Skip to content

พลิกปฐพี 282

ตอนที่ 282

สิ่งที่ข้าต้องการคือชีวิตของเจ้า!

หลายปีที่ผ่านพ้น จิตใจของซางหลันรั่วรับรู้ถึงความเจ็บปวดกัดกินหัวใจขึ้นอีกครั้ง

ถึงขั้นที่ว่าทำให้นางปวดใจยิ่งกว่าตอนที่นางได้รับข่าวสามีเสียชีวิตในสงครามในปีนั้นเสียอีก รอคอยมา 19 ปี ในที่สุดก็ได้พบกับลูกสาวที่คิดถึงอยู่ทุกเช้าคํ่า ทว่ากลับค้นพบในบัดดลว่า ที่แท้แล้ว…ตัวนางในสายตาของลูกสาวนั้นเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น

‘เรื่องของข้า ข้าชอบกับการจัดการด้วยตนเอง’

คำพูดของมู่ชิงเกอ สะท้อนอยู่ข้างหูของซางหลันรั่วเนิ่นนาน คล้ายกับเป็นธนูแหลมคมทะลุอกนางเป็นหมื่นดอก ‘นางกำลังตำหนิที่ข้าไม่แยแสมาหลายปีใช่หรือไม่? นางกำลังบอกข้าว่า นางในตอนนี้ไม่ใช่เด็กที่ชอบตามติดมารดาผู้นั้นแล้วใช่หรือไม่?’

ซางหลันรั่วขยำชายเสื้อตัวเอง จับไว้แน่นสุดแรงจนกระดูกข้อนิ้วเริ่มเป็นสีขาว

นางกัดริมฝีปากแน่นจนปากแตกเลือดซึม แต่นางกลับไม่รู้สึกอะไร เพียงแต่จ้องมองไปที่มู่ชิงเกอด้วยความละอายใจ

“พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ มู่ลั่วฟงเจ้าออกมาเถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ยกับมู่ลั่วฟง มู่ลั่วฟงรู้สึกหนาวสันหลังขึ้นทันที เอ่ยกับเขาว่า “เจ้า คิดจะทำอะไร?”

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ “ทำไมหรือ? เรื่องที่ตนเองเป็นผู้ก่อ ก็คิดจะให้มันจบๆ กันไปอย่างนี้หรือ?”

“ไม่! ข้าไม่ได้ทำ!” มู่ลั่วฟงปฏิเสธอย่างอ่อนระโหยโรยแรง เวลานี้หลังจากที่ซูหนวนหน่วนปรากฎตัวขึ้น การเล่นลิ้นของเขา ความหนักแน่นของเขาก็เปลี่ยนไปทำให้ผู้คนดูหมิ่น

“ลั่วฟง เจ้าบอกความจริงแก่ข้ามา เจ้าได้ทำเรื่องที่ตํ่าช้าเลวทรามนี้หรือไม่? ความปริลุทธิ์ของคุณหนูซูถูกเจ้าทำให้เปื้อนมลทินใช่หรือไม่?” มู่เฉินบริภาษด้วยความ โกรธ

เขาผิดหวังอย่างมาก ผิดหวังจนไม่รู้ว่าจะไปด่าว่ามู่ลั่วฟงอย่างไร

“ท่านลุง ท่านต้องเชื่อข้า…” แววตามู่ลั่วฟงหลุกหลิก จนถึงขั้นไม่กล้ามองมู่เฉิน

“เจ้ามองตาข้าแล้วพูดออกมา!” มู่เฉินตะคอกใส่เขา นํ้าเสียงดุดันของเขาทำให้สุดท้ายแล้วมู่ลั่วฟงกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมามอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถควบคุมอาการกินปูนร้อนท้องในสายตาของเขาได้

มู่เฉินจับอาการกินปูนร้อนท้องนี้ได้ ทำให้เขาเข้าใจเรื่องราวความเป็นจริง

เขาเอ่ยด้วยความปวดใจ “หากเจ้าเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดนี้ วันนี้เจ้าก็ขอรับโทษกับนายน้อยชิงเกอต่อหน้าพวกเรา จะต่อยตีหรือจะลงโทษ เจ้าไม่อาจขัดขืนได้ ส่วนคุณหนูซูผู้นี้ข้าจะเป็นประธานให้เจ้าตบแต่งนาง ต่อจากนี้เป็นต้นไปต้องดูแลนางรักเดียวใจเดียว ไม่ทำให้ผิดหวัง มิฉะนั้นแล้วข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่”

“อะไรนะ! ท่านลุงท่านให้ข้าก้มหัวให้มู่ชิงเกอ? แล้วยังให้ข้าตบแต่งหญิงแปดเปื้อนนี่น่ะหรือ?” มู่ลั่วฟงเอ่ยด้วยความตกใจ

“เจ้าล้มเลิกความคิดที่จะให้ข้าแต่งกับศิษย์ไร้ยางอายที่ทำลายความบริสุทธิ์ของข้าไปได้เลย ข้าต้องการเพียงฆ่าเขาด้วยมือของข้าเอง แก้แค้นให้ตัวเอง!” หลังจากที่ ซูหนวนหน่วนได้ยินสิ่งที่มู่เฉินกล่าวออกมา ก็เอ่ยปฏิเสธ ด้วยสองตาแดงกํ่า

ทั้งสองคนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ส่วนคำพูด ‘หญิงแปดเปื้อน’ ของมู่ลั่วฟงนั้นเกือบจะทิ่มแทงนางจนบาดเจ็บสาหัสมีแผลไปทั้งตัว จนแทบทนไม่ไหวอยากจะพุ่งเข้าไปกัดกระชากเนื้อตัวของเขาเป็นชิ้นๆ

มู่ชิงเกอยิ้มเย็น “มู่เฉิน วิธีการแก้ไขปัญหาของเจ้า ออกจะง่ายดายไปหรือไม่?”

ในสายตามู่เฉินฉายความดิ้นรนขึ้นชั่วขณะ เอ่ยกับมู่ลั่วฟงว่า “เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้! เรื่องมาถึงตอนนี้ เจ้ายังจะพูดอะไรอีก?”

พูดไป เขาก็คว้ามือมู่ลั่วฟงขึ้นมา เอ่ยบอกกับมู่ชิงเกอว่า “วันนี้ ข้าจะตัดมือเขาข้างหนึ่งเป็นการไถ่โทษให้นายน้อยชิงเกอ”

เขาต้องการรักษาชีวิตของมู่ลั่วฟงไว้ แต่ว่ามู่ลั่วฟงกลับไม่รูถึงความลำบากใจของเขาเลย

“ท่านลุง ท่านเสียสติไปแล้วหรือ! ท่านตัดมือของข้าไม่ได้นะ ท่านตัดมือข้าแล้วข้าจะฝึกพลังยุทธได้อย่างไร? จะนำพาตระกูลมู่กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งได้อย่าง ไร?” มู่ลั่วฟงเอ่ยด้วยความหวาดกลัว ดิ้นรนขัดขืนสุดกำลัง อยากจะสะบัดมือตนเองออก

มู่เฉินหลับตาด้วยความเจ็บปวด

มู่ลั่วฟงทำความผิดร้ายแรงถึงเพียงนี้ ยังจะพูดเรื่องนำพาตระกูลมู่กลับมารุ่งเรืองอะไรอีก? รักษาชีวิตของเขาไว้ ก็ถือว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์หลายปีที่ผ่านมาแล้ว การช่วงชิงตำแหน่งนายน้อยตระกูลมู่ ตัวมู่ลั่วฟงไม่มีคุณสมบัติแล้ว ในจุดนี้มองไม่ออกหรืออย่างไร?

พวกเขาที่เป็นลูกหลานตระกูลมู่เองก็ไม่สามารถผลักดันผู้ที่เสื่อมเสียขึ้นนั่งตำแหน่งนายน้อยได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขาเทียบอะไรกับมู่ชิงเกอที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ได้เลย

“มู่เฉิน! เจ้ากล้าทำผิดต่อเบื้องสูงหรือ? อย่าลืมว่าข้าเป็นนายของเจ้า! เจ้าไม่ปกป้องข้า คิดไม่ถึงเลยว่ายังจะร่วมมือกับคนนอกทำร้ายข้า เจ้าไม่ละอายใจต่อข้า หรือ? ไม่ละอายใจต่อตระกูลมู่หรือ? ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจมาตั้งแต่แรกแล้ว…พวกเจ้าถูกใจเจ้านั่น ไม่เห็นความสำคัญของข้าแล้วใช่ไหม? ตอนนี้เลยอยากที่จะให้ข้าตาย จากนั้นก็เปลี่ยนข้างไปฝั่งเขาใช่ไหม? เหอะ พวกเจ้าล้วนเป็นบ่าวที่ทรยศหักหลังนาย ตระกูลมู่อะไร? ความจงรักภักดีอะไร? ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล ทั้งเพ!7‘ มู่ลั่วฟงดิ้นรนขัดขืนไม่หยุด ในสภาวะร้อนรน จึงด่ากราดออกมาอย่างไม่สงวนท่าทีอีก

คำพูดของเขาที่มีต่อมู่เฉินในทีแรกก็ทำให้ในใจของพวกมู่เผิงไม่พอใจต่อเขาแล้ว ภายหลังยังลามไปถึงตระกูลมู่อีก จึงจุดเพลิงโกรธของพวกเขาขึ้นมาทันที

ขณะที่มู่ลั่วฟงด่าทอไปถึงตระกูลมู่ มู่เฉินก็ถลึงตาใส่เขาในทันที ตำหนิเสียงดัง “หุบปาก!”

ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งของเขายกขึ้นมาฉับพลัน บนฝ่ามือรายล้อมด้วยพลังจิตสีทองอ่อน ทว่ากลับหยุดชะงักเหนือหน้าผากของมู่ลั่วฟง

หากฝ่ามือนั้นฟาดลงไป เกรงว่ามู่ลั่วฟงก็จะเลือดไหลออกจากเจ็ดทวารจนตาย

‘ระดับพลังชั้นสีทอง!’ มู่ชิงเกอหรี่ตาลงทั้งสองข้าง จ้องไปยังระดับพลังยุทธ์ของมู่เฉินที่เผยออกมา คิดคำนวณอยู่ในใจ ‘หากว่าท่านผู้เฒ่านี้คิดจะขวางข้าสังหารคนล่ะก็ เกรงว่าจะต้องปล่อยโห่วออกมาแล้ว ถึงจะเอาอยู่’

นางไม่คิดมาก่อนเลยว่า ที่นี่คือตระกูลซาง แม้ตระกูลซางถดถอยแค่ไหน แต่ก็ต้องมีผู้แข็งแกร่งระดับพลังชั้นสีทองคุ้มกันเอาไว้อย่างแน่นอน ยิ่งไม่เคยคิดว่าหากเผชิญหน้ากับอุปสรรคแล้วจะไปขอร้องให้ตระกูลซางช่วยเหลือ

ฝ่ามือนี้ของมู่เฉิน แม้ว่าจะไม่ได้ฟาดลงไปแต่ก็ทำให้มู่ลั่วฟงตกใจจนได้สติ

สีหน้าของเขาซีดเผือด คุกเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้นวิงวอนขอร้องเขา “ท่านลุง ข้าผิดไปแล้ว! ลั่วฟงรู้ตัวว่าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรพูดเช่นนี้ ลั่วฟงขอสัญญากับท่าน ขอเพียงท่านไม่ตัดมือของข้า ข้าจะกลับตัวกลับใจ ไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง ท่านต้องช่วยข้านะ ข้าไม่อยากเสียมือไป!”

“มือของเจ้าข้าไม่ต้องการ” มู่ชิงเกอที่ชมความสนุกมาพักใหญ่ เอ่ยออกมาหนึ่งประโยคอย่างเฉยชา

ประโยคนี้ของเขาทำให้มู่ลั่วฟงหยุดร้องคราครวญ มู่เฉินเองก็หันหน้ามามองเขา

มู่ชิงเกอหันมองมา ดวงตาสุกสกาวฉายแววเยือกเย็นไร้ความรู้สึก เอ่ยออกมาทีละคำ ไม่ง่ายที่จะปฏิเสธ “ข้าต้องการชีวิตของเจ้า”

ข้าต้องการชีวิตของเจ้า!

เจ็ดคำเอ่ยออกมาได้อย่างง่ายดาย ทว่าราวกับก้อนหินทุ่มลงในทะเลสาบในใจผู้คนที่อยู่ในสถานการณ์อย่างไรอย่างนั้น

ซางอี้เฉินถูกท่าทีทะนงตัวของมู่ชิงเกอ ทำให้ตื่นเต้นจนแสดงความเลื่อมใส

ซางซุ่นหวางมองสายตาของมู่ชิงเกอแล้วก็มีความครุ่นคิดและทบทวนขึ้นหลายส่วน

มู่เฉินและมู่เผิงต่างก็ตะลึง ความรู้สึกไร้กำลังต่อต้านฟ้าลิขิตบังเกิดขึ้นในใจ

ในใจของซูหนวนหน่วนกลับปรากฎความยินดี

“ไม่! เจ้าฆ่าข้าไม่ได้!” มู่ลั่วฟงปีนขึ้นมาจากพื้น ถอยร่นไปด้านหลัง

มู่ชิงเกอกลับไม่สนใจเขา แต่เอ่ยกับราชครูว่า “ตระกูลมู่ คัดเลือกคน ทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นการแข่งขันของคู่ต่อสู้ สุดท้ายแล้วก็คือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายใช่หรือไม่?”

ราชครูหัวเราะเรียบๆ ในดวงตาฉลาดหลักแหลมและมองการณ์ไกลเข้าใจจุดประสงค์ของมู่ชิงเกอ

เขาลุกขึ้นเอ่ยตอบมู่ชิงเกออย่างนอบน้อม “ใช่แล้วนายน้อย”

“เจ้าเป็นใครกัน?” มู่เผิงเอ่ยถาม

ราชครูเงยหน้าขึ้นมองเขา ยิ้มจางแล้วตอบว่า “เจ้า สามารถเรียกข้าว่าเผ่าอี๋ หรือจะเรียกว่าผู้เฝ้ามองก็ได้”

“ท่านคือผู้เฝ้ามอง!” น้ำเสียงของมู่เผิงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

ในฐานะลูกหลานตระกูลมู่ เขาและมู่เฉินต่างก็รู้ดีว่าผู้เฝ้ามองหมายถึงอะไร พวกเขารู้ว่าตอนแรกมีผู้เฝ้ามองผู้หนึ่งติดตามสายเลือดตระกูลมู่สายหลัก มุ่งหน้าไปทางหลินชวน

แต่ว่าพวกเขาไม่นึกว่าผู้เฝ้ามองที่มีฐานะพิเศษในตระกูลมุ่ จะรับมู่ชิงเกอเป็นนาย อีกทั้งยังอยู่ข้างกายเขาด้วย

มู่เผิงตื่นตระหนก มู่เฉินเองก็ตื่นตระหนก

เขาชักมือกลับ ทำความเคารพราชครูอย่างนอบน้อม “มู่เฉินคารวะผู้เฝ้ามอง”

ผู้เฝ้ามอง ผู้เฝ้ามอง…ผู้เฝ้ามองของตระกูลมู่ ในตระกูลมู่ มีตำแหน่งเหนือคนนับ หมื่นอยู่ใต้คนผู้เดียว!

‘ผู้เฝ้ามอง?’

ซางซุ่นหวางลอบฟังอยู่ข้างๆ รู้สึกไม่คุ้นเคยกับคำนี้ ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาของหลานสาวผู้นี้

ราชครูพยักหน้า ฐานะของเขาเพียงพอที่จะทำให้เขาวางท่าต่อหน้าพวกมู่เฉิน “เมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ข้าท้าเขาประลอง เขาปฏิเสธได้หรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามขึ้นอีก

ราชครูส่ายหน้าช้าๆ ระบายยิ้มอ่อนๆ เอ่ยขึ้นว่า “ปฏิเสธไม่ได้ มิฉะนั้นจะสูญเสียคุณสมบัติผู้แข่งขัน”

“ดีมาก” มู่ชิงเกอยกยิ้มยั่วเย้าที่มุมปาก มองไปที่มู่ลั่วฟง

มู่ลั่วฟงเองก็ฟังเข้าใจว่าเขาไม่สามารถปฏิเสธการท้าประลองของมู่ชิงเกอได้ หากว่าเขาปฏิเสธนั้นก็หมายถึงเขาสูญเสียทุกอย่างที่มี ถูกตีกลับไปในลักษณะเดิม

‘ข้าฝึกจนมีความสามารถเช่นนี้แล้ว แม้ว่าต้องจากไปจะมีอะไรให้ต้องกลัวเล่า?’ มู่ลั่วฟงปลอบใจตนเอง

ไม่ไปปรึกษามู่เฉินหรือมู่เผิงก็เอ่ยออกมาตรงๆ “ข้าปฏิเสธ! ข้าไม่สู้กับเจ้า!”

มู่เฉินกับมู่เผิงหันมามองหน้าเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ พวกเขาไม่กล้าเชื่อ คิดไม่ถึงว่ามู่ลั่วฟงไม่มีแม้แต่ความกล้าหาญที่จะต่อกร! คนขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้ เป็นสายเลือดคนตระกูลมู่ของพวกเขาจริงหรือ?

เมื่อโพล่งประโยคนี้ออกไป มู่ลั่วฟงก็ยืดหลังตรงทันที เอ่ยกับมู่เฉินและมู่เผิงว่า “มองอะไร? นับตั้งแต่นี้ไป ข้าไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ายังจะมาสนใจอะไรข้าอีกหรือ?”

พูดจบเขาก็มองไปที่เหล่าผู้ติดตาม เอ่ยกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าใครอยากไปกับข้า ข้ารับปากพวกเจ้าว่าหลังจากวันนี้หากติดตามข้าจะได้เสพสุขกินดีอยู่ดี มีสาว งามในอ้อมกอด ไม่ต้องหลบอยู่ในหุบเขากันดาร ผ่านคืนวันด้วยความยากลำบาก กินชาชืดๆ อาหารจืดๆ อีกต่อไป”

คิดไม่ถึงว่าเขายังคิดที่จะยั่วยุให้เหล่าองครักษ์ผู้ติดตามมู่เฉินร่วมแปรพักตร์ไปกับเขา

แต่น่าเสียดายที่เหล่าองครักษ์ผู้ติดตามเหล่านั้นไม่ขยับเขยื้อน เพียงแค่มองเขาอย่างไม่แยแส

“เกรงว่าเจ้าจะเอ่ยสัญญาอะไรไม่ได้อีกแล้ว” มู่ชิงเกอมองหน้าเขา ดวงตาสุกสกาวเต็มไปด้วยแววดูถูกดูแคลน

มู่ลั่วฟงตกใจ มองหน้าเขาและเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนรน “เจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าปฏิเสธการประลองฝีมือกับเจ้าไปแล้ว และก็ไม่แย่งตำแหน่งนายน้อยตระกูลมู่กับเจ้าแล้ว เจ้ายังคิดจะทำอะไรอีก?”

“เจ้าคิดง่ายไปหน่อยไหม?” มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ เข้าใกล้เขาเรื่อยๆ และในเวลานี้เอง องครักษ์ผู้ติดตามที่เดิมรายล้อมเขา ปกป้องเขาเหล่านั้น ก็ทยอยขยับจากที่เดิม หลีกทางให้มู่ชิงเกอ แม้แต่มู่เฉินกับมู่เผิงก็เพียงยืนอยู่กับที่ไม่เอ่ยอะไร

การค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ของมู่ชิงเกอ ทำให้มู่ลั่วฟงสัมผัสได้ว่า ไม่ดีแล้ว

“ไม่มีตำแหน่งนั่นแล้ว ข้าก็สังหารเจ้าได้ง่ายดายยิ่งขึ้น” มู่ชิงเกอเดินมาอยู่ตรงหน้าเขา เอ่ยประโยคนี้กับเขาด้วยความเย็นชาว่า “แม้แต่การท้าประลองก็ประหยัดลงไปด้วย”

“เจ้า!” ดวงตาสองข้างของมู่ลั่วฟงเบิกกว้าง ไม่ปรารถนาจะเชื่อในสิ่งที่มู่ชิงเกอเอ่ยมาทั้งหมด

แต่ถึงกระนั้น มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ให้โอกาสเขาอีกต่อไป ทันใดนั้นก็ลงมือคว้าเข้าที่คอเสื้อของมู่ลั่วฟง ออกแรงเหวี่ยงตัวเขาขึ้นมาและสะบัดไปทางด้านหลัง

“อ๊าก!” เสียงร้องด้วยความตกใจของมู่ลั่วฟงแว่วมากลางอากาศ

เขากระแทกบนลานของตระกูลซางอย่างแรง อยู่ห่างไกลจากการปกป้องของพวกมู่เฉิน เรี่ยวแรงของมู่ชิงเกอไม่ใช่น้อย การโยนนี้ทำให้ตอนที่มู่ลั่วฟงตกลงพื้น กระดูกสันหลังแทบหัก แม้แต่พื้นด้านล่างก็แตกอยู่หลายชิ้น

การเหวี่ยงนี้ เป็นที่ชอบอกชอบใจของใครหลายคน!

แม้แต่ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างตระกูลซาง ต่างก็คิดว่าระบายอารมณ์ลงไปได้มาก!

ที่สำคัญคือ มู่ลั่วฟงผู้นี้ช่างมีความสามารถเรียกความโกรธแค้น ความน่ารังเกียจเอาเสียจริง ทั้งยังไม่รู้จักข้อบกพร่องของตนเองอีก

“อ๊าก…กระดูกข้า…” มู่ลั่วฟงนอนร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น อยู่ในมือของมู่ชิงเกอ เขาไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะต่อต้าน

ซูหนวนหน่วนที่เห็นศัตรูอยู่ใกล้ๆ ก็อยากที่จะเดินเข้าไปแก้แค้นให้กับตัวเอง แต่กลับถูกเจียงหลีคว้าเอาไว้ก่อน “ไม่ต้องรีบร้อน ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะออกโรง”

ชิงเกอที่รักของนางยังไม่ได้ระบายอารมณ์ จะให้ซูหนวนหน่วนสังหารคนผู้นี้ในดาบเดียวได้อย่างไร?

ซูหนวนหน่วนหยุดฝีเท้าตนเอาไว้ มือกุมดาบ ความโกรธแค้นในใจทำให้ดาบยาวสั่นเล็กน้อย

ท่ามกลางเสียงร้องโอดโอยของมู่ลั่วฟง มู่ชิงเกอค่อยๆ หันกลับมา เงาร่างกะพริบจากที่ตนเคยยืนมาปรากฎตัวอยู่ข้างๆ มู่ลั่วฟง

นางยืนเอามือไพล่หลัง ก้มหน้ามองมู่ลั่วฟงที่นอนอยู่บนพื้น ส่วนลึกของดวงตาสุกสกาวมีแววไม่แยแสและเยือกเย็น นางยกเท้าขึ้นเหยียบลงบนข้อมือของมู่ลั่วฟง

“อ๊าก!” จู่ๆ ข้อมือก็ถูกเหยียบ มู่ลั่วฟงร้องน่าเวทนา ราวกับสุกรโดนเชือด

ทว่ามู่ชิงเกอเพียงแค่ยิ้มเย็น พลังจิตจากฝ่าเท้าส่งผ่านเข้าไปในร่างของมู่ลั่วฟง

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิด ดังมาจากร่างกายของมู่ลั่วฟง

ตำแหน่งที่อยู่ระหว่างสองขาของเขา ระเบิดเป็นละอองเลือดอยู่ต่อหน้าทุกคน จากนั้นเสียงร้องแหลมด้วยความเจ็บปวดเหลือแสนของมู่ลั่วฟงก็ดังขึ้นภายในจวนตระกูลซางที่โออ่า

กระบวนท่าโหดเหี้ยมนี้ ทำเอาบรรดาชายหนุ่มที่อยู่ในเหตุการณ์อดไม่ได้ที่จะกุมสองขาเอาไว้แน่น มองหน้ามู่ชิงเกอด้วยสีหน้าซีดเผือด ในตาเต็มไปด้วยความ หวาดกลัว

ทว่ามู่ชิงเกอกลับไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าท่าทางการแสดงออกของตนเองในตอนนี้ทำให้ผู้คนตกใจเพียงไหน

ออกแรงที่ฝ่าเท้าอีกครั้ง ครั้งนี้มีพลังจิตมากมายทะลัก เข้าไปในร่างกายของมู่ลั่วฟง

ปัง ปัง ปัง! ละอองเลือดก็กระเซ็นออกมาตามจุดต่างๆ บนตัวของมู่ลั่วฟง สุดท้ายแล้วแม้แต่แรงจะร้องก็ไม่มีอีก ทำได้เพียงกระอักเลือดออกมาเป็นระยะ

“เจ้าฆ่าข้า! ฆ่าข้า!” มู่ลั่วฟงไม่อาจทนต่อความเจ็บปวดนี้ได้ ใช้แรงเฮือกสุดท้ายตะโกนบอกมู่ชิงเกอ

มู่เฉินทนไม่ไหว เอ่ยปากว่า “ท่านจะสังหารเขา สังหารแล้วก็แล้วกันเถอะ เหตุใดยังต้องทรมานเขาเช่นนี้ด้วย?”

มู่ชิงเกอกลับเอ่ยขึ้นนิ่งๆ ว่า “ได้ยินมาว่าเขาก็ล่วงเกินตระกูลซาง ในเมื่อยืมใช้สถานที่ของตระกูลซางแล้ว ทำให้พวกเขาแก้แค้นไม่ได้ เช่นนั้นข้าเองก็ต้องทำอะไรบ้าง ให้ตระกูลซางคลายความโกรธหน่อย”

ประโยคนี้ทำให้แววตาของซางซุ่นหวางเปล่งประกาย สายตาที่มองมู่ชิงเกอลึกซึ้งไม่อาจบรรยายได้อยู่หลายส่วน

“ทำได้ดี! ต้องทรมานเขาจนตาย!” ซางอี้เฉินส่งเสียงร้องสร้างความฮึกเหิมอยู่ข้างๆ ลูกพี่เขาช่างองอาจสง่าผ่าเผย!

ซางหลันรั่วเองก็ชะงัก ความรู้สึกอับอายที่ถูกมู่ลั่วฟงหยอกเย้าเมื่อครู่นี้จู่โจมใจนางอีกครั้ง

“ท่านแม่ พี่สาวกำลังระบายความแค้นแทนท่านอยู่นะ” ซางเสวี่ยอู่กระซิบเบาๆ ข้างหูนาง

ซางหลันรั่วขบเม้มริมฝีปากแน่น พยักหน้าช้าๆ สายตาที่มองมู่ชิงเกอเต็มไปด้วยความอ่อนโยนเหนือสิ่งอื่นใดเทียบ

“ฆ่าได้ดี! ฆ่าได้ดี!”

“ฆ่าได้ดี!”

องครักษ์ของตระกูลซางล้วนตะโกนขึ้นมา

เสียงร้องของกลุ่มคนทำให้มู่เฉินไม่มีสิ่งใดจะเอ่ย มองดูสภาพน่าสยดสยองของมู่ลั่วฟง คล้ายกับว่าแก่ลงไปหลายปี

ท่ามกลางเสียงโห่ร้องเหล่านี้ มู่ชิงเกอหลุบตาลงมองมู่ลั่วฟงที่เลือดอาบไปทั้งตัว เอ่ยถามเสียงเรียบ “อยากตายหรือ?”

มู่ลั่วฟงมองเขาด้วยสายตาหวาดกลัว เขาคิดว่ามู่ชิงเกอที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นภูตผีปีศาจจำแลงมา เยือกเย็นไม่มีความรู้สึก ไม่มีความเป็นมนุษย์! หากต้องถูกทรมานเช่นนี้ต่อไป เขายอมตายอย่างเป็นสุขดีกว่า

มู่ลั่วฟงพยายามที่จะพยักหน้า เขายอมตายไม่อยากรับการทรมานเช่นนี้อีกแล้ว

มู่ชิงเกอกลับเผยรอยยิ้มราวปีศาจร้ายให้เขา “พูดความจริงออกมา แล้วข้าจะไม่ทรมานเจ้าอีก”

“ข้า…ข้าพูด…ข้าพูดแล้ว…,” มู่ลั่วฟงละร่ำละลักเอ่ย “เป็นข้า เป็นข้าที่ริษยาเคียดแค้นที่เจ้าชนะแล้วได้บ่าวรับใช้ไป ยังมีคนงามรายล้อม และก็ได้ยินมู่เฉินกับมู่เผิงพูดคุยกันว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้ามาก ดังนั้นจึงไม่สบายใจคิดที่จะสร้างเรื่องให้เจ้าลำบาก หลังจากนั้นก็ได้พบกับคุณหนูตระกูลซู ก่อนนั้นข้าก็ชอบนางอยู่บ้าง เมื่อเห็นว่านางเดินในป่ากกเพียงลำพัง ก็คิดทำให้นางแปดเปื้อน เมื่อได้ในสิ่งที่ปรารถนาแล้วก็สามารถโยนความผิดให้เจ้าได้ ถ้าโชคดีเจ้าก็ตายในกำมือของตระกูลใดตระกูลหนึ่งระหว่างซูและเหยียน ทั้งหมดนี้ข้าทำเอง เป็นข้า เป็นข้าเอง! เจ้าฆ่าข้าเถอะ! ไม่ต้องทรมานข้าอีก ข้าทนรับไม่ไหวแล้ว”

ในที่สุดเขาก็ยอมรับ ในที่สุดก็พูดเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นออกมา

ซูหนวนหน่วนนํ้าตาไหลไม่ขาดสาย

พวกมู่เฉินเองก็ว้าวุ่นใจเหลือเกิน

กลับกันผู้ที่ถูกใส่ความอย่างมู่ชิงเกอกลับไม่เผยความเบิกบานใจที่ล้างมลทินได้เลยสักนิด ราวกับว่ามู่ลั่วฟงยอมรับหรือไม่ นางไม่สนใจแต่แรกแล้ว

นางหันไปมองมู่เฉิน เอ่ยกับเขาว่า “ความสามารถในการทำเรื่องเลวร้ายนี้ของเขา เป็นเจ้าสอนใช่หรือไม่”

มู่เฉินตัวแข็งทื่อ หลับตาด้วยความเจ็บปวด ผ่านไปชั่วครู่เขาก็เอ่ยขึ้นเนิบๆ “มู่เผิง ทำลายพลังยุทธ์เขาซะ”

แม้ว่าในเวลานี้ตอนนี้จะทำลายพลังยุทธ์หรือไม่ก็ไม่สำคัญ แต่ว่าเขาเข้าใจความคิดของมู่ชิงเกอ ว่าต้องการทรมานมู่ลั่วฟง ทำลายตัวเขาทีละน้อย

มู่เผิงทำหน้านิ่งเดินไปทางมู่ลั่วฟง ท่ามกลางสายตาหวาดกลัวของมู่ลั่วฟง ฝ่ามือหนึ่งตะปบที่จุดตันเถียนของเขา ซัดไปที่จุดกักเก็บพลังจิตของเขา ทำลายพลัง ยุทธ์ทั้งหมดที่เขามี

“อ๊าก!” มู่ลั่วฟงส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ความเจ็บปวดของการถูกทำลายพลังยุทธ์ เจ็บปวดกว่าสิ่งที่มู่ชิงเกอทำกับเขาไว้ก่อนหน้านี้เสียอีก

นี่ไม่ใช่เป็นเพียงความเจ็บปวดทางร่างกายเท่านั้น ยังเป็นความเจ็บปวดของเลือดเนี้อและจิตวิญญาณตลอดหลายปีที่ผ่านมาด้วย

“มู่ชิงเกอเจ้าหลอกข้า! เจ้าบอกว่าขอเพียงข้ายอมรับทั้งหมด เจ้าก็จะไม่ทรมานข้าอีก!” มู่ลั่วฟงนอนอยู่ที่พื้น ราวกับสุนัขใกล้สิ้นใจ ไม่สามารถขยับตัวได้ ทำได้เพียงตวาดระบายความคับแค้นใจ

ถึงอย่างนั้น มู่ชิงเกอกลับเอ่ยออกมาเสียงเรียบว่า “ข้าแค่บอกว่าข้าไม่ทรมานเจ้า เมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้ลงมือแต่อย่างใด”

พูดจบนางยังยิ้มให้กับเขา

รอยยิ้มนี้ในสายตาของมู่ลั่วฟงทำให้เขาขนลุกขนพอง เขานึกเสียใจภายหลังขึ้นมาแล้ว เสียใจว่าไม่น่าไปหาเรื่องมู่ชิงเกอ ไม่ควรจะไปท้าทายเขาเลย!

“คุณหนูซู ถึงตาเจ้าแล้ว” มู่ชิงเกอหันไปเอ่ยกับซูหนวนหน่วน

ซูหนวนหน่วนสุดท้ายก็รอมาถึงเวลานี้ นางยกกระบี่ขึ้นมา ขณะที่เดินผ่านมู่ชิงเกอ ฝ่ายหลังก็กระซิบข้างหูนางว่า “เขาถูกทำลายพลังยุทธ์ไปแล้ว ชีพจรทั้งร่างก็แตกซ่าน เทพเซียนก็ยากที่จะช่วยได้ ไม่ต้องกลัว”

ซูหนวนหน่วนเงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยความซาบซึ้ง พยักหน้าขึงขัง

เวลานี้เอง มู่เผิงที่อยู่ห่างไปไม่มากได้ยินประโยคนี้เข้า จึงได้มีปฏิกิริยากลับมา เหตุใดมู่ชิงเกอจึงต้องทำลายพลังยุทธ์ของมู่ลั่วฟงถึงเพียงนี้ นั่นเป็นเพราะต้องการมั่นใจเรื่องความปลอดภัยให้กับซูหนวนหน่วนตอนแก้แค้นนั่นเอง

มู่ชิงเกอเปลี่ยนตำแหน่งกับซูหนวนหน่วน เดินไปหยุดอยู่ข้างกายเจียงหลี

เจียงหลีหยอกเย้านางเบาๆ “เจ้าช่างใส่ใจรอบคอบนัก”

ในฐานะที่เป็นสหายคนสนิทของมู่ชิงเกอ มีหรือจะมองจุดประสงค์ที่นางทำลายพลังยุทธ์ของมู่ลั่วฟงไม่ออก?

มู่ชิงเกอกลับยิ้มเฉยชา “ข้าเคยรับปากนางเอาไว้ว่าเมื่อจับตัวมู่ลั่วฟงได้จะให้นางจัดการ ก็ย่อมคุ้มครองความปลอดภัยของนางเป็นเรื่องธรรมดา”

“เฮ้อ เจ้าที่เป็นเช่นนี้ ข้าก็หลงรักจนยากที่จะถอนตัวแล้ว นับประสาอะไรกับสตรีอื่นที่ไม่รู้ความเป็นไปภายในเล่า?” เจียงหลีส่ายหน้าอย่างจนปัญญา

บนตัวของมู่ชิงเกอมักจะมีมนต์เสน่ห์ชนิดหนึ่ง ที่ทำให้บุรุษหรือสตรีใจเต้นไม่เป็นตัวของตัวเองได้ง่ายๆ

ซูหนวนหน่วนเดินไปอยุ่ตรงหน้ามู่ลั่วฟง จ้องมองบุรุษที่ทำร้ายนางตาไม่กะพริบ ในที่สุดวันนี้ก็สามารถแก้แค้นสักที ในใจของนางเวลานี้ความเคียดแค้นที่สะสมไว้ผุดขึ้นมา ส่งเสียงรํ่าร้องออกมาจากกายนาง

“อ้าก!” นางเปล่งเสียงร้องออกมา สองมือกระชับด้ามกระบี่ไว้แน่น ยกขึ้นมาแทงไปที่ร่างกายของมู่ลั่วฟงด้วยความเร็ว

นางไม่ได้เลือกจุดตาย แต่เลือกจุดที่ไม่ตายในทันที ราวกับได้รับการชี้แนะจากมู่ชิงเกอ นางเองก็จะทรมานมู่ลั่วฟงให้สาแก่ใจก่อนแล้วค่อยสังหารเขา

“อ๊าก! นังหญิงสำส่อน…” มู่ลั่วฟงได้สัมผัสกับความรู้สึกที่เรียกว่าถูกแทงจนพรุนเป็นรู แต่ว่าปากก็เอ่ยวาจายั่วยุซูหนวนหน่วนอย่างไม่เกรงใจ ราวกับต้องการยั่ว โมโหนางให้นางลงมือฆ่าตน

แต่ว่าซูหนวนหน่วนกลับไม่สนใจฟังที่เขาก่นด่า ยังคงแทงไปบนร่างของเขา

ภาพนองเลือดฉากนี้ กระตุ้นต่อมสัมผัสของทุกคน และก็ดึงดูดคนตระกูลซางไม่น้อย

หลังจากเห็นภาพที่เกิดขึ้นบนลานชัดเจนแล้ว ก็มีคนไม่น้อยกลั้นไม่ไหวอาเจียนออกมา

มู่ลั่วฟงตายไปแล้ว เขาไม่ได้ตายเพราะการสังหาร แต่ตายเพราะร่างกายถูกฟันจนเละเป็นเศษซาก ถึงกระนั้นแล้วแม้ว่าเนื้อของเขาจะถูกฟันขาดเผยให้เห็นโครง กระดูก แต่ว่าซูหนวนหน่วนก็ยังไม่หยุดที่จะแทงต่อไป ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

เลือดเปรอะเปื้อนนางไปทั้งตัว สองมือของนางเริ่มชา ทว่ากลับยังระบายความแค้นในใจนางไม่หมด

ลานตระกูลซาง อยู่ในความสงบ

มู่เฉินและมู่เผิงทนไม่ได้ที่จะต้องมองสภาพน่าสยดสยองของมู่ลั่วฟง ต่างก็เบือนหน้าหนี หลับตาลง

ซางซุ่นหวางมองดูมู่ชิงเกอ เห็นนางมีสีหน้าเรียบเฉยไม่มีความรู้สึกไม่ดีสักนิด ก็ลอบเอ่ยในใจ ‘เด็กคนนี้ ใจเยือกเย็น สุขุม เฉลียวฉลาด อาจหาญ…เป็นต้นกล้าที่ ดี’

รอจนซูหนวนหน่วนระบายอารมณ์จนพอใจแล้ว มู่ชิงเกอจึงได้เอ่ยกำชับเซวี่ยนหย่าและเสวี่ยหยาว่า “พาคุณหนูซูออกไป หาสถานที่ในเมืองพักเสียหน่อย” เซวี่ยนหย่ากับเสวี่ยหยารุดขึ้นหน้ามา ประคองซูหนวนหน่วนที่หมดเรี่ยวหมดแรงจากไป กลับไปยังรถสัตว์อสูรที่อยู่ด้านนอกประตู

เหมยจื่อจ้งก็บอกกับมู่ชิงเกอในเวลานี้เองว่า ”ข้าไปดู เสียหน่อย”

มู่ชิงเกอพยักหน้า

เหมยจื่อจ้งเดินตามทั้งสามคนไป

หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้ว มู่ชิงเกอก็เอ่ยกับซางซุ่นหวางว่า “ขอบพระคุณประมุขซางที่เอื้อเฟื้อสถานที่ ในเมื่อเรื่องราวก็ได้คลี่คลายลงแล้ว ข้าก็ต้องขอตัวลาก่อน”

นางจะจากไป?

สายตาซางซุ่นหวางแข็งขึงอย่างรวดเร็ว ดวงตาลํ้าลึกทั้งสองข้างจ้องมองนาง

เมื่อได้ยินว่ามู่ชิงเกอจะจากไป ในใจซางหลันรั่วก็ลนลาน ให้ซางเสวี่ยอู่ประคองเดินมา ซางอื้เฉินเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปประคองแขนอีกข้างหนึ่ง

ดวงตาสุกสกาวของมู่ชิงเกอกวาดตามองซางหลันรั่ว เอ่ยปากบอกประมุขตระกูลซางว่า “วันนี้ทำให้พื้นที่ลํ้าค่าสกปรก วันหลังข้าค่อยมาเยือนชดใช้ความผิด”

คำพูดนี้แสดงว่านางจากไปวันนี้ แต่ยังจะกลับมาที่ตระกูลซางอีก

เวลานั้นก็มาคุยเรื่องระหว่างนางกับซางหลันรั่ว

เรื่องระหว่างพวกนาง?

สำหรับมู่ชิงเกอแล้วเป็นเรื่องของมู่เหลียนเฉิง!

ซางซุ่นหวางพยักหน้าช้าๆ เอ่ยปากว่า “ได้ ข้าจะรอเจ้าที่จวน”

มู่ชิงเกอยิ้มนิ่งๆ ไม่สนใจซางหลันรั่วที่ขยับเข้ามาใกล้ เพียงแต่เดินไปทางมู่เฉิน

จู่ๆ เขาก็มาปรากฎตัวอยู่ข้างหน้าตนเอง มู่เฉินก็ตกใจอยู่บ้าง แต่ว่าก็ยังคงขยับตัวทำความเคารพเขาพร้อมกับคนอื่นๆ ส่งเสียงเรียก “นายน้อยชิงเกอ”

“ไปพร้อมกันเป็นอย่างไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยปากเชื้อเชิญ

มู่เฉินตะลึง ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ

ยังดีมีมู่เผิงสะกิดอยู่ข้างๆ “ผู้อาวุโสใหญ่!

มู่เฉินได้สติ เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “น้อมรับตามที่นายน้อยชิงเกอต้องการ”

มู่ชิงเกอพยักหน้า หันหลังเดินจากไป เจียงหลีกับราชครู เดินตามหลัง ยังมีมู่เฉิน มู่เผิงและคนอื่นๆ

หลังจากที่มู่ชิงเกอจากไปแล้ว ซางหลันรั่วก็ถูกส่งกลับมาที่เรือนหลังเล็ก

นางเดินลงไปในอุโมงค์น้ำแข็งเพียงลำพัง คุกเข่าอยู่ข้างกายมู่เหลียนเฉิง นํ้าตาที่กลั้นมาเนิ่นนานสุดท้ายก็ไม่ต้องกลั้นอีกต่อไปแล้ว

“เหลียนเฉิง ข้าได้เจอกับลูกสาวของพวกเราแล้ว แต่ว่านางไม่อยากรับข้าเป็นแม่ ข้ารู้สึกว่าตนเองแพ้พ่าย ทำผิดไปมากเหลือเกิน ข้าควรทำเช่นไรดี? ข้าควรทำอย่างไรให้นางอภัยให้ข้า?”

ซางหลันรั่วล้มตัวไปบนตัวมู่เหลียนเฉิง ร่ำไห้ระบายความเจ็บปวดในจิตใจ

นางรู้ดีว่าตนเองผิดต่อมู่ชิงเกอ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าควรต้องทำเช่นไรถึงจะจัดการกับความห่างเหินระหว่างแม่ลูกได้ ในเวลานี้ นาทีนี้ นางที่เจ็บปวดรวดร้าวในใจ นางทำได้เพียงระบายออกมาให้สามีฟัง

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซางเสวี่ยอู่ก็มาถึงอุโมงค์น้ำแข็ง มองมารดาด้วยความปวดใจ “ท่านแม่ ท่านตามา เขา… มาถามเรื่องของพี่สาว”

ซางหลันรั่วที่จมอยู่ในความเศร้าโศกของตนเอง ได้ยินประโยคนี้ก็หยุดร้องไห้

นางซวนเซลุกขึ้นมา ซางเสวี่ยอู่รีบปราดเข้าไปประคอง แต่นางกลับยืนหลังตรง ปฏิเสธการช่วยประคองของลูกสาว เช็ดคราบนํ้าตาบนหน้า

“ไป” ซางหลันรั่วก้าวเท้ายาวๆ เดินออกมานอกอุโมงค์น้ำแข็ง

ซางเสวี่ยอู่เหม่อมองมารดาที่เปลี่ยนไปจากเดิม นางไม่เคยเห็นท่านแม่ที่เป็นเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว? ในความทรงจำของนางท่านแม่ที่เป็นเช่นนี้มีเพียงตอนที่พวกนางยังเป็นเด็ก ถูกการรังแกจากบางคนในตระกูลเท่านั้นถึงได้มีท่าทีเช่นนี้

ตอนนั้นภาพของท่านแม่ในใจของนางสูงส่งที่สุด ราวกับแม่เสือปกป้องพวกเขา!

ซางหลันรั่วเดินมาถึงโถงหน้า บิดาของนางประมุขตระกูลซาง ซางซุ่นหวางกำลังนั่งดื่มนํ้าชาอยู่โดยมีซางอี้เฉินอยู่เป็นเพื่อน

เมื่อเผชิญหน้ากับท่านตาที่ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยยิ้มแย้ม ซางอี้เฉินก็เหมือนกับซางเสวี่ยอู่นั่นคือ อึดอัดไม่สบายใจอยู่บ้าง

เขารินนํ้าชาให้ซางซุ่นหวาง นั่งอยู่ข้างๆ อย่างสงบเป็นระเบียบ ตามองจมูก จมูกมองใจ

จวบจนซางหลันรั่วเดินเข้ามา เขาถึงได้ผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง ร้องตะโกนขึ้นว่า “ท่านแม่!”

ซางซุ่นหวางวางถ้วยในมือลง หันกลับมามองลูกสาวตนเอง ความเย็นบีบคั้นคนบนตัวนาง ไหนจะความอาลัยตายอยากที่โครงหน้าของนาง ทำให้เขาขมวดคิ้ว

“หลันรั่ว เจ้าจะทรมานตนเองไปถึงเมื่อไร?” ซางซุ่นหวางเปิดปากก็เอ่ยตำหนิ

ซางหลันรั่วกลับไม่ต่อวาจา เพียงแค่เอ่ยถามว่า “เหตุใดท่านประมุขจึงมีเวลามาที่นี่”

“ข้าเป็นบิดาของเจ้า!” ซางซุ่นหวางเอ่ยตวาดเสียงดัง

ซางหลันรั่วเบือนหน้าหนี เม้มปากไม่พูดไม่จา

ซางซุ่นหวางถอนหายใจ เอ่ยอย่างจนปัญญา “เจ้ายังโทษข้าอยู่หรือ? โทษที่ในปีนั้นข้าสั่งให้คนไปพาตัวเจ้ากลับมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น?”

“ตอนแรกถ้าไม่ใช่คำสั่งของท่าน คนที่มาตามหาข้าก็จะไม่หลอกข้า บอกว่าเหลียนเฉิงยังมีหนทางช่วย ทำร้ายให้ข้าต้องทิ้งบ้านสามี ทิ้งลูกสาวที่ยังแบเบาะกลับมาที่โลกแห่งยุคกลาง พวกเขาถึงขั้นที่ว่าไม่ให้ข้าได้ฝากข้อความกับตระกูลมู่สักคำ” ในนํ้าเสียงของซางหลันรั่วเผยความขุ่นข้อง

ซางซุ่นหวางส่ายหน้าช้าๆ

ผ่านไปหลายปีเพียงนี้ ใครผิดใครถูกยังมีใครพูดได้ชัดเจนอีกบ้าง? เผชิญหน้ากับความไม่เข้าใจของลูกสาว เขาก็ทำได้เพียงพูดว่า “หากเจ้าไม่กลับมา เกรงว่ามู่เหลียนเฉิงจะกลายเป็นเถ้ากระดูกกองหนึ่งไปตั้งนาน จะรักษาร่างกายได้ถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร?”

“เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ให้ข้าได้เอ่ยอะไรกับตระกูลมู่สักคำ ให้ข้าได้พบหน้าเกอเอ๋อร์สักครั้ง? ข้ารู้พวกเขาหวังว่าหลังจากข้าหายตัวไป ก็หวังให้ในใจของคนตระกูลมู่คิดว่าข้าได้ตายไปแล้ว ขัดขวางความคิดการหวนกลับไปตระกูลมู่ของข้า” ซางหลันรั่วแผดเสียงดังขึ้น

“พอได้แล้ว!” ซางซุ่นหวางประทับฝ่ามือลงบนโต๊ะ เขาเอ่ยเสียงแข็ง “เรื่องที่ผ่านไปแล้วมันก็ผ่านไปแล้ว คนที่พาเจ้ากลับมาข้าก็ลงโทษพวกเขาอย่างหนักระบาย โทสะให้เจ้าแล้ว 19 ปีแล้ว สามคนนั้นก็ตายในสงครามเพื่อตระกูลซางไปแล้ว เจ้ายังจะเอาอย่างไรอีก? ยังต้องการที่จะวุ่นวายไม่เลิกใช่หรือไม่?”

สายตาซางหลินรั่วฉายแววดิ้นรนเจ็บปวด ไม่ได้พูดอะไรต่อ

ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินยืนอยู่ด้านหนึ่ง ปิดปากเงียบไม่เอ่ยวาจา อยากจะออกไปแต่ก็ไม่กล้าออกไป

“พวกเจ้ายังเด็กออกไปก่อน” ทันใดนั้นซางซุ่นหวางก็เอ่ยออกมา

ซางเสวี่ยอู่สบตากับซางอี้เฉิน มองมารดาด้วยความเป็นห่วง พวกเขาย่อมเชื่อว่าท่านตาไม่มีทางทำร้ายมารดา แต่กลัวว่าระหว่างที่มารดาพูดคุยกับท่านตาแล้วจะจากกันไปด้วยความขุ่นข้องหมองใจ

ซางหลันรั่วไม่มีท่าทีต่อคำพูดของซางซุ่นหวาง ราวกับ ว่ายอมรับเงียบๆ

ซางเสวี่ยอู่ลากตัวซางอี้เฉินออกไปจากเรือนหลังเล็กที่อยู่ห่างไกลนี้

หลังจากเดินมาไกลแล้ว ซางอี้เฉินก็เอ่ยกับซางเสวี่ยอู่ว่า “ไม่รู้ว่าท่านตาจะคุยกับท่านแม่เรื่องอะไร…หรือไม่ พวกเราไปหาลูกพี่กันก่อน?”

ซางเสวี่ยอู่ส่ายหน้า “ในเมื่อลูกพี่พูดแล้วว่านางจะมาใหม่ ตอนนี้พวกเราก็ไม่ต้องไปรบกวนนาง”

“แล้วจะต้องรอจนถึงเมื่อไร?” ซางอี้เฉินเอ่ยด้วยความร้อนใจ

ซางเสวี่ยอู่เอ่ยอย่างมั่นใจ “ไม่กี่วันนี้แหละ อดทนหน่อย”

ดวงตาซางอี้เฉินเป็นประกายเอ่ยกับซางเสวี่ยอู่ว่า “ไม่สู้วันนี้พวกเราเอ่ยกับท่านตาเรื่องกลับไปใช้แซ่มู่กลับไป เยี่ยมท่านปู่ที่หลินชวน?”

ข้อเสนอของซางอี้เฉินทำให้ซางเสวี่ยอู่ใจเต้นอยู่บ้าง

แต่นางก็ค่อนข้างจะคิดรอบคอบ นางเม้มปากเอ่ยขึ้นว่า “ยังไม่ต้องรีบ รอให้ลูกพี่พบกับท่านแม่แล้วค่อยว่ากัน หากตอนนี้เราพูดเรื่องนี้ออกไป หากท่านตาโกรธขึ้นมา รอจนลูกพี่มาถึงแล้วเขาตั้งใจทำให้นางลำบากใจจะทำอย่างไร?”

ซางอี้เฉินพยักหน้า “เช่นนั้นก็รอให้เรื่องราวทุกอย่างคลี่คลายลงก่อนแล้วพวกเราค่อยพูดหรือ?”

ซางเสวี่ยอู่มองหน้าเขา พยักหน้าอย่างตั้งใจ

ภายในโถงซางซุ่นหวางก็สงบสติลง เอ่ยกับซางหลันรั่วว่า “วันนี้ คุณชายมู่ที่ปรากฎตัวตอนท้าย เป็นลูกที่เจ้าทิ้งไว้ตระกูลมู่หลินชวนใช่หรือไม่?”

ไม่รอให้ซางหลันรั่วได้ตอบ เขาก็เอ่ยเสริมออกมาอีกหนึ่งประโยคว่า “ไม่ต้องคิดจะปิดบังข้า อุปกรณ์มายาที่เจ้าสร้างขึ้นมาชิ้นนั้น ข้าเคยเห็นมาก่อน”

เรื่องทุกอย่างถูกมองออก ซางหลันรั่วทำได้เพียงยอมรับ “ใช่”

“เด็กคนนั้นไม่เลวเลยทีเดียว” ซางซุ่นหวางเอ่ยปาก

“ท่านคิดจะทำอะไร?” ซางหลันรั่วมองเขาด้วยความระแวง ในสายตาล้วนเป็นการระแวดระวัง นางเข้าใจบิดาของตนเองดี การพิจารณาทุกอย่างของเขาล้วนถือ เอาผลประโยชน์ของตระกูลซางมาเป็นอันดับแรก

ตอนแรกที่นางถูกพากลับมา ก็เพราะการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์

หากไม่ใช่ว่าตอนที่นางกลับมา ไม่เพียงพาสามีของนาง ไหนจะเลือดเนื้อเชื้อไขที่อุ้มท้องอยู่ เกรงว่าคงโดนบังคับให้ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวไปแล้ว

“เหอะ เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไร?” ซางซุ่นหวางเอ่ยด้วยนํ้าเสียงไม่ดีนัก

ถูกลูกสาวของตนเองหวาดระแวง ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก

สีหน้าซางหลันรั่วเย็นชาขึ้นส่วนหนึ่ง “เสวี่ยอู่กับอี้เฉิน ได้บุญคุณของตระกูลซางเลี้ยงดู ท่านให้พวกเขาออกแรงทำเพื่อตระกูลซาง ข้าไม่ก้าวก่าย แต่ว่าเกอเอ๋อร์ไม่ เคยได้รับบุญคุณใดจากตระกูลซาง ระหว่างพวกเราแม่ลูก มีเพียงข้าที่ติดค้างนาง นางไม่ได้ติดค้างข้า ท่านไม่ต้องคิดที่จะลากนางมายุ่งเรื่องตระกูลซาง ทำเพื่อ ท่าน!”

“ไร้เหตุผล! ในสายตาของเจ้าข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ?” ซางซุ่นหวางเอ่ยด้วยความโกรธ “นางเป็นลูกสาวของเจ้า เป็นหลานสาวของข้า ในฐานะของท่านตาจะทำ ร้ายหลานสาวของตนเองได้อย่างไร?”

ซางหลันรั่วหัวเราะเย็นชา “ต่อหน้าตระกูล ท่านสามารถละทิ้งความสัมพันธ์เลือดเนื้อเชื้อไขทั้งหมดได้”

ซางซุ่นหวางถูกทำให้โมโหจนผุดลุกขึ้นมา เดินเข้ามาใกล้ซางหลันรั่ว สุดท้ายก็เอ่ยด้วยความโกรธว่า “หากข้าไร้หัวใจไร้ความรู้สึกเช่นที่เจ้าว่า ปีนั้นคงไม่ต้องสนใจสามีผีของเจ้า เพียงให้คนทำลายเด็กในท้องของเจ้า จับเจ้ายัดเข้าไปในเกี้ยวเจ้าสาว แต่งเข้าตระกูลอิ๋งไปแล้ว!”

“เหลียนเฉิงยังไม่ตาย!” ซางหลันรั่วเอ่ยโต้แย้ง

ซางซุ่นหวางหน่ายที่จะไปเถียงปัญหานี้กับนาง เอ่ยต่อว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพื่อเจ้าแล้ว ตระกูลซางเป็นฝ่ายถอนหมั้นชดใช้ให้ตระกูลอิ๋งไปเท่าไรถึงจะยกเลิกงาน แต่งได้ ให้เจ้าผ่านคืนวันอย่างเงียบสงบตามที่เจ้าต้องการ? หลายปีที่ผ่านมา สมุนไพรตัวยาราคาแพงที่เจ้าใช้กับมู่เหลียนเฉิง ของหายากของลํ้าค่ารายการไหนที่ไม่ใช่ตระกูลซางออก?”

“นั่นเป็นเพราะข้าแลกเปลี่ยนกับการหลอมศาสตราให้ตระกูลซาง” ซางหลันรั่วกล่าว

ซางซุ่นหวางถอนหายใจและเอ่ยขึ้นว่า “หลายปีที่ผ่าน ความคิดของเจ้าอยู่ที่เขา สายเลือดพรสวรรค์ของเจ้า หมดสิ้นไปตั้งนานแล้ว เจ้าคิดว่าอาวุธยุทธภัณฑ์ที่เจ้า หลอมออกมาดีขึ้นเรื่อยๆ หรืออย่างไรกัน? ทุกวันนี้ แม้แต่ยุทธภัณฑ์เจ้ายังหลอมออกมาไม่ได้สักชิ้น”

คำพูดของซางซุ่นหวางแทงใจซางหลันรั่ว นางเอ่ยด้วยท่าทีวุ่นวายใจ “ข้ารู้ว่าข้าติดหนี้ตระกูลซาง ดังนั้นชั่วชีวิตนี้ท่านจะสั่งข้าอย่างไรก็ได้ ถ้าหากว่าท่านต้องการให้ข้าหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ ข้ารับปากท่าน ภายในครึ่งปีข้าจะหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะออกมาให้ท่านให้จงได้ แต่ว่าท่านต้องเลิกคิดเอาเรื่องนี้มาให้ลูกสาวข้าถวายชีวิตให้ตระกูลซาง! และข้าก็ไม่อนุญาตให้ท่านทำลายความตั้งใจของนาง!”

ซางซุ่นหวางถอนหายใจไม่หยุดหย่อน

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงได้เอ่ยด้วยความจนปัญญาว่า “ตระกูลซางราวกับพระอาทิตย์ลับฟ้าตะวันตก ไม่รุ่งเรืองดังเช่นแต่ก่อน ข้าต้องตาเด็กคนนั้น เพราะรู้สึกว่านางเป็นคนมีความสามารถ หากว่าเป็นไปได้ข้าก็หวังที่จะอบรมเลี้ยงดูให้นางเป็นผู้สืบทอดของข้า สายเลือดของข้ามีเจ้าเป็นลูกคนเดียว เจ้าเองในตอนนี้ก็ไม่มีกะจิต กะใจจะไปสืบทอดตระกูลซางอยู่แล้ว ข้าเองก็ได้แต่ดูลูกของเจ้า”

ซางหลันรั่วมองบิดาของนางด้วยความตกตะลึงอยู่เป็นนาน นางจึงส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “นางไม่มีทางตกลง นางเป็นคนตระกูลมู่ไม่มีทางมาเป็นคนตระกูลซาง” พูดแล้วนางก็คุกเข่าลงในทันใด เอ่ยขอร้องต่อซางซุ่นหวางว่า “ท่านพ่อ ข้าขอร้องท่าน เกอเอ๋อร์ลำบากมามากแล้ว ไร้บิดามารดาตั้งแต่เล็ก และเป็นเพราะการ จัดแจงของข้าจึงต้องปรากฎตัวในคราบบุรุษ สิบกว่าปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าได้รับความลำบากใจไปเท่าไร ข้าทนไม่ได้จริงๆ ที่จะให้นางรับภาระอันหนักอึ้งของตระกูลซาง”

“ข้าถามเจ้าหน่อย บนตัวนางมีสายเลือดตระกูลซางหรือไม่?” ซางซุ่นหวางกลับพยุงตัวนางขึ้นจากพื้นแล้วเอ่ยถาม

ซางหลันรั่วหลุบตาลง ตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยว่า “ไม่มี”

ในเมืองฝูซา เรื่องที่เกิดขึ้นในตระกูลซางไม่ได้ส่งผลกระทบมาถึงพวกชาวบ้านที่นี่

โรงเตี้ยมที่พวกมู่ชิงเกออาศัยอยู่ เป็นโรงเตี้ยมที่พวกมู่เฉินอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้พอดี โรงเตี้ยมที่ถูกมู่ลั่วฟงรังเกียจ สำหรับมู่ชิงเกอแล้วไม่นับว่าเป็นอะไรได้ ตั้งแต่ต้นจนจบนางอยู่ในอาการสงบ ไม่ได้แสดงความไม่พอใจต่อการตกแต่งของโรงเตี๊ยม

ความแตกต่างเช่นนี้ ทำให้ในใจมู่เฉินและมู่เผิงได้แต่นึกเสียดาย

จัดแจงเรียบร้อยแล้ว มู่ชิงเกอก็พาราชครู มาถึงห้องของมู่เฉิน บังเอิญมู่เผิงก็อยู่ในห้องพอดี เห็นพวกเขาทั้งสองเดินเข้ามา ทั้งสองคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ก็รีบลุกขึ้นยืน ทำความเคารพมู่ชิงเกอกับราชครู

“นายน้อยชิงเกอ! ผู้เฝ้ามอง!”

มู่ชิงเกอสาวเท้าก้าวเข้ามาอยู่หน้าโต๊ะที่พวกเขาล้อม นั่งลงท่าทีสบายๆ ราชครูที่ตามหลังนางมา ใบหน้าเฉยเมย ทำให้คนมองรอยยิ้มอย่างเห็นไม่ชัด

มู่ชิงเกอชี้ไปที่ตำแหน่งอื่นๆ เอ่ยกับมู่เฉินและมู่เผิงว่า “นั่ง”

จากนั้นก็เอ่ยกับราชครูที่อยู่ด้านหลังว่า “ราชครู ท่านเองก็นั่งเถอะ”

ทั้งสามคนนั่งลงตามที่นางบอก การมาเยือนอย่างกะทันหันของมู่ชิงเกอสำหรับมู่เฉินกับมู่เผิงแล้วทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง

พวกเขาเป็นพวกที่แยกตัวออกมาจากตระกูลมู่ของโลกแห่งยุคกลาง บัดนี้มู่ลั่วฟงตายไปแล้ว ตามเหตุผลพวกเขาควรต้องติดตามมู่ชิงเกอ รับมู่ชิงเกอเป็นนาย หรือไม่ก็กลับตระกูลมู่ยกมู่เฟิงเป็นนาย

เมื่อครู่นี้ พวกเขากำลังหารือกันเรื่องนี้

แต่เป็นเพราะว่ามู่ลั่วฟงที่ทุ่มเทฟูมฟักเพิ่งจะตายจากไป พวกเขาก็หารือเรื่องนี้กันอย่างเลื่อนลอย

“ทั้งสองท่านล้วนเป็นผู้เฉลียวฉลาด ข้าเองก็เปิดอกคุยกันแบบตรงไปตรงมาเลยแล้วกัน” มู่ชิงเกอเอ่ย ดวงตาสุกสกาวของนางกวาดตามองมู่เฉินกับมู่เผิงรอบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “จำได้ว่าครั้งก่อนข้าเคยพูดไว้ว่า คนมีความสามารถซ่อนอยู่ในเงามืด”

มู่เฉินตัวแข็งทื่อ เขาย่อมจำได้ว่ามู่ชิงเกอเอ่ยคำพูดประโยคนี้ขึ้นเมื่อใด

“วันนี้ มู่ลั่วฟงตายแล้ว ตามกฎเกณฑ์ พวกเจ้าก็ควรต้องเป็นของข้าใช่หรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงแข็ง

มู่เฉินสบสายตากับมู่เผิง ไม่มีใครอธิบายถึงการมีอยู่ของมู่เฟิง พวกเขายังมีอีกทางเลือก เพียงแค่พยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ขอรับ”

มู่ชิงเกอได้คำตอบที่ต้องการแล้ว นางก็เอ่ยเสียงสูงขึ้น นํ้าเสียงมีความน่ายำเกรงอยู่หลายส่วน “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดตอนนี้ข้ายังไม่ได้ยินพวกเจ้าคำนับเจ้านาย?”

ในใจมู่เฉินกับมู่เผิงตระหนก รีบลุกขึ้นมาทำความเคารพต่อมู่ชิงเกอแบบบ่าวเคารพเจ้านาย

ทั้งสองประสานเสียงพร้อมเพรียงกัน “นายน้อย!”

เนื่องจากคำเรียกก่อนหน้านี้หายไปสองตัว กลับทำให้พวกเขารู้สึกคล่องปากขึ้นมาก

ความซึมเศร้าที่อยู่ในใจได้รับการปัดเป่าจนหมดจดในนาทีนี้เอง

มู่ชิงเกอส่ายหน้าช้าๆ เอ่ยกับทั้งสองว่า “ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองคนคำนับข้าเป็นนายแล้ว เรื่องก่อนหน้านี้ข้าก็จะ ไม่ไปตำหนิ แต่ว่าข้ามีกฎอยู่ข้อหนึ่ง พวกเจ้าต้องชัดเจน”

“เชิญนายน้อยเอ่ย!” มู่เฉินเอ่ย

มู่ชิงเกอลุกขึ้นมา สองมือท้าวลงบนโต๊ะ โน้มตัวเยื้องไปข้างหน้า เอ่ยเสียงหนักแน่น “จำเอาไว้ พวกเจ้ารับข้ามู่ชิงเกอเป็นนาย ไม่ใช่นายน้อยตระกูลมู่”

คำพูดนี้หมายความเช่นไร?

มู่เฉินกับมู่เผิงดวงตาจริงจังขึ้นในเวลาเดียวกัน เข้าใจความแตกต่างระหว่างทั้งสอง

เดิมพวกเขาสามารถโต้แย้ง ถือเอากฎเกณฑ์ของตระกูลมู่มาเตือนมู่ชิงเกอ ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ทำ แต่เอ่ยรับคำหลังจากที่นางเอ่ยจบว่า “ขอรับ!”

“นายน้อย มีเรื่องหนึ่งข้าจำเป็นต้องบอกกับนายน้อย” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองหน้ามู่ชิงเกอแล้วเอ่ยออกมา

“ว่ามา” มู่ชิงเกอเอ่ย มู่เฉินเอ่ยว่า “แม้ว่ามู่ลั่วฟงจะตายไปแล้ว แต่ว่าผู้ท้าชิงของนายน้อยยังมีอีกหนึ่งคน เขาชื่อมู่เฟิง เป็นผู้สืบทอดตระกูลมู่ในโลกแห่งยุคลาง”

จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ออกจากตระกูลมู่ ไปจนถึงเหตุผลที่ตามหา มู่ลั่วฟง

หลังจากพูดจบ เขาก็จับจ้องสีหน้าท่าทางของมู่ชิงเกอ แต่นางกลับเอ่ยด้วยท่าทีเฉยเมย “ยังไม่ต้องไปสนใจ ภารกิจด่วนของพวกเราคือการหาเคล็ดวิชาเทวะส่วน

กลาง”

คำพูดนี้ทำเอาแววตาของมู่เฉินกับมู่เผิงเป็นประกายขึ้นมา

พวกเขาเอ่ยถามเป็นเสียงเดียวกันว่า “นายน้อย มีเบาะแสแล้วหรือ?”

มู่ชิงเกอพยักหน้า มองไปที่ราชครู “รอราชครูคำนวณตำแหน่งที่เป็นรูปธรรม”

ดีเหลือเกิน!

ทันใดนั้นมู่เฉินกับมู่เผิงก็รู้สึกถึงรสชาติต้นร้ายปลายดี

“พวกเจ้าเตรียมตัวเถอะ พรุ่งนี้ไปตระกูลซางเป็นเพื่อนข้าสักครั้ง” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นมาทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version