ตอนที่ 261
ลิ้นของอิ๋งชวนข้าเป็นคนตัดเอง!
“ส่งตัวคนที่ทำร้ายน้องชายข้าออกมา ไม่งั้นเจ้าตาย”
อาวุธที่ดูเยียบเย็นชี้ไปที่ซางเสวี่ยอู่ อิ๋งเจ๋อผู้อยู่อันดับสี่ในทำเนียบชิงอิงขี่อยู่บนหลังของสัตว์อสูรวิญญาณด้วยท่าทางอหังการ สายตาคู่นั้นดูเย็นชาดุจดังนํ้าแข็ง บนใบหน้าอันหล่อเหลา โครงหน้าที่คมชัดประทับอารมณ์เรียบนิ่ง
สายตาของเขาตกไปอยู่บนร่างของซางเสวี่ยอู่ ดูเหมือนกับเข็มที่กำลังทิ่มแทง
“เสวี่ยอู่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่เจ้าพูดว่าอิ๋งชวนถูกเจ้าทำร้ายมิใช่หรือ?” คำพูดของอิ๋งเจ๋อทำให้ผู้อาวุโสสามของตระกูลซางรู้สึกตกตะลึง รีบส่งเสียงกระซิบเบาๆ ออกไปถามซางเสวี่ยอู่
หากว่าเรื่องนี้เป็นซางเสวี่ยอู่ก่อขึ้น ตระกูลซางก็แน่นอนว่าจะออกหน้าแก้ไขแทนนาง
แต่หากว่าเป็นคนอื่นก่อเรื่อง ตระกูลซางก็ไม่จำเป็นจะต้องเข้าขวางนํ้าเชี่ยวนี้
“ใช่ เป็นข้าทำร้ายเขาเอง” ซางเสวียอู่เอ่ยอย่างแน่ใจ นางกล้าพอ เงยหน้าขึ้นมองอิ๋งเจ๋อที่ดูเคร่งขรึมเย็นชา ตะโกนออกไปว่า “คนที่ทำร้ายอิ๋งชวนนั้นก็คือข้า ไม่มี คนอื่น”
อะไรนะ?
คุณชายรองตระกูลอิ๋ง อิ๋งชวนถูกทำร้ายอย่างนั้นหรือ?
ก้อนหินก้อนเดียวก็ทำให้เกิดคลื่นได้ คนที่เดิมกำลังสงสัยอยู่นั้น เพียงพริบตาเดียวก็เข้าใจถึงเหตุผลในทันที บนทุ่งหญ้าอัสดงในขณะนี้ ทุกๆ ที่ล้วนแต่มีหลิวเค่อ ส่วนคนที่เป็นหลิวเค่อนั้น ล้วนแต่เข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลใหญ่ชัดเจนกว่าคนธรรมดาอยู่มาก
สถานะของอิ๋งเจ๋อ ไม่มีใครไม่รู้จัก ส่วนน้องชายของเขา อิ๋งชวนก็เป็นคนเสเพลที่ทุกคนรู้เช่นเดียวกัน
ภายในกลุ่มคนที่กำลังมุงดู ค่อยๆ เงียบลงไป สายตาล้วนแต่มองไปยังหญิงสาวที่กล้าท้าทายตระกูลอิ๋งทำร้ายอิ๋งชวนคนนั้น
“ข้างกายของนางคือผู้อาวุโสสามของตระกูลซาง หรือว่านางจะเป็นคนของตระกูลซาง?”
“เจ้าเพิ่งออกมาจากถํ้าหรืออย่างไรถึงไม่รู้ นั่นก็คือสาวงามอันดับหนึ่งของภาคตะวันตกของพวกเรา คุณหนูซางเสวี่ยอู่แห่งตระกูลซาง!”
“นางก็คือคุณหนูซางเสวี่ยอู่งั้นหรือ? เป็นสาวงานล่มเมืองจริงแท้! ไม่เสียทีที่ได้ชื่อว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของภาคตะวันตก”
“ข้าได้ยินมาว่าคุณชายรองตระกูลอิ๋ง อิ๋งชวนอยากได้ตัวคุณหนูเสวี่ยอู่มาตลอด คิดว่าครั้งนี้คงได้ล่วงเกินสาวงามถึงได้ถูกสั่งสอน”
“เพียงแต่ไม่รู้ว่าคุณหนูซางผู้นี้จัดการคุณชายรองตระกูลอิ๋งผู้นั้นอย่างไร นายน้อยอิ๋งเจ๋อถึงได้โมโหเช่นนี้”
เสียงพูดคุยดังขึ้นมาเรื่อยๆ จากรอบทิศ คาดเดาถึงบุญคุณความแค้นครั้งนี้ของตระกูลอิ๋งและตระกูลซาง ว่าจะแก้ไขได้อย่างไร
ส่วนในตอนนี้ อิ๋งเจ๋อกลับดูเย็นชามากขึ้น เอ่ยอย่างดูแคลนว่า “เจ้าไม่มีความสามารถนั้น”
เขาที่ไม่พอใจซางเสวี่ยอู่ ไม่ได้เป็นเพราะสถานะสาวงามอันดับหนึ่งของนาง ถึงแสดงอาการออกมา
“ซางเสวี่ยอู่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เป็นเจ้าอิ๋งชวนคนนั้นมาหาเรื่องเจ้าใช่หรือไม่?” ซางอี้เฉินที่แอบหนีออกมา วิ่งมาอยู่ข้างกายของซางเสวี่ยอู่ เอ่ยด้วยท่าทีที่ดูไม่พอ ใจ
ตลอดเส้นทางที่มาเขาก็ได้ยินคำพูดคุยของคนมามากมายแล้ว
รอบด้านของกองกำลังตระกูลอิ๋ง เป็นเพราะเรื่องนี้ทำให้มีกองกำลังหลิวเค่อหลายกลุ่ม แล้วก็ยังมีคนของตระกูลเล็กตระกูลน้อยมุงดูอยู่เต็มไปหมด เกือบจะถึงพันคนแล้ว
พวกเขาล้วนแต่ดูอย่างใจจดใจจ่อ รอให้เรื่องราวดำเนินต่อไป
พวกซางจื่อหลันและซางเหย่ก็ตามมาด้านหลัง ทำสีหน้ายํ่าแย่ยืนอยู่ด้านหลังของผู้อาวุโสสาม ซางจื่อหลันมองไปทางซางเสวี่ยอู่แล้วเอ่ยว่า “ซางเสวี่ยอู่ เจ้าช่าง ชอบก่อเรื่องจริงๆ! ที่แท้วันนั้นที่เจ้าไปพบผู้อาวุโสสามก็เพราะอยากให้เขาออกหน้าให้เจ้าใช่หรือไม่?”
“จื่อหลัน” ผู้อาวุโสสามหันมองนาง เอ่ยตักเตือนขึ้นมา
คนของตระกูลซางที่เหลือในตอนนี้ก็ล้วนแต่โอบล้อมเข้ามา ท่าทางดูเคร่งขรึม
เพียงแต่ว่า เมื่อเทียบกับกองกำลังนับร้อยของตระกูลอิ๋งแล้ว คนไม่กี่คนของตระกูลซางก็ดูอ่อนแอกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“อี้เฉิน เรื่องของข้าสามารถแก้ไขได้ เจ้าอย่าได้เข้ามายุ่ง” ซางเสวี่ยอู่ขมวดคิ้วขึ้น ท่าทางดูแย่ลง นางห้ามซางอี้เฉินไม่ให้บุ่มบ่าม คว้าจับข้อมือของเขา ไม่ให้เขาออกไปจากสายตาของตนเอง
ผู้อาวุโสสามเดินออกมา ประสานมือไว้ข้างหน้าเอ่ยกับอิ๋งเจ๋อว่า “นายน้อยอิ๋ง เรื่องนี้เสวี่ยอู่ได้เอ่ยกับข้าแล้ว หากจะพูดแต่เริ่มก็เกิดจากคุณชายรองอิ๋งทำไม่ถูก ก่อน…”
“เจ้าอยากจะบอกกับข้าว่า เรื่องที่ตัดลิ้นของน้องชายข้าก็จะแล้วกันไปอย่างนี้งั้นหรือ?” อิ๋งเจ๋อตัดบทพูดของผู้อาวุโสสาม สายตาของเขาไม่ได้ถือเอาผู้อาวุโสตรง หน้ามาอยู่ในสายตา
ผู้อาวุโสสามชะงัก ในชั่วขณะนั้นไม่รู้จะพูดต่ออย่างไรดี
“ให้ตายเถอะ! ถึงกับตัดลิ้นของคุณชายรองตระกูลอิ๋ง! ความกล้าของคุณหนูเสวี่ยอู่นั้นทำให้ข้ารู้สึกละอายจริงๆ!”
“คุณชายรองตระกูลอิ๋งกลายเป็นคนใบ้ มิน่านายน้อยอิ๋งถึงได้โมโหถึงขนาดนี้”
“เรื่องนี้ คุณหนูเสวี่ยอู่ลงมือเหี้ยมโหดไปหน่อย หากคุณชายรองตระกูลอิ๋งมาวุ่นวายก็หลีกเลี่ยงไปก็ได้แล้ว เหตุใดจึงต้องลงมือหนักเช่นนี้ด้วย?”
“สถานะของคุณชายรองตระกูลอิ๋งก็ไม่ได้ด้อย อาศัยตำแหน่งสถานะของตระกูลซางในตอนนี้ หากว่าเกี่ยวดองกันกับตระกูลอิ๋งก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี”
“น่าเสียดาย คุณชายรองตระกูลอิ๋งชื่นชอบสาวงาม แต่กลับถูกสาวงามที่ชอบตัดลิ้นเช่นนี้ไป”
“พวกเจ้าหุบปาก! พวกเจ้ารู้อะไรกัน? เคยเห็นเหตุการณ์ว่าเป็นอย่างไรงั้นหรือ? อาศัยอะไรมาตัดสินเรื่องราวที่นี่?” ประเด็นใหม่ทำให้ใจของซางอี้เฉินร้อนแทบลุกเป็นไฟ ตะโกนไปใส่เหล่าคนที่พูดด้วยความโมโห เขามองไปยังผู้คนรอบกายด้วยท่าทางบ้าคลั่ง จับมือซางเสวี่ยอู่แน่นคิดจะปกป้องนาง
สัมผัสได้ถึงจิตใจและอารมณ์ที่อยากจะปกป้องของเขา ทำให้จิตใจของซางเสวี่ยอู่อบอุ่นขึ้นมา เงยหน้ามองไปยังอิ๋งเจ๋อเอ่ยว่า “ในเมื่อนายน้อยอิ๋งได้พูดเรื่องราวออกมาแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่ขอปิดบังเช่นกัน ก่อนจะลงมือ ข้าได้ตักเตือนอิ๋งชวนไปหลายต่อหลายครั้ง ให้เขาจากไป แต่เขากลับบีบบังคับไม่หยุดหย่อน สุดท้ายยังใช้วิธีต่ำช้าวางยาข้าอีก ข้าทำเพื่อปกป้องตัวเองถึงได้ลงมือหนัก เรื่องนี้พูดไปถึงไหนความผิดก็เป็นของตระกูลอิ๋ง”
“เจ้าสารเลวนั่นกล้าวางยาเจ้างั้นหรือ!” ซางอี้เฉิน โมโหขึ้นมาอีกครั้ง
ซางเสวี่ยอู่ปลอบใจเขาเอ่ยว่า “ล้วนผ่านไปแล้ว ข้าไม่เป็นไร”
“ที่แท้ก็มีเรื่องเช่นนี้อยู่ด้วย มิน่าคุณหนูเสวี่ยอู่ถึงได้ลงมือหนักขนาดนี้”
“เหอ เหอ เรื่องนี้ยิ่งน่าดูขึ้นไปเรื่อยๆ ตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ”
เหล่าผู้คนที่มุงดูมีท่าทีกระตือรือร้นดูต่อไป เมื่อได้ยินถึงคำพูดของซางเสวี่ยอู่ พวกซางจื่อหลันและซางเหย่ก็ลอบตกตะลึง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกกันกับซางเสวี่ยอู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาสามารถยอมให้คนมารังแกคนของตระกูลซางได้
ในตอนนี้ คนของตระกูลซางดูเหมือนจะมองไปยังกองกำลังของตระกูลอิ๋งด้วยความแค้นเคือง
แต่ว่าท่าทางของอิ๋งเจ๋อกลับไม่ได้หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้าให้เจ้าส่งตัวคนทำร้ายอิ๋งชวนออกมา หากว่าไม่พูด เช่นนั้นก็อย่าได้โทษข้า”
คำพูดของเขาหลุดออกไป ก็สั่งการลูกน้องด้านหลังว่า “นำตัวนางไป ไต่สวนให้ละเอียด”
“เจ้าจะทำอะไร? ตระกูลอิ๋งจะกำเริบเกินไปแล้ว!” ผู้อาวุโสสามก้าวออกมา ขวางอยู่ด้านหน้าของซางเสวี่ยอู่ ลักษณะที่ดูอบอุ่นถูกปกคลุมไว้ด้วยความโกรธเคือง
แต่ว่า คนของตระกูลอิ๋งกลับไม่สนใจการเคลื่อนไหวของเขา เดินไปหาซางเสวี่ยอู่
“พวกเจ้าจะทำอะไร?”
“พวกเจ้าจะทำอะไร?”
“รังแกพวกเราตระกูลซางงั้นหรือ?”
คนอื่นๆ ของตระกูลซางทยอยพากันก้าวออกมา คุ้มครองซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉินไว้ตรงกลาง ป้องกันไม่ให้คนของตระกูลอิ๋งเข้ามาใกล้
สายตาของซางเสวี่ยอู่มองไปยังซางจื่อหลัน ส่วนอีกฝ่ายก็สบถใส่นางเสียงเย็นชา “ชิ รอถึงตระกูลก่อนเถอะแล้ว ค่อยจัดการคิดบัญชีกับเจ้า”
ถึงแม้ว่าคำพูดจะดูรุนแรงแต่ในใจของซางเสวี่ยอู่ก็เกิดความอบอุ่นขึ้นมา การเคลื่อนไหวของตระกูลซาง ทำให้อิ๋งเจ๋อขมวดคิ้วขึ้น สายตาเกิดความรำคาญขึ้นมา พริบตานั้น ระหว่างตระกูลอิ๋งและตระกูลซางก็เกิดความตึงเครียดขึ้น แม้แต่กลุ่มคนรอบนอกก็พากันระมัดระวังตัวขึ้น อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหลายก้าว สร้างช่องว่างให้แก่ทั้งสองตระกูล
ค่ายขององครักษ์เขี้ยวมังกรอยู่บนเนินเขา มู่ชิงเกอสำรวจการจัดตั้งค่ายกับมั่วหยาง การจัดวางที่ดูคุ้นเคย ทำให้นางรู้สึกเหม่อลอย วิธีที่องครักษ์เขี้ยวมังกรจัดวางค่ายนั้นผสมผสานระหว่างศาสตร์ของแคว้นฉินกับที่นางสอน สามารถพูดได้ว่า เป็นค่ายที่ทันสมัยมากที่สุดบนทุ่งหญ้าอัสดงแห่งนี้
“คุณชาย มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากพูดคุยกับท่าน” มั่วหยางเอ่ย
“พูดมา” มู่ชิงเกอพยักหน้า
มั่วหยางขบริมฝีปาก เผยความคิดที่อยู่ในใจมานานออกมาบอกแก่มู่ชิงเกอ “ตอนนี้องครักษ์เขี้ยวมังกรมีชื่อเสียงต่อภายนอก มีหลิวเค่อจำนวนไม่น้อยเข้ามาสมัคร ข้าคิดว่าจะสามารถสร้างกองกำลังขึ้นอีกเพื่อขยายฐานกำลังในโลกแห่งยุคกลางของพวกเราได้หรือไม่?”
มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ เอ่ยว่า “ความคิดดีมาก แต่เจ้ารู้ความยากภายในนั้นหรือไม่? ภายในหลิวเค่อนั้นเป็นแหล่งเสือซุ่มมังกรซ่อนผสมผสาน ขาดวินัย พวกเขาทำตามใจจนเคยชินแล้ว ยากที่จะสั่งสอน อีกอย่าง คนเมื่อมากขึ้นก็ง่ายดายมากที่จะมีหนอนบ่อนไส้ จุดๆ นี้เจ้ามีการเตรียมการไว้หรือไม่? องครักษ์เขี้ยวมังกรนั้นพิเศษ พวกเจ้ารู้สถานการณ์ของตนเองดี พวกเขาคิดจะเข้ามาร่วม ก็คือคิดอยากจะเป็นเหมือนกับพวกเจ้า ส่วนข้าก็ไม่สามารถจะสร้างองครักษ์ประจำตัวเช่นพวกเจ้าขึ้นมาได้อีก จุดๆ นี้จะแก้ไขมันอย่างไร?”
ยาเปลี่ยนดีเอ็นเอของนางนั้นไม่มีอีกแล้ว ไม่สามารถเกิดองครักษ์เขี้ยวมังกรที่ไม่กลัวพิษทั้งยังมีกำลังความสามารถทางการรบที่แข็งแกร่งได้อีกแล้ว
นางไม่ขัดขวางการจะเพิ่มองครักษ์เขี้ยวมังกร แต่ว่าเหล่านี้ก็คือปัญหาที่ต้องคิดกันก่อน
“สถานการณ์เหล่านี้ ข้าได้คิดเตรียมไว้บ้างแล้ว” หลังจากมั่วหยางนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยตอบออกมา เขาไม่เคยถูกปัญหาตีให้ล้ม แต่ต้องคิดหาวิธีแก้ไขอย่าง ละเอียด
จุดๆ นี้ ทำให้มู่ชิงเกอชื่นชมมาก นางยิ้มแล้วพยักหน้า “ดี องครักษ์เขี้ยวมังกรข้าขอมอบให้เจ้าจัดการ แต่ก่อน เจ้าไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวัง เชื่อว่าต่อไปก็คงจะไม่ หลังเจ้าคิดดีแล้วก็เขียนแผนการมาให้ข้า”
นางสามารถคิดวิธีแก้ปัญหาเหล่านี้ออกมาได้ด้วยตนเอง แต่นางต้องการให้มั่วหยางพัฒนาขึ้นมากกว่า ทำให้นางมีผู้ช่วยเพิ่มขึ้นมาอีก
“ขอรับ คุณชาย!” มั่วหยางรับคำสั่ง
“ครูฝึก!”
“คุณชาย!”
ทันใดนั้น ไกลออกไปก็มีเสียงที่ดูตื่นเต้นสองสายดังเข้ามา
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองออกไป ก็มองเห็นจิงไห่และโย่วเหอสวมเกราะเบาวิ่งเข้ามาหานางด้วยสีหน้าดีใจ หน้าผากของพวกเขายังชื้นไปด้วยเหงื่อ ดูแล้วเหมือนเพิ่งจะกลับมาจากการฝึก
มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มออกมา เอ่ยกับมั่วหยางที่อยู่ข้างกายว่า “หลังจากจิงไห่เข้าไปอยู่ในเขี้ยวมังกรแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?”
โย่วเหอนั้นนางไม่ได้เป็นกังวล
มั่วหยางพยักหน้าเอ่ยว่า “อดทนต่อความลำบาก ไม่กลัวสกปรก ไม่กลัวเหนื่อย พัฒนาการรวดเร็ว ตอนนี้ข้ามอบงานสืบสวนให้เขาบ้างแล้ว”
มู่ชิงเกอครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “มีอะไรเป็นพิเศษหรือไม่?”
ในใจของนางรู้สึกอยู่เสมอว่าจิงไห่กับตระกูลจิงในภาคกลางนั้นมีความเกี่ยวข้องกัน แม้ว่าเบื้องหน้านอกจากจะมีแซ่เหมือนกันแล้วก็ไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ความสัมพันธ์นี้อยู่เลยก็ตาม
มั่วหยางครุ่นคิดแล้วก็ค่อยๆ ส่ายหน้า “ไม่มี”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ ไม่ได้เอ่ยถามต่อ
ในตอนนี้ จิงไห่กับโย่วเหอได้มาถึงตรงหน้าของนางแล้ว
“ครูฝึก ในที่สุดท่านก็มาแล้ว!” จิงไห่เผยรอยยิ้มสดใส
มู่ชิงเกอยิ้มรับ เอ่ยถามว่า “อยู่ที่นี่ปรับตัวได้หรือยัง?”
จิงไห่พยักหน้า นัยน์ตาเปล่งประกายสดใสแตกต่างจากอดีต ความเป็นเด็กในตัวเขาได้ลดน้อยลงไปมากแล้ว เพิ่มความกระตือรือร้นจากการฝึกหนักออกมาแทน
“เสี่ยวไห่!” ไกลออกไป มีเสียงตื่นเต้นดังขึ้น
ทุกคนมองไปก็เห็นหยวนหยวนกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ พร้อมกับโบกสองมือเต้นระบำ
“เป็นอาจารย์อาเล็ก!” เมื่อมองเห็นหยวนหยวน สายตาของจิงไห่ก็ปรากฎร่องรอยยินดีออกมา เขามองไปทางมู่ชิงเกอ นัยน์ตาซ่อนความคาดหวัง
มู่ชิงเกอพยักหน้า “ไปเถอะ”
“ขอรับ ครูฝึก” จิงไห่วิ่งไปหาหยวนหยวนด้วยความดีใจ
ไม่นาน หนุ่มน้อยที่อายุพอๆ กันก็คึกคักกันขึ้นมา
มั่วหยางกับโย่วเหออยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ เดินไปบริเวณที่สูงภายในค่าย
“มั่วหยาง ข้าพาเซวี่ยนขุยมาด้วย ภายในสองวันให้เจ้าสอนวิธีใช้กลีเนทลันเชอร์กับเขา ขณะเดียวกันเจ้าก็คัดเลือกคนที่มีสายตาดีและมีความอดทนสูงจาก องครักษ์เขี้ยวมังกรออกมา ข้าจะฝึกฝนพวกเขา บนทุ่งหญ้าอัสดงก็เหมาะทีเดียวที่จะใช้เป็นสถานที่ฝึกที่ดี ภายในหนึ่งเดือนนี้ไม่อาจเสียเปล่าได้”
“ขอรับ! คุณชาย” มั่วหยางได้ยินแล้วนัยน์ตาก็เปล่งประกาย
เพราะเขารู้ว่า คุณชายจะสอนทักษะพิเศษอีกแล้ว!
บนแท่นสูง ที่นี่สูงประมาณหอสังเกตการณ์ สามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวบนทุ่งหญ้าอัสดงอย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน
บนทุ่งหญ้าอัสดง มีค่ายตั้งขึ้นนับพันนับหมื่นค่าย ดุจดั่งทะเล มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
กลุ่มคนยิ่งมีนับไม่ถ้วน ไม่รู้ว่ามีคนเข้ามาจำนวนเท่าไหร่
มู่ชิงเกอกวาดตามองรอบหนึ่ง จากนั้นสายตาก็จ้องไปยังช่องว่างที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันตรงกลางในทันที เมื่อเทียบกับรอบด้านที่ดูแออัดแล้ว ทำให้นางไม่อาจไม่สนใจได้
มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง ดูเหมือนว่ามีกองกำลังสองกองกำลังเผชิญหน้ากัน หนึ่งฝ่ายในนั้นโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด พลังแข็งแกร่ง ขี่บนสัตว์อสูรวิญญาณ มือยังถือธง
ตั้งสูง
สายตาของมู่ชิงเกอมองไปยังธง บนนั้นปักอักษร ‘อิ๋ง’ เอาไว้ ทำให้นางพึมพำออกมาว่า “ตระกูลอิ๋ง”
พบเจอตระกูลอิ๋งเร็วถึงขนาดนี้ นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงของมู่ชิงเกอ
งานล่าสัตว์สัตว์ครั้งใหญ่ของหลิวเค่อสามารถดึงดูดตระกูลอิ๋งมาได้ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เหนือความคาดหมาย
ภายในดวงตาที่ดูคมวาวของมู่ชิงเกอ แววตาวาววาบไปมา ครุ่นคิดในใจ ‘เวลานี้คนที่สามารถเผชิญหน้ากับตระกูลอิ๋งได้นั้นเป็นใคร?’
อย่างไม่รู้สึกตัว ภายในหัวของมู่ชิงเกอเผยใบหน้าของซางเสวี่ยอู่ขึ้น
นางขมวดคิ้วขึ้น ในใจลอบเอ่ยว่า “นางคงไม่มาทุ่งหญ้าอัสดงเหมือนกันหรอกใช่ไหม”
“ส่งคนไปสืบดูหน่อยว่าฝั่งทางนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น” มู่ชิงเกอสั่งการมั่วหยาง
มั่วหยางรีบส่งองครักษ์เขี้ยวมังกรออกไปสืบในทันที แต่เดิมก็อยู่บนทุ่งหญ้าอัสดง เพียงแต่หนึ่งอยู่บนเนินเขา อีกหนึ่งอยู่ใต้เนินเขาก็เท่านั้น
อย่างรวดเร็วองครักษ์ที่ถูกส่งไปสืบข่าวก็กลับมา ชันเข่าต่อหน้ามู่ชิงเกอแล้วรีบเอ่ยว่า “รายงานคุณชาย ใจกลางทุ่งหญ้าอัสดง ตระกูลอิ๋งและตระกูลซางเผชิญหน้ากัน เรื่องราวเกิดเพราะคุณหนูตระกูลซางตัดลิ้นคุณชายรองตระกูลอิ๋ง ตอนนี้ตระกูลอิ๋งคิดจะนำตัวคุณหนูตระกูลซางไป”
ที่แท้ก็เกี่ยวกับนาง นัยน์ตาของมู่ชิงเกอดูเคร่งขรึมขึ้น นางเอ่ยถามอย่างสงบว่า “ผู้นำของตระกูลอิ๋งที่มานั้นเป็นใคร?”
“เป็นนายน้อยตระกูลอิ๋ง อิ๋งเจ๋อ” องครักษ์เขี้ยวมังกรเงยหน้าขึ้นตอบคำถามของมู่ชิงเกอ
อิ๋งเจ๋อ! ถึงกับเป็นอิ๋งเจ๋อ!
ดวงตาของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง ความเยียบเย็นในดวงตาถูกเผยออกมาให้เห็น คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบเจอกับคนที่อยู่ในลำดับหนึ่งถึงห้าบนทำเนียบชิงอิงได้เร็วขนาดนี้
มู่ชิงเกอครุ่นคิด ลงมาจากพื้นสูงเดินมุ่งไปยังประตูค่าย
“คุณชาย ท่านจะไปไหน?” มั่วหยางไล่ตามไปถาม
มู่ชิงเกอกลับไม่ได้หันกลับไปมอง เพียงแต่ก้าวยาวๆจากไป พร้อมกับเอ่ยว่า “ลิ้นของอิ๋งชวน ข้าเป็นคนตัดเอง”
พูดแล้วนางก็เปิดประตูก้าวยาวๆ ออกไป
มั่วหยางชะงัก ท่าทีเปลี่ยนไปชั่วขณะ
อยู่ในโลกของหลิวเค่อ เขาไม่อาจไม่รู้ได้ว่าอิ๋งเจ๋อเป็นใคร!
เขารีบเอ่ยกับโย่วเหอในทันทีว่า”ฝากค่ายไว้กับเจ้าแล้ว”
จากนั้นก็ส่งสัญญาณรวมตัวในทันที “องครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งหมดรวมตัว!”
การตัดสินใจหนึ่งของมู่ชิงเกอเริ่มสร้างความเคลื่อนไหว ทำให้เหล่าหลิวเค่อที่เฝ้าอยู่รอบนอกของค่ายองครักษ์ เขี้ยวมังกรเหล่านั้นเกิดความสงสัย ในใจคาดเดาว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเขี้ยวมังกรถึงได้ดูเคร่งเครียดกันขนาดนั้น
“อิงเจ๋อ เจ้าอย่าได้ทำเกินไปนัก! คนตระกูลซางของข้า ใช่คนที่เจ้าคิดจะพาตัวไปก็พาตัวไปได้งั้นหรือ?” ผู้อาวุโสสามหน้าตึง จ้องอิ๋งเจ๋อพลางเอ่ยตักเตือน
แต่ว่า อิ๋งเจ๋อกลับไม่สนใจ เหมือนว่าไม่เห็นตระกูลซางอยู่ในสายตาเลยด้วยซํ้า
หลังจากที่เขาถูกผู้อาวุโสสามเอ่ยเตือนแล้ว ก็ใช้นํ้าเสียงที่ดูแคลนกล่าวว่า “ตระกูลซางในตอนนี้ มีใครที่คู่ควรให้ข้าเกรงใจด้วยงั้นหรือ?”
อหังการ! เผด็จการ! ท้าทาย!
ท่าทางและนํ้าเสียงของอิ๋งเจ๋อ ล้วนแต่แสดงให้เห็นได้ชัดถึงสามจุดนั้น
คำพูดของเขาสั่นคลอนตระกูลซางในตอนนี้ ตบหน้าคนทุกคนของตระกูลซาง
“ชิ มีอย่างที่ไหน กล้ามาพูดดูหมิ่นตระกูลซางของข้าเช่นนี้” ซางจื่อหลันจ้องมองอิ๋งเจ๋ออย่างโมโห
แต่ว่า อิ๋งเจ๋อจะไปสนใจบุคคลเล็กๆ เช่นนี้ได้?
“อิ๋งเจ๋อ คนที่เจ้าต้องการก็คือข้า แต่เดิมก็ไม่เกี่ยวกับคนอื่น คำตอบของข้าเป็นเช่นนี้ในตอนนี้ ต่อจากนี้ไปก็เป็นเช่นเดียวกัน” ซางเสวียอู่เอ่ยออกมา
อิ๋งเจ๋อกวาดสายตาดูแคลนมองมา เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่อย่างงั้นหรือ?”
“อิ๋งเจ๋อ เจ้าต้องการจะเอาอย่างไรกันแน่? เรื่องนี้แต่เดิมอิ๋งชวนก็เป็นผู้ผิดก่อน แต่มาตอนนี้เจ้ากลับยังมาบีบบังคับคนงั้นหรือ?” ผู้อาวุโสสามตะคอกออกมา ท่าทีของอิ๋งเจ๋อทำให้เขารู้แล้วว่าเรื่องราวยากที่จะจัดการ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ต้องปกป้องรุ่นเยาว์ของตระกูลซางให้กลับคืนสู่ตระกูลซางให้ได้ แม้ว่าเขาจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ก็ตาม!
“ข้าพูดแล้วว่าส่งคนที่ทำร้ายน้องชายข้าออกมา” อิ๋งเจ๋อเอ่ยยืนยัน
ผู้อาวุโสสาวมองไปที่ซางเสวี่ยอู่ ใช้นํ้าเสียงที่เคร่งขรึมเอ่ยว่า “เสวี่ยอู่ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? อิ๋งชวนนั้นเป็นใครเป็นคนทำร้ายกันแน่?”
“เสวี่ยอู่ เจ้าพูดอะไรหน่อยสิ?” ซางอี้เฉินก็รู้สึกแปลกใจเช่นเดียวกัน ไล่ซักถามซางเสวี่ยอู่
นัยน์ตาของซางเสวี่ยอู่เผยอารมณ์ซับซ้อนออกมาแวบหนึ่ง แล้วก็เอ่ยเสียงเข้มว่า “คนหากว่าข้าไม่ได้เป็นคนทำร้ายแล้วข้ายังจะออกมายอมรับผิดทำไม?”
ผู้อาวุโสสามเอ่ยอย่างไม่เชื่อว่า “แต่ว่าอิ๋งเจ๋อกลับพูดอยู่ตลอดว่า…,,
ซางเสวี่ยอู่กัดฟัน ตัดบทพูดของผู้อาวุโสสาม ทันใดนั้น ก็ผลักซางอี้เฉินไปทางผู้อาวุโสสาม ตัดบทคำถามที่เขา ยังพูดไม่จบ จากนั้น นางก็กระโดดพลิ้วขึ้นต่อหน้าทุกคนที่กำลังตกตะลึง ภายในมือสว่างวาบ กระบี่เทวะเล่มหนึ่งปรากฎขึ้นในมือของนาง แทงพุ่งเข้าใส่อิ๋งเจ๋อ เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่ดูเย็นชาว่า “อิ๋งชวนนั้นข้าเป็นคนทำร้าย หากว่าเจ้าคิดจะล้างแค้นแล้วเหตุใดต้องหาเหตุผลเหล่านี้มาด้วย? เจ้าอยากล้างแค้นข้าก็จะสนองให้”
การเคลื่อนไหวของนางทำให้คนของตระกูลซางตกตะลึงมาก
“เสวี่ยอู่!” ผู้อาวุโสสามตะโกนออกมาอย่างตกใจ
ซางเสวี่ยอู่ไหนเลยจะเป็นคู่มือของอิ๋งเจ๋อได้? การเคลื่อนไหวเช่นนี้เพียงแต่จะทำให้อิ๋งเจ๋อโมโหลงมือฆ่าคนก็เท่านั้น!
‘นี่ไม่เหมือนกับเสวี่ยอู่ยามปกติ เสวี่ยอู่นั้นใจเย็นมาก ไม่หุนหันพลันแล่นเช่นนี้’ ผู้อาวุโสสามเอ่ยขึ้นในใจ
เขากลับไม่รู้เลยว่า ซางเสวี่ยอู่ได้ถูกบีบจนไร้ทางเลือกแล้ว ทำได้เพียงชักอาวุธเข้าสู้ เพราะว่าในใจของนางนั้นคิดถึงคนที่นางอยากจะปกป้อง ไม่ว่าคนๆ นั้นจะใช่คนที่นางคิดเอาไว้คนนั้นหรือไม่ นางก็ล้วนแต่ต้องปกป้อง ไม่ให้นางได้รับอันตรายใดๆ
“ซางเสวี่ยอู่ เจ้าทำอะไร!” ซางอี้เฉินร้อนใจ และก็คิดจะไล่ตามไป
แต่ว่า ผู้อาวุโสสามกลับคว้าจับเขาไว้แน่น ไม่ให้เขาขยับแม้แต่นิดเดียว
เพียงพริบตาเดียว ซางเสวี่ยอู่ก็ลงมือกับอิ๋งเจ๋อภายใต้ความตื่นตะลึงของทุกคน
คนของตระกูลอิ๋งทยอยพากันชักอาวุธออกมา
ส่วนอิ๋งเจ๋อกลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ นั่งอยู่บนสัตว์อสูรววิญญาณ สายตากวาดมองไปยังซางเสวี่ยอู่ที่บีบเข้ามาใกล้อย่างดุดัน “ไม่เจียมตัว”
คำพูดดูธรรมดานั้นแฝงเอาไว้ด้วยพลังมหาศาล ดุจดังคลื่นทะเลถาโถมบดอัดเข้าใส่ซางเสวี่ยอู่
นางยังไม่ทันได้เข้าใกล้อิ๋งเจ๋อ ก็ถูกพลังอันแข็งแกร่งปะทะเข้า อดไม่ได้ที่จะกระอักเลือดออกมา ทั้งร่างปลิวลอยกลับไปอย่างไม่อาจต่อต้าน
“เสวี่ยอู่!”
“เสวี่ยอู่!”
ผู้อาวุโสสามกับซางอี้เฉินร้องตกใจดังขึ้นมาท่ามกลางฝูงคน
ความเจ็บปวดที่ดุจดังกระดูกได้แหลกสลายไปทั้งร่างนี้ ทำให้ซางเสวี่ยอู่ไม่ได้ยินเสียงร้องด้วยความกังวลนี้ นางรู้สึกเพียงว่าตนเองลอยอยู่กลางอากาศ มองเห็นก้อนเมฆที่ลอยบนทุ่งหญ้าอัสดง
ทันใดนั้น เอวของนางก็แน่นขึ้น ทั้งตัวตกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดหนึ่ง นางเงยหน้ามองไป ก็มองเห็นเป็นใบหน้าของมู่ชิงเกอ
“เป็นเจ้า!” นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจ
ท่าทางของมู่ชิงเกอดูเคร่งขรึมมองดูนาง ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปากของนาง เม็ดยาเม็ดหนึ่งปรากฎขึ้นในมือนาง ป้อนเข้าไปในปากของซางเสวี่ยอู่ ใช้คำพูดที่ดูดุจคำสั่งเอ่ยว่า “กินซะ”
ซางเสวี่ยอู่ไม่ได้ขัดขืน เพียงแต่กลืนยาในปากลงอย่างว่านอนสอนง่าย สายตาจ้องมองใบหน้าของมู่ชิงเกอ ตาแดงกํ่า
ท่าทีเช่นนั้นดูเหมือนกับเด็กที่ถูกรังแกแล้วในที่สุดก็พบที่พึ่งของตนเอง
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจในท่าทีของซางเสวี่ยอู่
นางนำซางเสวี่ยอู่พลิ้วตัวลงมาจากกลางอากาศ ยืนอยู่ระหว่างตระกูลซางและตระกูลอิ๋ง
“เสวี่ยอู่ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” ผู้อาวุโสสามรีบพุ่งเข้ามา เอ่ยถามซางเสวี่ยอู่
ซางอี้เฉินก็เข้ามาพร้อมกัน สองมือจับไหล่ของซางเสวี่ยอู่ พิจารณาอย่างละเอียด สีหน้าของเขาซีดขาว ดูเหมือนว่าได้รับความตกใจกลัวครั้งใหญ่มา
ซางเสวี่ยอู่ตื่นขึ้นมาจากภวังค์ ตอบคำถามของผู้อาวุโสสามด้วยการสั่นศีรษะ ความเจ็บปวดที่นางรู้สึกตอนแรก ดูเหมือนว่าตอนนี้จะหายดีแล้ว ไม่ได้เจ็บปวดอีกแล้ว
‘เป็นยาเม็ดนั้น!’ ซางเสวี่ยอู่เข้าใจขึ้นมาในทันที ส่งสายตาที่ดูซับซ้อนมองไปยังแผ่นหลังของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนางไม่ไกล
“เขาเป็นใครกัน? เหตุใดข้าจึงรู้สึกคุ้นเคยกับเขา?” หลังจากที่ซางอี้เฉินแน่ใจว่าซางเสวี่ยอู่ไม่เป็นอะไรแล้ว ถึงได้มองไปทางแผ่นหลังของคนที่สวมชุดสีแดงดุจเปลวเพลิงผู้นั้น
การพึมพำของเขาทำให้ซางเสวี่ยอู่ใจเต้นแรงขึ้นมา
ส่วนผู้อาวุโสสามกลับไม่ได้สนใจ เพียงแต่ตำหนิซางเสวี่ยอู่ว่า “เสวี่ยอู่ เหตุใดเจ้าจึงหุนหันพลันแล่นเช่นนี้? ไม่ต้องการชีวิตแล้วหรืออย่างไร?”
“ซางเสวี่ยอู่ ในเมื่อเจ้าแซ่ซางก็อย่างได้ทำเรื่องอย่างหุนหัน ไม่กลัวว่าจะทำให้ตระกูลซางของพวกเราลำบากหรืออย่างไร?” สีหน้าของซางจื่อหลันก็ดูซีดขาว แต่กลับต่อว่าด้วยนํ้าเสียงที่รุนแรง
แต่ว่าตอนนี้ ซางเสวี่ยอู่กลับไม่ได้คิดอะไรเลย เพียงแต่มองไปทางมู่ชิงเกออย่างเป็นห่วง
ผู้อาวุโสสามสังเกตได้ถึงสายตาของนางจึงเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “เขาคือ…”
“เจ้าเป็นใครกัน? กล้าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของข้า?” คำถามของอิ๋งเจ๋อดุจดั่งนํ้าแข็งเย็นเฉียบพุ่งเข้าไปในหูของทุกคน
มู่ชิงเกอยืนตรง ความกล้าบนหว่างคิ้วไม่ได้ลดทอนลงเพราะกำลังเผชิญหน้ากับอิ๋งเจ๋อเลยแม้แต่น้อย นางยิ้มเย็น เอ่ยยั่วยุว่า “อย่างไร? อิ๋งชวนกลับไปพูดไม่ได้แล้ว อักษรก็เขียนไม่ได้อีกหรืออย่างไร? ถึงไม่ได้บอกเจ้าว่าคนที่ตัดลิ้นของเขานั้นสวมชุดเช่นไร รูปร่างเป็นอย่างไร?”
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า!” ดวงตาของอิ๋งเจ๋อหดตัวลง ความกดดันรอบร่างกายหนาแน่นยิ่งขึ้น
“คุณชายชุดแดงหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้เป็นใครกันแน่?”
“ใครจะรู้ ไม่เคยเห็นมาก่อน และก็ไม่เคยได้ยินว่ามีตระกูลไหนที่มีคุณชายรูปร่างงดงามเช่นนี้อยู่ด้วย”
“รูปโฉมไม่ธรรมดาจริงๆ ดูสง่าสูงส่งดุจดั่งพระอาทิตย์ที่เจิดจ้าสะท้อนตาคน”
เสียงพูดคุยดังขึ้นภายในฝูงคนรอบทิศ
“เสวี่ยอู่ เขาเป็นใคร? เขาเป็นคนที่ทำร้ายอิ๋งชวนงั้นหรือ? เหตุใดเจ้าต้องปกป้องเขาด้วย?” ซางอี้เฉินเอ่ยถาม
“หุบปาก!” ทันใดนั้นซางเสวี่ยอู่ก็จ้องมองเขาอย่างเคร่งขรึม
ซางอี้เฉินชะงัก ซางเสวี่ยอู่ไม่เคยใช้นํ้าเสียงที่ดูเคร่งขรึมขนาดนี้พูดกับเขามาก่อน
“นั่นคือ…นั่นคือ…” นัยน์ตาของซางเสวี่ยอู่เผยร่องรอยของอารมณ์ที่ดูซับช้อน
ส่วนในตอนนี้ เสียงของอิ๋งเจ๋อก็ดังขึ้นมา “บอกชื่อมา”
เสียงของเขาเพิ่งจะหลุดออกไป เสียงฝีเท้าก็ค่อยๆ ดังเข้ามา
ฝูงคนที่ล้อมอยู่ถูกแยกออกไป กลุ่มที่ถูกฝึกอย่างเป็นระเบียบ ร่างกายสวมชุดเกราะสีดำ เสื้อคลุมด้านนอกสีดำ ด้านในสีแดง ท่าทางดูดุดันและเยียบเย็นปรากฎขึ้นต่อหน้าทุกคน
“เป็นเขี้ยวมังกร!”
“เป็นเขี้ยวมังกรจริงๆ!”
“เหตุใดพวกเขาถึงได้มาปรากฎตัวที่นี่ได้?”
มีคนจำสถานะของพวกเขาได้
“รีบดูนั่น นั่นคือผู้บัญชาการของเขี้ยวมังกร ใต้เท้ามั่ว!”
มีคนจดจำมั่วหยางได้
“เป็นเขี้ยวมังกรงั้นหรือ? พวกเขาก็มาเพราะได้ยินข่าวงั้นหรือ?” ผู้อาวุโสสามเอ่ยอย่างตะลึง เมื่อได้เห็นกองกำลังเขี้ยวมังกรกับตา ในใจของเขาก็ยิ่งอยากจะร่วมมือกับเขี้ยวมังกร กองกำลังที่มีระเบียบเช่นนี้ ดูดีกว่าองครักษ์เงาที่เหล่าตระกูลใหญ่บ่มเพาะขึ้นมาเป็นอย่างดีเสียอีก
จิตวิญญาณที่สะท้อนออกมานั้นดูไม่เหมือนกับคนทั่วไป!
‘นี่ก็คือเขี้ยวมังกรงั้นหรือ?’ ซางเสวี่ยอู่ก็มองกลุ่มคนที่โผล่ออกมาอย่างตะลึงเช่นเดียวกัน
ซางอี้เฉินก็ลืมไปแล้วว่าถูกซางเสวี่ยอู่ตัดบทพูด อ้าปากค้างมองเขี้ยวมังกรที่แผ่กลิ่นอายเหนือคนธรรมดาออกมา
“พวกเขาก็คือเขี้ยวมังกรงั้นหรือ? ท่าทางดูร้ายกาจยิ่งนัก!” ซางจื่อหลันเอ่ยเสียงแผ่วเบา ในนํ้าเสียงฉายแววสงสัยและตกตะลึง
การปรากฎตัวขององครักษ์เขี้ยวมังกรตัดบทที่อิ๋งเจ๋อกำลังพูดก่อนหน้านี้
นัยน์ตาของเขาฉายแววอำมหิตมองไปยังกองกำลังเขี้ยวมังกร แต่กลับไม่ได้พูดอะไร นัยน์ตาวาววาบไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
มั่วหยางนำองครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งห้าร้อยคนรีบไล่ตามมา ไม่สนใจสายตาของผู้คน เดินตรงมายังมู่ชิงเกอ
“รีบดู เหตุใดพวกเขาจึงเดินไปหาคุณชายผู้นั้น?”
“คุณชายผู้นั้นคงไม่ใช่ว่าไปล่วงเกินคนของเขี้ยวมังกรเช่นกันแล้วถูกไล่ตามมาที่นี่หรอกใช่ไหม?”
เสียงการคาดเดานี้ทำให้ในใจของซางเสวี่ยอู่วุ่นวายใจ เป็นห่วงมู่ชิงเกอ แต่ว่า มู่ชิงเกอกลับยังคงมีท่าทีเคร่งขรึม ไม่มองเขี้ยวมังกรแม้แต่แวบเดียว มองเพียงฝั่งทางตระกูลอิ๋ง
‘เขาล่วงเกินเขี้ยวมังกรงั้นหรือ?’ อิ๋งเจ๋อก็คิดว่าการคาดเดานี้มีความเป็นไปได้สูงมาก นัยน์ตาที่ดูแข็งกร้าว เปลี่ยนเป็นดูแคลนขึ้นมาชั่วขณะ
คนตรงหน้าดูหยิ่งผยองขนาดนี้ ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจนัก!
ตนอยากดูจริงๆ ว่าเขาจะรักษาความหยิ่งผยองที่ทำให้คนรังเกียจนี้ไปได้นานสักแค่ไหนเมื่อถูกโจมตีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
ภายใต้สายตาของคนนับหมื่นที่มุงดู มั่วหยางและองครักษ์เขี้ยวมังกรเดินไปถึงด้านหลังของมู่ชิงเกอ แต่กลับทำเรื่องที่ทำให้คนเบิกตากว้างอ้าปากค้างออกมา พวกเขาชันเข่าอย่างเป็นระเบียบต่อมู่ชิงเกอ ร้องออกมาพร้อมเพรียงกันว่า “คุณชาย!”
ให้ตายเถอะ! นี่เป็นสถานการณ์อะไร?
พูดดีแล้วว่าล่วงเกินมิใช่หรือ?
คุณชาย? นี่คือการเรียกอะไร?
บนทุ่งหญ้าอัสดง ตกเข้าไปอยู่ในความเงียบสงบ ทุกๆ คนดุจดั่งกลายเป็นหิน แม้แต่เข็มตกก็คงได้ยิน
ท่าทีของอิ๋งเจ๋อเปลี่ยนเป็นชะงักแข็งค้าง ส่วนมุมปาก ของมู่ชิงเกอกลับฉีกยิ้มออกมาอย่างท้าทาย
ซางเสวี่ยอู่แล้วก็ยังมีคนอื่นๆ ของตระกูลซางล้วนแต่มองมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง พวกเขาสงสัยในสถานะของเขา
ส่วนสายตาของซางเสวี่ยอู่ก็หวั่นไหวขึ้นมา
ไกลออกไป บนเนินเขา กลุ่มของไป๋สี่ไม่ได้ตามองครักษ์เขี้ยวมังกรไป
พวกเขากลับยืนอยู่ที่สูง จับตามองความเคลื่อนไหวทุกอย่างบนทุ่งหญ้า
“ข้าจะไปช่วยลูกพี่ตีคน!” หยวนหยวนพับแขนเสื้อขึ้น และต้องการที่จะวิ่งออกไป แต่ว่ากลับถูกหยินเฉินคว้าเอาไว้
ไป๋สี่เอ่ยว่า “มีองครักษ์เขี้ยวมังกรอยู่จะไม่มีทางทำให้ชิงเกอเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน พวกเราอยู่ที่นี่คอยเฝ้าค่ายให้ดี ถ้าหากว่าเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้น พวกเราค่อยไปก็ไม่สาย อยู่ใกล้ขนาดนี้”
นางมีความมั่นใจมากว่าหากกลับคืนสู่ร่างเดิม พริบตาเดียวก็สามารถไปปรากฎตัวตรงหน้าของมู่ชิงเกอได้แล้ว
เซวี่ยนหย่าก็พยักหน้าเอ่ยว่า “สถานการณ์ไม่ชัดเจน พวกเราไม่มีความจำเป็นจะต้องเปิดเผยกำลังทั้งหมดของนายน้อยออกไป”
“พวกเขาเป็นคนของเจ้าหรือ?” อิ๋งเจ๋อตื่นขึ้นมาจากอาการตะลึง มองมู่ชิงเกอแล้วค่อยๆ เอ่ยออกมา มั่วหยางกับองครักษ์เขี้ยวมังกรห้าร้อยคนยืนขึ้นมา ยืนอยู่ด้านหลังของมู่ชิงเกอ ดูเหมือนดั่งแม่นํ้าสีดำสายหนึ่ง ที่ขั้นระหว่างตระกูลซางและตระกูลอิ๋ง
มู่ชิงเกอค่อยๆ พยักหน้า
การเคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้ของนาง ทำให้คนรอบข้างล้วนสูดลมหายใจเข้า
เพราะอย่างไร การคาดเดานั้นก็เป็นอีกเรื่อง สิ่งที่เห็นตรงหน้าก็เป็นอีกเรื่อง!
ภายในโลกของหลิวเค่อคิดมาตลอดว่าเจ้านายของเขี้ยวมังกรก็คือมั่วหยาง แต่กลับคิดไม่ถึงว่า เบื้องหลังของเขาจะยังมีคุณชายชุดแดงที่ดูหล่อเหลาและลึกลับอยู่อีกผู้หนึ่ง
ที่สำคัญที่สุดก็คือ สถานการณ์ในตอนนี้คือเขี้ยวมังกรขวางตระกูลอิ๋งงั้นหรือ?
การเปลี่ยนแปลงของเนื้อเรื่องทำให้คนตกตะลึง!
ผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่าพวกเขาไม่สามารถตามการเปลี่ยนแปลงของเรื่องทันได้เลย จากเริ่มต้นเห็นได้ชัดว่า เป็นเรื่องของตระกูลอิ๋งและตระกูลซางที่ความรักไม่สมหวังกลายเป็นต่อมา ตามมาด้วยคุณชายชุดแดงโผล่ออกมาอย่างกะทันหัน ช่วยซางเสวี่ยอู่ของตระกูลซางแล้วก็ยังเอ่ยว่าเขาต่างหากที่เป็นคนตัดลิ้นของคุณชายรอง ตระกูลอิ๋ง อิ๋งชวน
เดิมคิดว่าต่อไปน่าจะเป็นช่วงแก้แค้นของตระกูลอิ๋งแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่ากองกำลังที่สร้างปาฏิหาริย์มากมาย ชื่อเสียงโด่งดังที่สุด ลึกลับที่สุดในโลกแห่งหลิวเค่ออย่างเขี้ยวมังกรจะปรากฎตัวออกมาอย่างกะทันหัน ทั้งประกาศต่อหน้าทุกคนว่าคุณชายที่เผชิญหน้ากับตระกูลอิ๋งคนนั้นเป็นเจ้านายของพวกเขา!
ยอดเยี่ยม! ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!
งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่ยังไม่เริ่มต้นขึ้นก็สามารถได้เห็นฉากที่ยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้แล้ว การมาครั้งนี้คุ้มค่าจริงๆ!
“บอกชื่อมา!” อิ๋งเจ๋อเอ่ยถามอีกครั้ง
มู่ชิงเกอยิ้มออกมาเล็กน้อย เอ่ยชื่อของตัวเองออกมา “มู่ชิงเกอ”
นับจากนี้ไป ชื่อของมู่ชิงเกอก็ได้เริ่มกระจายออกไปในโลกแห่งยุคกลางแล้ว
“มู่ชิงเกอ!” ซางอี้เฉินเอ่ยอย่างตกตะลึง เขามองแผ่นหลังของมู่ชิงเกออย่างไม่อยากจะเชื่อ ดูเหมือนว่าจะเข้าใจในทันทีว่าเหตุใดซางเสวี่ยอู่ถึงได้ปกป้องนางถึงขนาดนี้
“อี้เฉิน เจ้ารู้จักงั้นหรือ?” ผู้อาวุโสสามได้ยินถึงเสียงที่ดูตกตะลึงของซางอี้เฉินจึงหันไปถาม
แต่ว่าซางเสวี่ยอู่กลับลอบจับมือของซางอี้เฉินห้ามเขาเอาไว้
ซางอี้เฉินกะพริบตา ส่ายหน้ากับผู้อาวุโสสาม
ผู้อาวุโสสามไม่ได้รับคำตอบ ทำได้เพียงหันกลับไปมองมู่ชิงเกอ
“เสวี่ยอู่นาง…นางไม่ใช่ว่าเป็น…” ซางอี้เฉินเข้าไปใกล้ซางเสวี่ยอู่ เอ่ยถามเสียงเบาอย่างตื่นเต้น
ซางเสวี่ยอู่ส่ายหน้า เอ่ยด้วยท่าทางที่ดูซับซ้อนว่า “ข้ายังไม่แน่ใจ”
“ต้องทำอย่างไรถึงจะแน่ใจได้? พวกเราไม่ไปถามนางตรงๆ เลยล่ะ” ซางอี้เฉินเอ่ยอย่างตื่นเต้น
ซางเสวี่ยอู่กลับยิ้มอย่างขมขื่น “เกรงว่านางคงไม่รู้ถึงการคงอยู่ของพวกเราหรอกกระมัง”
ประโยคนี้ทำให้ท่าทางที่ดูตื่นเต้นของซางอี้เฉินชะงัก ความผิดหวังเข้ารุมล้อมไปชั่วขณะ
ซางเสวี่ยอู่กัดฟัน เอ่ยปากว่า “คุณชายมู่ เรื่องนี้เกิดจากข้า ท่านลงมือช่วยข้า เป็นผู้มีพระคุณของข้า ไม่ควรลากท่านเข้ามาเกี่ยวข้องอีก”
นางไม่อยากให้มู่ชิงเกอตกอยู่ในอันตราย
แต่ว่า มู่ชิงเกอกลับหันกลับไปยิ้มให้นาง “เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง”
“งดงามจริงๆ!” ในตอนที่มู่ชิงเกอหันกลับมานั้น ซางจื่อหลันมองเห็นได้ชัดถึงรูปโฉมของเขา เอ่ยออกมาอย่างตะลึงไปชั่วขณะ
ทันใดนั้น สองแก้มของนางก็แดงขึ้น รู้สึกรุ่มร้อน การเปลี่ยนแปลงของนางทำให้ซางเหย่ไม่พอใจ
ส่วนซางอี้เฉินเมื่อได้ยินประโยคนี้ของนางแล้วกลับสบถอย่างดูแคลนออกมาคำหนึ่ง
ซางเสวี่ยอู่พยายามจะอ้าปาก ดูเหมือนยังอยากจะพูดอะไรโน้มนาวใจอีก
“เชื่อข้า” ส่วนมู่ชิงเกอก็ใช้สองคำทำให้นางยอมเงียบลง
เมื่อปลอบซางเสวี่ยอู่แล้ว มู่ชิงเกอถึงได้หันไปมองอิ๋งเจ๋อ
“เจ้าคิดที่จะจัดการเรื่องนี้คนเดียวงั้นหรือ?” อิ๋งเจ๋อหรี่ดวงตาเล็กลง เอ่ยออกมาอย่างเย็นชา
มู่ชิงเกอกระตุกริมฝีปาก เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่ดูบ้าคลั่งว่า “มีอะไรที่ไม่ได้? เจ้าคิดอยากจะจัดการอย่างไรก็พูดออกมา”
ซางอี้เฉินมองมู่ชิงเกอด้วยสายตานับถือ
ส่วนนัยน์ตาของซางเสวี่ยอู่กลับแฝงไว้ด้วยอารมณ์แห่งการพึ่งพา
นัยน์ตาของอิ๋งเจ๋อฉายแวววาววาบ เอ่ยอย่างแข็งกร้าวว่า “เจ้ากล้ารับงั้นหรือ?”
“เหตุใดจะไม่กล้า?” มุมปากของมู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มออกมา
“ดี!” นัยน์ตาของอิ๋งเจ๋อสงบนิ่ง เขามองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่เลว! มีความกล้าพอ ไม่รู้ว่าฝีมือจะเป็นอย่างไร”
นัยน์ตาของเขากวาดมองไปที่ซางเสวี่ยอู่ แล้วก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ลิ้นของอิ๋งชวนก็ถูกเจ้าตัดไปแล้ว ถ้าหากว่าเจ้าสามารถรับมือข้าได้สาม กระบวน เรื่องนี้ก็จบไป แน่นอนว่า ถ้าหากเจ้ารับไม่ได้แล้วตายภายใต้เงื้อมมือของข้าก็ไม่อาจแค้นข้า”
“ไม่ได้!” เมื่อได้ยินเงื่อนไขนี้ ท่าทางของซางเสวี่ยอู่ก็เปลี่ยนไปในทันที ตะโกนใส่แผ่นหลังของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอหลุบตาลง แล้วก็เงยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มองไปที่อิ๋งเจ๋อ หัวเราะเอ่ยว่า “มีโอกาสได้รับการชี้แนะจากอันดับสี่ของทำเนียบชิงอิง ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?”
นางตกลงแล้ว!
ขาของซางเสวี่ยอู่อ่อนยวบ เกือบจะล้มลงไป ซางอี้เฉินรีบพยุงนาง เอ่ยถามนางข้างหูว่า “พวกเราจะทำอย่างไรกันดี? อิ๋งเจ๋ออยู่ระดับสีเงินชั้นสี่เกือบจะถึง ระดับสีเงินชั้นห้าอยู่แล้ว จะให้นางรับกระบวนท่าได้อย่างไร? จะไปก็ให้ข้าไปเอง!”
“พวกเราทำได้เพียงเชื่อในตัวนางเท่านั้น!” ซางเสวี่ยอู่จับข้อมือของซางอี้เฉินแน่น มองมู่ชิงเกอด้วยความเป็นห่วง
“คุณชาย…” มั่วหยางก็มองมู่ชิงเกออย่างเป็นกังวล
นี่เป็นการรับกระบวนท่า ไม่ใช่การต่อสู้!
และก็หมายถึงว่า มู่ชิงเกอไม่สามารถลงมือกลับได้ ทำได้เพียงรับกระบวนท่าจากอิ๋งเจ๋อสามกระบวนท่า!
มู่ชิงเกอมองไปยังเขา นัยน์ตากระจ่างมีฉายแววแน่วแน่ มั่วหยางขบริมฝีปาก นำคนถอยไปอีกข้างบริเวณโดยรอบเปลี่ยนเป็นกว้างขึ้น
ทุกๆ คน ล้วนแต่พากันถอยหลังไปอย่างเข้าใจกัน เปิดช่องว่างที่เพียงพอให้แก่มู่ชิงเกอและอิ๋งเจ๋อ
“เขาสามารถรับกระบวนท่าสามท่าจากอิ๋งเจ๋อได้จริงหรือ? นายน้อยอิ๋งนั้นอยู่อันดับสี่บนทำเนียบชิงอิงเลยนะ!”
“ขาคิดว่ายาก อย่างมากก็น่าจะรับได้แค่ท่าเดียว”
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน เกรงว่าวันนี้คุณชายคนนี้คงจะตายภายใต้เงื้อมมือของอิ๋งเจ๋อเป็นแน่’’
“พวกเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า หากว่าเขาต้านทานได้ ชื่อเสียงนี้ก็จะกระจายออกไปว่าสามารถต้านทานสามกระบวนท่าจากอันดับสี่บนทำเนียบชิงอิงได้แล้วไม่ตาย จะคิดอย่างไรก็สามารถเข้าไปอยู่ในทำเนียบชิงอิงแล้ว!”
“ตามเหตุผลก็ไม่ผิด แต่ว่าความเป็นไปได้นี้ตํ่าเกินไป”
“ข้าเคยได้ยินมาว่า ตอนที่อิ๋งเจ๋ออายุได้ยี่สิบปีนั้น เคยใช้หมัดเดียวฆ่าคนระดับสีเงินชั้นหนึ่งตายไปคนหนึ่ง”
“ข้าก็ได้ยินมา! ตระกูลอิ๋งแต่เดิมก็มีสายเลือดอันทรงพลัง ทั้งสายเลือดของอิ๋งเจ๋อยังตื่นได้แข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ พละกำลังเหนือคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลัง ฝึกปรือยังสูงส่ง คนธรรมดานั้นไม่ใช่คู่มือของเขา กระดูกของใครจะแข็งขนาดนั้น สามารถต้านการทำลายจากเขาได้?”
“พูดมาเช่นนี้ อิ๋งเจ๋อก็คิดจะเอาชีวิตของคุณชายผู้นี้!”
“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ?”
“ดูแล้วบทสรุปวันนี้คงได้ถูกกำหนดไว้แล้ว!”
เสียงพูดคุยด้านข้างเหล่านี้ทำให้สีหน้าของซางเสวี่ยอู่ขาวซีด ซางอี้เฉินก็ร้อนรนดังไฟ
สีหน้าของมั่วหยางดำทะมึน กวาดตามองบรรดาคนที่พูดคุยกันเหล่านั้นอย่าง เยียบเย็น
แต่มู่ชิงเกอก็ดูเหมือนกับเป็นแนวปะการังในทะเล ที่ไม่ว่าจะโดนคลื่นกระแทกอย่างไรนางก็ไม่ขยับ อิ๋งเจ๋อกระโดดลงมาจากหลังของสัตว์อสูรวิญญาณ ใน ระหว่างที่เดิน เกราะเบาก็เกิดเสียงโลหะกระทบกัน เขาเดินมาเผชิญหน้ากับมู่ชิงเกอ
ใบหน้าของมู่ชิงเกอดูสงบ ยังคงมีความหยิ่งผยองที่เขารังเกียจประดับอยู่ ทำให้เขาไม่พอใจ
“คำที่พวกเขาพูดกัน เจ้าได้ยินหมดแล้ว ไม่คิดจะกังวลใจกับตัวเองสักนิดเลยงั้นหรือ?” อิ๋งเจ๋อพยายามจะทำลายความสงบของมู่ชิงเกอ ทันในนั้นเขาก็รู้สึกว่าถ้า หากใบหน้าที่ดูงดงามนี้เกิดอารมณ์หวาดกลัวหรือเสียใจขึ้นมาคงจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย
มู่ชิงเกอหัวเราะเบาๆ เอ่ยตอบว่า “เรื่องจริงจะสะท้อนไปตอกหน้าพวกเขาเอง”
“เจ้าดูมั่นใจมากนัก ข้าสงสัยจริงๆ ว่าความมั่นใจของเจ้ามาจากไหน?” นัยน์ตาของอิ๋งเจ๋อหรี่เล็กลง ยกมือขวาขึ้นมา เขาไม่ได้ใช้อาวุธ แต่ตอนที่เขายกมือขวาขึ้นนั้น สายลมไร้ลักษณ์ก็โผล่ขึ้นมาบนแขนขวาของเขา คลุมรอบแขนขวาทั้งแขนของเขา ทำให้เกิดกล้ามแขนตึงขึ้น เส้นเลือดพองตัวขึ้นมา
ในตอนที่เขายกแขนขวาขึ้นนั้น มู่ชิงเกอก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่พุ่งเข้ามา ทำให้นัยน์ตาของนางเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น
ด้านหลังขององครักษ์เขี้ยวมังกร ภายในกองกำลังของตระกูลซาง ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินลอบกำมือแน่น จ้องมองแผ่นหลังของมู่ชิงเกออย่างตึงเครียด
“ท่าที่หนึ่ง” อิ๋งเจ๋อตะคอกออกมา ทั้งตัวคนกระโดดขึ้นกลางอากาศ มือขวาชูขึ้นพุ่งเข้าใส่ทรวงอกของมู่ชิงเกอ
หมัดสายลมนั้นนำพาพลังแหวกอากาศเข้ามา พัดใบหญ้าให้ล้มแนบไปกับพื้น
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง ยกสองมือมาประสานกัน ไว้ที่ด้านหน้าหน้าอก ทำท่าป้องกัน
นางเพิ่งจะเตรียมตัวเสร็จ หมัดของอิ๋งเจ๋อก็ปะทะเข้ามาบนบริเวณมือที่นางประสานกันไว้
พลังที่เหมือนดุจดังค้อนยักษ์ทุบสั่นสะท้านไปยังกระดูกทั่วร่างของมู่ชิงเกอ กล้ามเนื้อส่งความรู้สึกเจ็บปวดมา ขาของนางอดไม่ได้ที่จะต้องถอยไปด้านหลังก้าวหนึ่ง เท้าหนึ่งเหยียบไปบนทุ่งหญ้าอัสดง เกิดเป็นรอยเท้าลึก ส่วนด้านหลังของเท้าหลังก็เกิดเป็นรอยแตกสายหนึ่ง
“รับไว้ได้แล้ว!”
“ถึงกับรับได้!”
อิ๋งเจ๋อค่อยๆ ถอนมือกลับ มองมู่ชิงเกออย่างไม่ได้รู้สึก เหนือความคาดหมาย “ปะทะแล้วก็นำพาเอาพลังลงไปสู่พื้น ยังถือว่าไม่โง่ ท่าที่หนึ่งถือว่าเจ้ารับได้ แต่ข้าขอบอกเจ้าไว้ว่า เมื่อครู่นั้นข้าใช้พลังเพียงแค่สามส่วนเท่านั้น ส่วนต่อไปกระบวนท่าที่สอง ข้าจะใช้พลังเจ็ดส่วน”
แขนทั้งสองของมู่ชิงเกอรู้สึกชา บนผิวเกิดรอยแดง
หากไม่ใช่ว่านางฝึกฝนอย่างหนักมาตลอด ใช้บ่อสายฟ้าฝึกปรือร่างกาย แรงเมื่อครู่นี้ก็คงเพียงพอแล้วที่จะทำให้หัวใจของนางแหลกสลาย
และนี่ก็ยังเป็นพลังเพียงแค่สามส่วนของอิ๋งเจ๋อ! นัยน์ตาของนางวาววาบ กวาดตามองไปยังสายตาเยาะเย้ยและขบขันรอบกาย ก่อนจะมองไปยังสายตาเป็นห่วงจากองครักษ์เขี้ยวมังกร สองพี่น้องซางเสวี่ยอู่ แล้วก็วกกลับไปมองที่อิ๋งเจ๋อ สองมือออกแรงกำกำปั้น ใช้ความสามารถในการรักษาตนเองรักษาตัวเองให้หายดี เป็นปกติในชั่วพริบตา
“มาเถอะ!” นางเอ่ยกับอิ๋งเจ๋อ