ตอนที่ 281
ละครที่ยอดเยี่ยม!
“อะไรนะ! เขาอยากจะแต่งงานกับเสวี่ยอู่งั้นหรือ? เขาคู่ควรงั้นหรือ?” ซางหลันรั่วและซางเสวี่ยอูที่ตกตะลึงยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด ซางอี้เฉินก็ตอบสนองออกไปในทันที!
เมื่อได้ยินถึงคำพูดของซางอี้เฉิน มู่ลั่วฟงก็ลีหน้าเปลี่ยนไปในทันที เอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นใคร? ข้าอยากจะแต่งกับซางเสวี่ยอู่แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า?”
“ลั่วฟง อย่าเสียมารยาท” มู่เฉินเอ่ยปากห้ามปราม แต่ก็เหมือนจะไม่ได้มีประโยชน์อะไร
ซางอี้เฉินยิ้มเยาะเอ่ยว่า “ข้าเป็นน้องชายของซางเสวี่ยอู่ เจ้าว่าข้ามีสิทธิ์พูดหรือไม่?”
มู่ลั่วฟงชะงัก เปลี่ยนสีหน้าเป็นประจบสอพลอในทันที เอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นว่าที่น้องเขยนี้เอง”
“ถุย! อย่ามาพูดจาสนิทสนมขนาดนั้น ข้ากับเจ้าไม่สนิทกัน” ซางอี้เฉินสบถไปหนึ่งประโยคอย่างเย็นชา
“ข้าไม่แต่งกับเจ้า” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยอย่างเย็นชาเช่นกัน
ลมทะเลทรายแห่งเมืองฝูซา ทำให้คนลืมตายากลำบาก คนที่เดินทางล้วนแต่เดินทางกันอย่างเร่งรีบ
รถเทียมสัตว์อสูรวิญญาณสองคัน วิ่งตามกันไป ค่อยๆ เข้าไปสู่ประตูเมืองฝูซา บนรถมีผ้าม่านคลุมปิดไว้อย่างมิดชิด คนด้านในเปิดออกมาดูเล็กน้อย นัยน์ตาที่ดู สนใจกำลังมองไปรอบๆ
“แค่ก แค่ก” เพิ่งจะมองแค่แวบเดียว นางก็รีบปล่อยผ้าม่านลง ไอออกมาอย่างไม่ชิน “ลมทะเลทรายของเมืองฝูซานั้นแรงจริงๆ” คำพูดของนางคือพูดกับคนที่นั่งอยู่ด้านในสุด
คนที่แต่เดิมกำลังหลับตาพักผ่อนอยู่ ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเพราะคำพูดของนาง เพียงแต่ว่านางไม่ได้สนใจว่าลมทะเลทรายของเมืองฝูซาจะแรงหรือไม่แรง แต่กลับกวาดสายตามองไปยังหญิงสาวที่ร่างเต็มไปด้วยอารมณ์คุกรุ่น
“คุณหนูซูยังไหวอยู่หรือไม่?” นางเอ่ยปากถามออกไป ซูหนวนหน่วนชะงัก กดไอความโกรธลง หันไปมองเขา ส่ายหน้าเอ่ยว่า “คุณชายมู่โปรดวางใจ ข้าจะไม่มุทะลุอย่างเด็ดขาด”
มู่ชิงเกอนิ่งลงครู่หนึ่ง เอ่ยกับนางว่า “คุณหนูซูโปรดวางใจวันนี้ข้าจะให้ความเป็นธรรมแก่ท่านอย่างแน่นอน”
“ขอบคุณคุณชายมู่ หากว่าคุณชายมู่ช่วยข้าล้างแค้นในครั้งนี้ ชีวิตของข้าก็ขอมอบให้คุณชายแล้ว” ซูหนวนหน่วนคำนับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้ายิ้มเล็กน้อย “ศัตรูของท่านก็บังเอิญเป็นศัตรูของข้าพอดี ถือว่าพลอยมือเท่านั้น”
มู่ลั่วฟงกล้าใส่ความนางงั้นหรือ? บัญชีในครั้งนี้ถึงแม้ว่าซูหนวนหน่วนจะไม่คิด นางก็ต้องคิดไม่อาจลืมได้อยู่ดี
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววอำมหิต มุมปากเกิดรอยยิ้มดูแคลน
“เมืองฝูซานั้นใหญ่โตมาก พวกเจ้าจะหาเขาได้อย่างไร?” เจียงหลีขมวดคิ้วเอ่ยถาม
มู่ลั่วฟงจะมาเมืองฝูซา จุดๆ นี้ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกเหนือความคาดหมายจริงๆ
สำหรับคำถามของเจียงหลี มู่ชิงเกอกลับสงบนิ่งมาก “ไม่รีบร้อน รอข่าวจากราชครู”
มู่ลั่วฟงก็เป็นผู้ถูกเลือกของตระกูลมู่ อาศัยความสามารถในการทำนายของ ราชครู ก็น่าจะสามารถกำหนดตำแหน่งที่อยู่ของเขาได้
ในตอนนี้ รถสัตว์อสูรวิญญาณด้านหลังก็มีเพียงเหมยจื่อจ้งและราชครูสองคน
เหมยจื่อจ้งนั่งอย่างเงียบเชียบ มองราชครูนับลูกประคำหยกอย่างตั้งใจ
รถสัตว์อสูรทั้งสองคัน เดินทางไปบนถนนในเมืองฝูซาอย่างไร้จุดหมาย รอคำทำนายสุดท้ายจากราชครู
ไม่นาน ราชครูก็ลืมตาขึ้น เกิดแสงเปล่งประกาย “ไม่ทำให้ผิดหวัง!”
“หาพบแล้วหรือ?” บนท่าทีที่เรียบเฉยของเหมยจื่อจ้ง เผยความกังวลที่หาได้ยากยิ่งสำหรับเขาออกมา สำหรับคนที่กล้าใส่ร้ายมู่ชิงเกอนั้น ในใจของเขาเกิดไอสังหาร ราชครูถอนหายใจ พยักหน้า
บนถนนใหญ่เมืองฝูซา รถสัตว์อสูรวิญญาณหยุดลงอย่างกะทันหัน คันที่อยู่ด้านหลังผ่านคันหน้าขึ้นมา นำเส้นทาง จากนั้นรถสัตว์อสูรวิญญาณก็เคลื่อนตัวขึ้นอีกครั้ง
ตระกูลซาง เมืองฝูซา
ภายในห้องโถง สีหน้าของมู่ลั่วฟงดูแย่มาก เขามาขอแต่งงานด้วยตนเองแต่กลับถูกปฏิเสธงั้นหรือ? เขาเป็นถึงนายน้อยแห่งตระถูลมู่ผู้ถูกลิขิตไว้ให้ประสบผลสำเร็จเชียวนะ วันนี้มาขอผู้หญิงของตระกูลซางแต่งงานก็ถือว่าเห็นแก่หน้ามากพอแล้ว!
ใครจะรู้ว่าคนไม่กี่คนข้างหน้านี้กลับไม่สนใจ! โดยเฉพาะซางเสวี่ยอู่ คิดว่าตัวเองนั้นงดงามมากงั้นหรือ ถึงได้กล้าปฏิเสธเขา?
การมาในครั้งนี้ มู่ลั่วฟงไม่เคยได้คิดว่าตนเองจะถูกปฏิเสธเลย ตอนนี้เขาดูอำมหิตโหดเหี้ยมบ้าคลั่งไปทั้งร่าง
“ประมุขตระกูลซาง…” มู่เฉินยืนขึ้นมาในตอนนี้ เขาไม่ได้ไปพูดกับซางหลันรั่วแต่กลับพูดกับซางซุ่นหวางที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธาน
ซางซุ่นหวางยกมือขึ้นตัดบทพูดของเขา นัยน์ตาที่ดูลํ้าลึกนั้นกวาดมองไปยังบุตรสาวของตนเอง แล้วเอ่ยถามเสียงเข้มว่า “หลันรั่ว เรื่องนี้เจ้าคิดอย่างไร?” ประโยคนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เรื่องการแต่งงานของซางเสวี่ยอู่นั้นมีซางหลันรั่ว เป็นผู้ตัดสิน
ทันใดนั้น สายตาของคนทุกคนก็ถูกดึงดูดไปที่ร่างของนาง
มู่ลั่วฟงมองซางหลันรั่ว นัยน์ตาฉายแววชั่วร้าย เอ่ยปากถามว่า “ท่านนี้คือ…”
“นางเป็นมารดาของเสวี่ยอู่และอี้เฉิน” ผู้อาวุโสสองของตระกูลซางเอ่ยตอบแทน
‘ที่แท้ก็เป็นมารดาของซางเสวี่ยอู่! หากว่าไม่ได้ลูกสาว แต่ได้กลายเป็นพ่อเลี้ยงของพวกเขาก็ดีมากเช่นกัน! ถึงแม้ว่าซางหลันรั่วผู้นี้จะมีอายุมากไปหน่อย แต่ก็มีเสน่ห์อย่างที่หญิงสาวไม่มีทางมีได้!’ มู่ลั่วฟงลอบคิดในใจ นัยน์ตาที่มองซางหลันรั่วฉายแวว วาววาบ
“เสวี่ยอู่ยังเล็กอยู่ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาแต่งงาน” ซางหลันรั่วเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ ความหมายในคำพูดก็คือ ปฏิเสธ
ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ออกไปไหนนานมากแล้วแต่ความสามารถในการมองคนยังอยู่
ถึงแม้ว่ามู่ลั่วฟงคนนี้จะมีแซ่เดียวกันกับสามีของนาง แต่กลับไม่ได้มีกลิ่นอายความองอาจของตระกูลมู่อยู่เลยแม้แต่น้อย สีหน้าค่าตาก็ดูแฝงด้วยความชั่วร้าย นัยน์ตาลอกแลก จิตใจไม่บริสุทธ์ ดูไม่เหมาะเป็นสุภาพบุรุษแม้แต่น้อย! แล้วนางจะยอมให้บุตรสาวของตนเอง แต่งกับคนเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ฮูหยิน นายน้อยของข้าก็ถือว่าเป็นมังกรในหมู่มนุษย์ อายุก็รุ่นราวคราวเดียวกับคุณหนูเสวี่ยอู่ ท่านคิดพิจารณาอีกครั้งได้หรือไม่?” มู่เฉินเอ่ยอีกครั้ง
“ไม่จำเป็น เสวี่ยอู่ไม่แต่ง” ซางหลันรั่วปฏิเสธอย่างไม่ลังเล นางจูงมือของซางเสวี่ยอู่ขึ้นจะหันกายจากไป “พวกเราไปกันเถอะ”
“ช้าก่อน!”
ในขณะที่มู่เฉินกำลังคิดจะเอ่ยยั้งไว้นั้น อยู่ดีๆ มู่ลั่วฟงก็เอ่ยปากขึ้นก่อน
นํ้าเสียงนี้ทำให้พวกซางซุ่นหวางสามคนค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น
“บังอาจ! เป็นแค่เด็กรุ่นเยาว์ไร้ชื่อคนหนึ่งก็กล้ามาทำตัวผยองในตระกูลซางของข้างั้นหรือ!” ซางซุ่นหวางตะคอกออกมา
มู่ลั่วฟงถูกเขาตะคอกใส่ ในใจก็เกิดวุ่นวายสับสนขึ้น รีบหลบไปอยู่ด้านหลังของมู่เฉินและตะโกนว่า “ท่านลุงปกป้องข้าที!”
การแสดงออกของเขาทำให้มู่เฉินและมู่เผิงผิดหวังมาก ท่าทางเช่นนี้ยังคิดอยากจะขอแต่งงานอีกหรือ?
แต่ไม่ว่าอย่างไร ในตอนนี้มู่ลั่วฟงก็คือนายน้อยของพวกเขา ถึงจะไม่ดีก็ไม่อาจจะให้คนนอกรังแกได้
มู่เฉินคุ้มครองมู่ลั่วฟงไว้ด้านหลัง เอ่ยกับซางซุ่นหวางว่า “ประมุขตระกูลซางเหตุใดต้องถือสาเอาความกับคนรุ่นเยาว์ด้วย?”
ประโยคนี้ใส่พลังจิตเข้าไปด้วยสะท้านจนทำให้หูของทุกคนชา
ซางอี้เฉินแต่เดิมยังหัวเราะเยาะมู่ลั่วฟงทำตัวน่าอายในใจ ทันทีที่เสียงดังสะท้านขึ้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ในทันทีมองไปยังมู่เฉินอย่างตกตะลึง
หรือเป็นเพราะเขาไม่คิดว่าข้างกายของมู่ลั่วฟงจะมียอดฝีมือที่ร้ายกาจขนาดนี้อยู่ด้วย
หากว่าพวกเขาจะบังคับใช้กำลังเพื่อแต่งกับเสวี่ยอู่ล่ะ จะทำอย่างไร?
นัยน์ตาของซางอี้เฉินกลอกไปมา ในใจคิดหาแผนการตอบโต้ ข้างกายของเขา ซางเสวี่ยอู่กับซางหลันรั่วอิงแอบกัน มองไปทางมู่เฉินอย่างระมัดระวัง
“เหอะ” ซางซุ่นหวางสบถออกมา ไอพลังนี้ไม่ได้ด้อย ไปกว่ามู่เฉินสักเท่าใด
พวกเขาลอบประเมินกันรอบหนึ่ง กลับเสมอกัน ซางซุ่นหวางลอบตกตะลึงในใจ สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเอ่ยว่า “พวกเจ้าคิดจะข่มขู่ตระกูลซางของพวกเราอย่างนั้น หรือ?”
“ประมุขตระกูลซางเข้าใจผิดแล้ว พวกเราตั้งใจมาสู่ขอ แม้ว่าการสู่ขอไม่สำเร็จก็จะไม่ผูกใจเจ็บแค้น” มู่เฉินรีบอธิบาย
ผู้อาวุโสสามตระกูลซางเอ่ยคัวยนํ้าเสียงที่ไม่พอใจว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ในเมื่อพวกเราได้ปฏิเสธไปแล้ว เหตุใดพวกเจ้าจึงยังบีบบังคับอีก”
“พวกเราไม่ได้บีบบังคับ” มู่เผิงยืนขึ้นมาเอ่ย ชั่วขณะนั้นบรรยากาศระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ดูเคร่ง เครียดขึ้น
เวลานี้ มู่ลั่วฟงก็ยื่นหัวออกมาจากหลังของมู่เฉินแล้ว เอ่ยว่า “ข้าเรียกให้หยุด ไม่ใช่ว่าจะพูดว่าจะต้องแต่งกับซางเสวี่ยอู่ ข้าคิดอยากจะพูดว่า…,”
สายตาของเขา กวาดตามองไปยังซางหลันรั่วรอบหนึ่งแล้วค่อยเอ่ยว่า “ซางเสวี่ยอู่ไม่ยอมแต่งงานกับข้า ข้าก็ไม่บังคับ”
ประโยคนี้ของเขายังถือว่าเหมาะสม มู่เฉินได้ฟังแล้วก็ลอบพยักหน้าในใจ
แต่เดิม ตระกูลมู่ของพวกเขาก็สมควรทำเช่นนี้ ถึงแม้ว่าการสู่ขอจะถูกปฏิเสธก็ต้องใจกว้างสง่าผ่าเผยปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไม่เห็นแก่ตัว
เพียงแต่ว่าคำพูดส่วนหลังของมู่ลั่วฟงกลับทำให้เขาโมโหจนแทบอยากจะตบเจ้าคนสารเลวผู้นี้ให้ตายไปในฝ่ามือเดียวในทันที!
“แต่ว่า วันนี้ข้าได้เกิดรักแรกพบกับคนผู้หนึ่ง ไม่รู้ว่าสามารถขอนางแต่งงานได้หรือไม่?” มู่ลั่วฟงเอ่ย
“ใครกัน?” ผู้อาวุโสสองตระกูลซางขมวดคิ้วเอ่ย
มู่ลั่วฟงยืดกายขึ้นตรงด้านหลังของมู่เฉิน เอ่ยเสียงดังว่า “ก็คือมารดาของซางเสวี่ยอู่!”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ!
“เด็กน้อยเจ้ารนหาที่ตายงั้นหรือ!”
“มู่ลั่วฟงเจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้!”
ประโยคนี้หลุดออกไปก็ทำให้ภายในห้องโถงเกิดเดือดดาลขึ้นมา
ทุกคนของตระกูลซางมองเขาด้วยความโมโห
มู่เฉินและมู่เผิงก็แค้นจนแทบอยากจะตีเขาให้สลบแล้วพาตัวไป เมื่อครู่ยังอยากจะขอบุตรสาวของเขา มาตอนนี้กลับอยากขอมารดา? ในโลกนี้มีคนที่หน้าไม่อายถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?
“เจ้าคนเลว ไปตายเสียเถอะ!” ซางอี้เฉินโมโหจนทนไม่ไหวพุ่งเข้าไปลงมือกับมู่ลั่วฟง
ซางหลันรั่วก็ทั้งอับอายทั้งโมโห คำพูดของมู่ลั่วฟงสำหรับนางแล้วก็เหมือนกับการดูหมิ่น! ซางเสวี่ยอู่กอดมารดาแน่นไม่ให้นางโมโหจนล้มสลบลงไป นัยน์ตา ที่สดใสคู่นั้นเต็มไปด้วยไอสังหารมองไปยังมู่ลั่วฟง
การโจมตีของซางอี้เฉินถูกองครักษ์ที่พวกมู่เฉินนำมาขวางเอาไว้
การขวางในครั้งนี้ ทำให้องครักษ์ของตระกูลซางรีบพุ่งเข้ามาในทันที ชักอาวุธออกมาชี้ใส่คนของมู่เฉิน
ซางซุ่นหวางค่อยๆ ยืนขึ้นมาจากที่นั่ง สีหน้าดำทะมึน ไอสังหารคละคลุ้ง มองไปทางพวกมู่เฉินและเอ่ยว่า “วันนี้ พวกเจ้าใครก็อย่าคิดจะมีชีวิตออกไปจากตระกูล ซาง”
คำพูดของเขา ยิ่งดึงดูดให้องครักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนของตระกูลซางล้อมพวกมู่เฉินไว้เป็นชั้นๆ
“ประมุขตระกูลซางได้โปรดระงับอารมณ์ด้วย เรื่องนี้พวกเราเป็นฝ่ายผิด หลังจากกลับไปแล้วข้าจะสั่งสอนเขาให้ดี” มู่เฉินรีบเอ่ยออกไป เขาก็พยายามข่มความ โกรธในใจ สั่งมู่ลั่วฟงว่า “เจ้ายังไม่ไสหัวออกมายอมรับผิดกับประมุขตระกูลซางแล้วก็ฮูหยินอีกหรือ?”
แต่มู่ลั่วฟงกลับไม่รู้เลยว่าความผิดของตนเองนั้นอยู่ที่ไหน ยังคงเอ่ยอย่างหยิ่งผยองว่า “มีอันใดกัน! พวกเขาใช้แซ่เดียวกันกับนาง การสู่ขอเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดนี้ แต่กลับไม่เห็นสามี คิดว่าหากไม่ตายก็คงหย่าไปแล้ว ตอนนี้ข้ายอมแต่งด้วยก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี คนงามเช่นนี้จะให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไปตลอดชีวิตได้อย่าง ไร?”
“เจ้า! เจ้ายังไม่หุบปากอีกหรือ!” มู่เฉินอดไม่ไหว ตะคอกใส่มู่ลั่วฟง
สีหน้าของซางหลันรั่วยิ่งซีดขาวขึ้นเพราะคำพูดของมู่ลั่วฟง
นางขัดขืนออกมาจากอ้อมอกของบุตรสาว แย่งกระบี่มาจากองครักษ์ข้างกายคนหนึ่ง ชี้ไปทางมู่ลั่วฟง ตะคอกออกไปว่า “คนเลวน่าไม่อาย เอาชีวิตมา!”
ระดับพลังของซางหลันรั่วตอนที่ออกจากโลกแห่งยุคกลางนั้นก็ได้ถึงระดับสีเทาชั้นห้าแล้ว กลับมา 19 ปี ถึงแม้จะไม่ได้ฝึกฝนแต่พลังจิตก็เพิ่มขึ้นอยู่ตามวันเวลา และได้ทะลวงสู่ระดับสีเงินแล้ว ระดับพลังในตอนนี้ก็คือระดับสีเงินขั้นหนึ่ง
ไอพลังภายใต้ภาวะเกรี้ยวกราดของนางไม่ใช่สิ่งที่องครักษ์ที่มู่เฉินนำมาด้วยจะสามารถต่อต้านได้ พริบตาเดียวก็ได้ทำลายแนวป้องกัน ปลายกระบี่แหลมคมบีบไปตรงหน้าของมู่ลั่วฟง ทำให้เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้
มู่ลั่วฟงกลัวจนกระโดดถอย ส่วนมู่เผิงก็ลงมือในตอนนี้ กรงเล็บเหล็กผ่านหน้ามู่ลั่วฟงมา ขวางกระบวนท่าสังหารในดาบเดียวของซางหลันรั่วแทนเขา กระบวนท่าฆ่าถูกขวาง แต่ซางหลันรั่วก็ไม่ยอมหยุด เข้าต่อสู้กับมู่เผิงในทันที คนหนึ่งโมโหต้องการฆ่า อีกคนก็ขวางเพราะรู้สึกผิด
มู่เผิงไม่กล้าลงมือตอบ ทำได้เพียงแต่ป้องกัน ต่อสู้กับซางหลันรั่วจากห้องโถงลากไปจนถึงลานด้านนอก ลานนี้เชื่อมต่อกับประตูใหญ่ตระกูลซาง
เสียงการต่อสู้ที่รุนแรงทำให้ด้านนอกก็ล้วนแต่ได้ยิน
“ท่านแม่!” ซางเสวี่ยอู่ร้องขึ้นอย่างเป็นห่วง พุ่งออกไปพร้อมกับซางอี้เฉิน
การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ทุกคนพุ่งตัวออกไปหมด ไม่ว่าจะ เป็นคนของตระกูลซางหรือว่าพวกมู่เฉินก็ล้วนแต่ออกไปยืนบนลาน
“ล้อมพวกเขาเอาไว้!” ซางซุ่นหวางสั่งการเสียงเย็น คนของตระกูลซางล้อมพวกมู่เฉิน
ส่วนในตอนนี้ มู่ลั่วฟงยังตะโกนไปยังมู่เผิงว่า “มู่เผิง เจ้าอย่าได้ทำร้ายนาง!”
นี้ทำให้มู่เฉินโมโหจนตบหน้าเขาไปหนึ่งฉาดจนเลือดไหลที่มุมปาก
มู่ลั่วฟงกุมแก้ม นัยน์ตาฉายแววอำมหิตอย่างน่ากลัว แต่กลับไม่ได้ตอบสนองอะไรภายใต้อารมณ์โมโหของมู่เฉิน
รถสัตว์อสูรวิญญาณสองคัน ค่อยๆ มาหยุดลงที่หน้าตระกูลซาง
ภายในรถคันหน้า เหมยจื่อจ้งกับราชครูลงมาด้วยกัน เดินไปยังรถคันหลัง
“นายน้อย คนที่ตามหาตอนนี้อยู่ในจวนแห่งนี้” ราชครูยืนอยู่นอกรถ เอ่ยกับมู่ชิงเกอที่อยู่ในรถอย่างเคารพ
ประตูรถที่ปิดสนิทถูกเปิดออก เซวี่ยนหย่าและเสวี่ยหยา ออกมาก่อน จากนั้นก็ค่อยเป็นมู่ชิงเกอที่ก้มตัวออกมาจากข้างใน มายืนตรงหน้ารถสัตว์อสูรวิญญาณ
ด้านหลังของนางก็ยังมีเจียงหลีและซูหนวนหน่วนเดินออกมา
“ตระกูลซาง…” มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น มองแผ่นป้ายบนประตูใหญ่ พึมพำเสียงเบา
นางคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่ามู่ลั่วฟงจะอยู่ตระกูลซาง
หลุบนัยน์ตาที่เหมือนคิดอะไรบางอย่างลงแล้วมู่ชิงเกอก็ หันกายเอ่ยกับซูหนวนหน่วนว่า “เพื่อป้องกันไม่ให้เขาหนีไป ขอให้คุณหนูซูพรางตัวชั่วคราวก่อน รอให้ข้าเรียกแล้วท่านค่อยออกมา”
ซูหนวนหน่วนพยักหน้า
เจียงหลีส่งผ้าคลุมสีดำให้นาง นางยื่นมือออกไปรับ
คลุมผ้าคลุมไว้บนตัว ซ่อนรูปร่างรูปโฉมของตนเองไว้ใต้ผ้าคลุม
“ดูเหมือนว่าด้านในจะมีการต่อสู้” ทันใดนั้น เสวี่ยหยาก็ขมวดคิ้วเอ่ยออกมา การเตือนของนางทำให้ทุกคนก็ได้ยินถึงเสียงการต่อสู้ที่ดังออกมาจากด้านในตระกูลซาง
ส่วนในตอนนี้บนลานที่ถัดไปจากประตูใหญ่ ซางหลันรั่ว ยิ่งต่อสู้ยิ่งบ้าคลั่ง มู่เผิงคิดจะปัดป้องทั้งหมดก็กลายเป็นลำบากขึ้นเรื่อยๆ ภายในสถานการณ์บีบบังคับ เขาทำได้เพียงลงมือ
ความคิดเดิมก็คือสร้างระยะห่างระหว่างทั้งสอง เพื่อให้สงบใจลง ไม่ต่อสู้โดยไร้สาเหตุเช่นนี้ต่อไป
แต่ว่า เขาลงมือออกไป ซางหลันรั่วกลับไม่หลบ ยังคงพุ่งเข้ามาฆ่าเขา
ในตอนที่เขาคิดจะถอนมือก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว พลังฝ่ามืออันแข็งแกร่ง ที่เต็มไปด้วยพลังจิตได้โจมตีตรงไปยังไหล่ของซางหลันรั่ว สะท้านจนทำให้กระบี่ของนางหลุดมือ ทั้งตัวคนก็ลอยพุ่งออกไปนอกกำแพง
พริบตาเดียวก็มองไม่เห็นเงาคน
ฉากนี้ทำให้สีหน้าของมู่เผิงและมู่เฉินเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง สีหน้าของซางซุ่นหวาง ซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉิน ก็สีหน้าเปลี่ยนเช่นเดียวกัน
นอกจากพวกมู่เฉินที่ถูกองครักษ์ของตระกูลซางล้อมไว้ ไม่สามารถขยับได้แล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนแต่ไล่ตามไปด้านนอก
พวกมู่ชิงเกอที่ยืนอยู่นอกประตูตระกูลซาง เห็นเงาร่างของคนตกลงมาจากฟ้าอย่างกะทันหัน ที่สาดอยู่ในอากาศยังมีรอยเลือด
เดิมที มู่ชิงเกอก็ไม่ได้คิดจะยุ่งเรื่องคนอื่น แต่ทิศทางที่คนผู้นั้นตกลงมานั้นพอดีเป็นที่ที่ตัวเองยืนอยู่
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกทับ ในพริบตานี้ มู่ชิงเกอก็ทำได้เพียงแต่ยื่นมือออกไปรับคนที่ตกลงมาคนนั้น เข้ามาในอ้อมอก
ในเวลานี้เอง ประตูใหญ่ของตระกูลซางถูกเปิดออก กลุ่มคนพุ่งออกมา แล้วก็มองเห็นรถสัตว์อสูรวิญญาณ สองคันจอดอยู่นอกประตูและมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่นอกประตู ส่วนซางหลันรั่วที่เพิ่งจะถูกทำร้ายบาดเจ็บก็กำลังถูก ‘ชายหนุ่ม’ ชุดสีแดงคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าสุดโอบกอดไว้
ฉากนี้ทำให้คนที่พุ่งออกมาจากตระกูลซางล้วนแต่หยุดชะงักเท้า
มู่เผิงมองเห็นคนที่โอบกอดซางหลันรั่วได้อย่างชัดเจน นัยน์ตาหดตัวลง ถึงกับคุกเข่าทั้งสองข้างลง หลุดเสียงร้องออกไปว่า “นายน้อยชิงเกอ!
สีหน้าของมู่ชิงเกอเคร่งขรึม ดวงตาที่เย็นชากวาดมองไป ยังคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าทุกคน แน่นอนว่านางมองเห็นมู่เผิงและก็ได้ยินคำว่า ‘นายน้อยชิงเกอ’ ของเขาแต่ก็ไม่ได้ไปสนใจ
นางยังมองเห็นซางเสวี่ยอู่ ซางอี้เฉินแล้วก็ยังมีผู้อาวุโสสามที่เคยพบในทุ่งหญ้าอัสดง นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีคนอีกสองคน ที่นางไม่รู้จัก เพียงแต่คนหนึ่งในนั้น มีนัยน์ตาที่ดูลึกลํ้า มองนางด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยม่านหมอก
ส่วนซางหลันรั่วตอนนี้ก็ปลอดภัยดีแล้ว
นัยน์ตาของนาง จ้องไปที่ต่างหูสีม่วงข้างหูซ้ายของมู่ชิงเกอไม่กะพริบตา
นั่นเป็นอุปกรณ์มายาที่นางสร้างขึ้นเองกับมือ ทั้งยังสวมมันแอบหนีไปหลินชวน ได้รู้จักกับมู่เหลียนเฉิง แล้วก็ได้สาบานเป็นพี่น้องกับเขา ก่อนจะกลายเป็นภรรยาของเขา สุดท้ายนางยังสวมต่างหูนี้ให้กับบุตรสาวของตนเองกับมือ เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของนางนับแต่บัดนั้น
ต่างหูนี้ นางไม่ได้เห็นมา 19 ปีแล้ว!
ความคิดถึงทุกวันทุกคืน วันนี้ตอนนี้ ในที่สุดนางก็ได้พบแล้ว
“เกอเอ๋อร์…” ร้องเรียกชื่อที่พร่ำร้องอยู่ในใจมา 19 ปีออกมา ในที่สุดก็ได้เรียกออกมา
เสียงเบาๆ ข้างหูนี้ทำให้มู่ชิงเกอชะงัก นางมองไปยังนัยน์ตาที่หวั่นไหวของซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉิน ในตอนนี้ เสียงร้องเรียกออกมา นางก็เดาได้ถึงสถานะของฮูหยินที่อยู่ในอ้อมอกได้ทันที
มู่ชิงเกอเก็บมือกลับ ซางหลันรั่วตกลงบนพื้นในทันที นางนั่งอยู่บนพื้น มองมู่ชิงเกอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึงและรู้สึกผิด ส่วนมู่ชิงเกอกลับไม่มองนางแม้แต่แวบเดียว เพียงไพล่มือเอาไว้ด้านหลัง
“ท่านแม่!”
“ท่านแม่!”
ซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉินเห็นซางหลันรั่วตกลงก็รีบลงมาจากบันได พุ่งเข้ามาอยู่ข้างกายนาง พยุงนางขึ้นมาจากพื้น
มู่ชิงเกอเดินผ่านคนทั้งสาม เดินตรงไปยังประตูใหญ่ของตระกูลซางอย่างไม่มองวอกแวก คนที่ตามมาด้านหลังนางก็รีบตามการเคลื่อนไหวของนาง ท่าทางที่ดูเหมือนมองไม่เห็นนั้น ทำให้ใจของซางหลันรั่วเหมือนถูกสับเป็นชิ้นๆ เจ็บเจียนตาย
ส่วนซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินก็ไม่รู้จะตำหนิอย่างไร ทำได้เพียงแต่อยู่เคียงข้างมารดาเงียบๆ
มู่ชิงเกอเดินตัวตรงขึ้นบันไดไป ยืนอยู่ตรงหน้าของซางซุ่นหวาง คำของมู่เผิงเมื่อครู่เขาได้ยินอย่างชัดเจน และเขาก็ยังจำต่างหูบนหูข้างซ้ายของมู่ชิงเกอได้ “เจ้ากับพวกเขาเป็นพวกเดียวกันงั้นหรือ?”
ล้วนแต่แซ่มู่และก็ถูกคนของมู่ลั่วฟงเรียกว่า ‘นายน้อย’ ท่าทียังดูเคารพยิ่งกว่ากับมู่ลั่วฟงเสียอีก นี่ทำให้ซางซุ่นหวางอดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัย
เรื่องวุ่นวายในวันนี้ เป็นหลานสาวที่ไม่เคยพบเห็นหน้าของเขาคนนี้ จงใจวางแผนทำให้มารดาของตนต้องอับอายหรือไม่
“ไม่ใช่” มู่ชิงเกอมองเขา เอ่ยอย่างเรียบเฉยไม่ได้สนใจท่าทีที่แข็งกร้าวของเขาเลย จากนั้นเขาก็หันไปมองมู่เผิงที่คุกเข่าอยู่แล้วเอ่ยถามว่า “มู่ลั่วฟงอยู่ที่ไหน?”
มู่ชิงเกอมาเพื่อมู่ลั่วฟง!
ในใจของมู่เผิงเกิดเสียงก้องขึ้น พยักหน้าเอ่ยว่า “นายน้อยกับผู้อาวุโสใหญ่ล้วนแต่อยู่ด้านใน”
“ดีมาก” มู่ชิงเกอพูดออกมา แล้วก็ก้าวเดินเข้าไปในตระกูลซาง ท่าทีของนางช่างดูเหมือนกับว่าที่นี่ไม่ได้เป็นตระกูลซางแต่เป็นตระกูลมู่
ที่สำคัญก็คือ ซางซุ่นหวางที่เป็นประมุขของตระกูลกลับไม่ได้ห้ามปรามเขา
ในเวลานี้ ซางอี้เฉินปล่อยมือมารดา แล้วก็วิ่งไปหามู่ชิงเกอ
ในภายใต้ความสงสัยของเจียงหลี เขาเบียดเข้าไปข้างกายของมู่ชิงเกอ รีบพูดกับนางว่า “ลูกพี่ ไอ้สารเลวด้านในมาสู่ขอเสวี่ยอู่ไม่สำเร็จ กลับคิดจะแต่งงานกับ ท่านแม่!”
มู่ชิงเกอที่กำลังเดินไปข้างหน้า เมื่อได้ยินคำพูดของซางอี้เฉินแล้วก็หยุดชะงักเท้าในทันที
คนอื่นบางทีอาจจะสัมผัสไม่ได้ แต่ซางอี้เฉินกลับสัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบกายของมู่ชิงเกอเย็นยะเยือกขึ้นมาก ทั้งยังมีไอสังหาร
ยอมรับไม่ยอมรับมารดานั้นเป็นอีกเรื่อง
แต่มีคนมาสู่ขอซางหลันรั่วนี่เป็นอีกเรื่อง!
มู่เหลียนเฉิงตายหรือไม่ตายยังไม่แน่นอน จะสามารถยอมให้คนสวมหมวกเขียว*ให้เขาได้อย่างไร?
เพียงแค่หยุดชั่วคราว จากนั้นมู่ชิงเกอก็เดินไปด้านในต่อ ซางอี้เฉินไม่เข้าใจว่านางคิดอย่างไรกันแน่ ทำได้แต่เพียงตามไป
ซางหลันรั่วจับมือของซางเสวี่ยอู่แน่น นํ้าตาไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ พึมพำพูดไม่หยุดว่า “นางกำลังโทษข้า…นางโทษข้า…ข้าไม่ใช่แม่ที่ดี…ข้าทำให้นางต้องอดสู…ข้าไม่มีหน้าไปพบนาง…”
“ท่านแม่ ท่านอย่าได้เป็นเช่นนี้” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยปลอบอย่างปวดใจ
แต่ซางหลันรั่วยังคงดำดิ่งอยู่กับภาพใบหน้าของบุตรสาว ยากที่จะควบคุมตัวเอง
“พวกเราเข้าไปกันก่อน พี่สาวจะต้องสั่งสอนเจ้าคนหน้าไม่อายนั้นแทนท่านแม่อย่างแน่นอน” ซางเสวี่ยอู่ พยุงซางหลันรั่วที่ดูไร้จิตวิญญาณขึ้นแล้วก็เดินเข้าไปในตระกูลซาง
คนที่ตามมู่ชิงเกอมา คนที่ไล่ตามซางหลันรั่วออกไป ล้วนแต่เดินกลับมา
มู่เผิงก็ลุกขึ้นมาจากพื้น รีบตามไปเช่นเดียวกัน
ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเมื่อครู่ตนเองถึงได้คุกเข่าเช่นนั้นต่อมู่ชิงเกอ ‘หรือว่าในใจของข้าก็รู้สึกแล้วว่านายน้อยมู่ชิงเกอถึงเป็นเจ้านายของตระกูลมู่ตัวจริงงั้น หรือ?’
มู่เผิงถูกความคิดของตนเองทำให้ตกใจ เขาสั่นหัว คิดจะเขย่าเอาความคิดที่ไม่สมควรนี้ออกไปจากหัว ตั้งสติแล้วเขาก็เดินไปยังทิศทางที่พวกมู่เฉินและมู่ลั่วฟงอยู่
มู่ชิงเกอเดินไปด้านหน้าสุด การปรากฎตัวตรงหน้าของมู่เฉินและมู่ลั่วฟงอย่างกะทันหันก็ทำให้พวกเขารู้สึกเหนือความคาดหมาย
มู่ลั่วฟงก็ยิ่งหลุดเสียงร้องออกไปเมื่อมองเห็นเขาเพียงแค่แวบเดียว “มู่ชิงเกอเป็นเจ้า!”
ปฏิกิริยาของเขา ดึงดูดให้มู่เฉินสงสัย แต่กลับไม่ได้ถามมาก เขามองไปทางมู่ชิงเกอ กุมสองมือคำนับนาง
“นายน้อยชิงเกอ คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกันที่นี่ ช่างบังเอิญจริงๆ”
“ไม่บังเอิญ ข้าตั้งใจมาหาเขา” นํ้าเสียงของมู่ชิงเกอดูเคร่งขรึม ชี้มือไปที่มู่ลั่วฟง
ส่วนในตอนที่มู่ลั่วฟงร้องชื่อของมู่ชิงเกอออกมานั้น ซูหนวนหน่วนที่อยู่ในชุดคลุมและเดินตามหลังมู่ชิงเกอมาตลอดก็ร่างกายสั่นสะท้านขึ้น
เสียงเดียวกันนี้ คำเดียวกันนี้ ทำให้นางระลึกไปถึงวันที่นางถูกล่วงเกินอย่างตํ่าช้า เจียงหลีที่อยู่ข้างกายนาง รับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาของนาง รีบพูดเบาๆ ข้างหูของนางว่า “อย่าเพิ่งบุ่มบ่ามไป ชิงเกอมีแผนการ อดทนสักครู่”
ซูหนวนหน่วนได้ยินถึงคำๆ นี้แล้วก็พยายามข่มไอสังหารในใจลง พยักหน้าไปทางเจียงหลี
ความเคลื่อนไหวเล็กๆ นี้ไม่ได้ทำให้คนอื่นสังเกต น่าจะพูดว่า คนในที่นี่ตอนนี้ ล้วนแต่เบนความสนใจไปที่มู่ชิงเกอจนหมด
รูปลักษณ์ภายนอกของนางแต่เดิมก็ดูโดดเด่นทำให้ยากที่จะละเลยอยู่แล้ว ยังมีท่วงท่าที่องอาจนั้นอีกที่โดดเด่นจนทำให้บรรดาผู้อาวุโสของตระกูลซาง รวมทั้งซางซุ่นหวางล้วนแต่อดไม่ได้ที่จะสังเกตจ้องมอง
ที่สำคัญที่สุดก็คือนาง นางดูเหมือนว่าจะมาเพราะกลุ่มคนที่บุกมาตอนเช้ากลุ่มนั้น
คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้มู่เฉินมองไปที่มู่ลั่วฟง
ส่วนสีหน้าของมู่ลั่วฟงก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง นัยน์ตากลอกไปมารีบเอ่ยว่า “เจ้าหาข้า? เจ้าหาข้าทำไม? ระหว่างข้ากับเจ้าไม่มีอะไรจะต้องพูดกัน!”
ปฏิกิริยาของเขาทำให้มู่เฉินเกิดความสงสัย
มู่ชิงเกอคลี่ยิ้มเย็นขึ้นมา “ไม่มีอะไรต้องพูดกันงั้นหรือ? พูดเช่นนี้ เรื่องชั่วร้ายที่เจ้าทำแล้วใส่ความข้าที่เมืองอันม๋อเฉิงก็ไม่ต้องอธิบายแล้วสิ?”
“อะไรนะ!” มู่เฉินเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง สายตาที่มองมู่ลั่วฟงดุจกระบี่คม
มู่เผิงก็พุ่งเข้ามาไปยังมู่ลั่วฟงแล้วเอ่ยว่า “นายน้อย ทำอะไรลงไป?”
สายตาของทั้งสองคนทั้งยังมีนํ้าเสียงทำให้มู่ลั่วฟงโมโห เขาเอ่ยอย่างโมโหว่า “พวกเจ้าสองคนทำอะไร? สรุปแล้วข้าเป็นนายน้อยของพวกเจ้าหรือเขาเป็นนายน้อยของพวกเจ้ากันแน่? พวกเจ้าจะเชื่อคำพูดของเขาหรือว่าข้า?”
การโต้เถียงของเขาไม่ได้ทำให้มู่เฉินกับมู่เผิงรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยแต่กลับยิ่งเผยความคิดในใจของเขาออกมา มู่เฉินส่ายหน้าอย่างผิดหวัง เขามองไปยังมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยถามว่า “นายน้อยชิงเกอ ที่นี่เป็นตระกูลซาง ไม่สู้พวกเราเปลี่ยนเวลาและสถานที่แล้วก็พูดเรื่องนี้ให้ชัดเจน?”
“ไม่จำเป็น” มู่ชิงเกอปฏิเสธ นางไม่เห็นแก่หน้ามู่เฉิน มองไปทางซางซุ่นหวางเอ่ยว่า “ท่านนี้คือประมุขตระกูลซางใช่หรือไม่? วันนี้ขอยืมสถานที่ของตระกูลซาง สะสางบุญคุณความแค้นส่วนตัวเสียหน่อย”
ซางซุ่นหวางมองนาง นัยน์ตาที่ลึกลํ้าแต่กระจ่างชัดนั้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ในที่สุดก็พยักหน้า
“วันนี้เจ้าล่วงเกินตระกูลซาง แล้วยังคิดจะหนีไปอีกงั้นหรือ?” ผู้อาวุโสสามก้าวออกมาในเวลานี้ ชี้นิ้วไปที่มู่ลั่วฟงแล้วเอ่ย
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วยิ้มแล้วพูดติดตลกว่า “เอ๋? ที่แท้มู่ลั่วฟงก็ยังรนหาที่ตายมาล่วงเกินตระกูลซางด้วย เช่นนั้นวันนี้ก็คิดบัญชีทั้งสองให้ชัดเจนเถอะ”
“เรื่องของตระกูลซางเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าด้วย?” มู่ลั่วฟงตะโกนใส่มู่ชิงเกออย่างไม่พอใจ
มู่ชิงเกอยิ้มเย็น “เรื่องของตระกูลซางไม่เกี่ยวข้องกับข้าจริงๆ แต่ทว่าขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเจ้า ข้าก็ล้วนแต่สนใจที่จะยื่นมือเข้ายุ่ง”
สีหน้ามู่ลั่วฟงดำทะมึนลง และก็ไม่รู้ว่าหวาดกลัวหรือโมโหมู่ชิงเกอ ทันใดนั้น เขาชี้นิ้วใส่ซางอี้เฉินที่ยืนอยู่ข้างมู่ชิงเกอไม่ไกล ตะโกนว่า “ข้ารู้แล้ว! พวกเจ้าสองคน เป็นพวกเดียวกัน เมื่อครู่ข้าเห็นพวกเจ้าสองคนสุมหัวกันวางแผน! พวกเจ้าต้องคิดจะทำร้ายข้าอย่างแน่นอน!”
พูดแล้วเขาก็ตะโกนไปที่มู่เฉินว่า “ท่านลุง มู่ชิงเกอจะต้องร่วมมือวางแผนกับตระกูลซางดีแล้วอย่างแน่นอน คิดจะลอบทำร้ายข้า เช่นนั้นก็สามารถแย่งทุกอย่างไปจากข้าแล้ว!”
มู่ชิงเกอมือไพล่หลังเดินไปทางมู่ลั่วฟง การเข้ามาใกล้ของนาง ทำให้องครักษ์ของฝั่งมู่เฉินเคร่งเครียดขึ้นมา นางกลับยิ้มเยาะออกมา เอ่ยกับมู่ลั่วฟงว่า “มู่ลั่วฟง ในตัวของเจ้ามีจุดไหนกันที่คู่ควรให้ข้าคิดวางแผนปองร้าย? อย่าลืมล่ะว่าเจ้าเป็นผู้ที่แพ้ต่อข้า”
นางหมายถึงการเลือกของเซวี่ยนหย่า
พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ลีหน้าของมู่ลั่วฟงยิ่งไม่น่าดูยิ่งขึ้น สายตาที่มองไปทางเซวี่ยนหย่าฉายแววแค้นเคือง ส่ว เซวี่ยนหย่าก็ไม่แม้จะสนใจ
“นี่เป็นคนที่ฝั่งโลกแห่งยุคกลางเลือกงั้นหรือ?” ราชครูมองเงียบๆ เมื่อมองเห็นท่าทางของมู่ลั่วฟง ก็ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง
เสวี่ยหยาเอ่ยในตอนนี้ว่า “นี่ก็ได้ยืนยันแล้วว่าพวกเราเลือกได้ถูกต้องตั้งแต่แรก” ราชครูพยักหน้า
“นายน้อยชิงเกอ เป็นเรื่องอะไรกันแน่ หากว่าลั่วฟงผิดไป วันนี้ข้าจะต้องให้เขาขอโทษใหhได้” มู่เฉินเอ่ยปาก เขาไม่คิดอยากจะล่วงเกินมู่ชิงเกอมากเกินไป ที่สำคัญก็คือ เมื่อมู่ชิงเกอและมู่ลั่วฟงยืนอยู่ด้วยกัน เขาก็ยิ่งเชื่อในคำพูดของมู่ชิงเกอมากกว่า ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นมาเอง และก็ไม่สมควรมี แต่ว่าเขาก็เป็นเหมือนกับมู่เผิงที่เคารพมู่ชิงเกอ เป็นการกระทำที่ไม่สมควรมี!
**สวมหมวกเขียว – สวมเขา / เล่นชู้
สายตาของมู่ชิงเกอตกไปที่มู่ลั่วฟง เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่เย็นชาว่า “วันนั้นในเมืองอันม๋อเฉิง หลังจากที่พวกเจ้าจากไป ภายในเมืองก็เกิดเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งขึ้น ตระกูลซุและเหยียนสั่งการให้ทั้งเมืองค้นหาคนที่มีชื่อว่ามู่ชิงเกอ”
คำพูดของนางทำให้นัยน์ตาของมู่เฉินและมู่เผิงหดตัวลง ฉายแววสงสัย
พวกเขาล้วนแต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ตระกูลซูและเหยียนหามู่ชิงเกอทำไม
ส่วนดวงตาของมู่ลั่วฟงก็ยิ่งฉายแววสับสน มืดทะมึนขึ้นมา เขารีบเอ่ยอย่างร้อนรนว่า “พวกเขาต้องการหาเจ้า แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกข้าด้วย? ตัวเจ้าเองก็พูดแล้วว่าในตอนนั้นพวกข้าจากไปแล้ว”
ประโยคนี้ทำให้มู่เฉินกับมู่เผิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย มองมู่ชิงเกอรอคำพูดต่อไปของนาง
คนของตระกูลซางก็นิ่งเงียบฟัง มองเรื่องราวดำเนินต่อไป
ซางหลันรั่วขบริมฝีปากแน่น สายตามองไปยังมู่ชิงเกอไม่กะพริบ
ส่วนซางเสวี่ยอู่ก็มองมู่ชิงเกอที่เหมือนคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าคิดอะไร
“แปลกหรือไม่? ในตอนนั้นข้าก็แปลกใจ ช่วงเวลาที่อยู่ในเมืองอันม๋อเฉิงนั้น ข้าอยู่แต่ในโรงเตี๊ยมมาโดยตลอด แล้วทำไมอยู่ดีๆ ตระกูลซูและเหยียนถึงได้ตามหาข้าอย่างใหญ่โตเช่นนั้น” ภายในนัยน์ตากระจ่างชัดของมู่ชิงเกอฉายแววดูแคลน
ความดูแคลนนี้ทำให้มู่เฉินและมู่เผิงรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เพราะดูเหมือนกำลังหมายถึงพวกเขา
ทั้งร่างของมู่ชิงเกอดูเย็นยะเยือกดุจนํ้าแข็ง มุมปากเผยรอยยิ้มเยาะ เอ่ยต่อว่า “จากนั้น ข้าก็ไปตระกูลซูด้วยตัวเอง ถึงได้รู้ว่า ที่แท้ก่อนที่จะปิดเมืองก็คือในก่อนที่พวกเจ้าจะจากไป คุณหนูที่กำลังจะแต่งงานของตระกูลซูถูกคนสารเลวล่วงเกิน ส่วนคนที่ล่วงเกินนางได้ทิ้งชื่อของข้าไว้”
อะไรนะ!
มู่ชิงเกอพูดที่มาของเรื่องออกมา คนที่ได้ฟังไม่เพียงแต่คนของฝั่งมู่เฉิน แม้แต่คนของฝั่งตระกูลซางก็ดวงตาหดลง
ไม่ว่าจะเป็นเวลาอะไร คนที่ทำเรื่องเช่นนี้ออกมาก็ล้วนแต่ทำให้คนขบเขี้ยวกัดฟัน
ทำลายความบริสุทธิ์ของเจ้าสาว แล้วใส่ร้ายให้คนอื่น! คนที่สามารถทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ออกมาได้นั้นนิสัยจะต้อง…เหอะ! ยังมีคำใดจะพูดได้อีก?
คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้คนที่อยู่ในนี้ทุกคนล้วนแต่ปรากฎสายตาดูแคลนออกมา
ซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉินมองมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า จะเกิดเรื่องเช่นนี้กับพี่สาวของตนเอง
เรื่องราวแม้ว่าจะไม่สามารถเป็นมู่ชิงเกอทำอย่างแน่นอน แต่ถูกคนเลวใส่ร้ายเช่นนี้ เกรงว่าคงยากในการแก้ต่างไม่น้อย!
สีหน้าของซางหลันรั่วยิ่งซีดขาว นัยน์ตาฉายแววเกรี้ยวกราด
บุตรสาวของนางกลับได้รับความอดสูถึงขนาดนี้!
ไม่ต้องคิดมาก นางก็สามารถตัดสินได้ว่า ในที่นี่ใครกัน ที่ใส่ร้ายบุตรสาวของนางเช่นนี้ได้ ชั่วขณะนั้น นางก็มองไปยังมู่ลั่วฟงด้วยไอสังหารที่เข้มข้นขึ้น!
“นี่…” มู่เฉินถูกคำพูดของมู่ชิงเกอทำให้ตกใจ หันไปมองมู่ลั่วฟงโดยไม่ตั้งใจแวบหนึ่ง
ส่วนมู่ลั่วฟงก็รับรู้ได้ว่า สายตาของมู่เฉินมองมา รีบแสดงท่าทางไร้เดียงสาบริ สุทธิ์เพื่อซ่อนจิตใจที่ร้อนรนในทันที
มู่เฉินหันกลับ เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “นายน้อยชิงเกอ เป็นใครกันแน่ที่กล้าทำเช่นนั้น?”
“ข้าก็คิดอยากจะรู้เช่นเดียวกัน” มู่ชิงเกอเหลือบมองไปยังมู่ลั่วฟงแล้วยิ้มเยาะ “ข้าสงสัยมากว่าข้าเพิ่งไปเมืองอันม๋อเฉิงเป็นครั้งแรก ยังไม่เคยไปใกล้ชิดกับใคร แล้วเป็นใครกันถึงได้รู้ชื่อของข้าได้ อีกทั้งยังทำเรื่องเช่นนี้มาใส่ร้ายข้า ระหว่างข้ากับเขามีความแค้นอะไรต่อกัน”
คำพูดของนางไม่ได้มีสักคำที่พูดถึงมู่ลั่วฟง
ตีความหมายในคำพูดกลับทำให้พวกมู่เฉินและมู่เผิงได้รู้สึกว่าคนที่นางพูดถึงก็คือมู่ลั่วฟง!
มู่เฉินรู้สึกว่าตนเองคอแห้งผากแต่เดิมเขาก็ไม่ใช่คนพูดเก่ง จึงถูกคำพูดเหล่านี้ของมู่ชิงเกอทำให้ไม่รู้จะพูดโต้ตอบอย่างไรดี
ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็ตะคอกเสียงดังออกมา “มู่ลั่วฟง!”
เสียงนี้ดุจดั่งสายฟ้าฟาด สะท้านไปทั้งจิตวิญญาณของทุกคน และก็สะท้านจนเกือบทำให้มู่ลั่วฟงล้มลงกองกับพื้น
เขารีบปลอบใจที่สับสนของตนเอง ร้องตะโกนใส่มู่ชิงเกอว่า “มู่ชิงเกอเจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้าคิดว่าเรื่องเหล่านี้ เป็นข้าทำงั้นหรือ? เจ้ามีหลักฐานอะไร เจ้าเอาออกมา! มิเช่นนั้นก็อย่าคิดผลักความผิดมาให้ข้า!”
การโต้เถียงของเขาทำให้คนทางฝั่งมู่ชิงเกอล้วนแต่ยิ้มเยาะดูแคลน
ส่วนมู่เฉินกลับระลึกความทรงจำ ในฉากตอนก่อนที่จะออกจากเมืองอันม๋อเฉิง
เขาจำได้ว่า ในวันที่จะจากไปวันนั้น มู่ลั่วฟงไม่ได้อยู่ในโรงเตี๊ยม เขารอเขาในอาคารรับรองแต่กลับมองเห็นเขาวิ่งกลับมาด้วยท่าทางดูร้อนรนและเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย
เมื่อมองเห็นตนเองอย่างกะทันหัน มู่ลั่วฟงในตอนนั้นก็ดูเหมือนว่าคิดอยากจะหลีกหนี
ส่วนในตอนที่เขาพูดว่าจะจากไป เขาก็รับรู้ได้ถึงว่ามู่ลั่วฟงมีท่าทางที่ดูโล่งใจมาก
วันนี้เวลานี้ มู่ชิงเกอมาถามเอาผิด ปฏิกิริยาของมู่ลั่วฟงก็ยิ่งดูเหมือนคนผิด
หลังจากที่ประโยคนั้นของมู่ลั่วฟงหลุดออกไป นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็ฉายแววเยียบเย็น เอ่ยอย่างดูถูกว่า “เจ้าจะร้อนรนทำไม? ถ้าหากว่าไม่ใช่เจ้าทำแล้วเหตุใดจึงต้องรีบร้อนแก้ต่างให้ตนเองด้วย? เจ้าน่าจะเป็นเหมือนกับทุกคนแสดงท่าทางสงสัยไม่ใช่หวาดกลัว”
“เจ้า…ตาข้างไหนของเจ้าเห็นว่าข้ากลัว?” มู่ลั่วฟงยืดอกขึ้น พยายามทำให้ตัวเองดูองอาจ
“ไม่กลัวงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ พึมพำออกมา ทันในนั้นนางก็ชี้นิ้วไปอีกทาง เอ่ยกับมู่ลั่วฟงว่า “เช่นนั้น เจ้าดูว่านี่เป็นใคร!”
ตามมากับคำพูดของนาง คนที่อยู่ในชุดคลุมที่ถูกนางชี้ก็เอาหมวกที่ปิดหน้าของตนออก เผยโฉมหน้าของตนเองออกมา
ภายในนัยน์ตาของนางฉายแววแค้นเคืองที่ไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไร มีความอับอาย แล้วก็ยังมีไอสังหาร
รูปโฉมของนางไม่ได้ทำให้คนอัศจรรย์ใจ อย่างน้อยก็ในเวลานี้ เพราะใบหน้าของหญิงสาวทุกคนที่นี่ล้วนแต่เหนือกว่านางไปไกลมาก
แต่ทันทีที่นางปรากฎตัว ก็ทำให้นัยน์ตาของมู่ลั่วฟงหดตัวลง เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ราวกับว่าเห็นผี
ในตอนนี้ เสียงของมู่ชิงเกอก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “มู่ลั่วฟง หากว่าในใจของเจ้าไม่ได้มีความผิดปิดบัง แล้วเหตุใดเมื่อพบคุณหนูซูถึงได้หวั่นไหวถึงขนาดนี้?”
คำพูดของนาง ดึงดูดสายตาของทุกคนให้มองไปที่มู่ลั่วฟงได้สำเร็จ
ในใจของทุกคนล้วนแต่ตกตะลึง
พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าหญิงที่ถูกทำร้ายจะอยู่ที่นี่ตลอดเวลา
ส่วนปฏิกิริยาของมู่ลั่วฟงก็ยิ่งแสดงทุกอย่างอย่างชัดเจน ถ้าหากว่าในตอนนี้เขาพูดอีกว่าไม่รู้จักคนหนูซู หรือพูดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา คงมีแต่คนโง่ที่จะเชื่อ! มู่เฉินกับมู่เผิงมองไปยังมู่ลั่วฟง นัยน์ตาฉายแววไม่อยากจะเชื่อและปวดใจ
มู่ลั่วฟงคือคนที่พวกเขาลำบากหากลับมา ทั้งยังตั้งใจเลี้ยงดูขึ้นมาเพื่อเป็นผู้สืบทอด มาตอนนี้กลับทำเรื่องเช่นนี้ได้ ช่างต่ำช้าไม่น่าให้อภัยจริงๆ!
“ลั่วฟง เจ้า…” มู่เฉินอดทนต่อความปวดใจ เอ่ยกับมู่ลั่วฟง
มู่ลั่วฟงชะงัก ตื่นขึ้นจากอาการตะลึงที่พบซูหนวนหน่วน เขารีบพูดแก้ตัวอย่างร้อนรนสับสน “ท่านลุง พวกเขาใส่ร้ายข้า! ข้าบริสุทธิ์ พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกันต้องการให้ข้าตาย! ท่านอย่าได้เชื่อพวกเขา ท่านต้องเชื่อข้า!”
“ใส่ร้ายเจ้าอย่างนั้นหรือ? เหตุใดพวกเขาต้องใส่ร้ายเจ้าด้วย?” มู่เฉินเอ่ยอย่างปวดใจ
ตอนที่มู่ลั่วฟงมองเห็นซูหนวนหน่วนนั้น ปฏิกิริยาขณะที่ไม่รู้ตัวก็ดูชัดเจนยิ่งกว่าที่มู่ชิงเกอพูดออกมาเสียอีก มู่เฉินไม่ใช่คนโง่จะดูไม่ออกได้อย่างไร?
คิดเชื่อมโยงถึงเหตุและผล เขาก็หาพบแค่เพียงแรงจูงใจที่มู่ลั่วฟงจะใส่ร้ายมู่ชิงเกอ หาแรงจูงใจที่มู่ชิงเกอจะใส่ร้ายมู่ลั่วฟงไม่พบ
ผู้ชนะจะใช้วิธีที่ทำลายชื่อเสียงของตนเองเพียงเพื่อจะใส่ ร้ายคู่แข่งคนหนึ่งได้อย่างไรหากไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่บีบบังคับ?
ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับมู่ชิงเกอมา ความมั่นใจและความแข็งแกร่งของเขาล้วนแต่ทำให้มู่เฉินรู้สึกว่าเขาไม่ได้ถือเอามู่ลั่วฟงอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
ลองถามดู ใครกันจะวางแผนที่เปลืองสมองเช่นนี้กับ ศัตรูที่ไม่ได้ถือมาอยู่ในสายตา?
กลับกัน มู่ลั่วฟงถูกกดดันเมื่อเผชิญหน้ามู่ชิงเกอ ทั้งยังไม่พอใจกับการตัดสินใจเลือกของเซวี่ยนหย่า ทำให้ในใจก็ไม่พอใจมู่ชิงเกออยู่แล้ว เขานั้นมีแรงจูงใจในการใส่ร้ายมู่ชิงเกอ
ในเมื่อเป็นคู่แข่งกันก็เป็นปกติที่กดดันกันและกัน แต่ว่า สิ่งที่ทำให้มู่เฉินยากที่จะยอมรับก็คือ มู่ลั่วฟงได้ใช้วิธีที่ต่ำช้าเลวทรามถึงขนาดนั้น
คนเช่นนี้ไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลมู่!
“มู่ชิงเกอ! เหตุใดเจ้าจึงมาใส่ร้ายข้า? เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นคนทำ เห็นได้ชัดว่าเจ้าล่วงเกินคุณหนูซูที่ป่าต้นกกในเมือง แต่กลับมาใส่ร้ายข้า!”
คำพูดของมู่ลั่วฟงดึงดูดให้เกิดเสียงครางขึ้นมา
สีหน้าของซูหนวนหน่วนเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
มู่ชิงเกอกลับยิ้มอย่างขบขันดูเยาะเย้ยขึ้นมา “ไม่ใช่เจ้า แล้วเหตุใดจึงจำสถานที่ได้ชัดเจนถึงขนาดนั้น?”
มู่ลั่วฟงชะงัก เบิกตากว้าง จนแทบจะถลนออกมา
ซูหนวนหน่วนกัดฟัน มองไปยังมู่ลั่วฟงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้นและไอสังหาร “แม้แต่คุณชายมู่ยังไม่รู้สถานที่ที่เกิดเรื่องกับข้า แล้วเหตุใดเจ้าถึงรู้ได้? อีก อย่าง เสียงของเจ้า ชั่วชีวิตนี้ข้าก็ไม่มีทางลืมได้! เป็นเจ้า เป็นเจ้าที่ล่วงเกินข้า ทำลายข้า!”
“ไม่! ไม่ใช่ข้า! ข้า…ข้าเพียงแค่บังเอิญผ่านไปที่นั่น แล้วมองเห็นเรื่องทั้งหมด!” มู่ลั่วฟงหาของอ้างที่ดีให้ตัวเอง
“เจ้าพูดโกหก! เขาไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นได้!” เพียงแต่ว่าเสียงของเขาเพิ่งจะหลุดออกไป อีกเสียงหนึ่งที่อยู่ด้านข้างก็สอดขึ้นมา คัดค้านคำแก้ตัวของเขา
เสียงนี้ดึงดูดสายตาของมู่ชิงเกอและก็ทำให้ทุกคนมองไปที่นาง
ซางหลันรั่วสีหน้าซีดขาวถูกซางเสวี่ยอู่พยุง ร่างกายสั่นสะท้าน นัยน์ตาฉายแววอำมหิตมองดูมู่ลั่วฟง คำพูดเมื่อครู่เป็นนางพูดออกไป
สายตาของมู่ชิงเกอฉายแววเย็นชา มองไปทางนาง เอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ขอบคุณฮูหยินท่านนี้ที่ช่วยข้าพูด แต่ว่าเรื่องของข้า ข้าชอบที่จะจัดการด้วยตนเอง ขอฮูห ยินอย่าได้ยื่นมือเข้าแทรก”
ในใจของซางหลันรั่วเกิดความเจ็บปวด นํ้าเสียงที่ดูเย็นชาเหินห่างของบุตรสาวเหมือนกับไม่อยากจะเกี่ยวข้องอะไรกับนางเลยแม้แต่น้อย…