ตอนที่ 264
ความสามารถของคุณชายมู่ถือเป็นแบบอย่าง!
สวบ สวบ!
เสียงฝีเท้าขยับใกล้เข้ามา กองกำลังองครักษ์เขี้ยวมังกรกลุ่มหนึ่งปรากฎตัวขึ้นกลางป่า
ป่าไม้แถบนี้ติดกับเนินเขาที่ตั้งค่าย จึงถูกมั่วหยางใช้เป็นสนามฝึกซ้อมประจำวัน
“ที่นี่ไม่มีคน ขึ้นไปหาดูทางโน้น” คนที่ยืนอยู่หน้าสุดค้นหาดูบริเวณโดยรอบแล้วเอ่ยบอกสี่คนที่เหลือ
พูดจบ ทั้งห้าคนก็เดินจากไป
พวกเขาไม่ได้สังเกตพบว่าสถานที่ซึ่งพวกเขาเพิ่งจากมา มีดวงตาคมกริบคู่หนึ่งจับจ้องอยู่อย่างไม่กะพริบตา ในสถานที่ลับตาแห่งหนึ่ง บนกายของเขาคลุมสิ่งพรางตาไว้มากมาย ทำให้เขากลมกลืนไปกับบริเวณรอบๆ ไม่ถูกพบเห็นง่ายๆ
ผ่านไปสักระยะหนึ่ง มู่ชิงเกอก็ปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าเขาเอ่ยเสียงราบเรียบ “ออกมาเถอะ”
เซวี่ยนขุยที่แสร้งนอนราบไปกับพื้นยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว กิ่งไม้ใบไม้บนตัวร่วงลงบนพื้น
นอกจากนี้แล้ว อีกสามสี่แห่งรอบตัวเขาก็มีคนที่ลักษณะไม่ต่างจากเขาผุดลุกขึ้นมา สิ่งที่ไม่เหมือนกันก็คือที่ตัวของสามลี่คนนั้นมีสัญลักษณ์องครักษ์เขี้ยวมังกร
“ในฐานะที่เป็นมือปืนซุ่มยิง ปัจจัยแรกเลยคือต้องเรียนรู้ที่จะซ่อนตัว ถึงขั้นว่าหายตัวไปจากการรับรู้ของผู้อื่น ในจุดนี้พวกเจ้าทำได้ไม่เลวแต่ก็ยังไม่ดีพอเพราะว่าถูกข้าพบเข้า” มู่ชิงเกอเอ่ยกับพวกเขาเหล่านั้น
พวกเขาทั้งห้าคนรวมถึงเซวี่ยนขุยพากันกลั้นลมหายใจ เงียบขรึมไม่พูดไม่จา ตั้งใจฟังทุกประโยคทุกคำพูดที่มู่ชิงเกอกล่าว
“ยังมีเวลาอีกสองวัน งานล่าสัตว์ก็จะเริ่มต้นขึ้น ข้าไม่มีเวลามากพอที่จะให้พวกเจ้าได้ปรับตัว วิธีที่ดีที่สุดยังคงเป็นการใช้สงครามฝึกการรบ ดังนั้นหัวข้อหลักๆ ต่อจากนี้ในการเป็นมือปืนซุ่มยิง พวกเจ้าต้องจำไว้ให้ดี” มู่ชิงเกอพูดจบก็ยกมือขึ้นปืนซุ่มยิงห้ากระบอกที่สร้างขึ้นจากความทรงจำของชาติที่แล้ววางเรียงกันอยู่บนพื้น
หลักการสร้างปืนซุ่มยิงเหล่านี้เหมือนกับการสร้างปืนยิงระเบิด ลูกกระสุนข้างในเปลี่ยนเป็นพลังงานจากการแปลงพลังจากแก่นอสูร
และเพื่อให้พลังนี้มีพลังการสังหารและพลังทำลายล้าง มู่ชิงเกอได้จัดเตรียมดินปืนไว้บางส่วน เท่ากับว่าในกระบอกปืนซุ่มยิง นอกจากความสามารถในการยิงพลังแก่นอสูรแล้ว ยังมีซองกระสุนที่ด้านในอัดแน่นด้วยดินระเบิด เมื่อลั่นไกปืนพลังที่แปลงมาจากแก่นอสูรก็จะหุ้มด้วยดินระเบิดจำนวนหนึ่ง มีลักษณะเป็นลูกกระสุนพลังงานยิงออกไป พลังในการสังหารของมัน…
“ปัง!” เสียงปืนดังขึ้น ระเบิดหัวสมองของสัตว์อสูรที่อยู่ไกลออกไปพันลี้กลายเป็นละอองเลือด ทรุดตัวล้มลงในทันใด
มู่ชิงเกอลดปืนซุ่มยิงในมือลง หันกลับมามองพวกเขาทั้งห้าคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง เห็นเพียงสีหน้าตื่นตระหนกของพวกเขา ในแววตาเต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริด
คิดไม่ถึงว่าระยะห่างที่ไกลขนาดนี้ ยังสามารถระเบิดสมองได้ในนัดเดียว พลังการสังหารช่างร้ายกาจ!
พวก เขาทั้งห้าคนรวมถึงเซวี่ยนขุย ต่างก็รู้สึกหนาวสันหลัง และก็ตื่นตัวว่าหากตนเองฝึกได้ถึงความสามารถระดับนี้ก็สามารถเด็ดหัวคนได้ในระยะไกลกว่าพันลี้ได้
เป็นที่รู้กันว่าพลังของสัตว์อสูรตนนั้นเทียบเท่ากับระดับพลังชั้นสีเทาขั้นห้าของมนุษย์พลังยุทธ์สูงกว่าพวกเขาห้าคน
หากเผชิญกันซึ่งหน้าแล้วคิดที่จะล้มมัน ไม่มีทางเป็นไปได้
แต่ว่าการซุ่มยิงทำให้เรื่องที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
ดวงตาคมกริบของเซวี่ยนขุยเต็มไปด้วยระลอกคลื่นโหมซัดอย่างบ้าคลั่ง เขารู้สึกว่าตนเองไม่มีสิ่งใดมาบรรยายความรู้สึกในจิตใจตนเองในตอนนี้
“ศาสตราวุธใดๆ ล้วนเป็นเพียงเครื่องช่วย สิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นพลังยุทธ์ของตนเอง การที่ชี้แนะทักษะในการซุ่มยิงให้พวกเจ้าก็เพื่อให้ความสามารถของพวกเจ้า ปล่อยออกมาอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นไม่ต้องพึ่งพามันมากเกินไป นอกจากต้องควบคุมทักษะการซุ่มยิงแล้ว ยังต้องฝึกพลังยุทธ์ให้แข็งแกร่งขึ้นด้วย” มู่ชิงเกอโยนปืนซุ่มยิง ในมือให้องครักษ์เขี้ยวมังกรนายหนึ่ง
ดวงตาสุกสกาวกวาดตามองพวกเขาทั้งห้าคน “ข้าผลิตปืนซุ่มยิงให้พวกเจ้าเป็นพิเศษนอกจากกระบอกของเซวี่ยนขุยแล้ว อีกสี่กระบอกที่เหลือมีประสิทธิ์ภาพและรัศมีในการยิงภายในสามลี้ ส่วนของเซวี่ยนขุยเนื่องจากมีความสามารถในการมองเห็นเป็นพิเศษดังนั้นปืนชุ่มยิงของเจ้ามีประสิทธิ์ภาพรัศมีการยิงภายในแปดสิบลี้”
พอมู่ชิงเกอพูดจบ องครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งสี่นายต่างพากันสูดลมหายใจหนาวเหน็บ ส่วนเซวี่ยนขุยก็ยืดหลังตรง
“ในฐานะของมือปืนซุ่มยิง พวกเจ้าจะต้องเข้าใจอาวุธปืนซุ่มยิงของตนเองเสียก่อน” มู่ชิงเกอเอามือไพล่หลัง เอ่ยแนะนำโครงสร้างของปืนซุ่มยิงในมือพวกเขาด้วยท่าทีเคร่งขรึม
นี่เป็นอาวุธที่นางคุ้นเคยในชาติภพที่แล้ว วันนี้พอได้สอนก็จะมีอารมณ์ยุ่งเหยิงขึ้นมาชนิดหนึ่ง
ในต่างโลกนี้ใครๆ ก็ฝึกพลังยุทธ์ประสาทสัมผัสทั้งห้าดีกว่าคนทั่วไปในชาติที่แล้วมาก ดังนั้นมู่ชิงเกอจึงนำปืนซุ่มยิงในชาติภพที่แล้วมาดัดแปลงให้เข้ากับการใช้งานของคนที่โลกนี้
โดยเฉพาะกระบอกของเซวี่ยนขุยนั้น เป็นการดัดแปลงจนถึงขีดสูงสุดของนางแล้ว
สายตาการมองเห็นของเซวี่ยนขุยอยู่ในระยะหนึ่งร้อยลี้ หากไม่มีการบดบัง ส่วนรัศมีในการยิงปืนชุ่มยิงของเขา นั้นคือแปดสิบลี้ นี่ก็ชัดเจนแล้วว่าเมื่อเขาควบคุมทักษะนี้ได้ ทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในการมองเห็นของเขา เขาก็จะสามารถหามันเจอได้อย่างรวดเร็ว
หากไม่ใช่เป็นเพราะการปรากฎตัวขึ้นอย่าไม่คาดคิดของเซวี่ยนขุย นางเองก็ไม่เคยคิดที่จะเผยแพร่ทักษะซุ่มยิงในโลกใบนี้
“…การซุ่มยิง ยังคงต้องพูดถึงจุดหนึ่งคือการวิเคราะห์ ความเร็วลม มิฉะนั้นแล้วกระสุนที่ปล่อยออกไปก็จะได้รับผลกระทบจากแรงลมที่อยู่ห่างไกลออกไป เจ้าจะรู้สึกว่าเล็งแม่นแล้วแต่ว่าความจริงกลับเบี้ยวไป”
คนในโลกใบนี้บางทีอาจเป็นเพราะสาเหตุของการฝึกพลังยุทธ์ความสามารถในการยอมรับแข็งแกร่งมาก
มู่ชิงเกอใช้เวลาไปหมดทั้งเช้าอธิบายหัวข้อหลักๆ ของปืนซุ่มยิงไปหนึ่งรอบ
จากนั้น นางก็เอ่ยขึ้นว่า “เอาละ พวกเจ้าฝึกฝนกันเอง พรุ่งนี้ข้าค่อยมาตรวจสอบดู”
พูดจบนางก็หันหลังออกไปจากผืนป่ามุ่งหน้าไปที่ค่าย
ช่วงไม่กี่วันมานี้ถึงนางจะปิดประตู ‘รักษาอาการบาดเจ็บ’ แต่ก็ไม่สามารถแกล้งนอนเป็นอัมพาตบนเตียงจริงๆ ได้ถือโอกาสนี้สอนเซวี่ยนขุยและองครักษ์เขี้ยว
มังกรที่เลือกมาอีกสี่นายฝึกการซุ่มยิงดีนั้นที่สุด
เมื่อกลับมาที่ค่าย องครักษ์เขี้ยวมังกรที่เหลืออยู่ก็กำลังรวมพลฝึกซ้อม มู่ชิงเกอยืนมองอยู่ที่สนามฝึกซ้อมชั่วครู่ ก่อนจะเบนสายตามองไปที่กระโจมหลัก พอใจคิดกายก็ขยับเท้าเดินไปที่กระโจม
นางเลิกผ้าม่านขึ้นเดินเข้าไปในกระโจม เห็นซือมั่วยืนอยู่ด้านในบริเวณหน้าต่างกระโจม กำลังมองไปยังสถานที่ฝึกซ้อมขององครักษ์เขี้ยวมังกร
“กระบวนท่าสอดประสานเหล่านี้ เป็นเสี่ยวเกอเอ๋อร์คิดขึ้นเองหรือ?” พอมู่ชิงเกอเข้ามา ซือมั่วก็เอ่ยถาม
มู่ชิงเกอกลับยิ้มแล้วเอ่ยว่า “หนึ่งเดือนนี้เจ้าคิดจะแอบซ่อนอยู่ในนี้ ไม่พบปะผู้คนเลยรึ?”
ซือมั่วกลับมองนางท่าทีเหมือนโดนรังแก “ข้ากำลังรอให้เสี่ยวเกอเอ๋อร์แนะนำฐานะของข้าอยู่ไงเล่า”
มู่ชิงเกอชะงัก ฐานะของซือมั่วยังต้องให้แนะนำอีกหรือ?
ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นมาได้ว่านับจากเดินทางออกจากหลินชวน ข้างกายนางมีคนเพิ่มเข้ามาแต่คนเหล่านี้ไม่รู้ว่านางเป็นสตรี ยิ่งไม่รู้ถึงการมีอยู่ของท่านมั่วผู้ยิ่งใหญ่ มู่ชิงเกอยิ้ม ‘แหะแหะ’ เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นไม่สู้ให้ข้าบอกว่าเจ้าเป็นญาติผู้พี่ของข้า?”
นางใช้สรรพนามที่นางกับซือมั่วเคยใช้ในการเดินทางตอนแรก ทว่าซือมั่วกลับส่ายหน้า “กลางคืนข้านอนที่นี่ ญาติผู้พี่ไม่เหมาะสม”
เอ๊ะ…
มู่ชิงเกอตระหนักรู้บุรุษผู้นี้กำลังบังคับให้นางยอมรับฐานะของเขา ไม่ว่าตอนนี้นางจะแต่งเป็นบุรุษหรือไม่ ยังไงก็ต้องยอมรับฐานะนี้
มุมปากกระตุก มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “เข้าใจแล้ว”
นางเดินไปอยู่ข้างกายซือมั่ว เอ่ยตอบคำถามที่เขาถามออกมาก่อนหน้านี้“กระบวนท่าสอดประสานเหล่านี้ ได้มาจากการรับรู้ของข้าเอง ยังง่ายเกินไป แต่ว่าจริงๆ แล้วการโจมตีร่วมกันมันทำความเข้าใจยากนัก ในใจข้ายังไม่มีแนวทางที่ชัดเจน”
ซือมั่วหันกลับมามองนาง ดวงตาสีอำพันเปล่งประกายเจิดจรัสเอ่ยขึ้นว่า “ที่จริงแล้วการที่องครักษ์เขี้ยวมังกรสามารถปรากฎความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาจากการที่พวกเขามีความจงรักภักดีต่อเจ้า กระบวนท่าเชิงรุกไม่ต้องมีมากและก็ไม่ต้องมีลวดลายซับซ้อนนัก แค่มีความสามารถพื้นฐานก็พอแล้ว”
“คือยังไง!” มู่ชิงเกอราวกับเด็กนักเรียนตัวน้อย เอ่ยถามด้วยความไร้เดียงสา
“จู่โจม ป้องกัน” ซือมั่วว่าพลางหัวเราะ
“จู่โจม ป้องกัน?” ดวงตาของมู่ชิงเกอค่อยๆ สว่างวาบขึ้นมา
ซือมั่วเอ่ยต่ออีกว่า “ยามจู่โจม ให้มีพลังทำลายล้างมหาศาลไม่หวนคืนกลับมา ดุดันหนักหน่วง ยามป้องกันให้แน่นหนาดุจกำแพง คลื่นลมซัดกระหน่ำไม่
สะเทือน”
“ข้าเข้าใจแล้ว!” มู่ชิงเกอเอ่ยด้วยความยินดี
นางเดินไปเดินมาช้าๆ สุดท้ายก็นั่งลงบนเก้าอี้ประธานในกระโจม จมอยู่กับความคิดของตนเอง
ซือมั่วไม่ได้ไปรบกวนมู่ชิงเกอ แต่นั่งลงตามมองท่าทีมุ่งมั่นของมู่ชิงเกอ ต่างพูดว่าบุรุษที่จริงจังดึงดูดคนที่สุด แต่ความจริงแล้วสตรีที่มุ่งมั่นกลับมีเสน่ห์น่าหลงใหลมากกว่า
ครึ่งชั่วยามให้หลัง มู่ชิงเกอผุดลุกขึ้นยืน ‘ตึง’ เอ่ยกับซือมั่วด้วยแววตาเป็นประกายไฟ “ข้าออกไปข้างนอกครู่หนึ่ง”
ซือมั่วพยักหน้ารับ
มู่ชิงเกอเคลื่อนไหวดุจสายลมก็หายไปต่อหน้าต่อตาเขา
มาปรากฎตัวอีกที ตรงหน้ามั่วหยาง
การปรากฎตัวขึ้นอย่างกระทันหันของมู่ชิงเกอทำเอามั่วหยางตกใจแทบสะดุ้ง เขารีบลุกขึ้นมาเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชาย!”
มู่ชิงเกอสะบัดมือไปมา เอ่ยบอกเขาว่า “มั่วหยางข้าเข้า ใจแล้ว”
มั่วหยางไม่เข้าใจ เอ่ยถามออกมาว่า “คุณชายเข้าใจเรื่องอะไรขอรับ?”
“ทักษะเชิงรุกขององครักษ์เขี้ยวมังกรแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ควรให้ข้าเป็นผู้สร้าง แต่ควรที่จะออกมาจากจิตใจของพวกเจ้า จู่โจมและป้องกัน” มู่ชิงเกอเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ พลางจ้องตามั่วหยาง
ดวงตามั่วหยางจริงจังขึ้นมา ส่วนลึกนัยน์ตาบังเกิดความตกตะลึง ราวกับว่าเขาได้เข้าใจความหมายของมู่ชิงเกอ
“ก่อนหน้านี้มองเห็นจิตวิญญาณที่กลั่นออกมาจากองครักษ์เขี้ยวมังกร ทำให้ข้าคิดว่าสามารถลองใช้ทักษะเชิงรุกได้ แต่ว่าข้ากลับไม่เคยไปคิดเลยว่าจิตวิญญาณ เช่นนี้มาจากพวกเจ้า มีเพียงพวกเจ้าที่รู้ดีที่สุดว่าใช้อย่างไร แต่ว่าก็ไม่จำเป็นต้องไปกะเกณฑ์มัน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเดินทางโค้งไปบ้าง แต่ก็เป็นการสะสมประสบการณ์ ต่อจากนี้ต้องพึ่งพวกเจ้าแล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ยกับมั่วหยาง
“คุณชาย ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไปเรียกรวมพลเดี๋ยวนี้” มั่วหยางพยักหน้าหนักแน่น
พวกเขาไม่สามารถพึ่งมู่ชิงเกอไปตลอดได้ ต้องเรียนรู้ที่จะใช้พลังของตนเองไปปกป้องมู่ชิงเกออย่างแท้จริง ต่อสู้เพื่อนาง!
เมื่อมู่ชิงเกอเสร็จธุระกับมั่วหยางกลับมาที่กระโจม มองดูบรรยากาศด้านในแล้วก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่หนึ่ง ซือมั่วยังคงอยู่ในท่าทางเป็นธรรมชาติสบายๆ เมื่อเห็นมู่ชิงเกอกลับมาก็มอบรอยยิ้มให้นาง แต่รอยยิ้มของเขา กลับทำให้อีกสองคนที่อยู่ในห้องตกตะลึง
ในที่สุดพวกนางก็ได้พบกับผู้ที่มีรอยยิ้มพอสูสีกับคุณชายแล้ว แต่คำถามก็คือเขาเป็นใครกัน? เหตุใดถึงได้ปรากฎตัวในกระโจมหลักนี้ได้?
มู่ชิงเกอมองเสวี่ยหยาและเซวี่ยนหย่า เอ่ยถามพวกนางว่า “พวกเจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร?”
นางไม่พลาดที่จะมองถาด อาหารมากมายที่อยู่บนมือพวกนาง ดูสถานการณ์แล้ว พวกนางเริ่มที่จะแบ่งเบางานของโย่วเหอและฮวาเยวี่ยแล้ว
“นายน้อย”
“นายน้อย”
เมื่อเห็นมู่ชิงเกอ พวกนางก็พากันสะดุ้งเฮือก
“พวกนางเพิ่งเข้ามา เจ้าก็กลับมาพอดี” ซือมั่วอธิบายอย่างใจดี
ทว่ามู่ชิงเกอกลับถลึงตาใส่เขา หันกลับมากระแอมด้วยความเก้ๆ กังๆ อยู่สองที มู่ชิงเกอแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเดินมานั่งบนเก้าอี้ เอ่ยกับเสวี่ยหยาและเซวี่ยนหย่าว่า “อืม พวกเจ้าได้พบแล้วสินะ พวกเจ้าเรียกท่านนี้ว่าใต้เท้าก็พอ เขา…ก็เป็นคนของข้า”
‘เขาก็เป็นคนของข้า’
คำพูดนี้ทำเอามุมปากของซือมั่วยกยิ้มเริงร่าได้ใจ
แต่ทันใดนั้นก็เลือนหายไป เขาขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ คำว่า ‘ก็’ ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร?
เป็นคนของนายน้อย?
เสวี่ยหยาและเซวี่ยนหย่าก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้ แต่ก็ไม่ได้ถามให้มากความ
เพียงแค่ทำความเคารพซือมั่วตามคำสั่ง เรียกขานว่า “ใต้เท้า”
“พอแล้ว พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ ไม่มีคำสั่งจากข้าไม่ต้องเข้ามา” มู่ชิงเกอไล่ทั้งสองคนออกไป
ทั้งสองคนวางถาดอาหารลงบนโต๊ะ ขณะที่กำลังจะก้าวออกไป เสวี่ยหยาก็ถามขึ้นมาว่า “นายน้อย ต้องเตรียมที่พักให้ใต้เท้าหรือไม่?”
“ไม่ต้องแล้ว เขาพักที่นี่” คำตอบของมู่ชิงเกอ ทำให้สีหน้าเสวี่ยหยาและเซวี่ยนหย่าเปลี่ยนไป
เสวี่ยหยาและเซวี่ยนหย่าแทบจะเดินออกจากกระโจมหลักไปแบบวิญญาณออกจากร่าง เมื่อมายืนอยู่ระเบียงด้านนอกกระโจม ทั้งสองยังอยู่ในอาการตกใจ
“ใต้เท้าท่านนั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรกับนายน้อยกันแน่? อะไรเรียกว่าคนของนายน้อย?” เซวี่ยนหย่าเอ่ยถามเสวี่ยหยา
เสวี่ยหยาซ่อนความหวาดกลัวในใจเอ่ยกับนางว่า “พี่สาวไม่ต้องคิดเหลวไหล ท่านกับข้า ไป๋สี่ หยินเฉิน หยวนหยวน เซวี่ยนขุย ยังมีโย่วเหอ ฮวาเยวี่ย แม้กระทั่งพวกองครักษ์เขี้ยวมังกร เผ่าอี๋ของพวกเราต่างก็เป็นคนของนายน้อยมิใช่หรือ?”
เหตุผลคล้ายกับเป็นเหตุผลนี้
แต่ว่า
“เช่นนั้นเหตุใดใต้เท้าผู้นั้นต้องอยู่ที่กระโจมนายน้อยด้วย? กระโจมของนายน้อยไม่เคยมีผู้ใดอยู่มาก่อน” เซวี่ยนหย่าเอ่ยออกมาอีก
เสวี่ยหยาเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “บางทีพวกเขาอาจมีเรื่องที่จำเป็นต้องสนทนากันก็ได้”
“ใช่หรือ? ข้าไปถามพวกโย่วเหอดีกว่า” เซวี่ยนหย่าพูดจบก็เดินลงไปจากระเบียง
ส่วนเสวี่ยหยาหันกลับไปมองกระโจมกลางด้วยสีหน้าซับซ้อนแวบหนึ่ง กัดริมฝีปากแล้วก็สาวเท้าก้าวจากไปอย่างรวดเร็ว
ในกระโจม มู่ชิงเกอมองหน้าซือมั่วสีหน้าไม่เปลี่ยนสีเอ่ยว่า “ยังจะมายิ้มอีก”
ซือมั่วปราดมาปรากฎอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ กระหวัดรั้งนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด เอ่ยด้วยนํ้าเสียงติดจะอันตรายว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่คิดจะอธิบายให้ข้าเข้าใจ หน่อยหรือ คำว่าก็นั่นหมายความว่าอย่างไร?”
“อะไรคือหมายความว่าอย่างไร?” มู่ชิงเกอแสร้งเอ่ยซื่อๆ “ก็ความหมายตามตัวอักษรไงล่ะ! ในค่ายนี้ใครบ้างไม่ใช่คนของข้า?”
ดวงตาทั้งสองข้างของซือมั่วหรี่ลง เอ่ยคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “ที่แท้คนของข้าของมู่ชิงเกอเป็นความหมายนี้นี่เอง”
“ใช่…อุบ…” คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้ถูกซือมั่วประกบปากอย่างรุนแรง
นางเบิกตากว้างจ้องการจุมพิตเอาคืนของซือมั่ว ไม่เข้าใจว่าเขาเป็นบ้าอะไรขึ้นมา
ขณะที่นางกำลังจะหมดลมหายใจจากการโดนจุมพิต
ทันใดนั้นด้านนอกกระโจมก็แว่วเสียงลอยเข้ามา “คุณชาย ข้าโย่วเหอเจ้าค่ะ”
มู่ชิงเกอผลักซือมั่วออกอย่างรวดเร็ว รักษาระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่ นางเช็ดริมฝีปากที่ถูกบดจูบอย่างแรง ถลึงตาใส่ซือมั่ว
ทว่าซือมั่วกลับยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คนอื่นของเจ้ากล้าทำเช่นนี้กับเจ้าไหม?”
มู่ชิงเกอหมดคำพูดจริงๆ นางไม่สามารถคิดหยุมหยิมกับบุรุษใจแคบได้เลย เอ่ยกับโย่วเหอที่อยู่ด้านนอกประตูว่า “เข้ามาเถอะ”
โย่วเหอเลิกผ้าขึ้นและเดินเข้ามา เมื่อเห็นซือมั่วก็ชะงักไปครู่หนึ่งรีบทำความเคารพทันที “เป็นนายท่านมั่วมาจริงๆ ด้วย โย่วเหอคำนับนายท่านมั่ว”
“อืม”
โย่วเหอติดตามอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอโดยตลอด สำหรับคนประเภทนี้ซือมั่วจะไม่ได้เฉยชามากนัก ทำความเคารพแล้ว โย่วเหอก็ยืนอยู่ที่ประตูเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เมื่อครู่นี้เซวี่ยนหย่ามาหาข้า บอกว่ามีแขกในกระโจมของคุณชาย พวกนางจะจัดเตรียมที่พักแต่กลับถูกคุณชายปฏิเสธ ข้าจึงพอจะเดาได้”
“อ้อ? พวกนางไปแอบถามเจ้า?” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างขี้เล่น
โย่วเหอพยักหน้า “บ่าวก็เออออไปตามพวกนาง แล้วจึงมารายงานนายท่าน”
“ข้ารู้แล้ว ช่วงที่นายท่านมั่วอยู่ที่นี่ พวกเจ้าก็เรียกเขาว่าใต้เท้าแล้วกัน ไม่ต้องไปอธิบายอะไรกับคนนอก” มู่ชิงเกอเอ่ยลอยๆ
โย่วเหอพยักหน้ารับ ย่อกายให้ทั้งสองแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าน้อยขอตัว”
ถอยออกไปจากกระโจมหลักอย่างรวดเร็ว
“ดูเจ้าไม่ค่อยเชื่อใจสองคนก่อนหน้านี้สักเท่าไร” ซือมั่วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ที่ข้าให้พวกนางอยู่ เพราะว่าบนร่างกายนางมีของที่มีประโยชน์กับข้า ส่วนเรื่องของความเชื่อใจ ก็ต้องดูการแสดงออกของพวก นาง”
“ใช่แล้ว” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ มู่ชิงเกอก็เอ่ยกับซือมั่วว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีวิธีใดสามารถแกะเอาลายแทงบนผิวหนังมนุษย์ออกมาได้บ้าง?”
ซือมั่วเอ่ยตอบว่า “เห็นสถานการณ์จริงจึงจะรู้”
เห็นสถานการณ์จริงถึงจะรู้?
นั่นไม่เท่ากับว่าต้องให้ซือมั่วไปดูแผ่นหลังของเสวี่ยหยากับเซวี่ยนหย่าหรอกหรือ? ในความคิดของมู่ชิงเกอบังเกิดเป็นภาพนั้นลอยขึ้นมา ก่อนจะสะบัดศีรษะ อย่างรู้สึกไม่ค่อยดี เอ่ยพึมพำว่า “ช่างเถอะ ข้าคิดหาวิธีเอง”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์เป็นอะไรไป?” ซือมั่วเอ่ยยิ้มๆ
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็จับชายเสื้อเขาดึงมาอยู่หน้าตนเอง เอ่ยด้วยนํ้าเสียงดุร้าย “เจ้าอยู่มานานขนาดนั้น ไม่เคยมีสตรีอื่นจริงหรือ?”
แม้นางจะรู้ว่าไม่มีเหตุผลที่จะไปคิดหยุมหยิมกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่จะพบนาง แต่ตอนนี้พอนางคิดว่าก่อนหน้านี้ซือมั่วอ่อนโยนอาลัยอาวรณ์สตรีอื่น รักใคร่เอ็นดูสตรีอื่น ในใจนางก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา “ข้าสาบาน นอกจากเจ้าแล้ว ข้าไม่เคยมีใจให้กับสตรีใดมาก่อน และก็ไม่เคยแตะต้องสตรีใดมาก่อนเช่นกัน”
รับรู้ถึงอาการหึงหวงของนางแล้ว ซือมั่วก็เอ่ยยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน
มือของมู่ชิงเกอที่จับชายเสื้อของเขาไว้คลายออกนิดหน่อย โพล่งขึ้นว่า “เช่นนั้นไม่เท่ากับว่าเจ้ายังอ่อนหัดอยู่นะสิ?”
อ่อนหัด?
ซือมั่วรู้สึกปวดหัวขึ้นมาในทันใด เขามองใบหน้ากระตือรือร้นของหญิงตรงหน้านิ่งๆ กัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นเสี่ยวเกอเอ๋อร์จะช่วยสงเคราะห์ข้าหน่อยได้หรือไม่?”
“ตอนนี้ยังไม่ต้อง ขอบคุณ” มู่ชิงเกอปล่อยชายเสื้อซือมั่วอย่างรวดเร็ว ชายเสื้อที่ถูกนางกำไว้จนยับย่นคล้ายถูกสัตว์ร้ายขยํ้ามาอย่างไรอย่างนั้น
ค่ายเขี้ยวมังกร ปิดประตูทีก็เป็นเวลาสามวัน
สามวันมานี้ผู้ที่คิดจะมาสอดแนมสืบข่าวไม่ลดจำนวนลง ทว่าเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังคงไม่ได้ข่าวอะไรเลยแม้แต่น้อย เวลานี้เองก็มีเสียงหนึ่งค่อยๆ ดังขึ้นในกลุ่มคน
นั่นก็คือทุกคนสงสัยว่ามู่ชิงเกอตายภายใต้ฝ่ามือของอิ๋งเจ๋อไปแล้ว มิฉะนั้นแล้วเหตุใดสามวันนี้ถึงไม่มีข่าวความเคลื่อนไหวเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย?
ประเด็นสนทนาว่ามู่ชิงเกออยู่หรือตาย กลายเป็นประเด็นร้อนที่สุดอยู่ในทุ่งหญ้าอัสดงขณะนี้
วันนี้มีสตรีแต่งกายชุดฝึกซ้อมมาปรากฎตัวอยู่หน้าประตูค่ายองรักษ์เขี้ยวมังกร
ดูท่าทางแล้วคล้ายกับว่ามาจากกองกำลังหลิวเค่อกองใดกองหนึ่ง
นางยืนอยู่หน้าประตูค่ายองครักษ์เขี้ยวมังกรท่าทางอยากจะเข้าไป พวกที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกมาสามวันสามคืน ในเวลานี้ต่างพากันรอภาพนางถูกขับไล่ ถูกฉีก หน้า
จากนั้นองครักษ์เขี้ยวมังกรที่ยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ เห็นใบหน้านางแล้วก็ไม่ได้ขับไล่เช่นคนอื่นๆ
นางยืนอยู่หน้าประตูเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับองครักษ์เขี้ยวมังกรว่า “คุณชายของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
องครักษ์เขี้ยวมังกรผู้นั้นคิดอยู่ครู่หนึ่งเอ่ยกับนางว่า “รอสักครู่”
จากนั้นเขาก็หายไปจากหอสังเกตการณ์ในค่าย มั่วหยางเดินมาถึงระเบียงด้านนอกกระโจมเอ่ยกับมู่ชิงเกอที่ยืนมององครักษ์เขี้ยวมังกรฝึกซ้อมอยู่ว่า “คุณชาย แม่นางเหยามาถึงแล้ว”
แววตามู่ชิงเกอเป็นประกาย เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ฉินอี้เหยา?”
มั่วหยางพยักหน้า
“นางมากับใคร? ใช่คนตระกูลเซิ่งหรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
มั่วหยางส่ายหน้า “มีเพียงแม่นางเหยาอยู่ด้านนอกผู้เดียว”
“นางได้พูดอะไรหรือไม่?” มู่ชิงเกอเม้มปากถาม
“นางเพียงแค่เอ่ยถามสถานการณ์ของคุณชายกับองครักษ์เขี้ยวมังกรที่ยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์” มั่วหยางตอบตามความจริง
มู่ชิงเกอคิดๆ ดู ก่อนจะเอ่ยกับเขาว่า “พานางเข้ามา”
มั่วหยางรับคำสั่งแล้วจากไป
หลังจากเขาจากไปแล้ว ซือมั่วก็มาปรากฎกายอยู่ข้างนางเอ่ยถามขึ้นว่า “เป็นองค์หญิงแคว้นฉิน? ที่เคยเต้นรำกับเจ้าผู้นั้นรึ?”
สัมผัสได้ถึงอารมณ์หึงหวงในคำพูดของเขา มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างจนปัญญา “นางเป็นสตรี แล้วก็รู้ว่าข้าเองก็เป็นสตรี เจ้าไม่ต้องคิดอะไรส่งเดชได้หรือไม่?”
ซือมั่วกลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่บ่งบอกอารมณ์ว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ช่างไม่เข้าใจเสน่ห์ของตนเองเลย”
มู่ชิงเกอหมดคำพูดเสียดื้อๆ ทำได้เพียงมองดูซือมั่วสะบัดชายเสื้อหันหลังเดินเข้าไปในกระโจม ภาพข้างหลังแฝงความหยิ่งยโสและไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง
ประตูค่ายองครักษ์เขี้ยวมังกรที่ปิดสนิท เปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นเพียงช่องว่างขนาดคนลอดผ่าน องครักษ์เขี้ยวมังกรนายหนึ่งเดินออกมาท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน ทำความเคารพสตรีที่อยู่หน้าประตูตามแบบฉบับทหารก่อนเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางเหยา คุณชายเชิญด้านใน”
ฉินอี้เหยาเม้มริมฝีปาก เดินตามองครักษ์เขี้ยวมังกรเข้าไปด้านในค่าย หลังจากที่นางเดินเข้าไป ประตูก็ปิดสนิทเหมือนเดิม
“คิดไม่ถึงว่านางจะได้เข้าไป?”
“นั่นสิ! เหตุใดถึงปล่อยให้นางเข้าไป? หรือว่าเป็นเพราะนางคือโฉมงาม?”
“ให้ตายสิ! แบบนี้ก็ได้หรือ? ถูกทำร้ายจนไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดี ยังลุ่มหลงในสตรีเพศ ได้พบแล้วจะอย่างไร? ยังมีเรี่ยวแรงอยู่หรือ?”
เสียงหัวเราะระเบิดท่ามกลางฝูงชน
เมื่อฉินอี้เหยา เดินเข้าไปก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยแพร่ข่าวออกไป
ฉินอี้เหยาไม่รู้เลยว่าการเข้าไปของนาง จะนำมาซึ่งการสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งทุ่งหญ้าอัสดงมากมายเพียงใด เมื่อนางเดินเข้ามาในค่ายองครักษ์เขี้ยวมังกรที่มีการจัดวางที่แสนคุ้นเคยเหล่านั้น ทำให้นางรู้สึกคล้ายว่าช่วงเวลานั้นผ่านมาแสนนาน และก็หวนคิดถึงช่วงเวลาที่นางร่วมต้านสัตว์อสูรกับมู่ชิงเกอที่เมืองอี้
“แม่นางเหยา” มั่วหยางปรากฎตัวอยู่ตรงหน้านาง รับช่วงต่อจากองครักษ์เขี้ยวมังกรผู้นั้น พาฉินอี้เหยาเดินไปทางกระโจมหลัก
มู่ชิงเกอยังคงยืนอยู่ตรงระเบียงด้านนอกกระโจม มองฉินอี้เหยาที่เดินตามมั่วหยางมา
ไม่พบกันเพียงช่วงเวลาหนึ่ง นางดูมีความเด็ดเดี่ยวมากขึ้น เครื่องแบบของกองกำลังหลิวเค่อบนตัวนางยิ่งทำให้ดูองอาจทะมัดทะแมง
ขณะที่มู่ชิงเกอลอบพิจารณาฉินอี้เหยาอยู่นั้น ฉินอี้เหยาเองก็ลอบพิจารณามู่ชิงเกอเช่นกัน
ได้เห็นว่านางสบายดียืนอยู่ตรงหน้า ความกังวลในใจนางก็สงบนิ่งลงมา
“วันนี้ข้าเพิ่งมาถึงทุ่งหญ้าอัสดง พอดีได้ยินข่าวคราวของเจ้า” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ได้พบมู่ชิงเกออีกครั้ง นางหวังว่าสิ่งที่มีให้มู่ชิงเกอจะไม่ใช่แรงกดดันแต่เป็นความผ่อนคลายสบายใจของสหาย ไหนเลยจะรู้ว่าในใจของนางยังคงลืมความรู้สึกเก่าๆ ไม่ลง แต่ก็ไม่อยากให้มู่ชิงเกอรับรู้
“ข่าวลือข้างนอก บอกว่าข้าตายแล้วใช่หรือไม่?” มู่ชิงเกอว่ายิ้มๆ
ฉินอี้เหยาหัวเราะพลางพยักหน้า “แม้ว่าจะไม่แน่ใจ แต่ทิศทางของลมเป็นเช่นนั้นจริงๆ”
นางขึ้นไปบนระเบียง ยืนอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ มั่วหยางถอยออกมา ให้ช่องว่างกับทั้งสอง
“เอามือมา” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นตรงๆ
ฉินอี้เหยาเข้าใจความหมายของนาง นำข้อมือตนเองเปิดเผยต่อหน้านาง
มู่ชิงเกอจับชีพจรให้นาง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงละมือกลับไปแล้วเอ่ยว่า “ร่างกายของเจ้าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว อีกอย่างระดับพลังยุทธ์ก็รุดหน้า หากข้าไม่ได้ดูผิดไปล่ะก็ ระดับพลังยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้อยู่ระดับพลังชั้นสีเทาขั้นสามใช่หรือไม่”
ฉินอี้เหยาพยักหน้า “ปิดบังอะไรเจ้าไม่ได้จริงๆ”
“เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงมาที่ทุ่งหญ้าอัสดง? เซิ่งอวี้หลีล่ะ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ฉินอี้เหยาค้อนนางสายหนึ่ง เอ่ยกับนางว่า “หลังจากที่ข้าฟื้นฟูร่างกายแล้วก็ออกจากตระกูลเซิ่งมา เจ้าคงไม่คิดว่าระหว่างข้ากับเขามีอะไรกันจริงๆ ใช่หรือไม่?”
มู่ชิงเกอชะงักไป เอ่ยว่า “เซิ่งออี้หลีเป็นคนดีไม่เลว”
‘แต่เขาไม่ใช่เจ้า’ ฉินอี้เหยาเอ่ยอยู่ในใจ แต่ทว่าบนใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มอ่อนๆ “เรื่องของความรู้สึก มันบังคับกันไม่ได้ เจ้าเองก็รู้ดี”
มู่ชิงเกอยิ้มแหย ไม่มีสิ่งใดจะกล่าว
“เช่นนั้นเจ้ามาที่ทุ่งหญ้าอัสดง…” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
ฉินอี้เหยากล่าวขึ้นว่า “ได้รับการชี้แนะจากเจ้า หลังออกจากตระกูลเซิ่งมาก็ตั้งกองกำลังหลิวเค่อขึ้น แม้ว่าจะสู้องครักษ์เขี้ยวมังกรของเจ้าไม่ได้ แต่ว่าตอนนี้ก็อยู่ระดับทมิฬแล้ว”
มู่ชิงเกอดวงตาแวววาว พยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า “อาศัยลำแข้งของตนเอง ไม่เลวเลยทีเดียว”
ฉินอี้เหยาพักฟื้นที่ตระกูลเซิ่งครึ่งปีจึงจากมา ก็หมายความว่ากองกำลังหลิวเค่อที่นางตั้งขึ้นเพิ่งตั้งมาได้ไม่กี่เดือน แต่กลับอยู่ระดับทมิฬแล้ว ความเร็วในการเลื่อนขั้นเช่นนี้ไม่ถือว่าช้าเลย
“แต่ก็เพิ่งจะเลื่อนขั้นขึ้นมา หากภารกิจล้มเหลวก็ต้องหล่นไปอยู่ที่ระดับอำพัน” ฉินอี้เหยากล่าว
“มั่นใจในตนเองหน่อย” มู่ชิงเกอว่ายิ้มๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดฉินอี้เหยาถึงได้มาปรากฎตัวอยู่ที่ทุ่งหญ้าอัสดงนี้ได้ การล่าสัตว์เป็นงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ของกองกำลังหลิวเค่อทั่วทั้งโลกแห่งยุคกลาง ใครบ้างปรารถนาที่จะพลาด?
“ชื่อว่าอะไร? ต่อไปจะได้ช่วยกันดูแลกันและกันกับองครักษ์เขี้ยวมังกร” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
“เลี่ยเกอ” ฉินอี้เหยาเอ่ยชื่อที่ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกคุ้นเคยออกมาชื่อหนึ่ง
“เลี่ยเกอ?” แววตาส่วนลึกของมู่ชิงเกอบังเกิดภาพความทรงจำขึ้นมา
“ข้าจำได้ว่าท่านปู่ของเจ้าเคยตั้งชื่อองครักษ์ให้เจ้าว่า องครักษ์เลี่ยเกอ ข้ารู้สึกว่ามันเพราะดีก็เลยเอามาใช้” ฉินอี้เหยาอธิบาย
มู่ชิงเกอยิ้มนิ่งๆ “เพราะก็เพราะดี แต่น่าเสียดายที่พวกเขาต้องพลีชีพอยู่ที่ที่ราบลั่วรื่อ”
นางปีนออกมาจากซากศพทะเลเลือดขององครักษ์เลี่ยเกอ
“ขอโทษ” ฉินอี้เหยารีบเอ่ย นางเพียงแค่อยากเปลี่ยนวิธีไปปกป้องคุ้มครองมู่ชิงเกอ แต่กลับไม่คิดเลยว่าจะไปสะกิดบาดแผลในใจของนาง
“ไม่เป็นไร เจ้าชอบก็ดีแล้ว” มู่ชิงเกอส่ายหน้าช้าๆ นางมองหน้าฉินอี้เหยาราวกับว่าอ่านอะไรออกบางอย่าง ทว่ากลับไม่สามารถตอบรับ
ฉินอี้เหยารั้งอยู่ในค่ายองครักษ์เขี้ยวมังกรกว่าครึ่งชั่วยาม จึงได้จากไป
พอนางเดินออกมาจากค่ายองครักษ์เขี้ยวมังกร ก็มีคนจำนวนไม่น้อยล้อมวงเข้ามา สายตาถือดีเหล่านั้นทำเอาฉินอี้เหยาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นว่า “มู่ชิงเกอยังอยู่ดี”
ทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง ขณะที่ผู้คนอยู่ในอาการตกตะลึงนางก็ก้าวเท้ายาวๆ เดินจากไป
มู่ชิงเกอยังไม่ตาย!
มู่ชิงเกอยังอยู่ดี!
ข่าวนี้ราวติดปีกอย่างไรอย่างนั้น ถ่ายทอดไปในทุ่งหญ้าอัสดงอย่างรวดเร็ว
แว่วเข้าค่ายของตระกูลอิ๋ง และแว่วดังเข้าค่ายตระกูลหาน
เพียงแต่น่าเสียดายต่อให้ด้านนอกประตูจะมีคนมาขอพบ แต่ประตูกลับไม่เปิดออกมา
เมื่อซางเสวี่ยอู่ได้ข่าวก็ปรึกษากับซางอี้เฉินตัดสินใจว่า คืนนี้จะไปพบมู่ชิงเกอ ไม่ว่าจะได้พบหรือไม่ได้พบ พวกเขาก็ต้องลองดูสักตั้ง
ความมืดมิดยามราตรีมาถึงอีกครั้ง ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินรอให้คนตระกูลซางพักผ่อนกันก่อน โพกผ้าสีดำคลุมสัดส่วนรูปร่างหน้าตาของตนเอง ขึ้นไปบนเนินเขาเงียบๆ
เมื่อพวกเขามาถึงค่ายองครักษ์เขี้ยวมังกรก็เป็นเวลาดึกดื่นค่อนคืน ในความมืดก็ยังมีขุมกำลังต่างๆ จ้องมองอยู่ไม่น้อย คนเหล่านี้ยังคงปักหลักอย่างต่อเนื่อง แสดงให้ เห็นว่าต้องการพิสูจน์ความเป็นไปได้ของข่าวที่แพร่ออกไปวันนี้
“ท่านทั้งสอง ค่ายองครักษ์เขี้ยวมังกรปิดประตูส่งแขก ขอเชิญกลับไปเถอะ” องครักษ์เขี้ยวมังกรที่เข้าเวรอยู่ที่หอสังเกตการณ์ เอ่ยกับซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉิน
“พวกเราต้องการพบนายท่านของพวกเจ้า มีเรื่องสำคัญ รบกวนช่วยรายงานให้หน่อย” ซางอี้เฉินกล่าว
แต่ว่า องครักษ์เขี้ยวมังกรกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแต่อย่างใด
ซางเสวี่ยอู่กัดริมฝีปาก แววตาเป็นประกายนาวแน่ เอ่ยกับองครักษ์เขี้ยวมังกรว่า “รบกวนเข้าไปรายงานให้หน่อย บอกกับคุณชายมู่สามคำเท่านั้น หากเขายังไม่ ต้องการพบ พวกเราก็จะจากไป”
องครักษ์เขี้ยวมังกรเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยถามว่า “คำว่าอะไร?”
“ซางหลันรั่ว” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยทื่อๆ
องครักษ์เขี้ยวมังกรหันหลังกลับไป
ซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉินทำได้เพียงรออยู่ด้านนอกด้วยความตื่นเต้นและกระสับกระส่าย พวกเขาได้แต่หวังว่า เมื่อมู่ชิงเกอได้ยินชื่อนี้แล้วจะยอมพบหน้าพวกเขา
“รายงาน!” องครักษ์เขี้ยวมังกรคุกเข่าลงข้างหนึ่งอยู่หน้าทางเข้ากระโจม
“เข้ามา” ภายในกระโจมมีเสียงเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ
หลังจากที่องครักษ์เขี้ยวมังกรเข้ามาแล้ว เห็นว่ามู่ชิงเกอนั่งอยู่บนเก้าอี้คล้ายว่ากำลังดูหนังสือ ส่วนซือมั่วที่อยู่ข้างๆ ก็ถือตำราในมือเล่มหนึ่งแต่สายตามองไปทางมู่ชิงเกอ
“คุณชาย ใต้เท้า” องครักษ์เขี้ยวมังกรเอ่ยทัก แล้วจึงพูดกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชาย ด้านนอกมีหญิงชายคู่หนึ่ง พวกเขาฝากให้ข้ามาบอกท่านคำคำหนึ่ง บอกว่าอยากขอพบ”
“ว่าอย่างไร?” มู่ชิงเกอวางตำราในมือลง ช้อนสายตาทั้งสองขึ้น
“ซางหลันรั่ว” องครักษ์เขี้ยวมังกรเอ่ย
ดวงตาของมู่ชิงเกอหดเล็กลง ส่วนลึกของดวงตาสุกสกาวหวั่นไหว แม้กระทั่งลมหายใจก็เปลี่ยนไป
ในที่สุดสายตาของซือมั่วก็หยุดลงที่องครักษ์เขี้ยวมังกรเอ่ยออกมานิ่งๆ “คนตระกูลซาง”
มู่ชิงเกอลุกขึ้นยืน เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยบอกกับองครักษ์เขี้ยวมังกรว่า “ให้พวกเขาเข้ามา”
หลังจากที่ องครักษ์เขี้ยวมังกรออกไปแล้ว นางก็เอ่ยกับซือมั่วว่า “ท่านหลบไปก่อน”
ซือมั่วเดินมาอยู่ตรงหน้านาง เอ่ยด้วยความเป็นกังวล “เสี่ยวเกอเอ๋อร์”
“ข้าไม่เป็นอะไร ในเมื่อมาแล้ว ถามให้ชัดเจนเสียแต่เนิ่นๆ ก็ถือว่าลดเรื่องในใจ” มู่ชิงเกอเอ่ยกับเขา
ซือมั่วพยักหน้า ก่อนจะจางหายไปต่อหน้ามู่ชิงเกอ
ประตูใหญ่ที่ปิดสนิทของค่ายองครักษ์เขี้ยวมังกรเปิดออกอีกครั้ง ภายในวันนี้เปิดออกสองครั้งทำให้ผู้คนที่เฝ้าอยู่ข้างนอกแตกตื่น
“นายท่านเชิญ” องครักษ์เขี้ยวมังกรปล่อยให้ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินเข้ามา
ขณะที่ซางเสวี่ยอู่เดินเข้าไปก็มีสายลมพัดมา แย้มผ้าที่โพกร่างของนางออกมุมหนึ่งเผยให้เห็นชายกระโปรงด้านใน
หลังจากที่ทั้งสองคนเข้าไปแล้ว ประตูใหญ่ก็ปิดลงทันที คนด้านนอกก็ฮือฮาขึ้นมาทันที!
“ให้ตายเถอะ! เป็นสตรีอีกแล้ว?”
“มีเพียงสตรีขอเข้าพบ ถึงจะเข้าไปได้?”
“บาดเจ็บหนักก็ยังไม่ลืมที่จะยลโฉมงาม ยังมีวันนั้นอีก พวกเจ้าจำได้หรือไม่ ตอนหลังมีโฉมงามมากันตั้งหลายคนเรียกไว้ว่าเจิดจรัสโดดเด่น พอตอนนี้มานึกๆ ดูแล้ว เป็นความเนื้อหอมของมู่ชิงเกอ ความสามารถของมู่ชิงเกอช่างน่ายกเป็นแบบอย่างในชีวิตข้าจริงๆ!”
“เมื่อไรกัน ที่ข้าจะสามารถเป็นอย่างคุณชายมู่ สัมผัสความสุขเหนือผู้ใด?”
“พอเถอะเจ้าน่ะ เจ้าลองเหลือบมองรูปร่างหน้าตาของตัวเอง แล้วนึกถึงคุณชายมู่? คนอื่นเขามีสาวงามตามใกล้ชิด พวกเราแค่ไล่ตามขอความรักยังไม่มีใครสนใจ เลย”
“แต่ว่า ดูอย่างนี้แล้ว หรือว่าคุณชายมู่จะอาการทุเลาลงแล้วจริงๆ?”
“สามารถร่วมสุขกับโฉมงาม ยังจะบาดเจ็บหนักอยู่หรือ?”
“เช่นนั้นก็หมายความว่าคุณชายมู่รับมือนายน้อยอิ๋งได้ในสามกระบวนท่าน่ะสิ!”
เฮือก!
ผู้คนต่างพากันสูดลมหายใจหนาวเย็น
“เร็วเข้า รีบกระจายข่าวออกไป”
ผู้คนพากันได้สติ
เวลานี้ข่าวของมู่ชิงเกอแพร่ออกไปสองเรื่อง แท้จริงแล้วก็เป็นความต่อเนื่องของข่าวตั้งแต่แรก เรื่องแรกคือลือเรื่องมากรัก มีสาวงามรายล้อม อีกเรื่องถือพิสูจน์แล้วว่ามู่ชิงเกอยังไม่ตาย สามารถรับสามกระบวนท่าของนายน้อยตระกูลอิ๋งซึ่งอยู่อันดับสี่บนทำเนียบชิงอิงได้ ความสามารที่แท้จริงลึกลํ้าเหนือการคาดเดา
“ที่นี่ใหญ่มาก ช่างน่าเกรงขาม!” เมื่อซางอี้เฉินเดินเข้ามาในค่ายองครักษ์เขี้ยวมังกร ก็ถูกภาพฉากตรงหน้านี้พาให้ตะลึงงัน
เขาไม่เคยเห็นการจัดค่ายที่มีระเบียบเช่นนี้มาก่อน บริเวณรอบค่ายที่พวกเขาอยู่ล้วนเป็นกองกำลังหลิวเค่อ ดื่มสุราอึกทึกครึกโครม ไหนเลยจะเงียบสงบ เคร่งขรึมเช่นภาพที่เห็นเบื้องหน้านี้?
“อย่าได้มองส่งเดช” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยเตือนเบาๆ
องครักษ์เขี้ยวมังกรพาทั้งสองมาอยู่ด้านหน้ากระโจมหลัก ขนาดของกระโจมหลักทำเอาสองตนตกใจ ผู้ที่มาถึงทุ่งหญ้าอัสดงแล้วยังสามารถอาศัยได้อย่างสะดวกสบาย เกรงว่าจะมีเพียงมู่ชิงเกอผู้เดียว
บนระเบียงด้านนอกกระโจมหลัก กระถางเพลิงสองอันแบ่งไว้สองข้างด้านนอกประตู ส่องสว่างไปทั่วระเบียง
องครักษ์เขี้ยวมังกรเลิกผ้าม่านขึ้น พาพวกเขาเข้าไปข้างใน
“คุณชาย พาคนมาแล้วขอรับ” เขาเอ่ยกับด้านหลังเหยียดตรงด้วยความเคารพ
ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินยืนอยู่ข้างหลังเขา มองไปทางเงาหลังนั่น ในใจบอกไม่ถูกว่ากระสับกระส่ายหรือตื่นเต้น
“เจ้าออกไปเถอะ” มู่ชิงเกอตอบกลับ
องครักษ์เขี้ยวมังกรถอยออกไปจากกระโจมทันที เวลานี้ในกระโจมมีเพียงมู่ชิงเกอ ซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉิน สามคน
ตำแหน่งของกระโจมจัดวางตามแบบฉบับกระโจมทหาร
ด้านหน้ากระโจมใช้สำหรับประชุมงาน ด้านหลังใช้สำหรับพักผ่อน
ด้านหน้ากระโจมซ้ายขวา จัดเรียงด้วยชั้นอาวุธ บนอาวุธอาบด้วยแสงเย็นยะเยือก ทำให้ไอสังหารในกระโจมเพิ่มขึ้นหลายส่วน ด้านหลังที่นั่งหลักแขวนธงองครักษ์เขี้ยวมังกรผืนหนึ่ง ดูน่าเกรงขาม
มู่ชิงเกอหันหลังกลับมามองทั้งสองคน ดวงตาสุกสกาวของนางสงบนิ่งไร้คลื่นลมและก็ไม่ได้คิดจะเป็นคนเปิดปากขึ้นก่อน
ซางเสวี่ยอู่มีปฏิกิริยากลับมาก่อน ปลดหมวกที่โพกเอาไว้ลงเผยให้เห็นใบหน้าของตนเอง
จำซางเสวี่ยอู่ได้ แววตามู่ชิงเกอไหววูบครู่หนึ่ง ยังคงไม่เอ่ยอะไร
เวลานี้เอง ซางอี้เฉินก็ปลดหมวกที่โพกลงมาเผยให้เห็นใบหน้าที่คล้ายกับซางเสวี่ยอู่
“เจ้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ด้วย” เมื่อซางเสวี่ยอู่พบมู่ชิงเกอก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกออกมาในที่สุด
มู่ชิงเกอกลับมองพวกเขาด้วยสายตาเฉยชาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “สามารถพูดชื่อซางหลันรั่วสามคำให้ข้าเจอพวกเจ้า ก็บอกได้ว่าพวกเจ้ารู้ที่มาที่ไปของข้าเป็นอย่างดี พวกเจ้าเป็นใคร? เกี่ยวข้องอะไรกับซางหลันรั่ว?”
“พี่สาว พวกเราเป็น…”
“เจ้าเรียกข้าว่าอะไร?” ดวงตาทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง เอ่ยขัดคำพูดตื่นเต้นของซางอี้เฉิน
“พี่สาวอย่างไรล่ะ!” ซางอี้เฉินเอ่ยขึ้นติดๆ ขัดๆ
มู่ชิงเกอในใจนิ่งลง แม้แต่เพศที่แท้จริงของนางก็ล่วงรู้ ดูแล้วเครื่องมือมายาใดๆ ก็ล้วนไม่มีความหมาย นางยกมือขึ้นถอดต่างหูสีม่วงที่อยู่บนหูซ้ายออก
จากนั้นท่ามกลางความตกตะลึงของซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉิน นางก็กลับคืนเป็นสตรี ท่าทางหยิ่งทะนงและความงามล่มเมือง ความสง่างามปรากฎอยู่ต่อหน้าพวกเขา หากบอกว่ามู่ชิงเกอตอนแต่งเป็นบุรุษหล่อเหลาชวนมอง เป็นความงามยากที่จะแยกออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรีแล้ว เช่นนั้นตอนแต่งเป็นสตรีก็งดงามจนใจสั่นงามจนทำให้คนหายใจสะดุด ยอมตายใต้ความงามนี้
ซางเสวี่ยอู่ที่เป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งเขตภาคตะวันตกนี้ว่างดงามแล้วแต่ก็ยังสู้นางไม่ได้
มู่ชิงเกอนำต่างหูสีม่วงวางลงบนโต๊ะ มองดูทั้งสองที่อยู่ในอาการตะลึง “ซางหลันรั่วยังไม่ตาย และยังหวนกลับมาโลกแห่งยุคกลางจริงๆ ด้วย”
“ท่านแม่เองก็มีความเศร้าโศก” ซางเสวี่ยอู่เอ่ย
“ท่านแม่?” ดวงตาทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอหรี่ลงอีกครั้ง มองซางเสวี่ยอู่ด้วยบรรยากาศอันตราย “นางแต่งงานใหม่แล้ว?”
“ไม่ใช่นะพี่สาว ท่านฟังข้าพูดก่อน” ซางเสวี่ยอู่รีบเอ่ยขึ้นว่า “ข้าควรจะใช้ชื่อว่ามู่เสวี่ยอู่ ส่วนเขาควรจะใช้ชื่อว่ามู่อี้เฉินถึงจะถูก ท่านพ่อของพวกเราก็คือมู่เหลียนเฉิง ท่านพ่อของท่าน ท่านแม่ของพวกเราก็เป็นคนเดียวกัน ซางหลันรั่ว”
ดวงตาทั้งสองของมู่ชิงเกอเคร่งขรึม มองพวกเขาด้วยความตกตะลึง
คนตระกูลซางสองคนนี้จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาบอกว่าเป็นน้องสาวน้องชายแท้ๆ ของนาง?
ยังมีอีก มู่เหลียนเฉิงไม่ใช่ว่าตายไปแล้วหรือ? เหตุใดยังสามารถมีลูกกับซางหลันรั่วได้อีก?
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้” มู่ชิงเกอมีสีหน้าดำทะมึน
“ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้” ซางเสวี่ยอู่ส่ายหน้าช้าๆ เอ่ยขึ้นว่า “ข้ากับอี้เฉินเป็นฝาแฝด ตอนที่ท่านแม่ออกมาจากตระกูลมู่เพื่อตามหากระดูกของท่านพ่อ ก็ท้องได้เดือนกว่าๆ แล้ว”
มู่ชิงเกอถูกคำตอบนี้ทุบเข้าให้
ท่านปู่ ไหนจะท่านอาหญิงต่างนึกว่านางเป็นเลือดเนี้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของตระกูลมู่ กลับไม่เคยคิดเลยว่าที่โลกแห่งยุคกลางนี้ยังมีสายเลือดตระกูลมู่อีกสองคน
ความเงียบของมู่ชิงเกอ เป็นโอกาสให้ซางเสวี่ยอู่อธิบาย นางกล่าวขึ้นว่า “พี่สาว ตอนแรกที่ท่านแม่ได้ข่าวว่าท่านพ่อตายในสนามรบ ก็รู้สึกเจ็บปวดจนทนไม่ไหว นางไม่เชื่อว่าท่านพ่อตายแล้วจริงๆ จึงออกมาจากตระกูลมู่เพียงลำพังคิดจะไปตามหากระดูกของท่านพ่อ แต่ว่าตอนที่นางเพิ่งได้พบท่านพ่อ จู่ๆ คนตระกูลซางก็ปรากฎตัวขึ้นจะพาท่านแม่กลับตระกูลซาง ท่านแม่ไม่ยอม แต่ตระกูลซางบอกท่านแม่ว่าท่านพ่อยังมีโอกาสช่วยกลับมาได้ ดังนั้น…”
“ดังนั้น นางจึงหวนกลับมาที่โลกแห่งยุคกลางอย่างอดรนทนไม่ไหว กระทั่งไม่แม้แต่จะส่งข่าว” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเย็นชาขัดคำพูดข้างท้ายของซางเสวี่ยอู่
ในใจของนางย่อมมีอารมณ์โกรธ ไม่ใช่เพื่อตนเองแต่เพื่อมู่ชิงเกอตัวจริง
“พี่สาว ท่านแม่ก็ไม่ได้ต้องการให้เป็นเช่นนี้ แต่ว่านางไม่มีโอกาสได้ทิ้งข้อความไว้ ก็ถูกคนตระกูลซางพาตัวไป หลายปีมานี้ในใจของนางเป็นห่วงท่านมาโดยตลอด หลังจากที่พวกเราเกิดมา นางก็เอาแต่พูดเรื่องของท่านให้พวกเราฟังไม่หยุด พูดเรื่องของตระกูลมู่ พูดเรื่องท่านปู่ พูดเรื่องท่านอาหญิง” ซางอี้เฉินกล่าว
มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะยิ้มเย็นชา นางไม่คิดจะพูดอะไร คิดถึงจะมีประโยชน์อะไร? ตอนที่มู่ชิงเกอตัวจริงปรารถนาความรักใคร่จากมารดา ซางหลันรั่วไปอยู่ที่ไหน? จนมู่ชิงเกอตัวจริงตายไปล้วนตายเพราะคำหลอกลวงของซางหลันรั่ว
นางจากไปแล้วแต่กลับทำให้เด็กบริสุทธิ์คนหนึ่งต้องแบกรับทุกอย่าง
“มู่เหลียนเฉิงอยู่ที่ไหน?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม หากว่ามู่เหลียนเฉิงถูกช่วยให้มีชีวิตรอดแล้วเขาไม่คิดหาวิธีกลับไปที่หลินชวนแล้วละก็ นางก็รู้สึกไม่เป็นธรรมแทนมู่ซงกับมู่เหลียนหรงจริงๆ
“ท่านพ่อยังไม่ฟื้น” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยอย่างสิ้นหวัง “เดิมทีท่านแม่วางแผนไว้ว่ารอช่วยให้ท่านพ่อฟื้นขึ้นมาแล้วก็จะพาท่านพ่อกลับไปที่ตระกูลมู่ที่หลินชวนด้วยกัน แต่ว่า ผ่านไป 19 ปีท่านพ่อก็ไม่ยังฟื้นขึ้นมา ท่านแม่ทุ่มเทกายใจสรรหาสารพัดวิธี แต่ก็ทำได้เพียงรักษาร่างกายของท่านพ่อไว้ไม่ให้เน่าเปื่อยเท่านั้น”
“หวังให้คนตายแล้วฟื้น เดิมทีก็เป็นเรื่องที่น่าขบขันไม่มีทางเป็นจริงได้” มู่ชิงเกอประชดไม่ไว้หน้า
“พี่สาว ข้ารู้ว่าในใจของท่านทั้งโกรธทั้งแค้น แต่ว่าท่านก็อย่าได้ถือโทษโกรธท่านแม่เลย ข้ากับอี้เฉินรู้มาตลอดว่าตระกูลที่แท้จริงของเราคือตระกูลมู่ที่หลินชวน รู้ว่าพวกเรามีพี่สาวที่รับภาระทั้งหมดไว้อยู่ผู้หนึ่ง ทุกครั้งที่ท่านแม่เอ่ยถึงท่านก็จะหลั่งนํ้าตา บอกว่ารู้สึกผิดที่ทิ้งท่านไว้ รู้สึกผิดที่ให้ท่านแต่งเป็นชาย รู้สึกผิด…”
“พอได้แล้ว” มู่ชิงเกอขัดคำพูดของซางเสวี่ยอู่ เอ่ยบอกพวกเขาว่า “พวกเจ้าไปได้แล้ว”