่งเครียด กลายเป็นลำแสงสีขาวหายไปจากตรงนั้น
จากนั้น หยินเฉินเองก็กลายเป็นแสงสีเงินตามไปติดๆ
หยวนหยวนเองก็เป็นแสงเพลิงหายไปต่อหน้าทุกคน
เซวี่ยนหย่ากับเสวี่ยหยาส่งสายตาหากันรีบรุดลงจากที่สูงทะยานออกไปข้างนอก ด้านหลังพวกนางยังมีเซวี่ยนขุย จิงไห่ โย่วเหอ ฮวาเยวี่ย และคนอื่นๆ ตามมา
เวลานี้ความปลอดภัยของมู่ชิงเกอ เกี่ยวพันกับจิตใจของทุกคน
ครืน ครืน !
พลังแข็งแกร่งระเบิดกลางอากาศ เกิดเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับท้องฟ้าถูกฉีกกระชากเป็นรอยแยก
แสงแสบตาทำให้ทุกคนต้องหลับตาลงอย่างเสียไม่ได้
ตอนที่เกิดเสียงดัง พวกไป๋สี่สามคนมาถึงก่อนหนึ่งก้าว ยืนอยู่ข้างมั่วหยาง มองไปบนท้องฟ้าพร้อมกัน เมื่อแสงแสบตานั่นค่อยๆ อ่อนลง เซวี่ยนหย่าและคนอื่นๆ ก็ตามมาถึง ในใจต่างก็หวั่นวิตก
ในที่สุดแสงแสบตานั้นก็หายไป สายตาของทุกคนกลับมาเป็นปกติ
เงาคนผู้หนึ่งร่วงลงมาจากท้องฟ้า ไป๋สี่และหยินเฉินทะยานตัวขึ้นไปพร้อมกัน รับร่างของมู่ชิงเกอได้กลางอากาศ
“ชิงเกอ!”
คนเหล่านี้ที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมา ทำให้ทุกคนไม่ทันได้แปลกใจ ตอนนี้ที่พวกเขาสนใจก็คือมู่ชิงเกอตายหรือไม่ตายกันแน่
ในขณะที่มู่ชิงเกอร่วงลงมา อิ๋งเจ๋อกลับขมวดคิ้วน้อยๆ รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป
“เครื่องมือมายาของข้า” ร่างกายของนางถูกหยินเฉินกับไป๋สี่บังเอาไว้ เสียงบางเบาของมู่ชิงเกอเอ่ยเตือนขึ้นหนึ่งประโยค
เสียงของนางเวลานี้อ่อนแอไร้ที่เปรียบ และก็กลับมาเป็นเสียงสตรี
ไป๋สี่เข้าใจในทันที ส่งสายตากับหยินเฉิน นางรีบอุ้มร่างมู่ชิงเกอหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน
ความเร็วนั่นทำเอาผู้คนไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง
“เหตุใดจึงหายไปแล้ว?”
“คนล่ะ? สุดท้ายแล้วตายหรือเปล่า?”
“ใครเป็นฝ่ายชนะ?”
การที่จู่ๆ มู่ชิงเกอหายตัวไป ทำให้ผู้คนที่ชมอยู่รอบๆ ไม่พอใจขึ้นมา
ยุทธภัณฑ์ชั้นจิตวิญญาณของมั่วหยางดึงออกมาจากฝัก ร่วมกับเหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรตั้งท่าเตรียมรับมือ
ตอนนี้เองหยินเฉินก็ยืนขึ้น ผมสีเงินดวงตาสีเลือดของเขา ท่าทางงดงามราวปีศาจดึงดูดสายตาผู้คนทันที “เจ้านายของเราได้รับบาดเจ็บ ย่อมต้องเร่งกลับไปรักษา ส่วนที่ว่าเป็นหรือตาย งานล่าสัตว์ครั้งนี้ยังไม่เริ่มต้นมิใช่หรือ?”
คำพูดประโยคเดียวของเขา หยุดความแปลกใจของผู้ชม
และก็ทำให้แววตาของอิ๋งเจ๋อขรึมลง เขากวาดตามองหยินเฉิน หยวนหยวนและคนอื่นๆ พบว่าพวกเขาแทบจะไม่เหมือนกับคนอื่น เมื่อมองเซวี่ยน หย่ากับเสวี่ยหยาก็ล้วนงดงามเฉิดฉาย
“นายน้อยอิ๋ง นายท่านของเรารับท่านได้สามกระบวนท่าแล้ว เรื่องที่ท่านรับปากก่อนหน้านี้ ยังนับอยู่หรือไม่?” หยินเฉินมองอิ๋งเจ๋อตรงๆ นํ้าเสียงไม่นอบน้อมแต่ก็ไม่ถือตัว
อิ๋งเจ๋อหน้าเคร่งขรึม มองหน้าหยินเฉินและตอบว่า “นับหรือไม่ ย่อมต้องรอให้ข้าเห็นว่ามู่ชิงเกอยังมีชีวิตอยู่ถึงจะรู้” พูดจบเขาก็พลิ้วลอยลงมาจากอากาศ นั่งลงบน หลังของสัตว์อสูร พาคนตระกูลอิ๋งจากไปอย่างหยิ่งยโส ในค่ายขององครักษ์เขี้ยวมังกรบนเนินเขา กระโจมหลักกลางค่ายทหารที่มั่วหยางตั้งใจเตรียมไว้ให้มู่ชิงเกอ ไป๋สี่ หลังจากพยุงร่างของนางเข้าไปในกระโจมหลัก มู่ชิงเกอก็พลันกระอักเลือดออกมาคำโต
เสื้อผ้าบนกายนางเสียหายไม่เหลือชิ้นดี ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง สภาพสะบักสะบอมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ชิงเกอ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” ไป๋สี่เอ่ยอย่างร้อนรน
มู่ชิงเกอส่ายหน้า ยกมือขึ้น ใช้หลังมือเช็ดคราบเลือดตรงมุมปากของตนเอง เอ่ยบอกไป๋สี่ว่า “ไม่เป็นอะไร เพียงแค่เลือดเสียเท่านั้นไม่กระอักออกมาสิถึงจะเป็น เรื่องใหญ่”
ต่างหูสีม่วงบนหูซ้ายของนาง ถูกพลังรุนแรงนั้นทำลาย ตอนนี้นางกลับคืนสู่สภาพสตรี สภาพสะบักสะบอมทั่วร่าง บวกกับคราบเลือดทำให้นางยิ่งดูน่าอนาถนัก
“เจ้าเฝ้าไว้ให้ข้าที ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้ามา ข้าจะกลับไปปรับสมดุลพลังในช่องว่าง!” มู่ชิงเกอส่งเสียงมอบหมายหนึ่งเรื่อง ก่อนจะหันหลังหายตัวไปต่อหน้าไป๋สี่
ไป๋สี่เดินออกมาด้านนอกกระโจมทันที เฝ้าประตูทางเข้าเอาไว้
“เหมิงเหมิง ในช่องว่างไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” พอเข้าไปในช่องว่าง มู่ชิงเกอก็รีบเอ่ยถาม
เหมิงเหมิงปรากฎตัวอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ ชี้ไปที่ภูเขาที่อยู่ไกลออกไปแล้วเอ่ยว่า “ไม่เป็นอะไร แค่ระเบิดยอดเขาไปลูกหนึ่ง”
มู่ชิงเกอดวงตาเป็นประกาย เอ่ยพึมพำ “คิดไม่ถึงว่าพลังเทพของอิ๋งเจ๋อจะร้ายกาจเพียงนี้หากข้ารับทั้งหมด เกรงว่าวันนี้อันตรายเสียแล้ว”
“เจ้านายท่านรีบไปปรับพลังเถอะ เครื่องมือมายาของท่านเองก็จำเป็นต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูสักระยะหนึ่ง ข้าช่วยท่านปรับเวลาในช่องว่างให้เร็วสักหน่อยก็แล้วกัน ไม่ให้คนข้างนอกเหล่านั้นเป็นกังวล” เหมิงเหมิงกล่าว
มู่ชิงเกอพยักหน้า เดินตรงไปที่บ่อสายฟ้า
ร่างกายของนางได้รับการสร้างขึ้นใหม่ค่อยๆ ฟื้นฟูอย่างช้าๆ แต่เครื่องมือมายาที่พังเสียหายกลับต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู
ช่วงเวลานี้ นางพบใครไม่ได้
ในที่สุดบนทุ่งหญ้าอัสดงก็สงบนิ่ง
ท่ามกลางทุ่งหญ้า ในที่สุดกระต่ายที่ตัวแข็งทื่อก็กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง มันเอ่ยวาจาภาษาคน “ฟู่ อันตรายนัก อีกนิดเดียวก็ถูกหญิงสาวผู้นั้นทำให้ตกตายซะ แล้ว! ”
โห่วหันกลับไปมองทางเนินเขา สุดท้ายแล้วก็หันหัวกลับเข้าไปในเทือกเขาซางหลาน
มันค้นพบสมบัติลํ้าค่าชิ้นหนึ่งในนั้น สามารถรักษาบาดแผลของมันได้อย่างรวดเร็ว รอให้มันฟื้นฟูกลับมาทั้งหมดเสียก่อน มันจะต้องหาวิธีหลุดพ้นจากคำสาป ไปจากมู่ชิงเกอให้ได้!
ดวงตาสีทองของโห่วเป็นประกายเด็ดเดี่ยว เพิ่มความเร็วขึ้น
มีคนจำนวนไม่น้อยที่มาถึงที่เกิดเหตุเนื่องจากแสงเจิดจ้า และเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แต่พวกเขาก็ได้แต่รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากผู้อื่น
ภายใต้การเอ่ยกันคนละประโยคสองประโยค ชื่อเสียงเรียงนามของมู่ชิงเกอและกองกำลังเขี้ยวมังกรก็ดังไปทั่วกระโจมที่ตั้งอยู่บนทุ่งหญ้าอัสดง
มู่ชิงเกอถูกพาตัวไป อิ๋งเจ๋อก็จากไปแล้วเช่นกัน
แต่ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องราวจบหรือไม่จบกันแน่ อิ๋งเจ๋อ กลับให้คำตอบกำกวม
เพราะว่าเหตุเกิดจากตระกูลซาง ตอนนี้กลับตกอยู่ในสถานการณ์พิลึกพิลั่น
ซางเสวี่ยอู่ผุดลุกขึ้นจากพื้นรีบรุดไปหาหยินเฉิน เอ่ยถามว่า “นางเป็นอะไรหรือไม่? ข้าต้องการไปดูนาง”
หยินเฉินไม่รู้ว่านางเป็นใคร เพียงแค่ปรายตามองนิ่งๆ “นายท่านของข้าไม่เป็นอะไร ต้องการพักฟื้นเงียบๆ แม่นางไม่ต้องเป็นกังวล”
ตอนนี้เองซางอี้เฉินเองก็เดินเข้ามา เอ่ยพร้อมกับซางเสวี่ยอู่ว่า “พวกเราอยากจะไปดูนางเสียหน่อย เจ้ารู้หรือไม่ว่านางกับพวกเราเป็น…”
“อี้เฉิน” ซางเสวี่ยอู่พูดขัดคำพูดของเขา เอ่ยกับเขาว่า “พวกเรารอให้คุณชายมู่ฟื้นฟูกำลังก่อนดีกว่า ค่อยไปขอบคุณ”
สายตาซางอี้เฉินขัดขืนครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมประนีประนอม
ท่าทางผิดแปลกไปของพวกเขาทั้งสองอยู่ในสายตาของซางจื่อหลัน ทำให้นางเกิดความสงสัย
เวลานี้เองผู้อาวุโสสามก็เดินเข้ามาเอ่ยกับหยินเฉินว่า “ขอบคุณนํ้าใจของคุณชายมู่ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ตอนนี้คุณชายมู่ได้รับบาดเจ็บที่ร่างกาย ตระกูลซางจะไม่ไปรบกวน วันหลังค่อยไปเยือนขอบคุณด้วยตนเอง”
“จะมาหรือไม่มาก็ไม่เป็นไร นายท่านไม่สนใจ” หยินเฉินเอ่ยเสียงเรียบ
คำพูดนี้ทำเอาผู้อาวุโสสามทำหน้าไม่ถูก
ส่วนหยินเฉินเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แสงสีเงินกะพริบขึ้นก่อนจะหายตัวไปต่อหน้าทุกคน
พอเขาจากไป มั่วหยางก็พาองครักษ์เขี้ยวมังกรจากไป
ไม่นานคนอื่นๆ ที่ตามมาต่างก็รีบเร่งกลับไปยังค่ายเขี้ยวมังกรบนเนินเขา ต้องการไปสอบถามอาการบาดเจ็บของมู่ชิงเกอ
พวกเขาจากไปแล้ว ผู้คนก็เริ่มสลายตัวจากไป
ผู้อาวุโสสามถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราหาที่ตั้งค่ายเถอะ”
เมื่อหยินเฉินและคนอื่นๆ กลับมาถึงค่าย ก็พบไป๋สี่ยืนเฝ้าอยู่หน้ากระโจม
“ชิงเกอเป็นอย่างไรบ้าง?” หยินเฉินเอ่ยถาม
ไป๋สี่ส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ได้มีอาการร้ายแรง ไปฟื้นฟูปรับพลังแล้ว”
หยินเฉินและหยวนหยวนเข้าใจความหมายของนางในทันที และก็เข้าใจด้วยว่าเหตุใดไป๋สี่ถึงเฝ้าอยู่ตรงนี้
“แม่นางไป๋สี่ ให้พวกเราเข้าไปปรนนิบัตินายน้อยได้หรือไม่?” เซวี่ยนหย่าลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยถาม
ไป๋สี่ส่ายหน้าช้าๆ “นายท่านกำลังปรับพลัง ห้ามให้ใครก็ตามเข้าไปรบกวน ยํ้าให้ข้าเฝ้าอยู่ตรงนี้”
“พี่สาว พวกเราไม่ควรขัดคำสั่งนายน้อย” เสวี่ยหยาเดินเข้ามาดึงนางเดินห่างออกไป แม้ว่านางเองก็เป็นห่วงอาการของมู่ชิงเกอ แต่ก็ไม่ไปขัดคำสั่ง
อีกอย่าง ไป๋สี่ก็บอกแล้วว่ามู่ชิงเกอไม่เป็นอะไร นางเชื่อว่าไป๋สี่ไม่มีวันเอาชีวิตของมู่ชิงเกอมาล้อเล่น
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าโง่เง่าเต่าตุ่นนั่นจะลงมือทำให้ลูกพี่เป็นเช่นนี้ข้าจะไปเผาเขาซะ!” หยวนหยวนเอ่ยด้วยความโกรธแค้น
“หยวนหยวน ห้ามไป” หยินเฉินเอ่ยรั้งเขาไว้
ใบหน้างดงามของหยวนหยวนเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ เขามองหยินเฉินอย่างดื้อรั้น หยินเฉินเองก็มองเขาเช่นกัน ทั้งสองประจันหน้ากันอยู่เป็นนาน จู่ๆ หยวนหยวนก็คุกเข่าลงตบหูตัวเองอย่างแรง ร้องไห้ไปพูดไปว่า “ยังบอกว่าจะปกป้องลูกพี่ กลับได้แต่ยืนมองนางได้รับบาดเจ็บ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง! เกลียดตัวเองเหลือเกิน!”
“อาจารย์อาเล็ก!” จิงไห่มองเขาด้วยความตระหนก
หยินเฉินเองก็ตกใจ เขาเดินไปข้างกายหยวนหยวน ขวางการทำร้ายตัวเองของเขา “หยวนหยวน นี่เป็นการแข่งขัน พวกเราไม่ว่าใครก็สอดมือเข้าไปยุ่งไม่ได้ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่ามั่วหยางพาคนไปชมเรื่องสนุกหรือ? ชิงเกอไม่เป็นอะไร เจ้า เองก็ไม่ต้องโทษตัวเอง”
หยวนหยวนเงยใบหน้าที่อาบไปด้วยนํ้าตา จ้องไปยังมั่วหยางที่ยืนอยู่ด้านนอกกระโจมเงียบๆ บุรุษผู้นี้เก็บงำทุกอารมณ์เอาไว้ส่วนลึกในใจ
ไป๋สี่ส่ายหน้าช้าๆ อย่างจนปัญญา ไม่ได้เอ่ยอะไรมากกว่านั้น
หยินเฉินที่ปลอบหยวนหยวนสงบแล้ว ก็มองโย่วเหอและฮวาเยวี่ย ทั้งสองนางเช็ดนํ้าตาบนใบหน้าแล้วเอ่ยกับตนเองว่า “พวกเราไปเตรียมอาหารที่คุณชายชอบกินกันเถอะ”
ทั้งสองเดินออกไปด้วยกัน
หยินเฉินเดินไปหามั่วหยาง เอ่ยบอกเขาว่า “ชิงเกอเก็บตัวหลายวัน ที่ค่ายต้องมีคนมาสอดแนมไม่น้อย เจ้าอย่าได้หย่อนยานเด็ดขาด”
มั่วหยางเงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนจะพยักหน้าให้ เขาหันหลังเดินไปจากกระโจม กลับเดินไปอยู่ข้างๆ เซวี่ยนขุยและเอ่ยกับเขาว่า “คุณชายกำชับให้ข้าสอนเจ้าใช้ปืนกลีเนทลันเชอร์ เจ้าตามข้ามา”
ภายใต้การดูแลจัดการของหยินเฉิน ทุกอย่างในค่ายองครักษ์เขี้ยวมังกรก็กลับสู่ภาวะปกติ
ไม่นาน ทุกคนก็ได้ต้อนรับคืนแรกของทุ่งหญ้าอัสดง ท้องฟ้าปกคลุม ดาวดวงน้อยส่องประกาย ท้องฟ้าที่นี่ราวกับว่าตํ่ากว่าที่อื่น ดาวฤกษ์ก็ส่องสว่างมากกว่า ราว กับว่าเพียงแค่ยื่นมือออกไปก็สามารถเด็ดดวงดาวเอามาได้
บนทุ่งหญ้า แสงเพลิงท่ามกลางกระโจม บนเนินเขาสูงๆ ต่ำๆ ก็ถูกตั้งเป็นค่าย ก่อกองไฟขึ้นช้าๆ ซางเสวี่ยอู่ยืนอยู่ด้านล่างเนินเขาของค่ายเขี้ยวมังกร เงยหน้าขึ้นมองคบเพลิงบนเนินเขา
ไม่นานก็แว่วเสียงฝึเท้าเดินมา เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้น “ที่แท้เจ้าก็มาอยู่นี่เอง”
ซางเสวี่ยอู่เก็บอารมณ์หันหลังมาเอ่ยถามซางจื่อหลัน “เจ้ามาทำอะไร?”
“ทำไมเจ้ามาได้แล้วข้าจะมาไม่ได้?” ซางจื่อหลันยิ้มเย้ย
ซางเสวี่ยอู่เม้มปาก คร้านที่จะต่อปากกับนางจึงคิดจะเดินจากไป
“หยุดนะ” ซางจื่อหลันตะโกนเรียกซางเสวี่ยอู่
ซางเสวี่ยอู่เองก็หยุดเท้า หันกลับมาถามว่า “ยังมีเรื่องอะไร?”
ซางจื่อหลันเดินมาอยู่ข้างนาง มองพิจารณาไปมาเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าชอบคุณชายมู่ผู้นั้นใช่หรือไม่ ถึงได้เป็นห่วงเขาเช่นนี้ ดึกดื่นค่อนคืนยังมาเฝ้าอยู่ที่นี่?”
“เจ้าพูดไร้สาระอะไร!” ซางเสวี่ยอู่สีหน้าท่าทีเปลี่ยนไป ตวาดใส่ซางจื่อหลัน
ซางจื่อหลันกลับยิ้มอย่างเป็นต่อ ราวกับว่าค้นพบความลับอย่างไรอย่างนั้น เอ่ยต่อว่า “ข้าพูดไร้สาระ? คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะโกรธขึ้นมาแล้ว? คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะโกรธ? ดูท่า ข้าคงพูดจี้ใจเจ้าสินะ ถึงได้เปลี่ยนความอายเป็นความโกรธใช่ไหม? หากว่าเจ้าไม่ได้ชอบเขา แล้วเหตุใดต้องช่วยเขาปกปิดเรื่องจริง? ไม่ชอบเขา แล้วเหตุใดต้องจ้องมองเขาหลังจากที่เขาปรากฎตัวขึ้น? ไม่ชอบเขา แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่?”
ซางเสวี่ยอู่สีหน้าเคร่งขรึม นางจ้องหน้าซางจื่อหลัน ทว่า กลับไม่ได้ลงมือด้วยความโกรธหรือเอ่ยชี้แจงอย่างที่ฝ่ายหลังคิดเอาไว้
“เจ้าจะพูดอะไรก็ตามใจ” ซางเสวี่ยอู่พูดทิ้งไว้ประโยคหนึ่ง ก้าวเท้ายาวๆ เดินจากไป
มองดูเงานางเดินจากไป ซางจื่อหลันก็แค่นเสียงเย็นชา เอ่ยพึมพำขึ้นว่า “ซางเสวี่ยอู่ เจ้าก็มีวันที่ตกบ่วงความรัก? เหอะ!”
ซางเซวี่ยอู่กลับมาที่ค่ายตระกูลซาง ตอนที่เข้ามาในกระโจมตัวเองก็พบว่าซางอี้เฉินก็อยู่ด้านใน
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยกับซางอี้เฉิน
ซางอี้เฉินลุกขึ้นมาเอ่ยกับซางเสวี่ยอู่ว่า “พวกเราจะไปพบนางเมื่อไร? ไปยืนยันเรื่องจริงทั้งหมด? ข้ารู้สึกว่า นางต้องเป็นผู้ที่อยู่ในใจพวกเราอย่างแน่นอน!”
“อี้เฉิน!” ซางเสวี่ยอู่ขวางการหุนหันพลันแล่นของเขา “ก่อนหน้านี้ที่ข้าปิดบังเจ้ามาตลอดก็เพราะไม่อยากให้เจ้าหุนหันพลันแล่น แม้ว่าพวกเราจะมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด แต่ว่านี่ก็ผ่านไปสิบเก้าปีแล้ว พวกเราไม่รู้ว่านางก้าวมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร นางเองก็ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของพวกเรา พวกเราต้องไปพบนางถามทุกอย่างให้ชัดเจน แต่ว่าข้าเองก็หวังว่าเจ้าจะสามารถควบคุมตนเองอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป แม้แต่กับผู้อาวุโสก็ไม่ได้”
“เพราะเหตุใด?” ซางอี้เฉินไม่เข้าใจ
ซางเสวี่ยอู่กัดริมฝีปากแล้วจึงเอ่ยว่า “อย่างน้อยพวกเรา ก็ต้องรู้ก่อนว่าในใจของนางมองตระกูลซางอย่างไร มองท่านแม่อย่างไร อย่างน้อยก็ต้องให้ท่านแม่รู้เรื่องนี้ก่อน แล้วให้ท่านแม่เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะบอกตระกูลหรือไม่?”
ซางอี้เฉินพยักหน้า เอ่ยคล้ายกับว่าจะเข้าใจก็ไม่เข้าใจ “ข้าเข้าใจแล้ว ตอนนี้ตระกูลซางวุ่นวาย หากให้พวกเขารู้ว่านางเป็นพี่สาวของพวกเรา จะต้องบังคับนางเหมือนที่ทำกับเจ้าแน่นอน แบกรับตระกูลซาง”
วันนี้ พวกเขาเห็นความสามารถของมู่ชิงเกอ เห็นความสามารถของผู้คนที่อยู่รอบตัวมู่ชิงเกอ ในใจต้องเลื่อมใสสุดๆ
ซางเสวี่ยอู่พยักหน้า “ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากช่วยตระกูลซาง พวกเราสองคนถูกตระกูลซางเลี้ยงดู ทุ่มเทเพื่อตระกูลซางก็เป็นเรื่องสมควร แต่ว่าพี่สาวไม่ได้รับบุญ
คุณใดๆ จากตระกูลซาง พวกเราไม่สามารถดึงนางเข้ามาในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
“วางใจเถอะ ข้าไม่มีวันพูดเรื่องนี้ออกไปอย่างแน่นอน” ซางอี้เฉินเอ่ยรับประกัน
ซางเสวี่ยอู่เอ่ยขึ้นอีกว่า “ท่านแม่เคยพูดว่า ตอนที่นางจากไปได้มอบเครื่องมือมายาทิ้งไว้ให้พี่สาว ตอนนี้นางแสดงตัวอยู่ในฐานะบุรุษ ย่อมต้องมีเหตุผลของนาง พวกเราอย่าได้เปิดเผยออกมา”
“ตกลง” ซางอี้เฉินพยักหน้าอีกครั้ง
“แล้วพวกเราจะได้พบพี่สาวเมื่อไร?” ซางอี้เฉินเอ่ยอย่างอดใจรอไม่ไหว
ในใจของซางเสวี่ยอู่เองก็อดใจรอไว้ไม่ไหวเช่นกัน แต่นางก็รู้ดีว่าไม่สามารถพบเจอมู่ชิงเกอได้ในวันสองวันนี้อย่างแน่นอน ทำได้พียงเอ่ยปลอบน้องชาย “ไม่นานหรอก รออีกสักสองวัน”
ตอนที่มู่ชิงเกอออกมาจากบ่อสายฟ้า ร่างกายก็ฟื้นฟูกลับมาเต็มที่
เพียงแต่เครื่องมือมายาของนางยังซ่อมไม่สมบูรณ์ดังนั้นนางจึงไม่สามารถปลอมตัวเป็นบุรุษได้
เก็บต่างหูสีม่วงติดกายไว้ดีแล้ว มู่ชิงเกอก็ออกมาจากช่องว่างยืนอยู่กลางกระโจมหลัก นางส่งพลังเสียงให้ไป๋สี่ ว่าตนเองไม่เป็นอะไรแล้วให้นางไปพักผ่อนได้
เงาคนไปจากกระโจมแล้ว มู่ชิงเกอจึงเอนกายนอนครุ่นคิดอยู่บนเตียงนอนในกระโจม
วันนี้ได้พบกับคนตระกูลซาง ไม่ใช่แค่ซางเสวี่ยอู่เพียงคนเดียวอีก เครื่องมือมายาของซางหลันรั่วในปีนั้นมีผู้อื่นเคยพบเห็นมาก่อนหรือไม่? เป็นไปได้ไหมว่าจะสามารถเดาตัวตนที่แท้จริงของนางได้จากเครื่องมือมายา?
จุดนี้ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้วยุ่ง
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็สงบอารมณ์นั่งขัดสมาธิเข้าสู่ท่าการฝึกพลังยุทธ์
ในขณะที่ครุ่นคิดว้าวุ่นใจ นางก็ตกเข้าไปยังส่วนลึกในจิตใจที่เก็บซ่อนเคล็ดวิชาเทวะเอาไว้อีกครั้ง คนร่างเล็กสีทองก็เริ่มฝึกพลังยุทธ์อยู่ตรงหน้านาง และตัวนางเองก็ฝึกพลังยุทธ์ตามไปอย่างไม่เป็นตัวเอง เพียงแต่ครั้งนี้ การสัมผัสรู้ของนางราวกับว่าจะลึกซึ้งอยู่บ้าง แม้ว่าจะไม่ใช่เรืองจริงเช่นเคย มู่ชิงเกอจมอยู่ในห้วงมายา ราวกับว่าช่วงเวลาที่จมลึกในครั้งนี้ยาวนานขึ้นกว่าเดิมอยู่บ้าง ร่างกายของนางไม่ได้ระเบิดอยู่ในห้วงมายา
จากนั้นขณะที่นางคิดว่าตนเองร่างจะไม่ระเบิดอีกแล้ว ร่างกายของนางก็พองขึ้นมา
จากนั้น ความรู้สึกระเบิดกระจายที่คุ้นเคยก็ปลุกให้นางสะคุ้งตื่นขึ้นมาจากห้วงมายา ลมหายใจของนางสับสน บนหน้าผากมีหยดเหงื่อเม็ดเล็กๆ อยู่บ้าง ทันใดนั้นนางก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นช้าๆ เปลี่ยนเป็นความคมกริบเหลือคณา พลังจิตสีเงินพุ่งออกไปจากมือของนางซัดเข้าใส่สถานที่แห่งหนึ่งในกระโจม
พลังจิตสีเงินถูกกลืนหายไปอย่างไร้สุ้มเสียง มู่ชิงเกอตะลึงอยู่ในใจ
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าตนเองถูกขุมพลังสายหนึ่งฉุดรั้งพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะที่ไม่ทันได้เตรียมแผนรับมือ นางก็ตกอยู่ในวงแขนหนาและแข็งแกร่ง มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นด้วยความตระหนก มองหน้าคนผู้นั้นแล้วเอ่ยเสียงหลง “เหตุใดเป็นเจ้า?”