ตอนที่ 273
ข้าไม่เคยได้แล้วทิ้งขว้าง!
ปัง!
ในป่า เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด พาให้สัตว์อสูรเวหาตกใจ กระพือปีกบินว่อน
เสียงสัตว์อสูรมังกรเกราะดินตัวหนึ่งล้มลง ไม่ทันแม้แต่จะส่งเสียงร้องเจ็บปวด
เงาร่างของคนผู้หนึ่ง เคลื่อนไหวไปมาอยู่ในป่าอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็มาถึงสถานที่ที่สัตว์อสูรมังกรดินล้มลง แม้ว่าสัตว์อสูรมังกรเกราะดินจะมีคำว่ามังกร แต่ความจริงแล้วไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับเผ่าพันธุ์มังกรเลยแม้แต่น้อย
มันเหมือนกับกิ้งก่า แต่ว่าหัวกะโหลกแฝงความน่ากลัว เฉกเช่นเผ่าพันธุ์มังกรอยู่หลายส่วน
สัตว์อสูรมังกรเกราะดิน พลังโจมตีไม่แข็งแกร่ง แต่ว่าความสามารถในการป้องกันกลับทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว แทบจะเทียบได้กับระดับพลังขั้นสีเงินขั้นหกของมนุษย์ เกล็ดหนาบนตัวมัน ยุทธภัณฑ์ขั้นสมบัติทั่วไปยากที่จะทำลายได้
หลังจากที่บุรุษที่สวมใส่ชุดเกราะแนบกายมาหยุดอยู่ข้างๆ สัตว์อสูรมังกรเกราะดินจนมั่นใจว่ามันตายแล้วจริงๆ ก็ควักมีดออกมาเล่มหนึ่ง ชำแหละเอาแก่นอสูร ของมันด้วยท่าทางชำนิชำนาญคล่องแคล่ว ภายใต้หยาดเหงื่อ ในที่สุดก็สามารถลอกเกล็ดหนาของมันออกมาอย่างสมบูรณ์
หลังจากเก็บด้วยความระมัดระวัง เขาก็ตัดขาทั้งสองข้างของสัตว์อสูรมังกรดิน จากนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็ว
สถานที่อีกแห่งหนึ่งในป่า เซวี่ยนขุยนอนราบไปกับพื้น ปืนซุ่มยิงในมือเล็งไปที่พยัคฆ์ลายเมฆทะยานที่กำลังล่าสัตว์อยู่ห่างออกไปยี่สิบกว่าลี้
พยัคฆ์ลายเมฆทะยานตัวนี้มีระดับพลังยุทธ์อยู่ในระดับพลังชั้นสีเงินขั้นสี่ สูงกว่าระดับพลังยุทธ์ของเซวี่ยนขุยหลายระดับขั้น
อีกอย่างพยัคฆ์ลายเมฆทะยานตัวนี้ยึดความรวดเร็วเป็นสำคัญ เวลาที่มันล่าสัตว์ล้วนแต่เคลื่อนไหวรวดเร็วดุจสายฟ้า ทำให้ผู้คนยากที่จะคาดเดา เซวี่ยนขุยรออยู่ เงียบๆ รอคอยช่วงจังหวะเวลาดีๆ
ทันใดนั้น พยัคฆ์ลายเมฆทะยานก็กัดเข้าที่คอเหยื่อ มันเคลื่อนไหวช้าลง
และในเวลานี้เอง เซวี่ยนขุยก็เหนี่ยวไก ดินปืนที่ถูกพลังแก่นอสูรปล่อยออกมาห่อหุ้มไว้กลายเป็นกระสุนปืนลูกหนึ่ง ยิงออกมาจากรังเพลิงเข้าไปในลูกตาของพยัคฆ์ลายเมฆทะยานด้วยความเร็วแสง
เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด พยัคฆ์ลายเมฆทะยานที่กำลังขยํ้าเหยื่ออยู่ก็ล้มลง
เซวี่ยนขุยลุกขึ้นมาด้วยใบหน้ายินดีปรีดา พุ่งตัวเข้าไปในป่าตำแหน่งที่พยัคฆ์ลายเมฆทะยานอยู่ด้วยความเร็ว ราวสัตว์ป่าดุร้าย
รอจนเขากลับมาอีกครั้ง ในมือก็ถือหนังพยัคฆ์ลายเมฆทะยานสภาพสมบูรณ์หนึ่งผืน เนื่องจากแผลอยู่ในลูกตา ดังนั้นหนังพยัคฆ์ลายเมฆทะยานทั้งผืนจึงไม่ได้รับความเสียหาย
เสียงปืนซุ่มยิงดังขึ้นอยู่ตามที่ต่างๆ ในป่าเป็นระยะ เทือกเขาซางหลานใหญ่มาก ทอดยาวเป็นร้อยลี้ถึงขั้นพันลี้ เสียงปืนถูกกลืนอยู่ท่ามกลางหุบเขา ไม่ได้เป็นที่ สังเกตของกองกำลังหลิวเค่ออื่นๆ เวลาวันหนึ่งผ่านไปเร็วมาก
เมื่อถึงเวลาพลบคํ่า บรรดามือปืนซุ่มยิงขององครักษ์เขี้ยวมังกรก็ทยอยกันกลับมาที่ค่ายชั่วคราว ส่งมอบผลสำเร็จของวันนี้ให้กับมู่ชิงเกอผู้บังคับบัญชาที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดในค่ายแห่งนี้ มู่ชิงเกอนั่งอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่ง เบื้องหน้านางมีหนังสัตว์อสูรและแก่นอสูรวางเรียงรายอยู่กับพื้น มือปืนซุ่มยิงรวมถึงเซวี่ยนขุยต่างก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งกับพื้นด้วยความเคารพ
ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินสองพี่น้องก็ยืนอยู่ข้างๆ ประเมินอยู่บ่อยครั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ซือมั่วยังคงอุ้มโห่วเช่นเคย ท่าทีผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ นั่งเยื้องไปทางด้านหลังไม่ไกลจากมู่ชิงเกอ การล่าสัตว์ของบรรดามือปืนซุ่มยิง ซางอี้เฉินกับซางเสวี่ยอู่ไม่ได้ติดตามไปด้วย มู่ชิงเกอเองก็ไม่ได้สนใจที่จะฝึกฝนพวกเขา เพียงแต่ให้พวกเขาติดตามตนเองเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นก็เท่านั้นเอง
ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจคนอื่น แต่เพราะว่าองครักษ์เขี้ยวมังกร มีภารกิจการฝึกของตนเองและเป้าหมายที่ต้องบรรลุ
พวกเขาพาซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินไปด้วยจึงเป็นเรื่องเสียเวลาอย่างแท้จริง
ส่วนมู่ชิงเกอนางเพียงแค่พามือปืนซุ่มยิงมาฝึกพิเศษ เมื่อเทียบกันแล้วค่อนข้างดีกว่ามาก
ดวงตาสุกสกาวกวาดตามองหนังสัตว์อสูรที่วางเรียงบนพื้นนิ่งๆ สุดท้ายสายตาของมู่ชิงเกอก็หยุดลงที่หนังของสัตว์อสูรมังกรดินตัวนั้น
“เสวี่ยอู่ อสูรวิญญาณเหล่านี้ล้วนไม่ธรรมดา ระดับพลังยุทธ์ก็สูง พวกลูกน้องเหล่านี้ของลูกพี่ทำได้อย่างไรกัน? คิดไม่ถึงว่าจะสามารถกรีดหนังสัตว์อสูรออกมาได้เต็มผืนเช่นนี้ โดยที่พวกเขาไม่มีบาดแผลเลยสักนิด” ซางอี้เฉินใช้น้ำเสียงประหลาดใจเอ่ยถามข้างหูซางเสวี่ยอู่
ซางเสวี่ยอู่ส่ายหน้าช้าๆ แววตาของนางก็เปี่ยมไปด้วยความตระหนกตกใจเช่นกัน
นางรู้สึกว่าตนเองประเมินพลังการต่อสู้ของกองกำลังเขี้ยวมังกรไว้สูงมากแล้ว แต่ว่าพอได้มาเห็นอีกครั้งในวันนี้ นางก็รู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองได้พบเห็นมาก่อนหน้านี้ เป็นเพียงยอดหนึ่งของภูเขานํ้าแข็ง
กองกำลังเขี้ยวมังกรเก่งกาจกว่าที่ตนเองจินตนาการไว้เสียอีก!
ที่ทำให้ผู้คนยากที่จะจิตนาการได้ก็คือไม่ว่าจะเป็นพี่สาวของพวกเขาหรือว่ากองกำลังเขี้ยวมังกรต่างก็มาจากหลินชวน โลกที่ไม่มีค่าในสายตาของคนในโลกแห่งยุคกลาง
จินตนาการได้ว่า มู่ชิงเกอก็ดี กองกำลังเขี้ยวมังกรก็ดี อยู่ที่หลินชวนจะโดดเด่นเพียงไหน!
แววตาของซางเสวี่ยอู่ ค่อยๆ บังเกิดความชื่นชม
ก่อนหน้านี้เคยแต่ได้ยินท่านแม่เล่าให้ฟัง บัดนี้ได้มาเห็นด้วยตาตนเอง ยิ่งทำให้นางรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับหลินชวนและตระกูลมู่ขี้นไปอีก
“คุณชาย เกล็ดหนังของสัตวอสูรมังกรเกราะดินแข็งแรง ทนทานยิ่งนัก ข้าน้อยออกแรงสุดกำลังถึงจะกรีดมันออกมาได้” องครักษ์เขี้ยวมังกรที่เป็นมือปืนซุ่มยิงสัตว์อสูรมังกรดินควักมีดออกมาจากอกของตน ใช้สองมือประคองยื่นไปตรงหน้ามู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอช้อนสายตาขึ้นมองจึงเห็นจุดที่สัตว์อสูรมังกรดินโดนมีดกรีด การใช้มีดนั้นหยาบมาก ขาดๆ หายๆ เป็นช่วงๆ ถึงขั้นที่ว่ามีรอยฉีกขาด สายตาของนางหลุบมองที่มีดในมือขององครักษ์เขี้ยวมังกร เพียงแค่ตั้งท่ายกมือขึ้น มีดก็ลอยออกจากมือพุ่งมาหานาง
ในจังหวะที่สะบัดข้อมือ มู่ชิงเกอก็คว้ามีดเอาไว้ในมือ
ดึงมีดออกจากซองหนัง คมมีดด้านบนทื่อมากแล้ว เปลี่ยนไปเว้าแหว่งเต็มไปด้วยรอยบิ่น
“นั่นมันมีดอะไรกัน เหตุใดข้าถึงไม่เคยเห็นมาก่อน?” เมื่อเห็นมีดที่มู่ชิงเกอเป็นผู้ออกแบบเป็นเอกลักษณ์พิเศษเล่มนั้นแล้ว ซางเสวี่ยอู่ก็พึมพำขึ้นเบาๆ
นางเป็นผู้เชิดหน้าชูตาของตระกูลซาง เรียนรู้รูปภาพประกอบอาวุธทั้งหมดจนเชี่ยวชาญ และเข้าใจโครงสร้างของอาวุธชนิดต่างๆ ตั้งแต่เล็ก
แต่ว่ามีดที่อยู่ในมือมู่ชิงเกอในตอนนี้ นางกลับไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
ทว่าแม้จะไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่อาศัยพรสวรรค์และสัญชาตญาณของนางก็สามารถแยกแยะได้ถึงความคมและความร้ายกาจที่มีดเล่มนี้เคยมี
“คมมีดด้านหนึ่งเป็นหนาม ทำให้เกิดบาดแผลฉกรรจ์ ยากที่จะสมาน อีกด้านหนึ่งราบเรียบดุจคันฉ่อง สามารถเป่าขนสะบั้นเส้นผม ปลายมีดเรียวแหลมมีร่องเลือด เมื่อแทงเข้าไปทำให้เลือดไหลไม่หยุด เลือดจะไหลออกอย่างรวดเร็วจนตาย! ช่างเป็นการออกแบบที่แสนร้ายกาจ ผู้ใดเป็นผู้รังสรรค์ขึ้นมากันแน่?” ซางเสวี่ยอู่พึมพำเบาๆ แววตาทอความตื่นตระหนก
โดยทั่วไปแล้ว ขอแค่มีดมีความคมก็ถือว่าเป็นสินค้าชั้นยอดแล้ว แต่ว่าเล่มที่อยู่ในมือมู่ชิงเกอนี้กลับหลอมรวมเอาความสามารถที่ไม่เหมือนกันและแสดงความ สามารถแต่ละด้านออกมาได้อย่างสูงสุด เป็นศิลปะที่แสดงถึงการเข่นฆ่าได้โดยสมบูรณ์
‘พวกเขามีอาวุธชั้นเยี่ยมเช่นนี้ มิน่าเล่า มิน่าเล่าถึงได้ ไม่สนใจยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติสามชิ้นนั้นของตระกูลซาง!’ ซางเสวี่ยอู่ทอดถอนใจ
“มีดที่แสนร้ายกาจ ข้าเองก็อยากมีสักเล่มหนึ่ง” ข้างกายนางก็แว่วเสียงตื่นตกใจและชื่นชมของซางอี้เฉิน
มู่ชิงเกอพิจารณารายละเอียดของมีดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ส่งมันคืนให้องครักษ์เขี้ยวมังกร ฝ่ายหลังยื่นมือมารับ เก็บมีดเอาไว้เป็นอย่างดี
“ดูท่าว่าการเตรียมการของพวกเจ้าในตอนนี้ไม่เพียงพอที่จะรับมือกับเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรเหล่านี้แล้วจริงๆ” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงขรึม ก่อนหน้านี้ที่จิงไห่ต่อสู้กับราชาจิ้งจอกพิษสามเขา นางเองก็รับรู้ได้ถึงปัญหานี้
ครั้งนี้ที่นางให้พวกเซวี่ยนขุยฝึกซ้อมการซุ่มยิงและขนเอาหนังสัตว์อสูรและแก่นอสูรกลับมา ก็เพื่อพิสูจน์ปัญหานี้
เห็นได้ชัดว่า หากใช้อาวุธเหล่านี้ต่อสู้ในระยะประชิด เกรงว่าผู้ที่จะได้รับบาดเจ็บหรือถึงแก่ชีวิตจะเป็นเพวกองครักษ์เขี้ยวมังกร สถานการณ์เช่นนี้มู่ชิงเกอไม่ อนุญาตให้เกิดขึ้น
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็หันกลับมามองซางเสวี่ยอู่ เมื่อถูกสายตาของนางจ้องมองมา ซางเสวี่ยอู่ก็สงบสติอารมณ์ในทันใดรอคอยคำถามของนาง
“ในโลกแห่งยุคกลาง อาวุธยุทธภัณฑ์ของตระกูลซางมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ว่าพวกที่ไม่มีปัญญาซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ของตระกูลซางเหล่านั้น โดยเฉพาะกองกำลัง หลิวเค่อจะทำเช่นไร?” มู่ชิงเกอถาม
ซางเสวี่ยอู่ไม่ได้คิดอะไรมากก็ตอบออกมาว่า “นอกจากตระกูลซางแล้วก็จะมีอาจารย์หลอมศาสตราอยู่บ้าง หากว่ามีคนเชิญพวกเขาและมีวัสดุให้ พวกเขาก็ สามารถผลิตอาวุธยุทธภัณฑ์ที่มีคุณภาพไม่เลวนักออกมาได้”
คำพูดของนางทำให้มู่ชิงเกอเข้าใจได้ “ดูแล้ว ปัญหาก็ยังคงอยู่ที่วัสดุที่ใช้หลอมศาสตรา”
องครักษ์เขี้ยวมังกรของนางเตรียมการเป็นอย่างดี ชุดเกราะและอาวุธที่ใช้ล้วนผ่านการออกแบบด้วยความพิถีพิถันของนาง แต่กลับปรากฎช่องโหว่ในเรื่องของวัสดุ
วัสดุในการหลอมศาสตราที่ดี สามารถทำให้ระดับของอาวุธยุทธภัณฑ์เพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งระดับ
สายตาของมู่ชิงเกอทอดมองไปบนหนังสัตว์อสูรมังกรดินอีกครั้ง
เวลานี้เองเสียงของซางเสวี่ยอู่ก็ดังขึ้นอีกว่า “ในโลกแห่งยุคกลาง มีบางคนสามารถรับรู้ในพลังแห่งเปลวเพลิง หากว่าพวกเขาฝึกหัดอีกสักหน่อยก็สามารถเป็นอาจารย์ปรุงยาและอาจารย์หลอมศาสตราได้ และการรับรู้พลังเปลวเพลิงนี้แตกต่างกับการควบคุมเปลวเพลิง ในโลกแห่งยุคกลางนอกจากคนตระกูลซางแล้ว อาจารย์หลอมศาสตราส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ที่รับรู้ในพลังพลังเปลวเพลิง แม้ว่าอาวุธที่พวกเขาหลอมสร้างออกมาจะไม่เลว แต่ว่ากลับไม่เหมือนเช่นอาวุธของตระกูลซางที่ผสมผสานวัสดุทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์ ดึงศักยภาพใหม่ออกมา ดังนั้น อาวุธที่พวกเขาหลอมออกมากับอาวุธของตระกูลซางยังคงมีความต่างชั้นกันอยู่”
คำพูดที่กล่าวออกมานี้ ซางเสวี่ยอู่แฝงความภาคภูมิใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
ส่วนหนึ่งเป็นความภาคภูมิใจในสายเลือดตระกูลซาง
ส่วนซางอี้เฉินกลับมีสีหน้าหม่นหมองเฉยชา ราวกับว่า เขารู้สึกหดหู่ที่เขาไม่ได้สืบทอดความสามารถทางสายเลือดตระกูลซาง
มู่ชิงเกอตวัดสายตามองซางเสวี่ยอู่แวบหนึ่ง และก็กวาดสายตามองมาที่ซางอี้เฉิน คำพูดของซางเสวี่ยอู่นางเคยได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร หากอาวุธยุทธภัณฑ์ทั้งหมดในโลกแห่งยุคกลางสร้างขึ้นโดยตระกูลซาง เช่นนั้นตระกูลซางก็คงไม่อยู่ในสภาพตกต่ำหรอก
“แต่ว่าน่าเสียดายตอนนี้คนตระกูลซางตกต่ำ สายเลือดเบาบางลงไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า แม้ว่าข้าจะเป็นผู้สืบทอดสายเลือดตระกูลซาง แต่ว่าทุกวันนี้ก็ยังหลอมยุทธภัณฑ์ ชั้นเทวะออกมาไม่ได้สักชิ้น ส่วนอี้เฉินก็ไม่มีพลังของสายเลือดผู้สืบทอดตระกูลซางเลยแม้แต่น้อย”
ไม่รู้ว่า เป็นเพราะมู่ชิงเกอหันมาคุยเรื่องของตระกูลซางหรือไม่ เลยทำให้ซางเสวี่ยอู่มีเรื่องพูดเยอะขึ้น ราวกับว่าต้องการให้มู่ชิงเกอเข้าใจสถานการณ์ตระกูลซางเพิ่มขึ้นบ้าง
ทว่ามู่ชิงเกอกลับเอ่ยขึ้นนิ่งๆ “สายเลือดตระกูลมู่ก็ไม่เลว”
ประโยคนี้ทำเอาแววตาหม่นหมองของซางอี้เฉินเปลี่ยนไปลุกโชนสว่างไสวขึ้นมา ไม่ว่ามู่ชิงเกอจะมีเจตนาหรือไม่ คำพูดประโยคนี้สำหรับเขาแล้วไม่มีข้อสงสัย ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าเป็นกำลังใจที่แสนยิ่งใหญ่!
ใช่แล้ว! เขาเป็นลูกหลานตระกูลมู่ ถึงแม้ไม่มีสายเลือดผู้สืบทอดตระกูลซางแล้วอย่างไร? ไม่สามารถหลอมอาวุธยุทธภัณฑ์ได้แล้วอย่างไร?
ซางอี้เฉินได้รับกำลังใจ ซางเสวี่ยอู่กลับใบหน้าถอดสี ละล่ำละลักเอ่ยอธิบาย “ลูกพี่ ข้า…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อยแทบไม่ทันได้สังเกต ไม่ได้สนทนากับพวกเขาต่อ เพียงแต่นำหนังสัตว์อสูรมังกรดินมาไว้ในมือ เมื่อได้สัมผัสนางก็รู้สึกถึงระดับความแข็งแรงทนทานของชั้นหนังนี้ รู้ว่าอาวุธยุทธภัณฑ์ชนิดไหน ถึงจะสามารถทำลายการป้องกันของเกราะอสูรมังกรดินนี้ได้โดยง่าย
“ลูกพี่ หากว่าท่านต้องการใช้หนังสัตว์อสูรมังกรดินนี้มาทำชุดเกราะ ข้าสามารถช่วยท่านหลอมศาสตราได้” ซางเสวี่ยอู่อาสา
นางอยากจะแสดงคุณค่าของตนเองต่อหน้ามู่ชิงเกอบ้าง คล้ายกับว่าที่นางเรียนรู้อยู่ในตระกูลซางมานานหลายปี ก็เพื่อที่จะแสดงออกมาในวันนี้
ทว่านางกลับละเลยสายตาของบรรดาองครักษ์เขี้ยวมังกรที่คุกเข่าอยู่บนพื้นไป หลังจากที่พวกเขาได้ยินนางเอ่ยประโยคนี้ออกมาแววตาก็เป็นประกายไม่สนใจและเย้ยหยัน
คุณชายของพวกเขาต้องให้ผู้อื่นหลอมศาสตราให้หรือ?
คุณชายของพวกเขาก็เป็นยอดฝีมือในการหลอมศาสตราผู้หนึ่งรู้หรือไม่’?
ความจริงแล้วซางเสวี่ยอู่ไม่เคยถามมู่ชิงเกอเรื่องสายเลือดผู้สืบทอดตระกูลซาง เพียงเพราะนางคิดว่าหากไม่ได้รับการกระตุ้นตื่นของตระกูล แม้ว่ามู่ชิงเกอจะมีสายเลือดอยู่ในตัวก็คงไม่รู้ตัว
นางไม่รู้ว่าภายใต้ความบังเอิญ มู่ชิงเกอก็ได้รู้ว่าตนเองมีสายเลือดแห่งอาจารย์หลอมศาสตรา และเพื่อกระตุ้นสายเลือด นางได้เลือกวิธีการที่เสี่ยงอันตรายสุดๆ ให้พญาเพลิงเข้าสู่ร่างกาย
แม้ว่านางจะไม่ได้รับการบ่มเพาะจากตระกูลซาง แต่ทว่าพรสวรรค์ในการหลอมศาสตรากลับไม่ด้อยไปกว่าคนตระกูลซางเลยแม้แต่น้อย! โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาง ยังสลักอาคมลงไปในอาวุธยุทธภัณฑ์ เพิ่มวิธีการเสริมความสามารถที่ไม่เหมือนใคร คำพูดของซางเสวี่ยอู่ทำเอาบรรดาองครักษ์เขี้ยวมังกรดูถูกอยู่ในใจ
ทว่ามู่ชิงเกอกลับช้อนสายตามองหน้านางแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าแน่ใจหรือ?”
ซางเสวี่ยอู่พยักหน้าติดๆ
ไม่คิดว่าแน่ใจหรือไม่แน่ใจ นางเพียงแค่หวังว่าสามารถทำอะไรก็ได้ที่มีความสามารถพอที่จะทำได้ดูบ้าง นางเพิ่งจะพยักหน้า มู่ชิงเกอก็โยนหนังสัตว์อสูรมังกรดินให้นาง
ซางเสวี่ยอู่รับมาอย่างลนลาน ในใจบังเกิดความรู้สึกยินดี ฉากนี้กลับทำให้ซือมั่วหัวเราะออกมาโดยไร้สุ้มเสียง แต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด
“เตรียมอาหารมื้อเย็น” มู่ชิงเกอเอ่ยสั่งการ องครักษ์เขี้ยวมังกรที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นรวมถึงเซวี่ยนขุยต่างก็ลุกขึ้น ก่อนจะเริ่มพากันจัดเตรียม
ซางอี้เฉินมองดูแล้วก็ปรี่เข้าไปช่วย เขารู้สึกว่าสิ่งที่มู่ชิงเกอกล่าวออกมาไม่ผิดเลยสักนิด เขาเป็นคนตระกูลมู่ รู้สึกว่าความรู้สึกที่ได้อยู่ร่วมกับองครักษ์เขี้ยวมังกรมีความสนิทสนม หากเขาเกิดและโตที่หลินชวน ไม่แน่ว่าอาจจะสืบทอดตำแหน่งของท่านพ่อ เป็นแม่ทัพน้อยที่มีชื่อเสียงโด่งดังก็เป็นได้
ซางเสวี่ยอู่กลับหอบเอาหนังสัตว์อสูรมังกรดินไปนั่งบนก้อนหินก้อนหนึ่ง พิจารณาโครงสร้างของมันโดยละเอียด เกิดเป็นภาพเค้าโครงชุดเกราะที่หลอมขึ้นในความคิด
มู่ชิงเกอเดินเอามือไพล่หลังไปอีกทางหนึ่ง ซือมั่วก็เดินตามไปเงียบๆ เขาที่ลดการมีตัวตนอยู่ไม่ว่าจะกระทำการใดๆ ก็ไม่เป็นที่สังเกตของคนอื่น เขาเดินไปยังที่สงบๆ เป็นเพื่อนมู่ชิงเกอ เอ่ยถามว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ต้องการดูวิธีการหลอม ศาสตราของตระกูลซางใช่หรือไม่?”
มู่ชิงเกอพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นอาวุธยุทธภัณฑ์ของตระกูลซาง แต่ว่าก็เป็นเพียงการมองลวกๆ ครั้งนี้ข้าอยากจะดูว่าความแตกต่างของข้ากับตระกูลซางว่าอยู่ตรงไหน?”
“ในสายตาของข้า เสี่ยวเกอเอ๋อร์สามารถหลอมศาสตราออกมาได้ดีกว่าคนตระกูลซางพวกนั้น” ซือมั่วเอ่ยยิ้มๆ
มู่ชิงเกอหันกลับมามองเขา เลิกคิ้วขึ้นเอ่ยกระเซ้าเย้าแย่ “เจ้านี่ชอบเยินยอข้าเสียจริง”
ทว่าซือมั่วกลับส่ายหน้า “ไม่ได้เยินยอ การตกตํ่าของตระกูลซาง นอกจากเป็นเพราะว่าสายเลือดเบาบางลงเรื่อยๆ แล้ว ยังเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่รู้จักการ ประดิษฐ์สิ่งใหม่ วิธีการหลอมศาสตราของตระกูลซางเป็นวิธีการหลอมศาสตราแบบดั้งเดิม แม้ว่ารับประกันคุณภาพแต่ก็ขาดองค์ประกอบที่ทันยุคทันสมัย”
มู่ชิงเกอมองซือมั่วตาโตอ้าปากค้าง ท่านเทพซือมั่วไม่ได้ทะลุมิติมาจริงๆ ใช่ไหม คิดไม่ถึงว่าจะเข้าเข้าใจคำว่า ‘ทันยุคทันสมัย!’
เห็นท่าทางตกใจของนางแล้ว ซือมั่วก็หัวเราะออกมา อธิบายเสียงนิ่งๆ “ใช้ชีวิตมานาน เห็นอะไรมาเยอะ บางเรื่องย่อมมองทะลุปรุโปร่งบ้าง”
“เจ้าช่างไม่ถ่อมตนเลยแม้แต่น้อย” มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก เอ่ยสัพยอกหนึ่งประโยค
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์หากมีโอกาสข้าก็หวังว่าเจ้าจะได้สัมผัสกับการหลอมศาสตราของตระกูลซางอย่างแท้จริง ผสมผสานกับการคิดค้นสิ่งใหม่ของเจ้า ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะทะลวงอะไรใหม่ๆ ด้านการหลอมศาสตราก็เป็นได้” ซือมั่วเอ่ยจริงจัง
คำพูดของเขานี้ใช่ว่ามู่ชิงเกอไม่เคยคิดมาก่อน
การตามหาตระกูลซาง นอกจากทำความเข้าใจเรื่องการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของซางหลันรั่วในตอนนั้นแล้ว ยังต้องการที่จะทำความเข้าใจอาวุธยุทธภัณฑ์ของ ตระกูลซางด้วยว่าเป็นเช่นไรกันแน่
“ข้าจะไปเมืองฝูซา พบคนที่ควรพบ ทำเรื่องที่ควรทำให้เรียบร้อย” มู่ชิงเกอเอ่ยบอกซือมั่ว
ส่วนเรื่องที่ว่านางมีสายเลือดของอาจารย์หลอมศาสตรา ไม่มีความจำเป็นและนางไม่ต้องการให้คนตระกูลซางล่วงรู้
“หนังสัตว์อสูรมังกรดินแม้ว่าจะแข็งแรงทนทาน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ” ซือมั่วเอ่ยเตือน
มู่ชิงเกอพยักหน้า “ข้ารู้”
ตอนที่นางสัมผัสหนังสัตว์อสูรมังกรดินก็รู้แล้วว่าจะเอามันมาทำชุดเกราะ แม้ว่าจะแข็งแรงทนทานกว่าชุดเกราะทั่วไป แต่ก็ยังห่างชั้นกับสิ่งที่นางคิดเอาไว้อีกมาก
“ในเวลานี้ ข้าอยากที่จะตามหาวัสดุที่สอดคล้องตามความต้องการให้ได้ ชุดเกราะก็ดี ชุดเกราะของบรรดาองครักษ์เขี้ยวมังกรล้วนทำมาจากหนังมังกรวารี แม้ว่า มังกรวารีตัวนั้นจะมีระดับพลังชั้นสีม่วง เป็นเกราะใช้ป้องกันที่ไม่เลวทีเดียว แต่ว่าศาสตราวุธ…” มู่ชิงเกอย่นคิ้ว
ซือมั่วมุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย “ช้ารู้มาว่าในเทือกเขาซางหลาน มีกลุ่มเผ่าพันธุ์มังกรเกราะทมิฬ อืม ในก้นทะเลสาบอั้นยวนลึกเข้าไปในเทือกเขาซางหลานก็มี มังกรกระดูกสองเศียรที่มีระดับพลังยุทธ์อยู่ในระดับพลังสีทองขั้นสามอยู่ตัวหนึ่งด้วย”
“มังกรเกราะทมิฬ! มังกรกระดูกสองเศียร!” มู่ชิงเกอเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก
ส่วนลึกในดวงตากลุกสกาวของนางคู่นันเป็นประกายสีทองระยิบระยับ คล้ายกับว่ามองเห็นขุมสมบัติขนาดใหญ่อย่างไรอย่างนั้น ในฐานะของนักหลอมศาสตรา นางย่อมคุ้นเคยกับสัตว์อสูรสองสายพันธุ์ที่ซือมั่วเอ่ยออกมา!
“มังกรเกราะทมิฬ ก็คือราชาแห่งการป้องกันที่ในตำนานกล่าวไว้ว่าแม้แต่ยอด’ฝีมือระดับพลังชั้นสีทองก็ยากที่จะทะลวงไปได้ใช่หรือไม่? ส่วนกระดูกของมังกรกระดูกสองเศียรได้ยินมาว่าแข็งแรงทนทานหาใดเปรียบ คมดุจมีด สามารถทำลายชุดเกราะป้องกันชั้นเทวะได้โดยง่ายใช่หรือไม่?” นํ้าเลียงมู่ชิงเกอฉายความรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
เมื่อนางเอ่ยออกมา ในหัวก็เกิดความคิดแวบออกมาในทันที
นั่นก็คือใช้กระดูกของมังกรกระดูกสองเศียรไปแทงหนังของมังกรเกราะทมิฬจะมีผลลัพธ์เช่นไร
แน่นอนว่าความคิดนี้เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวของนางเพียงแวบเดียวเท่านั้นแล้วก็ถูกนางโยนตกไปข้างหนึ่ง
ท่าทางตื่นเต้นของมู่ชิงเกอทำเอาซือมั่วขบขัน เขาเผยรอยยิ้มและพยักหน้า ในแววตาแฝงความเอาใจ
“อยู่ที่ไหนหรือ? พาข้าไปที!” มู่ชิงเกอเอ่ยออกมาอย่างอดใจไม่ไหว
“พวกเขาจะทำเช่นไร?” ซือมั่วมองยิ้มๆ ไปทางองครักษ์เขี้ยวมังกร ยังมีพวกซางเสวี่ยอู่สองพี่น้อง
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนเอ่ยกับซือมั่วว่า “พาพวกเขาไปด้วย”
การล่ามังกรเกราะทมิฬเป็นการฝึกซ้อมการซุ่มยิงที่ยากจะหาได้
ส่วนซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินสองคนนั้น ในเมื่อรับศิลาวิญญาณขั้นกลางจากตระกูลซางมาสามร้อยก้อนแล้ว ย่อมไม่สามารถกันพวกเขาไปอยู่ข้างๆ
“วันพรุ่งนี้พวกเราไปที่ที่มังกรเกราะทมิฬอาศัยอยู่ก่อน เมื่อแน่ชัดแล้วค่อยเข้าไปที่ทะเลสาบอั้นยวนตามหามังกรกระดูกสองเศียร” มู่ชิงเกอเอ่ยกับซือมั่ว
ซือมั่วพยักหน้า
มู่ชิงเกอเอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “การจะกรีดเอาหนังของมังกรเกราะทมิฬ ไม่มีมีดคมหน่อยคงไม่ได้ ข้าต้องไปหลอมสักหลายเล่มหน่อย” พูดจบนางก็หันหลังหาย
ตัวไปต่อหน้าต่อตาซือมั่ว
ซือมั่วยิ้มขมขื่นส่ายศีรษะน้อยๆ เดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่านางต้องสบโอกาสหาข้ออ้างหนีไป แต่เขาก็ทนไม่ไหวพูดออกมา เพียงเพราะว่าไม่ต้องการเห็นท่าทางลำบากใจบนใบหน้าของนาง
ยามราตรีแสนเงียบสงัดไร้เสียงสนทนาใดๆ การหายตัวไปอย่างกะทันหันของมู่ชิงเกอ บรรดาองครักษ์เขี้ยวมังกรและเซวี่ยนขุยล้วนรู้ดีแก่ใจ อย่างไรเสียการ ‘หายตัว’ ไปเช่นนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นเพียงครั้งสองครั้ง
ส่วนซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินแม้ว่าจะแปลกใจ แต่ก็รู้สึกไม่ดีที่จะถามอะไรมาก เมื่อฟ้าสาง มู่ชิงเกอก็เดินออกมาจากช่องว่าง
เซวี่ยนขุยส่งเนื้อแห้งที่ย่างตอนเช้าส่งให้ “นายน้อยเมื่อคืนท่านไม่ได้ทานอะไรเสย รีบกินเนื้อแห้งเติมท้องเข้าเถิด”
มู่ชิงเกอรับเนื้อแห้งมา ด้านหน้าก็มีนํ้าส่งมากาหนึ่ง
มู่ชิงเกอช้อนสายตาขึ้นมองก็เห็นท่าทางยิ้มตาหยีของซางอี้เฉิน
เมื่อรับกานํ้ามา มู่ชิงเกอก็ละสายตาเอ่ยสั่งการกับทุกคน “ออกเดินทางได้”
พูดจบนางกับซือมั่วก็เดินนำอยู่หน้าสุด
ซือมั่วหยิบขนมที่ห่อเอาไว้อย่างดีในอกมาส่งไปในมือมู่ชิงเกอ และหยิบเนื้อแห้งในมือนางออกไป ในขณะที่นางประหลาดใจก็เอ่ยอธิบายว่า “เนื้อแห้งกระด้างเกินไป กินมากไม่ดี ขนมหวานพวกนี้ข้าให้โย่วเหอเตรียมไว้ตอนออกเดินทาง” เอ๊ะ!
แม้ว่ามู่ชิงเกอจะไม่ใช่คุณหนูลูกผู้ดีผิวบอบบาง ในภาวะคับขันนาง เนื้อดิบนางก็กินมาแล้ว ดินโคลนนางก็กินมาแล้ว แมลงยิ่งเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี
แต่ว่าในมือประคองขนมหวานที่ซือมั่วเตรียมให้นางเป็นพิเศษ ในใจก็บังเกิดความรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาเล็กน้อย
กดความแสบจมูกลงไป มู่ชิงเกอแกะกระดาษที่ห่อเอาไว้ออก ขนมด้านในยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่มีร่องรอยการหักแตกสักนิด ใช้ปลายนิ้วหยิบเข้าปาก ความรู้สึ ยามเมื่อละลายในปากทำเอามู่ชิงเกอรู้สึกหวานอบอวลไปทั้งใจ
เพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน เมื่อเดินมาสักระยะหนึ่งแล้ว มู่ชิงเกอก็มีคำสั่งให้องครักษ์เขี้ยวมังกรปล่อยสัตว์อสูรเวหาของตนเองออกมา พวกเขายืนอยู่บนหลังพวกมันมุ่งหน้าไปยังบริเวณที่เผ่ามังกรเกราะทมิฬอาศัยอยู่
การจะหลอมศาสตราอาศัยเพียงแค่วัสดุหลักอย่างเดียวไม่พอ ยังต้องการวัสดุเสริมอื่นๆ ด้วย ดีที่ในช่องว่างของมู่ชิงเกอมีคลังอาวุธอยู่หนึ่งแห่ง ด้านในมีวัสดุ หลอมศาสตราที่นางเก็บสะสมไว้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา และยังมีที่เจ้านายคนก่อนของเหมิงเหมิงทิ้งเอาไว้
ขอเพียงได้วัสดุหลักสองชนิดมา นางมีความมั่นใจจะทำให้อุปกรณ์ขององครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งหมดยกระดับขึ้นหนึ่งชั้น
“เสี่ยวเกอเอ๋อรัยังไม่มีสัตว์อสูรเวหาหรือ” เมื่อทั้งสองคนยืนท้าลมอยู่บนหลังของสัตว์อสูรเวหา ซือมั่วก็ถามขึ้นมาทันที
มู่ชิงเกอพยักหน้า เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ตอนแรกที่นำไข่เหล่านั้นมาจากช่องว่างทดสอบ ถูกไป๋สี่ขโมยกินไปหลายฟอง และก็แตกไปหลายฟอง สุดท้ายที่ฟักออกมาเป็น
สัตว์อสูรเวหาก็มีพอดีกับองครักษ์เขี้ยวมังกร”
แววตาของซือมั่วฉายชัดถึงความรักใคร่ทะนุถนอม
เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขามักจะชินกับการเอาตนเองไว้ท้ายสุด มีอะไรดีๆ ก็มักจะคิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ
ถึงแม้ว่าองครักษ์เขี้ยวมังกรจะเป็นองครักษ์ประจำตัวของมู่ชิงเกอ เป็นกระบี่ที่แหลมคมเล่มหนึ่งในมือนาง แต่ว่าในใจของซือมั่วแล้วก็ยังคงเป็น ‘คนอื่น’
ถอน หายใจอย่างจนปัญญาแล้วซือมั่วก็เอ่ยบอกนางว่า “ข้ามอบให้เจ้าตัวหนึ่งเป็นอย่างไร?”
มู่ชิงเกอดวงตาเป็นประกาย เอ่ยด้วยความไม่เกรงใจ “ดีสิ”
สิ่งของที่ซือมั่วจะมอบให้ย่อมไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน!
ท่าทางของนางทำเอาความสายตาเอาอกเอาใจของซือมั่วเข้มขึ้น “ครั้งหน้าข้าจะนำมาให้เจ้า”
มู่ชิงเกอเบนสายตา เอ่ยทีเล่นทีจริงว่า “เจ้าให้กู่หยา หรือกู่เย่ส่งมาให้ก็ได้ เจ้ายุ่งขนาดนั้นจะกล้าไปรบกวนเจ้าบ่อยๆ ได้อย่างไร?”
ดวงตาสีอำพันของซือมั่วเคร่งขรึม นํ้าเสียงแฝงแววอันตราย “เสี่ยวเกอเอ๋อร์รังเกียจข้าแล้วหรือ? หลังจากกินเรียบแล้วก็ไม่คิดจะรับผิดชอบหรืออย่างไรกัน?”
เวรกรรม!
มู่ชิงเกอมองซือมั่วด้วยความตกใจ ในใจรู้สึกไม่เข้าใจว่าท่าทางภายนอกดุจเทพเซียนเช่นนี้ เหตุใดถึงได้พูดจาไร้ยางอายและเต็มไปด้วยความคับแค้นใจเช่นนี้ได้
มู่ชิงเกอยิ้มแห้งๆ เอ่ยเอาใจซือมั่วว่า “ที่ไหนกัน? ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ? วางใจเถอะ ในเมื่อเจ้าเป็นคนของข้าแล้ว ข้าไม่มีทางได้แล้วทิ้งขว้าง อยากมาก็มาเถอะ”
ท่าทางของมู่ชิงเกอทำเอาซือมั่วโมโหจนกัดฟันกรอด แทบอยากจะกัดเนื้อนางออกมาชิ้นหนึ่ง
ทว่าเขากลับไม่มีทางทำเช่นนั้น เพราะว่าเขาตัดใจทำไม่ลง
ท่ามกลางความจนปัญญา ซือมั่วทำได้เพียงถอนใจแล้วเอ่ยว่า “บนสวรรค์บนพื้นดิน จักรวาลแห่งนี้มีเพียงเจ้าผู้เดียวที่กล้าทำเช่นนี้กับข้า”
ทำให้ข้าไม่มีทางเลือก ทำให้ข้ารักใคร่เอ็นดูเจ้าและไม่ปรารถนาที่จะทำร้าย
“บนสวรรค์บนพื้นดิน จักรวาลแห่งนี้ ข้าก็ปฏิบัติเช่นนี้กับเจ้าผู้เดียว” มู่ชิงเกอยักคิ้วเอ่ย
ความอวดดีบนหน้าผากเผยให้เห็นชัดอย่างไม่ต้องสงสัย
ซือมั่วชะงัก มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย จู่ๆ ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เสียงหัวเราะนั่นราวกับต้องการบอกทุกคนว่า เขามีความสุขมาก
เสียงหัวเราะที่ลอยแว่วมาจากข้างหน้า ทำเอาคนข้างหลังพากันประหลาดใจ
พวกเขาสบตากันไม่รู้ว่าข้างหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่? ใกล้ชิดลูกพี่ถึงเพียงนั้น ข้าอยากจะสลัดเขาทิ้งเหลือเกิน” ซางอี้เฉินเอ่ยกับซางเสวี่ยอู่ด้วยความสงสัย
ซางเสวี่ยอู่ขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เหินเวหามาครึ่งวัน ภายใต้การนำทางของซือมั่วทุกคนก็ร่อนลงสู่พื้นดิน
“ช่องเขาข้างหน้านี้ ตอนนี้มีมังกรเกราะทมิฬ 19 ตัว” ซือมั่วชี้ไปที่ทางเข้าช่องเขาแห่งหนึ่งข้างหน้าแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ
“19 ตัว?” มู่ชิงเกอคำนวณอยู่ในใจรอบหนึ่ง ก่อนพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เพียงพอแล้ว”
พูดจบ นางก็หันไปเอ่ยกับเซวี่ยนขุยและองครักษ์เขี้ยวมังกรคนอื่นๆ เอ่ยสั่งการพวกเขาว่า “เป้าหมายอยู่ในช่องเขา พวกเจ้าลอบเข้าไปยึดครองพื้นที่สูงหน่อย รีบ จบการต่อสู้อย่างรวดเร็ว จำไว้ว่าหนังของมังกรเกราะทมิฬแข็งแรงทนทานมาก ให้ยิงที่ดวงตาหรือปาก”
พวกเซวี่ยนขุยพยักหน้า พวกเขาแยกย้ายกันไปทันที มุ่งไปทางช่องเขาคนละจุด
ในอกของพวกเขาเหน็บมีดชำแหละที่มู่ชิงเกอหลอมออกมาเป็นพิเศษอยู่หลายเล่ม
“มังกรเกราะทมิฬ!” ซางเสวี่ยอู่หลุดปากออกมาด้วยความตะลึง จนถึงตอนนี้นางเพิ่งได้รู้ความตั้งใจในการล่ามังกรเกราะทมิฬของมู่ชิงเกอ
พลังการป้องกันของมังกรเกราะทมิฬพาให้ผู้คนตื่นตะลึง คนทั่วไปยากที่จะทะลวงได้ ดังนั้นการใช้หนังของมังกรเกราะทมิฬแม้ว่าจะเป็นวัสดุการหลอมศาสตราชั้นเลิศ แต่ว่าก็ยากที่จะได้มา
ถ้าหากคนของมู่ชิงเกอสามารถได้หนังมังกรเกราะทมิฬมาจริงๆ เช่นนั้นนางก็มีโอกาสที่จะหลอมชุดเกราะระดับชั้นเทวะ ทะลวงชั้นการหลอมสาสตราของตนเอง
ซางเสวี่ยอู่ตื่นเต้นขึ้นมาทันที นางเอ่ยขอร้องมู่ชิงเกออย่างกระดากอาย “ลูกพี่ ข้าตามไปดูด้วยได้หรือไม่?”
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองนาง เอ่ยถามขึ้นตรงๆ “เจ้าก็อยากได้หนังมังกรเกราะทมิฬหรือ?”
ซางเสวี่ยอู่ไม่ได้ปฏิเสธแต่เอ่ยขึ้นตามความจริง “ฝีมือทางการหลอมศาสตราของข้าหยุดอยู่ที่ระดับชั้นสมบัติมาเนิ่นนาน ข้าอยากจะถือโอกาสนี้ทะลวงระดับชั้นเทวะ”
อาจารย์หลอมศาสตราชั้นสมบัติ
มู่ชิงเกอแววตาจริงจังเล็กน้อย
ตอนนี้ตัวนางเองก็สามารถหลอมได้เพียงอาวุธยุทธภัณฑ์ระดับชั้นสมบัติ ห่างจากชั้นเทวะอีกเพียงหนึ่งก้าว ไม่คิดเลยว่าซางเสวี่ยอู่ที่อายุยังน้อยก็เป็นอาจารย์ หลอมศาสตราชั้นสมบัติ มิน่าเล่าถึงได้เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของตระกูลซางเพียงนี้ ท่าทีของผู้อาวุโสสามที่ปฏิบัติต่อนาง มู่ชิงเกอก็เดาฐานะของซางเสวี่ยอู่ในตระกูลซางได้ไม่ยาก
“เจ้าไม่ต้องไปหรอก รอครู่หนึ่งเดี๋ยวข้ามอบให้เจ้าผืนหนึ่ง” มู่ชิงเกอปฏิเสธการเข้าร่วมของซางเสวี่ยอู่ นางไม่อยากให้มือปืนซุ่มยิงเปิดเผยต่อหน้าผู้คนเร็วเกินไป
แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นน้องสาวแท้ๆ ของนางเองก็ไม่ได้
เมื่อถูกมู่ชิงเกอปฏิเสธ ซางเสวี่ยอู่ก็ผิดหวังอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้แข็งขืน เพียงแค่หาสถานที่นั่งสงบๆ พิจารณาหนังสัตว์อสูรมังกรดินของนางต่อ
ตอนนี้ไม่สามารถหลอมศาสตราได้ แต่ว่านางสามารถคิดขั้นตอนสำคัญแต่ละขั้นไว้อย่างชัดเจน คาดว่าจะใช้วัสดุอะไรมาจับคู่กัน รอให้กลับถึงตระกูลซางก็สามารถลงมือหลอมศาสตราได้เลย
ซางอี้เฉินยืนอยู่ข้างๆ ไม่มีอะไรทำ ความจริงแล้วเขาเองก็อยากเข้าร่วมต่อสู้ด้วย แต่ว่าซางเสวี่ยอู่ยังถูกปฏิเสธ เขาเองก็ไม่กล้าเอ่ยปากอีก
ปัง! ปัง!
ทันใดนั้น เสียงปืนก็ดังขึ้น
ซางเสวี่ยอู่ผุดลุกขึ้นยืนทันที เงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า พร้อมกับซางอี้เฉิน ตรงช่องเขานั้นมีนกบางชนิดและสัตว์อสูรมีปีกตัวเล็กๆ บางจำพวกบินกระเจิงออกมามุ่งสู่ที่ไกลออกไป
“เสียงอะไรกัน?”
“เหมือนว่าจะดังมาจากช่องเขาฝั่งนั้นนะ”
ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินสนทนาโต้ตอบกัน
พูดจบ ทั้งสองคนก็พากันมองไปที่ใบหน้าสงบนิ่งของมู่ชิงเกอ ราวกับว่านางไม่เป็นห่วงความปลอดภัยของลูกน้องเลยสักนิด
ทันใดนั้นซือมั่วก็มองมาที่มู่ชิงเกอ เดินมาหานาง ส่งกระแสเสียงบอกแก่นางว่า “ยันต์ส่งข่าวส่งถึงจวนตระกูลมู่แล้ว”
มู่ชิงเกอดวงตาเป็นประกาย แววตาเปลี่ยนไปหลายส่วน ‘พูดเช่นนี้แสดงว่าอีกไม่นาน นางก็จะได้รับข่าวจากท่านปู่’
เข้าใจความหมายที่นางแสดงออกมาผ่านสายตา ซือมั่วก็ยิ้มแล้วพยักหน้ารับ “ไม่ผิด อย่างเร็วคืนนี้ อย่างช้าพรุ่งนี้เช้า เจ้าก็จะได้รับการส่งข่าว”
ดีเหลือเกิน!
สีหน้ามู่ชิงเกอเผยแววยินดี
ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินเห็นการเปลี่ยนแปลงอารมณ์บนใบหน้านาง ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
มู่ชิงเกอมองมาทางคนทั้งคู่ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
รอให้นางได้รับข่าวที่มู่ซงส่งมาก่อน บางทีนางก็อาจจะรู้ว่าต้องปฏิบัติต่อคนทั้งคู่เช่นไร
ปัง! ปัง! ปัง!
จากนั้นก็มีเสียงปืนดังตามมาหลายนัด
ในช่องเขาแว่วเสียงร้องคำรามของมังกรเกราะทมิฬแว่วมา ราวกับว่าพวกมันเริ่มบ้าคลั่งขึ้นมาแล้ว
ราวกับว่าพื้นดินมีการสั่นไหว คล้ายกับว่ามีคนร่างยักษ์กำลังวิ่งอยู่
ผ่านไปครู่หนึ่งในที่สุดทุกอย่างก็ตกอยู่ในความสงบ
มู่ชิงเกอครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ไป ไปดูกันเถอะ”
พูดจบ ตัวนางเองก็เดินเข้าไปในช่องเขาอย่างอดใจไม่ไหว
ซือมั่วย่อมตามไปติดๆ ซางเสวี่ยอู่สองพี่น้องก็ตามไปติดๆ ไม่กล้าเสียเวลาสักครึ่งนาที
เดินเข้ามาในช่องเขา กำแพงสูงชันทั้งสองข้างขวางการมองเห็น ที่พื้นเป็นแม่นํ้าตื้นเขินลดเลี้ยวทอดยาวออกไป ไม่เห็นปลายทาง ริมฝั่งแม่นํ้ากลับมีซากศพของมังกรเกราะทมิฬกองอยู่สิบกว่าตัว
มังกรเกราะทมิฬเหล่านี้ร่างกายแข็งแรงบึกบึน ร่างกายราวเขาลูกย่อมๆ ล้มอยู่กับพื้น มองไปไกลๆ คล้ายกับเนินเขาอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนเซวี่ยนขุยและองครักษ์เขี้ยวมังกรคนอื่นๆ ต่างก็กำลังสาละวนอยู่กับ ‘เนินเขา’ เหล่านี้
หลังจากที่ซางอี้เฉินสำรวจซากศพของมังกรเกราะทมิฬเหล่านั้นแล้วก็วิ่งมาข้างกายซางเสวี่ยอู่ เอ่ยเสียงเบาๆ ด้วยความตระหนกว่า “พวกมันตาบอดหมดแล้ว คล้ายกับว่ามีอาวุธอะไรบางอย่างทะลุดวงตาของพวกมัน สังหารพวกมันลงแต่กลับไม่ได้ทำร้ายผิวหนังของพวกมัน”
ซางเสวี่ยอู่เมื่อได้ยินดังนั้นก็มีอาการตะลึง
มังกรเกราะทมิฬที่คนข้างนอกเจ็บปวดที่ไม่ได้ครอบครอง กลับถูกสังหารอยู่ที่นี่อย่างง่ายดาย!
หนังมังกรเกราะทมิฬที่สมบูรณ์หนึ่งผืน หากนำไปขาย เกรงว่าจะสามารถประมูลได้ราคาสูงเป็นศิลาวิญญาณขั้นกลางกว่าหมื่นก้อน รวมกับวัสดุหลอมศาสตราอื่นอีก หากมอบให้ตระกูลซางหลอมศาสตราย่อมสามารถผลิตชุดเกราะขั้นเทวะที่ฟันแทงไม่เข้าได้อย่างแน่นอน!
แม้แต่ยอดฝีมือระดับพลังขั้นสีทองก็ยากที่จะทะลวงการป้องกันได้!
มือทั้งสองข้างของซางเสวี่ยอู่สั่นเล็กน้อย นางเป็นอาจารย์หลอมศาสตราชั้นยอด เมื่อเห็นวัสดุชั้นเลิศในการหลอมศาสตราเช่นนี้ย่อมใจเต้นแรงไม่เป็นตัวของตน เอง
ฟุ่บ
หนังมังกรเกราะทมิฬที่ถูกกรีดออกมาอย่างสมบูรณ์ ล้างนํ้าสะอาดผืนแล้วผืนเล่าปูอยู่บนพื้นโล่ง
เมื่อจัดการหนังผืนสุดท้ายเสร็จแล้ว ซือมั่วก็ยกมือสะบัด ซากศพของมังกรเกราะทมิฬ 19 ตัวนั้น กลั่นเลือดเนื้อของพวกมันหลอมเป็นไข่มุกโลหิตในชั่วพริบตา ไข่มุกโลหิตลอยมาอยู่เบื้องหน้ามู่ชิงเกอ นางช้อนสายตาขึ้น มองด้วยความประหลาดใจแกมสงสัย
ซือมั่วเอ่ยอธิบายว่า “เลือดเนื้อของมังกรเกราะทมิฬ กินแล้วร่างกายแข็งแรง บำรุงกล้ามเนื้อและกระดูก ข้าหลอมเป็นไข่มุกโลหิต 19 ก้อนนี้ เจ้าสามารถสกัดให้ องครักษ์เขี้ยวมังกรกินลงไป”
มู่ชิงเกอดวงตาเป็นประกาย
ร่างกายขององครักษ์เขี้ยวมังกร ตอนแรกเสริมพลังมาจากการดัดแปลงพันธุกรรม ภายหลังได้รับการหล่อหลอมจากเลือดมังกรวารี มาบัดนี้เพิ่มเลือดมังกรเกราะ ทมิฬเข้าไปอีกย่อมแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าจะไม่มีชุดเกราะป้องกัน คนทั่วไปก็ยากที่จะทะลวงการป้องกันร่างกายของพวกเขาลงได้
บวกกับความสามารถของพวกเขาเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้เส้นทางการเพิ่มความแข็งแกร่งของนางยิ่งวางใจมากขึ้น ขจัดความกังวล!
“ขอบคุณ” มู่ชิงเกอสะมัดมือรับเอาไข่มุกโลหิต 19 เม็ดมา
“ระหว่างเจ้ากับข้า ไม่จำเป็นต้องเกรงใจต่อกัน” ซือมั่วเอ่ยยิ้มๆ
พวกเขาทั้งสองยืนอยู่ห่างออกไป ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินไม่ได้ยินว่าพวกเขาคุยอะไรกัน เห็นแค่ว่าบุรุษลึกลับที่ตามติดพี่สาวของตนเองสะบัดมือหลอมเลือดเนื้อของมังกรเกราะทมิฬ ทำให้ซากศพเหล่านั้นหายไป จากนั้นเลือดเนื้อเหล่านั้นก็ถูกหลอมรวมเป็นไข่มุกโลหิตลอยไปตรงหน้ามู่ชิงเกอ ถูกนางเก็บเอาไป
ทันใดนั้น เซวี่ยนขุยก็ประคองหนังมังกรเกราะทมิฬที่พับเอาไว้เรียบร้อยผืนหนึ่งเดินมาตรงหน้าซางเสวี่ยอู่ “นายน้อยให้ข้านำมามอบให้”
มู่ชิงเกอเคยรับปากเอาไว้ว่าจะมอบหนังมังกรเกราะทมิฬให้นางผืนหนึ่ง ตอนนี้เพียงแค่ทำตามสัญญาก็เท่านั้น
ซางเสวี่ยอู่ตะลึง รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง ไม่อยากเชื่อว่าพี่สาวของตนเองยังจำคำพูดที่เอ่ยขึ้นลอยๆ ก่อนนี้ได้ นางไม่ได้ถือตัว ยื่นมือไปรับหนังมังกรเกราะทมิฬจาก มือเซวี่ยนขุย นำมันส่งไปไว้ในแหวนจัดเก็บของตนเอง “ขอบคุณมาก”
เซวี่ยนขุยส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเพียงแค่ทำตามคำสั่งของนายน้อย คุณหนูซางไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า”
พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไป ความงามของซางเสวี่ยอู่ในสายตาของเขาราวกับไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป
หนังมังกรเกราะทมิฬ 18 ผืนที่เหลือถูกมู่ชิงเกอเก็บไว้ หนังผืนหนึ่งสามารถนำมาทำชุดเกราะได้ 40-50 ชุด 18 ผืนเพียงพอแล้ว
“จะตรงเข้าไปที่ทะเลสาบอั้นยวนเลยหรือว่าหาสถานที่พักผ่อนก่อน แล้ววันพรุ่งนี้ค่อยไป?” ซือมั่วเอ่ยถาม
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมาสีท้องฟ้า ตอนนี้เป็นช่วงเวลาหลังเที่ยง พูดว่าพักผ่อนก็ออกจะเร็วไปสักหน่อย แต่หากเร่งไปที่ทะเลสาบอั้นยวน เกรงว่าพอไปถึงท้องฟ้าก็มืดเสียแล้วไม่สะดวกที่จะสู้รบ
คิดแล้วคิดอีก นางก็มองซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินเอ่ยพึมพำกับพวกเขาว่า “ในเมื่อมาแล้วก็อย่าให้เสียเที่ยว”
นางยกมือเรียกองครักษ์เขี้ยวมังกรเข้ามากลุ่มหนึ่ง “พวกเจ้าคุ้มครองพวกเขาไปเดินดูบริเวณรอบๆ หากมีสัตว์อสูรอะไรก็ไม่ต้องรีบร้อนลงมือ หากว่าพวกเขาสู้ไม่ได้แล้วค่อยลงมือก็ยังไม่สาย”
องครักษ์เขี้ยวมังกรรับคำสั่งพาซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินไปจากช่องเขา
เซวี่ยนขุยยืนมองอยู่ไกลๆ หันกลับมาเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “นายน้อย กลิ่นคาวเลือดที่นี่จะนำพาเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรมาไม่น้อย พวกเรารีบจากไปก่อนดีกว่า”
มู่ชิงเกอพยักหน้า พาเซวี่ยนขุยกับซือมั่วออกจากช่องเขาด้วยกัน
พวกเขาจากไปได้ไม่นาน อีกด้านหนึ่งของช่องเขาก็ปรากฎละอองก้อนทรายพัดปลิว เสียงร้องของสัตว์อสูรกลุ่มใหญ่ลอยมา สำรวจบริเวณที่เคยมีซากศพของ มังกรเกราะทมิฬอย่างช้าๆ
เมื่อออกมาจากช่องเขา มู่ชิงเกอก็หาที่ราบสูงใช้เป็นที่พักแรม
เซวี่ยนขุยรวบรวมฟืนมา นำผงโอสถขับไล่สัตว์อสูรไปโรยไว้รอบๆ ตามคำสั่งของมู่ชิงเกอ จากนั้นก็ก่อกองไฟ ย่างขาหลังของพยัคฆ์ลายเมฆทะยานกับชิ้นเนื้อส่วนหลังที่ล่ามาได้ก่อนหน้านี้
นํ้ามันจากเนื้อสัตว์เกิดเป็นเสียงไหม้ดังขึ้น หยดลงบนกองไฟลุกไหม้ขึ้นมา หนังกรอบสีเหลืองทองดูแล้วช่างดึงดูดผู้คนยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นเซวี่ยนขุยยังโรยเครื่อง เทศไปบนนั้นอีก
โห่วที่หมอบอยู่ด้านข้าง มองไปนํ้าลายไหลไป สุดท้ายแล้วก็ทนไม่ไหว มองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “ข้าหิวแล้ว”
มู่ชิงเกอและซือมั่วมองมาที่เขาพร้อมกัน ฝ่านแรกเลิกคิ้วขึ้นถาม “แล้วอย่างไร?”
“ข้าจะกินมันสมอง!” โห่วขบฟันเอ่ย
มู่ชิงเกอพยักหน้าลงอย่างเข้าใจ เอ่ยกับเขาว่า “ไปเถอะ รีบกลับมาล่ะ”
โห่วโค้งตัวจากพื้นในทันที สองขาสั้นป้อมขนปุกปุยวิ่งออกไปด้านนอกด้วยความเริงร่า แต่ว่าเพิ่งจะวิ่งออกไป มันก็วิ่งกลับมา ดวงตาสีทองดุจเปลวเพลิงจับจ้องไปยังเนื้อย่างที่อยู่บนกองไฟ เอ่ยกำชับกับเซวี่ยนขุยว่า “เด็กน้อย เนื้อพวกนี้เก็บเอาไว้ให้ข้าด้วย! หากข้ากลับมา แล้วเห็นว่าไม่มีล่ะก็ ข้าจะย่างเจ้ากิน!”
พูดจบเขาก็พุ่งเข้าไปในกอหญ้าหายไปต่อหน้าพวกเขาทั้งสาม
เซวี่ยนขุยที่กำลังโรยเครื่องเทศอยู่ในมือราวกับไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองถึงโดนกระต่ายตัวหนึ่งข่มขู่เอาได้ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็มองไปที่มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอยิ้มยิงฟันเอ่ยกับเขาว่า “ย่างเพิ่มอีกสักหน่อย”
ครั้งนี้ โห่วแสดงบทบาทออกมาอยู่บ้าง นางย่อมไม่ปล่อยให้มันหิว
เมื่อย่างเนื้อเสร็จ ฟ้าก็มืดลง แสงสีส้มของดวงอาทิตย์ลาลับไปทางมุมเขา
“หอมจังเลย!” แว่วเสียงตื่นเต้นของซางอี้เฉินลอยมา
เขาพุ่งตัวมาข้างๆ เนื้อย่างที่อยู่ข้างกองไฟอย่างรวดเร็ว ยื่นมือมาอย่างอดใจไม่ไหว
“อี้เฉิน เจ้าล้างมือหรือยัง?” ซางเสวี่ยอู่ที่เดินตามหลังมาเอ่ยตำหนิซางอี้เฉินราวกับมารดา
ซางอี้เฉินรีบหดมือกลับมาอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นยืนแล้วไปล้างมือในนํ้าแร่ภูเขาด้านข้างอย่างเสียมิได้
มู่ชิงเกอมองภาพนี้เงียบๆ อดไม่ได้ที่จะมองดูซางเสวี่ยอู่บ่อยขึ้น
‘สิบกว่าปีมานี้ซางหลันรั่วทุ่มเทความคิดและจิตใจไว้กับเรื่องที่ว่าจะฟื้นคืนชีวิตของมู่เหลียนเฉิงได้อย่างไร เกรงว่าไม่มีกะจิตกะใจดูแลลูกสักเท่าไร มองดูการอยู่ร่วมกันของซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉินแล้วราวกับว่าพี่สาวฝาแฝดผู้นี้จะทำหน้าที่แทนมารดาในการเลี้ยงดูเขา’
ทันใดนั้น ราวกับว่ามู่ชิงเกอพบสาเหตุที่ซางเสวี่ยอู่กลํ้ากลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่ายแล้ว
นิสัยของคนผู้หนึ่งไม่สามารถแยกจากสภาพแวดล้อมที่เติบโตมาได้
ความเป็นผู้ใหญ่เกินตัวของซางเสวี่ยอู่ ความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมาของซางอี้เฉิน เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หลุบสายตาลงเงียบๆ มู่ชิงเกอละสายตาสงบอารมณ์
ยิ่งมาเห็นอย่างนี้ความประทับใจที่นางมีต่อซางหลันรั่วก็ยิ่งแย่ลง บางทีนางอาจเป็นภรรยาที่ยึดมั่นในรัก แต่ไม่ใช่มารดาที่ดีของบุตร
ไม่ว่าจะเป็นต่อมู่ชิงเกอ ซางเสวี่ยอู่ หรือซางอี้เฉิน ล้วนไม่ใช่ทั้งนั้น!
“ลูกพี่ ให้” ในขณะที่มู่ชิงเกอจมอยู่ในความคิด ซางเสวี่ยอู่ก็ตัดเนื้อย่างชิ้นหนึ่งวางบนใบไม้ที่ล้างสะอาดแล้ว นำมายื่นให้ตรงหน้านาง
มู่ชิงเกอเงยหน้าชิ้นมองนาง รับเนื้อย่างมาโดยไร้สุ้มเสียง
จากนั้นก็มองดูนางหันหลังกลับจากไปพร้อมรอยยิ้ม กลับไปที่ข้างกองไฟตัดเนื้อย่างชิ้นหนึ่งให้กับซางอี้เฉินที่แทบจะอดใจรอไม่ไหว
“เจ้ากินช้าหน่อย กินเป็นเด็กๆ ไปได้” เห็นซางอี้เฉินกินอย่างรีบร้อนแล้ว นางก็ส่ายหน้าเอ่ยเตือนอย่างจนปัญญา
‘บางที่สำหรับซางอี้เฉินแล้ว ซางเสวี่ยอู่คล้ายกับพี่สาวมากกว่า ส่วนนาง…” มู่ชิงเกอยิ้มหยันอยู่ภายในใจ นางไม่เคยใส่ใจดูแลคนอื่นเช่นนี้ และไม่ใส่ใจราย ละเอียด
หลังจากกินมื้อเย็นแล้ว ทุกคนก็ล้อมวงพักผ่อนรอบกองไฟ
เมื่อพระจันทร์กระทบยอดไม้ จู่ๆ มู่ชิงเกอก็ลืมตาขึ้น มองดู ‘ดาวตก’ ที่พาดผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน
‘ดาวตก’ นั้นมุ่งมาทางนาง
เมื่อมาอยู่ตรงหน้าก็กลายเป็นลูกบอลไฟเท่าดวงตามังกร หยุดอยู่ปลายจมูกนาง
มู่ชิงเกอลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ลูกบอลไฟก็เคลื่อนไหวตามนาง
เสียงของซือมั่วก็ดังขึ้นด้านหลังนาง “จดหมายจากหลินชวนมาถึงแล้ว”