ตอนที่ 27
ล้างอาจารย์ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต
“หืม?” ความเงียบภายในถํ้า ทำให้ผู้เฒ่าเป่ยหมิงรู้สึกแปลกๆ เขายัดขวดอันโปร่งแสงเข้าในแขนเสื้อตนเอง แล้วเงยหน้าขึ้นมองมู่เกอที่นอนอยู่บนพื้น “ทำไมเงียบอย่างนี้? หรือว่ายาพิษครั้งนี้ร้ายแรงเกินไป ทำให้เจ้าเด็กนี่ตายเสียแล้ว” ผู้เฒ่าเป่ยหมิงพลันมาปรากฏตรงหน้ามู่เกอด้วยความสงสัยทันที
เขาคุกเข่าลงด้วยขาอันผอมแห้งราวกับไม้ฟืน มือรีบจับที่ชีพจรตรงข้อมือของมู่เกอ แล้วตรวจชีพจรดู
ชีพจรยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรแปลกไปท่านผู้เฒ่าเป่ยหมิงยิ้มเย็น เพิ่มแรงจับที่ข้อมือ เล็บอันแหลมคมแทบจะแทงเข้าไปในเนี้อของมู่เกอ
“หึ ไอ้เด็กหน้าเหม็นแกล้งตายรึ” ท่านผู้เฒ่าเป่ยหมิงแทบจะบีบข้อมือของมู่เกอจนหัก
มู่เกอทนกับความเจ็บปวด ไม่แสดงอาการใดๆ โต้ตอบ ราวกับว่าได้สลบไปแล้วจริงๆ
ท่านผู้เฒ่าเป่ยหมิงยิ้มอย่างโหดเหี้ยม ออกแรงที่ฝ่ามือ เพียงได้ยินเสียง ‘กร็อบ!’ ดังขึ้นเสียงหนึ่ง แขนของมู่เกอหัก ภายใต้ผิวหนังบริเวณที่กระดูกหัก กระดูกนูนปูดขึ้นมาราวกับจะแทงผิวหนังทะลุออกมาได้ตลอดเวลา ความเจ็บปวดจากกระดูกที่หัก ทำให้หน้าผากของมู่เกอผุดเหงื่อเย็นออกมา แต่เธอยังคงไม่ร้องแสดงความเจ็บปวดแม้สักคำและไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย นิ่งรอจังหวะที่เหมาะสม
นี่เป็นปัจจัยพื้นฐานของการเตรียมพร้อมเพื่อเป็นนักล่าที่ดี
มู่เกอคิดว่าตนเองเป็นนักล่าที่ดีคนหนึ่ง
“หึๆ ทนด้ขนาดนี้เลยรึ” รอยยิ้มของผู้เฒ่าเป่ยหมิงชวนให้ขนลุก เขาจับมือที่กระดูกหักของมู่เกอแล้วดึงขึ้น ยกตัวเธอขึ้นมาอยู่กลางอากาศเหมือนเธอเป็นแค่ไก่ตัวหนึ่ง มีแค่ข้อมือที่กระดูกหักข้างนั้นที่รับนํ้าหนักตัวเธออยู่
ความเจ็บปวดแบบนี้ แทบจะทำให้มู่เกอขาดสติแต่เธอก็ยังทนไว้หัวห้อยลงมาเหมือนไม่รับรู้อะไรแล้ว แต่ทว่าใบหน้าที่ก้มอยู่ของเธอ และดวงตาที่ปิดสนิทนั้นมีแรงอาฆาตแค้นที่เยือกเย็นปรากฏอยู่
ทรมานมู่เกอมาสักพักแล้วก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ผู้เฒ่าเป่ยหมิงเหมือนจะหมดความอดทน โยนเธอลงพื้นอย่างแรง ทำให้ไหล่ของมู่เกอชนเข้าอย่างจังกับก้อนหินก้อนหนึ่งในถํ้า มีเสียงกระดูกแตกดังขึ้น เกือบจะทำให้เธอสลบไปแล้วจริงๆ
“ฮึ ไร้ประโยชน์” ท่านผู้เฒ่าเป่ยหมิงหันหลังให้เธอ พึมพำอย่างไม่พอใจ
เหมือนกับว่า หลังจากแน่ใจว่ามู่เกอไม่ได้แกล้งสลบ เขาจึงเริ่มคิดว่ายาพิษของตนเองรุนแรงเกินไปทำให้เธอเป็นแบบนี้
ม่เกอที่ทรมานแสนสาหัส ใบหน้าแนบติดอยู่กับพึ๋นดินที่ เย็นเฉียบและเปียกขึ้น ตาที่ปิดอยู่ค่อยๆ หรี่ขึ้นมอง เธอเห็นท่านผู้เฒ่าเป่ยหมิงเหมือนกำลังก้มหน้าทำอะไรอยู่
“ช่างเป็นคนไร้ประโยชน์เสียจริงๆ ถ้าเจ้าตายแบบนี้ก็ลำบากข้าต้องไปหาหนูทดลองใหม่น่ะสิ” ท่านผู้เฒ่าเป่ยหมิงบ่นพึมพำ โดยที่ไม่รู้ว่ามู่เกอที่นอนอยู่บนพื้นข้างหลังนั้น แววตาเยียบเย็นราวกับนํ้าแข็ง
แล้วสักพัก ท่านผู้เฒ่าเป่ยหมิงก็หันกลับมา ตอนนี้ในมือของเขามียาสีดำเม็ดหนึ่ง
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ร่างผอมบางที่นอนคุ้ดคู้อยู่ของมู่เกอถูกเงาสีดำปกคลุมไว้
เสียงแหลมเยือกเย็นของผู้เฒ่าเป่ยหมิงดังขึ้นอีกครั้ง “ถ้ากินยาวิเศษของข้าเข้าไปแล้วเจ้ายังไม่ฟื้นขึ้น ข้าจะเอาเจ้าไปต้มเป็นยา ยาของข้าจะได้ไม่เสียเปล่า”
พูดแล้ว เขาก็ดึงคอเสื้อของมู่เกอขึ้นใช้มือบีบคอและใบหน้าของเธอ บังคับให้เธออ้าปาก มืออีกข้างหนึ่งถือยากำลังจะยัดเข้าปากของมู่เกอ
ตอนนี้แหละ!
มู่เกอตัดสินใจและลืมตาขึ้นอย่างไม่ลังเล ในสายตาทั้งคู่เยือกเย็นราวกับหิมะ เย็นชาดั่งนํ้าแข็งและแหลมคมราวมีดดาบ แต่ก็ยังคงสงบนิ่งไร้ซึ่งระลอกคลื่น นัยน์ตากระจ่างใสมีภาพใบหน้าของผู้เฒ่าเป่ยหมิงสะท้อนอยู่ แล้วเธอก็ยิ้ม
มุมปากสีแดงสดเหมือนกำลังยิ้มและไม่ยิ้มในเวลาเดียวกัน
สิ่งที่เธอต้องการ ก็คือท่าทางตกใจของเขา
มือซ้ายที่ห้อยลงอย่างไร้เรี่ยวแรงมีแสงสีม่วงปกคลุมอยู่นานแล้ว กลางอากาศราวกับมีสายฟ้าไหลผ่านเสียงดัง ‘ซือๆ’ มู่เกอคว้าโอกาสที่ผู้เฒ่าเป่ยหมิงไม่ทันได้ตั้งตัว มือซ้ายที่มีแสงสายฟ้าซัดเข้าไปที่หน้าอกของผู้เฒ่าเป่ยหมิงอย่างไม่ลังเล
ปัง!
เสียงปะทะดังก้องอยู่ในถํ้า
มู่เกอรู้สึกเหมือนเอามือไปชกกับเหล็กกล้า เจ็บปวดเหมือนกับว่ากระดูกกำลังจะหัก แต่สิ่งที่มั่นใจได้คือ เธอซัดโดนตัวเขาแล้ว!
“อ้าก!” ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้ผู้เฒ่าเป่ยหมิงปล่อยมือจากเสื้อของเธอ แล้วถอยไปข้างหลัง ตรงหน้าอกชุดสีดำของเขาขาดเป็นรูใหญ่ บริเวณรูนั้นไหม้เป็นสีดำ
เสื้อผ้าด้านในก็ฉีกขาดเช่นกัน ทำให้เห็นผิวหนังที่ผอมแห้ง บนผิวกลายเป็นสีดำและมีกลิ่นไหม้ ที่สำคัญที่สุด ภายในร่างของเขามีพลังอันมหาศาลกลุ่มหนึ่งกำลังทำลายอวัยวะภายในของเขาอยู่
“เจ้า!” ท่านผู้เฒ่าเป่ยหมิงเอามือกุมหน้าอกเอาไว้ มองมือซ้ายของมู่เกอที่ยังมีแสงสีม่วงหลงเหลืออยู่อย่างไม่อยากจะเชื่อ
มู่เกอยืนอยู่บนพื้นอย่างโซเซ มือขวาห้อยลงอย่างไร้เรี่ยวแรง มือซ้ายค่อยๆ ยกขึ้น แสงสีม่วงที่วนเวียนอยู่รอบๆ ส่องสว่างใบหน้าอันงดงามของเธอให้ดูโหดเหี้ยม เต็มไปด้วยแรงอาฆาต
“ขั้นม่วง! เป็นไปไม่ได้! เจ้าไม่มีทางเป็นขั้นม่วงไปได้!” ผู้ เฒ่าเป่ยหมิงตกใจทำให้มุมปากของมู่เกอคลี่รอยยิ้มน่าหลงใหลออกมา
ใช่ เธอไม่ใช่ขั้นม่วง แต่เป็นผู้มีความสามารถและชำนาญในด้านพลังสายฟ้าตัวจริง
แม้ว่าเจ้านั่นจะเคยเตือนเธอว่าอย่าแสดงความสามารถออกมา แต่ตอนนี้จะตายอยู่แล้ว เธอยังจะต้องสนใจอะไรอีก
เธอเป็นขั้นเหลืองระดับสูงสุด ถึงแม้ว่าจะใช้แรงและพลังทั้งหมดที่มีก็ไม่สามารถทำอะไรขั้นม่วงขั้นต้นอย่างผู้เฒ่าเป่ยหมิงได้ทำได้เพียงฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายไร้การป้องกันใช้พลังสายฟ้าลอบทำร้ายจึงจะมีโอกาสชนะ
“อาจารย์หมัดนี้ของลูกศิษย์เป็นอย่างไรบ้าง?” แสงสีม่วงดังงูที่มีชีวิตโลดเต้นอยู่บนมือของมู่เกอ เธอหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“นี่มันไม่ใช่ขั้นม่วงนี่ มันคืออะไร? พูด! เจ้าไปได้ของดี อะไรมา!” ผู้เฒ่าเป่ยหมิงอยากจะจับตัวมู่เกอมาทรมาน เพื่อคั้นเอาความจริงว่าเธอไปประสบกับเหตุการณ์อะไรมา แต่เขาประเมินพลังลึกลับที่เคลื่อนไหวอยู่ในกายต่ำไป
เพิ่งจะขยับ เขาก็พ่นเลือดเหม็นคาวมากมายออกจากปาก
ท่านผู้เฒ่าเป่ยหมิงมองมู่เกอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้น ในใจเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมา ตอนแรกหลังจากที่เขาเห็นวิญญาณนั่น ก็รู้สึกได้ว่ามู่ชิงเกอไม่เหมือนเมื่อก่อน ภายหลังลองสังเกตดู จึงพบว่าเจ้าไร้ค่านี่สามารถฝึกเวทพลังได้แล้วและยังกลายเป็นระดับสูงสุดของขั้นเหลืองได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
เขาก็เดาออกเลยว่า นางต้องไปพบปาฏิหาริย์อะไรเข้าให้แล้ว ตอนแรกเขาวางแผนว่าจะให้นางเป็นหนูทดลองยาเหมือนเมื่อก่อนเสียก่อน พอลองเสร็จแล้ว จึงค่อยถามเรื่องปาฏิหาริย์ที่นางไปเจอมา แต่ไม่คิดว่าไอ้เด็กนี่กลับทรยศ แถมยังลอบกัดเขาอย่างอำมหิตเสียได้
คืนนี้ควรจะเป็นคืนที่น่ายินดีของเขา หากเขากลืนวิญญาณนั่นเข้าไปพลังของเขาจะเพิ่มพูนขึ้น และจะสามารถหลอมยาที่ร้ายกาจกว่านี้ขึ้นมาได้ แต่ทุกอย่างกลับถูกทำลายจนย่อยยับด้วยฝีมือไอ้เลวที่อยู่ตรงหน้านี่!
ตาทั้งคู่ของท่านผู้เฒ่าเป่ยหมิงเริ่มแดงก่ำ เต็มไปด้วยความโกรธเกลียด เขาพุ่งเข้าหามู่เกออย่างไม่สนใจอะไรแล้ว “ไอ้เด็กโสโครก เจ้าคิดว่าจะฆ่าข้าได้อย่างนั้นหรือ!”
ทันใดนั้น ร่างกายของเขามีแสงสีม่วงส่องสว่าง เหมือนกลายเป็นคนตัวสีม่วง พลังคุกคามอันหนักหน่วง ทำให้มู่เกอนิ่งอึ้งอยู่ที่เดิม
‘นี่เป็นพลังของขั้นม่วงงั้นเหรอ’ มู่เกอรับมือกับแรงกดดันอันมหาศาล จ้องท่านผู้เฒ่าเป่ยหมิงหน้าเครียด เธอรู้ดีว่าพลังที่ตนใช้ใปกับการโจมตีเมื่อครู่นั้นมากเพียงใด ด้วยระดับขั้นที่เธอได้จากการฝึกเวทพลังแล้ว เธอรับรู้ได้ว่าความสามารถในชาติที่แล้วของเธอก็เริ่มกลับมา
การโจมตีเมื่อครู่ ถ้าเป็นคนอื่นไม่ว่าจะเป็นขั้นเขียวหรือ ขั้นนํ้าเงิน ต่างก็ต้องตายอย่างไม่เหลือแม้เศษซาก แต่ถ้าเป็นขั้นม่วงคงทำได้แค่ให้คนๆ นั้นบาดเจ็บสาหัส
ตอนนี้มู่เกอไม่รู้ว่า ขั้นม่วงของผู้เฒ่าเป่ยหมิงนั้นได้มา เพราะอาศัยยาในการเลื่อนขั้นไม่สามารถนำมาเทียบกับขั้นม่วงจริงๆได้ สิ่งที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงคือเมื่อครู่ที่เธอใช้ความสามารถด้านสายฟ้านั้นมันไม่สามารถทำอะไรคนที่เป็นขั้นม่วงจริงๆได้เลย ยิ่งไม่ต้องคิดว่าจะทำให้บาดเจ็บ
“ตายเสียเถอะ!” ผู้เฒ่าเป่ยหมิงโจมตีมู่เกอด้วยความโกรธ แรงดันเหมือนคลื่นทะเลนั้นพัดเข้าหามู่เกออย่างจัง ทำให้เธอลอยขึ้นกลางอากาศแล้วชนกับผนังถํ้า
“ปึก!”
มู่เกอทนกับความปั่นป่วนในทรวงอกไม่ไหว กระอักเลือดจำนวนมากออกจากปาก ดีเอ็นเอที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง กำลังรีบฟื้นฟูร่างกายของเธออย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่สามารถรับมือกับการโจมตีต่อเนื่องของผู้เฒ่าเป่ยหมิงได้
หลังจากที่โจมตีไปแล้วครั้งหนึ่ง ท่านผู้เฒ่าเป่ยหมิงก็เอาขวดจำนวนมากออกมาจากร่างกายของเขาแล้วโยนทั้งหมดขึ้นกลางอากาศ
เพล้ง!
ขวดแตกกระจายและยาในขวดก็ไหลออกมา
ผู้เฒ่าเป่ยหมิงสูดหายใจเข้าแรง ยาทั้งหมดพุ่งเข้าสู่ปากเขา ละลายกลายเป็นของเหลวซ่อมแซมส่วนที่ได้รับบาดเจ็บของร่างกาย
ภาพตรงหน้า ทำให้มู่เกอที่ดูอยู่เริ่มกระวนกระวายใจ พอรับรู้ถึงพลังอันมหาศาลในถํ้า มู่เกอกัดฟัน รวบรวมแรงทั้งหมดที่มีในการลุกขึ้นยืนพุ่งเข้าหาท่านผู้เฒ่า เป่ยหมิง
‘ข้าขอสู้ตาย!’