Skip to content

พลิกปฐพี 265

ตอนที่ 265

เสียงกลองศึก ม่านแสงเทียนสีแดงในกระโจม ค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิ

เทือกเขาซางหลาน พืชพันธุ์เขียวขจี แผ่นดินแห่งสัตว์อสูร ที่แห่งนี้เป็นลานล่าสัตว์ตามธรรมชาติ และก็เป็นสถานที่คร่าชีวิตคน

มีกระต่ายที่มีลักษณะพิเศษตัวหนึ่ง ซ่อนตัวอยู่ในดงหนาม ดวงตาสีทองดูดุจดั่งเปลวไฟ จ้องมองน้ำนมสีขาวที่กำลังหยดลงมา

เหล่าหยดนํ้านมสีขาวนี้ ล้วนหยดลงบนผลไม้สีแดงส ใสที่เติบโตอยู่ภายในรอยร้าวของหิน ดูเหมือนว่ากำลังเพาะเลี้ยงให้ผลไม้นี้สุกงอม ส่วนข้างกายของกระต่ายตัวนี้ก็เต็มไปด้วยซากร่างของสัตว์อสูร ภายในซากร่างเหล่านี้ มีหมาป่าเขาเดียวที่อยู่ในระดับสีเทาเมื่อเทียบกับระดับของพวกมนุษย์ แล้วก็ยังมีเสือดาวสามตาตัวสีแดงระดับสีเงิน…รวมไปถึงลิงยักษ์สามหัว

บนซากร่างของพวกมันนั้นมีสิ่งที่เหมือนกันก็คือกะโหลกศีรษะถูกเปิดออก สมองที่อยู่ด้านในหายไปอย่างไร้ร่องรอย

‘ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว!’ โห่วจ้องมองผลไม้ที่ค่อยๆ สุก ในใจรู้สึกตื่นเต้น เพียงแค่กินผลไม้นี้ลงไป บาดแผลของมันก็จะฟื้นฟูขึ้นมาก อย่างน้อยก็สามารถกลับคืนสู่ระดับก่อนที่จะพบกับตระกูลจิง

ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นด้านหลังของโห่ว เขาหันร่างกลับ นัยน์ตาฉายแววอำมหิตคิดอยากจะฆ่าสิ่งมีชีวิตที่เข้ามาใกล้ ในตอนที่เงาดำสายหนึ่งโอบล้อมเขา นั้น เขาก็รู้สึกว่าขนลุกชันขึ้น เนื้อทั่วร่างกายเขม็งเกร็งขึ้นมา เขาเงยดวงตาสีทองขึ้น ก่อนจะมองไปเห็นใบหน้าอันหล่อเหลา

ใบหน้านี้ เผยรอยยิ้มให้แก่มัน แต่กลับทำให้นัยน์ตาของมันหดตัวลง ดวงตาฉายแววอำมหิต

“ที่แท้เจ้าก็อยู่ที่นี่เอง” ซือมั่วโค้งเอวลง มือใหญ่คว้าผิวบนคอของโห่ว หยิบตัวเขาขึ้นมาไว้ในมือ น้ำเสียงดูเหมือนว่าพบเจอสัตว์เลี้ยงที่หนีออกจากบ้านไป

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” โห่วมองเขาอย่างระมัดระวัง

ซือมั่วยิ้มเบาๆ เอ่ยด้วยนํ้าเสียงจริงจังว่า “เจ้าก็ซุกซนเกินไปแล้ว ไม่กลับบ้านนานเกินไปเสี่ยวเกอเอ๋อร์คงร้อนใจมาก”

‘ร้อนใจกับผีน่ะสิ!’

ในใจของโห่วรู้สึกแค้นเคืองมาก แต่ก็ไม่กล้าจะท้าทายชายผู้นี้ เพราะว่าเขาสามารถฆ่ามันให้ตายได้เลยในทันที!

“อา? เป็นองุ่นหยก” สายตาของซือมั่วตกไปที่พวงผลไม้ที่ดึงดูดสายตาภายในรอยแตกของหิน “ยาที่หลอมออกมาจากองุ่นหยกมีความสามารถในการรักษาอาการบาดเจ็บมากขึ้นหลายเท่า ของดีเช่นนี้เสี่ยวเกอเอ๋อร์น่าจะชอบมาก”

“นั่นเป็นของข้า! ข้าเป็นคนพบ!” โห่วเอ่ยอย่างโมโห

เขาเฝ้าองุ่นหยกมาตั้งนาน ทั้งยังฆ่าสัตว์อสูรที่จะมาแย่งองุ่นหยกกับเขาไปจำนวนมาก จะมาปล่อยไปในเวลาสำคัญเช่นนี้ได้อย่างไร?

นัยน์ตาของซือมั่วกวาดตามองไปบนร่างของเขาแวบหนึ่ง หรี่ตาเล็กลง นัยน์ตาฉายแววอำมหิต แต่ยังคงมีรอยยิ้มอยู่เอ่ยว่า “เจ้าเป็นสัตวอสูรพันธสัญญาของเสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้าเป็นของนาง ของของเจ้าก็เป็นของนาง”

‘ให้ตายเถอะ…!’

ในใจของโห่วเหมือนถูกทำร้ายอย่างหนัก เบิกตากว้าง มองดูซือมั่วยิ้มเยาะเอ่ยว่า “ลูกน้องของเจ้ารู้หรือไม่ว่า เจ้าหน้าไม่อายถึงขนาดนี้?”

รอยยิ้มที่มุมปากของซือมั่วกว้างขึ้น ยิ้มจนตาหยีมองดูโห่ว แต่กลับทำให้ขนของเขาลุกตั้ง

ซือมั่วลูบหัวของเขา ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “แต่ทว่าในเมื่อเจ้าค้นพบแล้ว ก็ถือว่ามีผลงาน ข้าจะให้รางวัลเจ้าหนึ่งลูก”

รางวัลมารดาเจ้าสิ!

โห่วอยากจะร้องไห้!

ในตอนนี้ ท่ามกลางซอกหิน แสงสดใสกระจายออกมา กลิ่นหอมขององุ่นหยกกระจายไปทั่ว

กลิ่นหอมนี้ดึงดูดให้โห่วน้ำลายไหล แค้นจนอยากจะพุ่งเข้าไปกินองุ่นหยกทั้งหมดในคำเดียว เพียงแต่ว่า ในตอนนี้เขาขยับไม่ได้ชายที่กำลังจับเขาอยู่ กดที่คอของเขาแน่น และสามารถหักมันได้ตลอดเวลา

“สามารถเก็บได้แล้ว” นัยน์ตาสีอำพันของซือมั่วฉายแววยินดี

ทันทีที่เขาโบกมือ พวกองุ่นหยกในซอกหินก็ตกลงมาเอง แล้วลอยเข้ามาสู่มือของเขา

โห่วจ้องมองสมบัติลํ้าค่าที่กำลังลอยไปสู่มือของซือมั่ว นัยน์ตาคู่นั้นแค้นจนแทบจะหลุดออกมา

องุ่นหยกตกลงในมือของซือมั่ว ความอำมหิตในดวงตาวาววาบ ทำให้โห่วอดไม่ได้ที่จะหลับตาลง

รอจนเขาลืมตาขึ้นอีกครั้งนั้น ในมือของซือมั่วก็เหลือองุ่นหยกเพียงแค่ลูกเดียว

“โฮก!”

โห่วถูกบีบบังคับจนต้องคำรามออกมา

ซือมั่วดีดลูกองุ่นหยกลูกนั้นลอยออกไปเข้าปากของโห่ว

ปากของโห่วรับได้แล้วกลืนลงไปในทันที

ชั่วขณะนั้น ร่างกายของมันก็สั่นสะท้าน เกิดประกายระยิบระยับปกคลุมร่างกาย ส่วนโห่วก็ค่อยๆ หลับตาลง ดูเหมือนกำลังย่อยสลายพลังขององุ่นหยก

ซือมั่วเหลือบมองมัน มือใหญ่ลูบไปบนขนคออันนุ่มนิ่มของเขา พาเขากลับไปยังค่ายเขี้ยวมังกร

“นานขนาดนี้ เสี่ยวเกอเอ๋อร์น่าจะพูดคุยเสร็จแล้ว” ซือมั่วพึมพำกับตัวเอง

ภายในค่ายของเขี้ยวมังกร รอบด้านมีเตาไฟลุกโชน สะท้อนแสงสว่างไปทั่วค่าย

ค่ำคืนดึกดื่น ทุกคนได้กลับไปพักผ่อนหมดแล้ว ส่วนมู่ชิงเกอยืนอยู่คนเดียวกลางลานฝึก ทวนหลิงหลงอยู่ในมือนางตั้งไว้ข้างเท้า

สายลมยามคํ่าคืนพัดมา อากาศชื้นอยู่บ้าง

ผมของนางถูกลมพัดขึ้น เกราะเบาส่งเลียงกระทบกันเบาๆ

มู่ชิงเกอหลับตา ใบหน้าที่งดงามดูเคร่งขรึมแข็งกร้าว ดูเหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่

‘ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเราก็หวังให้ท่านไปเจอท่านแม่สักครั้ง

‘ท่านแม่ก็มีความเจ็บปวดของนาง หวังว่าท่านจะให้อภัยนาง’

‘ท่านแม่คิดถึงท่านมาตลอด ถ้าหากรู้ว่าท่านมาโลกแห่งยุคกลางแล้วก็จะต้องดีใจมากแน่ๆ’

‘พวกเราจะรอท่านที่เมืองฝูซา’

มู่ชิงเกอลืมตาขึ้นในทันใดนัยน์ตาสดใสฉายแววเย็นชาออกมา นางใช้เสียงที่ทุ้มตํ่าค่อยๆ เอ่ยออกมา “มู่ชิงเกอ หากว่าเจ้ายังอยู่ เจ้าจะตอบว่าอย่างไร? ซางหลันรั่ว สำหรับข้าแล้วก็เปรียบเหมือนแค่คนผ่านทางมาเท่านั้น”

นางไม่มีทางเข้าใจความลำบากและความขมขื่นของซางหลันรั่ว เช่นเดียวกันกับความลำบากของมู่ชิงเกอ การเดินมาแต่ละก้าวจนถึงที่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคิดเอาไว้

พวกเขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามู่ชิงเกอตัวจริงนั้นได้ตายไปกับเรื่องโกหกที่ซางหลันรั่วสร้างขึ้นไปนานแล้ว หาซางหลันรั่วเป็นเพราะอยากหาคำตอบเดียว ส่วนในตอนนี้ คำตอบก็ได้รับมาแล้ว นางยังจำเป็นต้องไปเมืองฝูซาอีกหรือไม่?

ความโมโหในใจของนางก็เพื่อมู่ชิงเกอตัวจริง เป็นเพราะมู่ชิงเกอตัวจริงได้ตายไปแล้ว นางแทนที่นาง รับทุกอย่างของนาง ส่วนตอนนี้ นางหาข่าวคราวของซางหลันรั่วพบ ใจของนางกลับยิ่งปวดใจกับวิญญาณที่สลายหายไปนานแล้ว

ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เตะเข้าที่ด้ามทวนหลิงหลง ทวนหลิงหลงพลันพลิกหมุนตั้งชันกับพื้น ถูกนางกุมเอาไว้ ตวัดออกไปเป็นประกายที่ดูแข็งกร้าวสายหนึ่ง

‘มู่ชิงเกอเจ้าจะยอมให้อภัยแม่ที่ทิ้งเจ้าไปถึง 19 ปีไหม? เจ้าจะแค้นแผนการของนางที่ทำให้เจ้าต้องซ่อนสถานะหญิงสาวสุดท้ายแล้วก็ต้องไปตายในสนามรบ หรือไม่?’

มู่ชิงเกอกุมทวนหลิงหลงตวัดร่ายรำอยู่บนลานฝึก

เพลงทวนรวดเร็วดั่งลม ดุจกระแสสายฟ้าวูบไหว คมกริบดั่งมีด รอบกายของนางมีแสงสีเงินวาววาบออกมาอย่างต่อเนื่อง

ผมดำสยาย สวมเกราะเบา ชุดสีเลือด ทวนหลิงหลงที่ร่ายระบำอยู่ในมือของมู่ชิงเกอ เกิดเสียงแหวกลมดังชัดเจน ค่อยๆ ปลุกคนในค่ายเขี้ยวมังกรให้ตื่นขึ้น เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรที่พักผ่อนแล้ว ทยอยเดินออกไปนอกกระโจม ล้อมอยู่รอบลานฝึก

พวกเขามองคุณชายของพวกเขา มองนางรำเพลงทวน ดูเหมือนว่าจะรับรู้ถึงจิตใจของนางในตอนนี้ ไม่มีใครพูดจาเพียงแต่นิ่งเงียบมองดู คนเยอะขึ้นเรื่อยๆ องครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งห้าร้อยคนออกมายืนอย่างรวดเร็ว มั่วหยางก็อยู่ในนั้น โย่วเหอและฮวาเยวี่ยก็ออกมาแล้ว ไป๋สี่และหยินเฉินก็ยืนอยู่ข้างลานฝึก จิงไห่กับหยวนหยวนก็ยืนอยู่ด้วยกัน เซวี่ยนหย่า เสวี่ยหยายืนตรง นัยน์ตาฉายแววสงสัย เซวี่ยนขุยก็อยู่ในนั้น นิ่งเงียบอยู่กับฝูงคน

บนแท่นนอกกระโจมหลัก ซือมั่วที่นำโห่วกลับมาจากเทือกเขาซางหลานก็ยืนนิ่งดุจดั่งขุนเขาอันเงียบสงบ นัยน์ตาสีอำพันมองผู้หญิงที่กำลังรำเพลงทวนกลางลานฝึก

“นายน้อยเป็นอะไรไป?” เซวี่ยนขุยเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

เสวี่ยหยาขมวดคิ้วกัดริมฝีปาก เอ่ยออกมาว่า “นานน้อยกำลังจิตใจวุ่นวาย”

“อาจารย์อาเล็ก ครูฝึกเป็นอะไร?” ในเวลาเดียวกัน จิงไห่ก็ถามอยู่ข้างหยวนหยวน

ใบหน้าอันงดงามของหยวนหยวนรู้สึกเป็นห่วง “ลูกพี่อารมณ์ไม่ดี”

เงาทวนหลิงหลงในมือของมู่ชิงเกอยิ่งไกลขึ้นเรื่อยๆ เงาร่างของนางที่อยู่ข้างใน ทำให้คนที่มองตาพร่า เพลงทวนหลิงหลงถูกนางรำออกมาโดยไม่ได้ใช้พลัง ทำอย่างนั้นซํ้าไปซํ้ามา

การแสดงผลของพลังอันบริสุทธิ์และความเร็วเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งของทวนหลิงหลง

ปัง!

ทันใดนั้น ภายในความมืดก็มีเสียงฟ้าร้องขึ้น ฟ้าแลบไปบนท้องฟ้ายามราตรีและส่องสว่างทั่วทุ่งหญ้าอัสดง

ร่างกายของมั่วหยางเย็นเฉียบ ร้องตะโกนขึ้น “เอากลองออกมา!”

องครักษ์เขี้ยวมังกรรับคำสั่ง หันกายหยิบกลองหลายร้อยออกมาจากกระโจม พวกเขาล้อมลานฝึกเอาไว้ เอากลองออกมาด้านหน้าของตนเอง

มั่วหยางยืนอยู่ภายในนั้น มือถือไม้ตีกลองยกขึ้นสูง ตีลงไปบนหนังกลองในทันที

ตึง!

เสียงกลองดังขึ้นในค่ายเขี้ยวมังกร

พร้อมกันกับมั่วหยางที่ตีกลองขึ้นมา องครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งห้าร้อยนายก็ยกไม้ตีกลองในมือขึ้น ตีกลองด้านหน้าของตนเองอย่างเป็นจังหวะ

ตึง!

ตึง ตึง!

ตึง!

เสียงกลองที่เป็นระเบียบ สะท้อนก้องไปทั่วฟ้า เกิดเป็นไอพลังอันแข็งกร้าว พุ่งขึ้นจากค่ายของเขี้ยวมังกร ค่อยๆ ดังไปทั่วทุ่งหญ้าอัสดง

เสียงกลองดูเหมือนจะส่งพลังเข้าไปในทวนหลิงหลงในมือของมู่ชิงเกอมากขึ้น ระบำเพลงทวนดูแข็งกร้าวยิ่งขึ้น ระบายความเศร้าโศกในใจของนาง

แสงสีเงินจากปลายทวนวาววาบขึ้นอย่างต่อเนื่องข้างกายนาง ทวนหลิงหลงเปรียบเหมือนกับเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของนาง ดูเหมือนมีชีวิตขึ้นมา เมื่ออยู่ในเสียงกลอง มู่ชิงเกอดูเหมือนว่าจะตกเข้าไปอยู่ในภวังค์ลืมความคิดในหัว ลืมปัญหา ดำดิ่งเข้าไปอยู่ในเพลงทวนหลิงหลง

“พวกเขากำลังทำอะไร?” เซวี่ยนหย่า ตกตะลึงในเสียงกลองขององครักษ์เขี้ยวมังกร

เสวี่ยหยาพูดอย่างเข้าใจว่า “พวกเขากำลังใช้วิธีของตนเองร่วมฝ่าฝันความทุกข์กับนายน้อย พวกเขากำลังใช้เสียงกลองอันห้าวหาญ บอกกับนายน้อยว่าพวกเขาจะคู่เคียงไปกับนายน้อยไปชั่วชีวิต”

นัยน์ตาของเซวี่ยนหย่า เต็มไปด้วยความตกตะลึง มองไปยังมู่ชิงเกอ มองไปทางองครักษ์เขี้ยวมังกร

เงาทวนที่อยู่ภายใต้เสียงกลอง ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่นางได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างมู่ชิงเกอและองครักษ์เขี้ยวมังกร

คนเหล่านี้ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่ว่าสำหรับมู่ชิงเกอแล้ว พวกเขากลับเป็นทหารที่กล้าหาญที่สุด! เป็นคู่หูร่วมรบที่พึ่งพาได้มากที่สุด!

ตึง ตึงตึงตึง ตึงตึง ตึง ตึงตึงตึง

เสียงกลองสะท้อนออกไป ปลุกคนบนทุ่งหญ้าอัสดงให้ตื่นขึ้น

ภายในบรรดากระโจมนับพันนับหมื่น มีคนค่อยๆ ทยอยเดินออกมา พวกเขาออกมายืนนอกกระโจมของตนเอง มองไปทางด้านที่มีเสียงกลองดังออกมาอย่างสงสัย

“เป็นค่ายของเขี้ยวมังกร!”

มีคนเอ่ยตำแหน่งที่มีเสียงกลองดังออกมา

“เหตุใดจึงตีกลองกลางดึกได้? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“ไม่รู้ แต่ว่าเสียงกลองนี้เมื่อได้ฟังก็รู้สึกมีแรงฮึกเหิมและมีกำลังใจในการรบจริงๆ” คนที่พูดอดไม่ได้ที่จะยืดอกตัวเองขึ้น

ภายในค่ายของตระกูลซาง ซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉิน กลับมาถึงกระโจมก็ไม่ได้พักผ่อน

เสียงกลองตัดบทพูดที่พวกเขากำลังคุยกัน ทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง เดินออกมาจากกระโจม มองไปยังเนินเขาที่เป็นตำแหน่งของค่ายเขี้ยวมังกร

เสียงกลองที่ดังขึ้นดูเหมือนว่ากำลังเคาะหัวใจของพวกเขา

ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจแต่พวกเขาก็รับรู้ถึงอารมณ์อันหลากหลายภายในเสียงกลอง

“เป็นพี่สาวใช่หรือไม่?” ซางอี้เฉินดำดิ่งเข้าไปในเสียงกลอง เอ่ยถามเสียงเบา

ซางเสวี่ยอู่ไม่ได้ตอบ นางเพียงแต่กำลังตั้งใจฟังเสียงกลอง ความโศกเศร้าที่ไม่อาจจะอธิบายได้ทำให้ นางอดกำชายเสื้อของตนเองแน่นไม่ได้ จมูกชื้นขึ้นมา

ตึงตึงตึง ตึงตึง ตึง ตึงตึงตึงตึงตึงตึง

เสียงกลองดังไม่หยุดทำให้ทุ่งหญ้าอัสดงตื่นขึ้นมาก่อนเวลา

ฉินอี้เหยายืนอยู่นอกค่าย กวาดตามองไปยังค่ายเขี้ยวมังกรที่อยู่ในความมืด พึมพำออกมาว่า “เป็นเสียงกลองศึกตระกูลมู่…เจ้าเป็นอะไรไป? ไม่สบายใจหรือ?” ภายในค่ายตระกูลหาน หานฉายไฉ่ถูกเสียงกลองปลุกให้ตื่น เขาพุ่งตัวออกไปนอกกระโจม มองไปทางเสียงกลอง ขมวดคิ้วแน่นขึ้น

หานอี้เหรินก็ถูกปลุกให้ตื่นเช่นเดียวกัน นางรีบก้าวออกมายืนอยู่ข้างพี่รองของตนเอง เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “กลางคืนดึกดื่น เสียงกลองดังมาจากไหนกัน?”

หานฉายไฉ่กลับไม่ได้ตอบคำ แต่กลับดำดิ่งเข้าไปในเสียงกลอง พึมพำว่า “ช่วงเวลากลียุค ทหารนับพันหมื่น ออกด้านศึก ขอเพียงขุนพลผู้กล้ายังอยู่ ศัตรูไม่อาจเหยียบย่างเข้าเมือง”

“พี่รองท่านพึมพำอะไรกัน?” หานอี้เหรินฟังไม่ชัดจึงถามออกมา

แต่ว่า หานฉายไฉ่กลับไม่ได้ยินคำที่นางพูด ภายในนัยน์ตาเรียวยาวของเขาถูกความเจ็บปวดเข้าครอบงำ พึมพำกับตัวเองว่า “ในที่สุดข้าก็ได้สัมผัสถึงอารมณ์ตอนที่เจ้าร่ายกลอนบทนี้แล้ว”

บางที กลอนบทนี้อาจจะไม่ได้หมายถึงมู่ชิงเกอเพียงคนเดียว แต่เป็นจุดมุ่งหมายอย่างหนึ่ง

จุดมุ่งหมายของมู่ชิงเกอ แข็งแกร่ง แข็งแกร่งจนทำให้ เขารู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง

ปัง!

กลางอากาศ เสียงฟ้าร้องดังขึ้นมาอีกครั้ง ดูเหมือนว่าไม่พอใจในเสียงกลองตระกูลมู่ที่แย่งชิงความโดดเด่นของมัน

แต่ไม่ว่าเสียงฟ้าร้องจะน่าหวาดกลัวเพียงใด เสียงกลองของตระกูลมู่ก็ยังคงถูกตีต่อไป ไม่ได้เสียกระบวนเพลง ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องกระทบจิตใจคน

ที่นี่เป็นสถานที่ที่หลิวเค่อรวมตัวกัน

เสียงกลองของตระกูลมู่ปลุกความทรงจำในสนามรบของพวกเขาขึ้นมา ทำให้พวกเขาดื่มดํ่าไปกับความรู้สึกภายในสนามรบของตนเอง

ไม่มีผลประโยชน์ไม่มีเล่ห์กลอุบาย มีเพียงความรู้สึกอันสูงส่ง!

ภายในค่ายของตระกูลอิ๋ง อิ๋งเจ๋อห่มเสื้อคลุมยืนอยู่ในกระโจม

กระโจมของเขาถูกคนเปิดออก จีเหยาฮั่วเดินเข้ามา เอ่ยกับเขาว่า “ได้ยินหรือไม่? เสียงกลองนี้ดูเหมือนจะดังมาจากค่ายของเขี้ยวมังกร”

“เสียงกลองดังขนาดนี้ ข้าก็ไม่ได้หูหนวก แน่นอนว่าได้ยินแล้ว” อิ๋งเจ๋อเอ่ยตอบ

จีเหยาฮั่วยื่นนิ้วออกไปนวดๆ หู ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ของที่รบกวนให้คนตื่นจากฝันเช่นนี้ไม่สู้พวกเราสองคนไปทำลายกลองเหล่านั้นดีหรือไม่?”

“เสียงกลองน่าฟังมาก” อิ๋งเจ๋อพูดออกไป หันกายนั่งลง หลับตา ดูเหมือนว่ากำลังตั้งใจฟังเสียงกลองศึก

จีเหยาฮั่วชะงัก กะพริบตา สายตามองออกไปนอกกระโจม

ตึง! ตึงตึง! ตึง! ตึงตึงตึง!

เสียงกลองดังไม่หยุด เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงดังกระทบจิตใจคน

คนบนทุ่งหญ้าอัสดง ดูเหมือนว่าจะถูกอิทธิพลของเสียงกลองกันหมด พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลับดำดิ่งเข้าไปในเสียงกลอง คาดหวังให้เสียงกลองดังไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด

เสียงฟ้าร้องบนฟ้า ดูเหมือนจะรู้สึกว่าอำนาจของตัวเองถูกท้าทาย

มันไม่เพียงแต่เริ่มคำราม ทั้งยังเกิดลมกรรโชกแรง พัดไปทั่วทุ่งหญ้าอัสดง

ภายในค่ายเขี้ยวมังกร ลมโหมกระหนํ่า เสื้อผ้าของทุกคนถูกพัดปลิวสะบัด ผมของมู่ชิงเกอถูกพัดขึ้น แต่นางก็ไม่ได้ไหวติง ยังคงร่ายรำเพลงทวนหลิงหลงต่อ

เพลงทวนอันงดงาม เป็นการแสดงหนึ่งที่ปรากฎต่อหน้าของทุกคน

ฝุ่นดินบนพื้นถูกลมพัดม้วนลู่กลางอากาศ คิดจะทำให้สายตาของทุกคนพร่ามัว แต่เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ไม่ได้รับอิทธิพลใดๆ ยังคงตีกลองในมือต่อไปเรื่อยๆ

นี่เป็นกลองศึกในกองทัพตระกูลมู่ เสียงกลองแสดงถึงจุดมุ่งหมายของตระกูลมู่ แสดงถึงจุดมุ่งหมายที่จะไม่ยอมฟายแพ้ในสนามรบของทหารหาญ

นี่เป็นครั้งแรกที่เสียงกลองศึกของกองทัพตระกูลมู่ได้ดังขึ้นมาบนโลกแห่งยุคกลาง

ปัง!

สายฟ้าวาบผ่าน ดูเหมือนกับต้องการแหวกชั้นฟ้า

สายฟ้าตกลงมาจากอากาศ ตรงเข้าผ่าต้นไม้ต้นหนึ่งข้างลานฝึกค่ายของเขี้ยวมังกร

ลำต้นของต้นไม้หักลง เปลวไฟเผากิ่งไม้ทำให้ลานฝึกสว่างจ้ายิ่งขึ้น

มู่ชิงเกอที่อยู่ในลานฝึก ดำดิ่งอยู่ในโลกที่ทวนและคนรวมเป็นหนึ่ง นัยน์ตาของนางมีแต่ทวนหลิงหลง และก็ยังมีเสียงกลองศึกที่อยู่เป็นเพื่อนนาง

ซ่าซ่า ซ่าซ่า!

เม็ดฝนกระหน่ำ ในที่สุดก็ตกลงมาจากฟ้า

เม็ดฝนขนาดใหญ่ตกลงบนกลองศึก กลองศึกรับสายฝน สายฝนกระเด็นกระดอน กระจายออกไปรอบทิศ

มู่ชิงเกอไม่ได้หยุดเพราะว่าพิรุณโหม เสียงกลองก็ไม่ได้หยุด ทุกๆ คน ล้วนแต่ตากฝนไปเป็นเพื่อนมู่ชิงเกอ แม้แต่ซือมั่วก็เช่นเดียวกัน

เขายืนอยู่ท่ามกลางสายฝน มองดูผู้หญิงที่ทำให้คนปวดใจคนหนึ่ง ไม่ได้ห้ามปราม ไม่ได้เข้าไปช่วย เพียงแต่อยู่เป็นเพื่อน

สายนํ้าฝนไหลลงมาบนใบหน้าของมู่ชิงเกอแต่ก็ไม่ได้ทำลายความแข็งกร้าวในสายตานางออกไป

ฝนตกหนักอย่างฉับพลันทำให้คนที่กำลังดำดิ่งอยู่ในเสียงกลองจำนวนมากตื่นขึ้น พวกเขาทยอยกลับเข้าไปในกระโจมเพื่อหลบฝน แต่ก็ไม่ได้ง่วงนอน กลับยังคงนิ่งเงียบฟังเสียงกลองต่อ

“พี่รอง ฝนตกแล้ว พวกเราเข้าไปด้านในกันเถอะ” หานอี้เหรินใช้มือข้างหนึ่งบังบนหน้าผากของตนเอง อีกมือดึงชายเสื้อของหานฉายไฉ่

หานฉายไฉ่กลับยังยืนนิ่งเงียบอยู่ท่ามกลางสายฝน เพียงแต่มองไปยังค่ายเขี้ยวมังกร สัมผัสได้ถึงเสียงกลอง เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ไร้ที่พึ่งและยุ่งเหยิงของมู่ชิงเกอในตอนนี้ เขาแค้นใจจนอยากจะพุ่งตัวไปอยู่ข้างๆ นางเดี๋ยวนี้ โอบกอดนางเข้ามาในอ้อมอก เพียงแต่ว่า เขากลับถูกสิ่งที่มองไม่เห็นขวางทางเอาไว้ ไม่อาจจะไปได้

‘ไม่พอ! ยังไม่พอ! ข้ายังมีพลังไม่พอที่จะไปปกป้องเจ้า ข้ายังไม่มีสิทธิ์มากพอที่จะไปยืนอยู่ข้างกายเจ้า!’ มือที่อยู่ในแขนเสื้อของหานฉายไฉ่ค่อยๆ กำแน่นเป็นกำปั้น

“พี่รอง…” หานอี้เหรินดึงอย่างหนักเพื่อพาเขากลับเข้าไปในกระโจม

ค่ายเขี้ยวมังกร ฝนกระหน่ำลงมาอย่างไร้หัวใจ

ซือมั่วโยนโห่วไปยังมุมหนึ่งของกระโจม ทันใดนั้นก็เดินไปยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยเหล้า หยิบไหเหล้ารสแรงไหหนึ่งขึ้นมา เดินไปยังลานฝึก

ผู้หญิงของเขา ในเวลานี้ต้องการดื่มเหล้า!

เขาที่เดินไปท่ามกลางสายฝน ดึงดูดสายตาของคนจำนวนไม่น้อย

เซวี่ยนหย่า และเสวี่ยหยามองไปยังเขา คนที่แต่เดิมสงสัยในสถานะของเขา ตอนนี้ก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น ไม่รู้ว่าซือมั่วจะทำอะไร ในมือยังมีไหเหล้าไหหนึ่ง

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์รับเหล้า!” ทันใดนั้นซือมั่วก็ส่งเสียงออกมา ไหเหล้าในมือถูกเขาโยนไปให้มู่ชิงเกอ

เมื่อได้ยินเสียงของซือมั่ว มู่ชิงเกอก็ไม่ได้หันกลับไป เพียงแต่แทงทวนหลินหลงไปด้านหลัง ใช้ปลายทวนรับไหเหล้าที่ลอยมา นางค่อยๆ ออกแรง ยกปลายทวน เบาๆ โยนไหเหล้าขึ้นไปกลางอากาศ โค้งลอยไปท่ามกลางสายฝน ก่อนจะตกลงมาในมือของนาง

ใช้มือเดียวเปิดจุกเหล้าออก มู่ชิงเกอจับปากไห จากนั้น ก็ยกขึ้นพลิกมาที่ปากของนาง

เหล้ารสร้อนแรงผสมไปกับสายฝนถูกเทออกมาเข้าไปในปากของมู่ชิงเกอ

นางเงยหน้าดื่มเหล้า ปล่อยให้สายฝนตกลงบนหน้าของนาง ร่างกายของนาง เหล้ารสร้อนแรงไหลลงในคอของนาง แผดเผาเลือดของนาง

ตึง!

ปลายทวนหลิงหลงปักลงบนพื้น ปลายทวนชี้ตรงขึ้นฟ้า นิ่งเงียบอยู่เคียงข้างมู่ชิงเกอ

เหล้าร้อนแรงไหหนึ่ง ไม่นานก็มองเห็นก้นไห

มู่ชิงเกอทิ้งไหที่วางเปล่าลงบนพื้น ไหแตกกระจายออกไป

ก่อนที่เสียงกลองจะหยุดลงอย่างพร้อมเพรียงกันในตอนนี้เอง

ทุกๆ คนมองมู่ชิงเกอเงียบๆ ไม่มีเสียงใดๆ เพียงแต่ยืนตรงอยู่เคียงข้าง

ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้โดดเดี่ยว สายตาของนางกวาดมองไปทีละใบหน้า จนในที่สุดก็หยุดอยู่ที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของซือมั่ว

ดูเหมือนว่าจะรับรู้ถึงสายตาของมู่ชิงเกอ ซือมั่วเดินเข้ามาที่นาง

สายฝนตกลงบนร่างกายของเขา จนทำให้เขาเปียกไปนานแล้ว

ซือมั่วเดินมาถึงตรงหน้าของมู่ชิงเกอ ทันใดนั้นก็โอบกอดนางขึ้นมา มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ขัดขืน แต่กลับโอบรอบคอของเขา

การกอดในครั้งนี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยแตกตื่น

ภายในนั้นผู้ที่แตกตื่นมากที่สุดก็คือเซวี่ยนหย่า กับเสวี่ยหยา แน่นอนว่ายังมีจิงไห่ผู้ใสบริสุทธิ์ และก็ทำให้เซวี่ยนขุยผู้บูชานับถือมู่ชิงเกอตื่นตะลึง

สายตาของมั่วหยางมืดมนลง กำไม้ตีกลองแน่น แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ควรทำออกมา

ซือมั่วโอบกอดมู่ชิงเกอ หันกายจากไป เดินเข้าไปในกระโจมหลัก

ตอนที่เดินผ่านโย่วเหอและฮวาเยวี่ยนั้นก็สั่งการพวกนางว่า “โย่วเหอ ฮวาเยวี่ยเข้ามารับใช้”

โย่วเหอ ฮวาเยวี่ยรับคำสั่ง ไปจัดเตรียมนํ้าร้อนในทันที ทั้งยังมีชุดใหม่เพื่อเปลี่ยน

สีหน้าของเสวี่ยหยาซีดขาวยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน การเคลื่อนไหวที่ดูแนบชิดสนิทกันของซือมั่วและมู่ชิงเกอทำให้นางไม่กล้าไปคิดถึงเรื่องราวที่อาจจะเกิดขึ้น สีหน้าของเซวี่ยนหย่า ก็ไม่น่าดูเป็นอย่างมาก นางมองเสวี่ยหยาแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้ดูเหมือนว่าข้าจะรู้แล้วว่าเหตุใด นายน้อยถึงไม่หวั่นไหวไปกับข้าและเจ้าสองคน”

ประโยคนี้ดุจดั่งมีดดาบที่แทงเข้าไปในหัวใจของเสวี่ยหยา เจ็บปวดจนทำให้นางยากที่จะหายใจ

ไม่ ไม่อยากจะดูต่อไปอีกแล้ว หันกายวิ่งไปที่กระโจมของตนเอง เซวี่ยนหย่ามองแผ่นหลังของนาง ส่ายหน้าแล้วตามไป

“เสียงกลองหยุดลงแล้ว” อิ๋งเจ๋อรู้สึกเสียดายเล็กน้อย นํ้าเสียงยังคงมีความรู้สึกที่ไม่อยากให้จบแฝงไว้อยู่

จีเหยาฮั่วแสดงท่าทางเกียจคร้านขึ้นมา เอ่ยด้วยใบหน้าที่พอใจว่า “ในที่สุดก็จบลงแล้ว หากยังไม่หยุดข้าจะไปทำลายแล้ว!”

เขาหาวแล้วเอ่ยว่า “ข้าขอไปนอนก่อน ค่อยว่ากัน รอข้าตื่นแล้ว…ชิ ชิ”

เขาเดินไปนอกกระโจม หันหลังให้อิ๋งเจ๋อ นัยน์ตาวาววาบอำมหิต

ค่ายของเขี้ยวมังกร ภายในกระโจมหลัก ผนังกระโจมหนาปิดกั้นเสียงสายฝนภายนอก

ซือมั่วที่ตัวแห้งแล้วนั่งอยู่บนเตียงอย่างสบาย ถอดชุดสีดำออกเหลือไว้เพียงชุดตัวในสีขาว ผมดำชุดขาว ยังคงหล่อเหลาเหมือนเช่นเคย

มู่ชิงเกออาบนํ้าเสร็จแล้วก็เดินออกมามองเห็นฉากนี้

ผมของนางยังมีนํ้าหยดและเปียกชื้น บนร่างสวมแค่เพียงชุดด้านในหลวมๆ ชุดหนึ่ง ต่างหูสีม่วงบนหูซ้ายถูกนางถอดออกไปนานแล้ว กลับคืนสู่ร่างเดิม งดงามลึกลํ้า

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยออกไปจากกระโจมหลักนานแล้ว ในตอนนี้ภายในกระโจมหลักเหลือเพียงแต่พวกเขาสองคน

ซือมั่วมองเห็นนาง นัยน์ตากวาดมองไปยังหยดน้ำบนผมของนางแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นพูดว่า “เข้ามา”

เขาสั่งนาง มู่ชิงเกอเดินเข้าไป ไปถึงข้างเตียงแล้วนั่งลง ซือมั่วหยิบผ้าแห้งออกมาจากมือของนาง เช็ดผมให้นาง อากาศอันแสนอบอุ่นไหลเวียนอยู่บนศีรษะของมู่ชิงเกอ ทำให้นางรู้สึกสบายมาก ง่วงจนอยากนอน

รอจนนางรู้สึกได้ว่าผมของตัวเองแห้งดีแล้ว นางถึงได้พบว่า ผู้ชายคนนี้ใช้พลังจิตช่วยเป่าผมให้นาง ความรู้สึกที่ถูกเอาใจใส่เช่นนี้ทำให้นางซาบซึ้งใจมาก

นางหันกายนั่งลงตรงข้ามกับซือมั่ว นัยน์ตาฉายแววเสียใจเอ่ยว่า “ขอโทษด้วยที่ข้าอารมณ์หลุดการควบคุมไป”

ซือมั่วส่ายหน้า บีบๆ จมูกของนาง ใช้นํ้าเสียงที่เอ็นดูเอ่ยกับนางว่า “ข้าเพียงแต่กังวลว่าตอนนี้เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของข้าดีขึ้นหรือยัง?”

มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มออกมาพยักหน้า เอ่ยว่า “ดีขึ้นมากแล้ว ที่จริงเรื่องที่ยุ่งเหยิงก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ตามจริงไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจ”

นางเพียงแค่รู้สึกไม่ยุติธรรมแทนมู่ชิงเกอตัวจริงเท่านั้น และก็เพื่อตัวเองเพราะตอนนี้นางก็คือมู่ชิงเกอ!

มู่ชิงเกอมอบสถานะให้แก่นาง แต่ทางเดินต่อไปข้างหน้าในเวลานี้เป็นนางเดินออกมาเอง

หาตัวซางหลันรั่ว แน่ใจในเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนเป็นคำสัญญาที่นางให้ไว้กับมู่ชิงเกอ และเป็นเรื่องที่นางทำเพื่อมู่ชิงเกอตัวจริง ภายในเวลาสั้นๆ ที่ได้ใกล้ชิดนางก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความคิดถึงที่มู่ชิงเกอมีต่อบิดามารดา มิเช่นนั้นก็คงไม่ทำตามคำสั่งของมารดามาโดยตลอด ปฏิบัติตัวอย่างผู้ชายเก็บเรื่องทุกอย่างเอาไว้ เพราะว่าในใจของนางเชื่อมาตลอดว่าภารกิจที่มารดามอบให้นางนั้น นางจำเป็นต้องทำให้ดี จำเป็นต้องปกป้องตระกูลมู่ไว้ให้ได้

อย่างไรก็ตามเมื่อนางค้นพบความลับที่แอบซ่อนมาอย่างยาวนานนี้แล้ว อารมณ์ของนางก็สับสนซับซ้อนขึ้นมาอีก

“ดูท่า ข้าคงต้องไปเมืองฝูซาสักครั้ง พูดสิ่งที่ควรพูดออกไปให้หมด จากนั้นก็คิดหาวิธีบอกเรื่องราวนี้แก่ท่านปู่ ทำเช่นนั้นเรื่องนี้ถึงจะได้ถือว่าสิ้นสุด” มู่ชิงเกอเอ่ยกับซือมั่ว

“อย่าฝืนตัวเองนัก” ซือมั่วเอ่ยเสียงอ่อนโยน

มู่ชิงเกอพยักหน้ายิ้ม “ไม่ฝืน เรื่องนี้แต่เดิมข้าก็ต้องทำอยู่แล้ว และก็เป็นคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับท่านปู่ด้วย”

นางไม่รู้ว่าหลังจากที่พบซางหลันรั่วแล้วจะเป็นอย่างที่มู่ซงและมู่เหลียนหรงบอกนางหรือไม่ และก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร แต่ว่าการหลีกหนีก็ไม่ใช่แนวทางของมู่ชิงเกอ

ดังนั้น นางจำเป็นต้องไปเมืองฝูซา!

ซางหลันรั่วนางก็จำเป็นต้องพบ!

ยังมีอีก ในเมื่อซางหลันรั่วใช้เวลาถึง 19 ปีก็ยังไม่มีวิธีช่วยท่านพ่อกลับคืนมาได้ เช่นนั้นนางก็จะพาท่านพ่อกลับไป ไม่ให้เขาอยู่ในตระกูลซางต่ออีก

แม้ว่ามู่เหลียนเฉิงจะตายก็ต้องตายอยู่ในตระกูลมู่!

“ใช่แล้ว อยู่ดีๆ มีน้องชายน้องสาวเพิ่มขึ้นมา ความรู้สึกนั้นทำให้ข้ารู้สึกแปลกประหลาด” มู่ชิงเกอเอ่ยกับซือมั่ว

ซือมั่วเลิกคิ้วขึ้น ลูบๆ ผมของนางแล้วเอ่ยว่า “ทุกอย่าง ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ”

มู่ชิงเกอพยักหน้าเห็นด้วย เอ่ยว่า “ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดในตอนที่พบซางเสวี่ยอู่นั้นข้าถึงมีความรู้สึกคุ้นเคยอยู่ตลอด ตอนที่มองเห็นซางอี้เฉินก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ที่แท้ก็ เป็นเพราะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดนี่เอง”

นางไม่รู้ว่าจะรับน้องชายน้องสาวที่โผล่ออกมาอย่างกะทันหันได้อย่างไร

แต่ว่า ความรู้สึกที่ว่าความหวังของตระกูลมู่ไม่ได้แค่นางเพียงคนเดียวแล้ว ก็ทำให้นางเต็มเป็นไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบายออกมา

“ข่าวคราวนี้ท่านปู่รู้แล้วต้องดีใจมากแน่ๆ” ซือมั่วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว “แต่น่าเสียดายไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ท่านปู่รู้ได้”

นางอยู่ในโลกแห่งยุคกลาง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้กลับไป ในตระกูลมู่นอกจากเรื่องของนางแล้ว ก็ยังมีเรื่องอื่นๆ ในภายภาคหน้าอีก ไม่รู้จะบอกกับท่านปู่ได้ อย่างไร?

“ให้ข้าช่วยเจ้าดีหรือไม่?” ซือมั่วถามออกไป

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกาย เอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “เจ้ามีวิธีงั้นหรือ?”

“พูดมาว่าเจ้าอยากทำอย่างไร” ในดวงตาสีอำพันของ ซือมั่วที่มองนางเต็มไปด้วยความเอ็นดู

มู่ชิงเกอครุ่นคิด จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “มีวิธีอะไรหรือไม่ที่สามารถทำให้ข้ากับท่านปู่ส่งข่าวไปมาหากันได้?”

เพียงแค่พูดจบ มู่ชิงเกอก็ส่ายศีรษะ

ถ้าหากว่ามีวิธีเช่นนี้จริง อิงตามนิสัยของซือมั่วแล้ว ก็คงจะใช้กับพวกเขาสองคนไปนานแล้ว

“นี่ยากมากใช่หรือไม่” มู่ชิงเกอเอ่ยยิ้มๆ

ซือมั่วยิ้ม “ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะไม่มีวิธีที่จะสามารถทำตามคำขอของเจ้าทั้งหมดได้ แต่ข้าจะลองคิดดู หากว่าตอนนี้เสี่ยวเกอเอ๋อร์อยากจะส่งข่าวไปตระกูลมู่ในหลินชวนนั้น ข้าสามารถช่วยเจ้าได้”

“อะไรนะ!” มู่ชิงเกอเบิกตากว้างขึ้น

ซือมั่วหยิบของที่เป็นแผ่นโปร่งแสงออกมา มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “มันคืออะไร?”

“นี่เรียกว่ายันต์ส่งสาร สามารถบันทึกคำที่พูดลงไปได้ ส่งไปถึงสถานที่ที่ต้องการส่ง แต่ว่าทุกๆ ใบสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว ครั้งนี้ข้าเอาให้เจ้าไว้สามใบ ครั้งหน้าจะเอามาให้เจ้ามากกว่านี้” ซือมั่วอธิบาย

“มหัศจรรย์มากขนาดนั้นเชียวหรือ?” มู่ชิงเกอกะพริบตา ยื่นมือออกไปรับยันต์ส่งสาร ระหว่างนางกับซือมั่วไม่มีคำว่าเกรงใจ

“ลองดูแล้วก็จะรู้ แต่ทว่ายันต์ส่งสารสามารถส่งข่าวสารไปได้แต่ไม่สามารถนำสารกลับคืนมาได้” ซือมั่วเอ่ย

มู่ชิงเกอนิ่งแล้วเอ่ยว่า “ก็หมายความว่าหลังจากท่านปู่ รับข่าวแล้วก็ไม่สามารถตอบจดหมายข้าได้”

ซือมั่วพยักหน้า แต่เขาก็รีบเอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็สามารถส่งคนไปมอบยันต์ส่งสารให้ท่านปู่สักหลายใบ เช่นนั้นก็สามารถบรรลุผลลัพธ์อย่างที่เจ้าต้องการได้แล้ว เพียงแต่ไม่อาจจะเป็นอย่างเช่นที่เจ้าคาดหวัง ที่สามารถสื่อสารกันในเวลา

จริง”

“ได้!” มู่ชิงเกอเอ่ย จากนั้นนางก็เอ่ยล้อเล่นออกมาว่า “ท่านปู่ของข้าเคยเรียกเจ้าว่าท่านผู้เฒ่ามหาปราชญ์ไม่ขาดปาก ส่วนเจ้าในตอนนี้กลับเรียกเขาว่าท่านปู่ นี่เป็น การเรียกอย่างไม่ถูกต้อง”

ซือมั่วเอ่ยว่า “สำหรับคนฝึกปรือพลังแล้วอายุไม่นับอีก อย่างข้าเป็นหลานเขยของเขา เรียกเขาว่าท่านปู่ก็ถูกต้องดีแล้ว”

มู่ชิงเกอจ้องมองเขาอ้าปากค้าง คิดไม่ถึงว่าซือมั่วจะหน้าไม่อายถึงขนาดนี้ พูดไปพูดมาก็ไม่ยินยอมจะยอมรับว่าตนเองแก่

“แค่ก แค่ก” มู่ชิงเกอเปลี่ยนประเด็น “ยันต์ส่งสารนี้ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะไปถึงท่านปู่ได้?”

“หนึ่งวัน” ซือมั่วเอ่ยตอบ

หนึ่งวัน? นี่ถือว่าเร็วทีเดียว!

มู่ชิงเกอมองซือมั่วแวบหนึ่ง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็เอ่ยกับยันต์ส่งสารว่า “ท่านปู่ ข้าคือชิงเกอ ข้าได้พบกับตระกูลซางแล้ว ที่แท้…ซางหลันรั่วยังไม่ตาย ในปีนั้นนางหาท่านพ่อพบแล้ว แต่กลับถูกคนของตระกูลซางนำตัวกลับมาโลกแห่งยุคกลาง เวลานั้น ในท้องของนางก็ตั้งครรภ์อยู่ คลอดคู่แฝดชายหญิงออกมาให้แก่ตระกูลมู่ ซึ่งข้าก็ได้พบแล้ว เพียงแต่ว่า…ข้าไม่รู้จะเผชิญหน้ากับพวกเขาและซางหลันรั่วอย่างไรดี ยังมีอีกอย่างพวกเขา บอกว่าท่านพ่อยังมีโอกาสหายดี ข้าจะไปดู ไม่สนว่าท่านพ่อจะสามารถฟื้นกลับคืนมาได้หรือไม่ แต่ข้าก็จะพาเขากลับมาอยู่ข้างกายของท่านให้ได้ข้าอยู่ที่นี่สบายดี ท่านก็ดูแลตนเองด้วย ใช่แล้ว ท่านอาเป็นอย่างไรบ้าง? ลูกพี่ลูกน้องของข้าตอนนี้น่าจะเรียกท่านปู่แล้วสินะ ถามไถ่พวกเขาแทนข้าด้วย ข้าจะต้องกลับไปอย่างแน่นอน”

มู่ชิงเกอพูดจบแล้ว ก็มองไปทางซือมั่ว

ซือมั่วสอนอาคมหนึ่งให้แก่มู่ชิงเกอ หลังจากมู่ชิงเกอใช้แล้ว ยันต์ส่งสารก็กลายเป็นแสงสีขาวสายหนึ่งลอยออกไป

“เสร็จแล้วงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างประหลาดใจ

ซือมั่วพยักหน้า “อีกไม่นานท่านปู่ก็จะได้รับข่าวจากเจ้าแล้ว”

เขากุมมือของมู่ชิงเกอขึ้นมา เอ่ยกับนางว่า “ข้าก็จะรีบส่งสารกลับไป ส่งคนไปส่งยันต์ส่งสารแก่ท่านปู่”

“ขอบคุณ” มู่ชิงเกอเอ่ยออกมาอย่างซึ้งใจ

“เด็กโง่ เจ้าไม่ใช่พูดว่าของข้าก็คือของของเจ้ามิใช่หรือ? ใช้ของของตนเองจะขอบคุณทำไมกัน?” ซือมั่วยิ้มๆ เอ่ยออกมา

มู่ชิงเกอยิ้มออกมาเอ่ยกับเขาว่า “คืนนี้ เกรงว่าข้าคงทำให้คนตกใจไปมิใช่น้อย”

“บางครั้งปล่อยตามสบายบ้างก็เป็นเรื่องที่ดี เสี่ยวเกอเอ๋อร์อย่าบีบคั้นตัวเองมากเกินไปนัก” ซือมั่วส่ายหน้าเอ่ยบอก

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้าเอ่ยว่า “ตอนแรกเริ่ม ข้าสับสนวุ่นวายจริงๆ แต่ว่าหลังจากที่ข้าเข้าไปสู่ห้วงภวังค์มันทำให้ข้าเข้าใจทวนหลิงหลงใหม่ นี่ถือว่าเป็นผลกำไรที่เหนือความคาดหมาย”

“เช่นนั้นข้าก็ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย” ซือมั่วเล่นปอยผมของนาง หัวเราะเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ

ใบหน้าที่หล่อเหลาไร้เทียมทาน สะดุดตาไร้ที่ติราวกับรวมเอาความงามของโลกไว้ในที่เดียว มู่ชิงเกอเหม่อมอง นางไม่อาจไม่ยอมรับได้เลยว่าใบหน้านี้มีเสน่ห์เพียงพอที่จะดูดสติและวิญญาณของผู้หญิงทุกคนได้ ดีที่ซือมั่วไม่ค่อยปรากฎตัวต่อหน้าคนสักเท่าไหร่ นางจึงได้ชมความงดงามนี้คนเดียว

ทันใดนั้น นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็แข็งกร้าวขึ้น จับคว้าชายเสื้อของซือมั่ว ดึงเขามาที่ด้านหน้าของตนเอง เอ่ยถามอย่างระแวงว่า “ในที่ของเจ้ามีผู้หญิงมาชอบเจ้า หรือไม่?”

ซือมั่วยังไม่ทันได้ตอบ นางก็เอ่ยเตือนขึ้นมาอีกว่า “อย่าโกหกข้าว่าไม่มี!”

ซือมั่วอ้าปากมองผู้หญิงของเขาอย่างหมดหนทาง “มีไม่น้อยจริงๆ แต่ข้าไม่รู้สึกอะไรกับพวกนาง พวกนางก็รู้ดี”

“พวกนางงั้นหรือ? ดูแล้วมีจำนวนไม่น้อยทีเดียว” ในนํ้าเสียงของมู่ชิงเกอมีรสเปรี้ยวของความหึง

“ในใจของข้ามีเพียงแต่เสี่ยวเกอเอ๋อร์คนเดียว ผู้หญิงเหล่านั้นที่เจ้าพูดถึงแม้แต่หน้าตาหรือชื่อข้าก็จำไม่ได้ด้วยซํ้า” ซือมั่วรีบเอ่ยออกมา

มู่ชิงเกอกัดฟันเอ่ยว่า “เจ้าเป็นของข้า ใครกล้ายั่วยวนเจ้า ก็คือท้าทายข้า!”

ซือมั่วกลั้นหัวเราะพยักหน้า ถึงแม้ว่าการบอกชอบของมู่ชิงเกอจะดูอหังการไปบ้าง แต่เขาก็ชอบ

ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็เคลื่อนกายมาใกล้กับเขา

ซือมั่วอดไม่ได้ที่จะชะงักลมหายใจ นัยน์ตาสีอำพันมองนางอย่างแปลกใจ เดาว่านางจะทำอะไร

นัยน์ตาสดใสของมู่ชิงเกอ กวาดมองใบหน้าของซือมั่วอย่างละเอียด จากใบหน้าของเขา ดวงตา จมูก ริมฝีปาก แนวไหล่และไหปลาร้าของเขา

ภายในกระโจมเกิดเสียงกลืนนํ้าลายดังขึ้น

ซือมั่วมองนาง ภายในนัยน์ตาสีอำพันมีความแปลกใจ คาดหวังแล้วก็ยังมีอารมณ์ตื่นเต้นต่างๆ ผสมปนเปกันไป

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นสบสายตา น้ำเสียงของนางดูแหบพร่าเอ่ยว่า “เพื่อทำให้เจ้าไม่ถูกคนหมายตา ข้าจะต้องทำสัญลักษณ์ไว้ถึงจะดี”

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์คิดจะทำสัญลักษณ์อะไร?” ซือมั่วค่อยๆ เอ่ย ในนํ้าเสียงของเขาดูเหมือนว่าจะไม่ได้เรียบเฉยดังเวลาปกติ แต่กลับสั่นเล็กน้อยซึ่งนั่นก็ยิ่งดูมีเสน่ห์และดึงดูดใจ

เป็นเพราะท่าทางของมู่ชิงเกอ สายตาของเขาจึงไม่สามารถหลบเลี่ยงภาพอันงดงามในเสื้อตัวหลวมของนางได้

ซือมั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ ภาพที่หลบซ่อนอยู่ในเสื้อตัวหลวมนั้นเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา

“ข้าต้องการเจ้า” มู่ชิงเกอพูดออกมา โน้มร่างกายไปข้างหน้า ทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนใกล้เข้าไปอีก

ซือมั่วเอนไปด้านหลัง ข้อศอกอยู่บนเตียง

ข้าต้องการเจ้า!

คำเหล่านี้โจมตีหัวใจของเขาอย่างจัง ทำให้หัวใจของเขาเริ่มเต้นรุนแรงขึ้น “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่?”

มู่ชิงเกออยู่ด้านบนอีกมือวางลงบนเตียงเช่นเดียวกัน อีกมือเชยคางของซือมั่ว แล้วก็เอ่ยออกมาว่า “แน่นอนว่ารู้! ข้าคิดดีแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นคนของข้า แล้วเหตุ ใดข้าจะต้องอดทนทรมานตัวเองด้วย?”

ซือมั่วขบฟันเอ่ยว่า “นั่นสมควรเป็นข้าเป็นคนพูดถึงจะถูก!”

น่าตายยิ่งนัก ใครเป็นคนอดทนทรมานกันแน่?

มู่ชิงเกอยักไหล่ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ดังนั้น ข้าตัดสินใจแล้ว วันนี้ข้าต้องการเจ้า ทำให้เจ้ามีชื่อว่าเป็นคนของข้า ตัดความคิดที่ลุ่มหลงของคนนอกแต่ต้นลม”

นัยน์ตาของซือมั่วดูอ่อนแสงลง นัยน์ตาลีอำพันลํ้าลึกขึ้น เผยความดึงดูดและมีเสน่ห์ดูเหมือนกับเด็กทารก ปล่อยกลิ่นหอมที่กระตุ้นใจออกมาหลอกล่อมู่ชิงเกอ

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์เจ้าคงจะไม่เสียใจทีหลังใช่ไหม” เสียงของซือมั่วเปลี่ยนเป็นแหบพร่าเพราะมู่ชิงเกอ เขากำลังควบคุมตนเอง แต่หากว่าเด็กคนนี้อยากจะถอยในตอนนี้ เขาก็ไม่อาจยอมได้แล้ว

“เสียใจภายหลัง?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยอย่างอหังการว่า “ข้าไม่รู้ว่าคำว่าเสียใจภายหลังเขียนอย่างไร!”

“ซือมั่ว เจ้าเตรียมพร้อมดีหรือยัง?” มู่ชิงเกอยิ้มให้กับซือมั่ว

หัวใจของซือมั่วกระตุก หรี่ตาลง ใช้น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของข้า เจ้าเตรียมพร้อมดีหรือยัง?”

แสงเทียนส่องลงบนใบหน้าของทั้งสอง ความงดงามเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นภายนอกแต่ทั้งสองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลยแม้แต่น้อย ภายใต้แสงเทียนสั่นไหว เปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนนุ่มนวลดูเหมาะสมกัน

“เทียนแดงกระโจมอุ่น คํ่าคืนยามวสันต์มีค่าพันทองคำ” มู่ชิงเกอดีดนิ้ว พลังไร้รูปสายหนึ่ง ดับแสงเทียนลง ทำให้กระโจมตกอยู่ในความมืด

เพียงแต่ว่า หลังจากฝนกระหนํ่าผ่านไป แสงสว่างบนท้องฟ้าก็สาดส่องเข้ามา ตกลงบนสองคนที่อยู่บนเตียง ทำให้พวกเขามองเห็นได้อย่างชัดเจน

นัยน์ตาของซือมั่วสะท้อนเงาร่างอันงดงามของมู่ชิงเกอในตอนนี้

ส่วนนัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็สะท้อนภาพสายตาอันอ่อนโยนของซือมั่ว…

ในที่สุด นางก็ก้มศีรษะลงไป ในระหว่างที่เขากำลังรอคอย นางก็โน้มลงไปถึงริมฝีปากเย็น ดูดกลืนลมหายใจของเขา เปิดการป้องกันของเขาอย่างง่ายดาย

การกระทำของมู่ชิงเกอทำให้นัยน์ตาของซือมั่วที่ซ่อนความลึกลับอยู่ข้างในเปลี่ยนเป็นร่องรอยของความยินดีมากที่สุด

เขาโอบเอวของมู่ชิงเกอ ออกแรกพลิกกดนางลงไปใต้ร่าง เปลี่ยนเป็นเคลื่อนไหวเอง ดูดกลืนริมฝีปากของมู่ชิงเกออย่างบ้าคลั่ง

อำนาจการนำถูกแย่งไปทำให้มู่ชิงเกอเบิกตากว้างอย่างไม่ยินยอม ออกแรงพลิกกลับเช่นเดียวกัน สลับเปลี่ยนตำแหน่งระหว่างพวกเขาทั้งสอง

ถูกมู่ชิงเกอกดลงมาใต้ร่างอีกครั้ง นัยน์ตาของซือมั่วฉายแววหมดหนทาง

ยอมรับท่าทางที่ท้าทายของมู่ชิงเกอ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะยอมนางสักครั้ง ซือมั่วไม่ขัดขืนอีกทำให้มู่ชิงเกอยิ่งได้ใจ

จูบครั้งนี้ร้อนแรงเป็นอย่างมาก ราวกับว่าจะหลอมละลายพวกเขาลง

อารมณ์ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่กลับลอบกำเริบขึ้นเงียบๆ บางทีในตอนที่มู่ชิงเกอเพิ่งจะข้ามมิติมานับวินาทีนั้น การพบกันครั้งแรกกับซือมั่ว พวกเขาทั้งสองคนก็มีวาสนาร่วมกันแล้วแต่กลับยังไม่รู้ตัว

บางทีในเวลานั้น หากว่ามีคนบอกนางว่า นางกับซือมั่วมีวาสนาเช่นนี้ต่อกัน นางก็คงจะหัวเราะเยาะและเลือกที่จะไม่เชื่อ

แต่ในคืนนี้นางกลับยอมส่งตัวเองออกไปให้ชายคนนี้ลองเชยชมอย่างเต็มใจ…

ท้องฟ้าหลังฝนเปลี่ยนเป็นสว่างมากยิ่งขึ้น แสงดาวส่องลงมาโอบล้อมกระโจมหลัก ปกคลุมความหอมหวานที่ ดึงดูดใจคน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version