ตอนที่ 284
ความรู้สึกของท่านข้าไม่อยากรับ!
แสงจันทราพร่างพราว ส่องประกายราวม่านไหม…
มู่ชิงเกอรออยู่ในเมืองฝูซาเป็นเวลาสามวัน ในสามวันนี้ ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินมาหานางทุกวัน แต่กลับถูกนางตะเพิดกลับไป
ไม่ใช่ว่าไม่ปรารถนาที่จะพบหน้า แต่เพราะเดาได้ว่าพวกเขาจะมาพูดเรื่องอะไร ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องพบหน้า
เจียงหลีอยู่ชิดข้างหน้าต่างเอนตัวพิงกำแพง มองดูมู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง
มู่ชิงเกอจ้องมองแสงจันทรนอกหน้าต่าง สองมือไพล่หลัง นิ้วลูบเบาๆ บนปลอกนิ้วหลิงหลงบนนิ้วชี้ข้างขวา จากท่าทางของนางทำให้คนไม่สามารถรู้ได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
โชคดีที่เจียงหลีก็คร้านจะไปคิด โดยปกติแล้วนางก็จะเอ่ยถามออกมาตรงๆ
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
ดวงตาสุกสกาวของมู่ชิงเกอเปล่งประกายอ่อนแสง นางเก็บสายตาเอ่ยเสียงแผ่วเบา “กำลังคิดว่าจะรักษาร่างในอุณหภูมิที่ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างไรดี”
มู่เหลียนเฉิงถูกเก็บอยู่ในสภาพแวดล้อมหนาวเย็นเป็นเวลาหลายปี หากว่าสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปปุบปับ แม้ว่าร่างกายของเขาจะมีโอสถจักรพรรดิ ก็เกรงว่าจะทำให้ร่างของเขาได้รับความเสียหาย
ทว่านี่เป็นเพียงมุมมองหนึ่งของมู่ชิงเกอ
หากว่าปัญหานี้นางไม่เคยไตร่ตรองมาก่อน เหตุใดจึงเสนอหน้าไปเอ่ยว่าจะพามู่เหลียนเฉิงจากไป? ตั้งแต่นางกลับจากตระกูลซางก็เอ่ยสั่งการให้เหมิงเหมิงสรรหา พื้นที่อุณหภูมิตํ่าแห่งหนึ่งในช่องว่าง
พามู่เหลียนเฉิงไปก็ต้องเอาน้ำแข็งทมิฬไปด้วย ดังนั้นปัญหาเรื่องของอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงถูกนางจัดการแก้ไขไปตั้งแต่แรกแล้ว
“โกหก” เจียงหลีเอ่ยขัดคำพูดโกหกของนางอย่างไร้ไมตรี
มู่ชิงเกอหันมามองนาง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ฉายรอยยิ้มที่เหมือนจะมีแต่ก็คล้ายไม่มี
เจียงหลียืนตัวตรงเข้ามาเบียดนาง ยืนอยู่หน้าหน้าต่างด้วยกันกับนาง ชื่นชมแสงจันทรานอกหน้าต่าง “ปัญหาแค่นี้หากเจ้าไม่ได้ไต่ตรองเป็นอย่างดีแล้วไปเอาตัวคนที่ตระกูลซางมา ก็ไม่ใช่มู่ชิงเกอแล้ว พูดเถอะ มีเรื่องอะไรให้ลำบากใจ ระบายออกมาให้พี่สาวได้ฟัง ไม่แน่ว่าพี่สาวอาจจะมีแผนอะไรดีๆ ก็ได้นะ”
มู่ชิงเกอส่ายหน้าเบาๆ เอ่ยด้วยความจนปัญญาขึ้นว่า “มาถึงโลกแห่งยุคกลางแล้ว ก็ยังคงแก้จิตใจที่วุ่นวายเรื่องคนอื่นของเจ้าไม่ได้”
ดวงตาคู่งามของเจียงหลีเบิกกว้าง เอ่ยชี้แจงอย่างมีหลักการ มีเหตุมีผลว่า “ข้าก็แค่วุ่นวายเรื่องของเจ้าเข้าใจหรือไม่? หรือว่าเจ้าเห็นเพียงความวุ่นวายของข้า มองไม่เห็นความห่วงใยที่ซ่อนในความวุ่นวายของข้ากัน?”
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก มีเพียงเจียงหลีถึงพูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างแลดูมีเหตุผล… ‘ซาบซึ้งในบุญคุณจากก้นบึ้งของหัวใจ!’
ละลายตาจากเจียงหลีกลับไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง มู่ชิงเกอพ่นลมหายใจออกจากริมฝีปาก เอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้นช้าๆ “ข้ากำลังคิดเรื่องของตระกูลซาง”
“เรื่องอะไร?” เจียงหลีเอ่ยถาม
มู่ชิงเกอดวงตาหม่นแสง ส่วนลึกนัยน์ตาแปรเปลี่ยนไปยากจะคาดเดา “เหตุใดซางหลันรั่วต้องพูดโกหกซางซุ่นหวางด้วยว่าข้าไม่มีสายเลือดผู้สืบทอดตระกูลซาง นางไม่รู้จริงๆ หรือว่าตั้งใจปิดบัง? ไหนจะคำอธิบายเหล่านั้นของซางหลันรั่วอีก”
เจียงหลีพยักหน้าไปมาเล็กน้อย เอ่ยสนทนากับนาง “ความจริงแล้วหลังจากที่เจ้ากลับมาเล่าสิ่งที่นางพูด ข้าเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไปยุ่งยากขึ้นมาบ้างแล้ว”
“ยุ่งยาก?” มู่ชิงเกอมองหน้านาง ในสายตาฉายแววไม่เข้าใจอยู่บ้าง นางกลับไม่ได้คิดว่ามีตรงไหนยุ่งยากอะไร
เจียงหลีจ้องนาง เอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “หากว่าในตอนนั้น นางไม่ได้พยายามสักหน่อยก็จากมา และ 19 ปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยคิดถึงเจ้าเลย เช่นนั้นจัดการได้ง่าย มารดาเช่นนี้ไม่รับก็ได้ แต่ว่าเจ้าก็พูดเองว่า นางอธิบายว่าตอนนั้นนางต้องการจะฝากข้อความไว้ แต่ก็ไม่มีโอกาส วิงวอนร้องขอคนตระกูลซางให้ส่งข่าวคราวถึงตระกูลมู่ก็ถูกหลอกลวง หลังจากกลับมาที่โลกแห่งยุคกลาง นางก็ไร้วิธี หลอมศาสตราให้ผู้คน ขอให้พวกเขาเหล่านั้นส่งข่าวกลับไปยังหลินชวน แต่น่าเสียดายที่ไม่สำเร็จ พูดตามตรงก็นับว่าทุ่มเทอย่างที่สุดแล้ว และก็ไม่ได้ลืมเจ้า มารดานี้รับหรือไม่รับก็จัดการได้ยากแล้ว ส่วนที่ว่านางปิดบังความเป็นไปได้ของสายเลือดเจ้า ก็เป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกเป็นเพราะปีนั้นเจ้ายังเล็กมาก สาย เลือดยังไม่เด่นชัดนางก็เลยไม่รู้ อีกอย่างหนึ่งนั่นคือนางไม่ต้องการให้เจ้าถูกตระกูลซางจำกัดขอบเขต ถูกบังคับให้รั้งอยู่”
“หากข้าไม่ต้องการอยู่ ตระกูลซางก็รั้งข้าไว้ไม่ได้” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเรียบ
พูดแล้ว นางก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “รับหรือไม่รับไม่ใช่ปัญหา ความรู้สึกของมนุษย์ซับซ้อน ความสัมพันธ์มากมายที่ไม่ใช่อาศัยเพียงคำเรียกเพียงอย่างเดียวก็สามารถพูดได้เข้าใจ”
นางมองเจียงหลี ใช้มือชี้ไปที่หัวใจตนเอง เอ่ยชัดถ้อยชัดคำว่า “รับหรือไม่รับไม่ใช่ที่ปาก แต่เป็นที่ใจ”
อย่างน้อย จนถึงในตอนนี้ในใจของนางไม่ได้มองซางหลันรั่วเป็นมารดา
“ในเมื่อเจ้าเข้าใจ แล้วเจ้าจะมาปวดหัวทำไม?” เจียงหลีโบกมือด้วยความไม่เข้าใจ
แววตามู่ชิงเกอนิ่งขรึมลงเล็กน้อย กดเสียงตํ่ายิ่งขึ้นว่า “เป็นเพราะจุดประสงค์ในการมาตระกูลซางของข้ายังมีอีกหนึ่งเรื่อง นั่นก็คือวิธีหลอมศาสตราของตระกูลซาง”
“วิธีหลอมศาสตราของตระกูลซาง?” เจียงหลีตกใจเข้าให้แล้ว
มู่ชิงเกอพยักหน้า “ถูกต้อง วิธีหลอมศาสตราของตระกูลซาง ไม่ว่าจะพูดอย่างไร วิธีหลอมศาสตราของตระกูลซางก็เป็นแบบดั้งเดิม หากว่าได้เห็นสักครั้งก็มีส่วนช่วยในเรื่องวิชาหลอมศาสตราของข้าอย่างมาก ตอนนี้ข้าเองก็วางแผนที่จะยกระดับอาวุธยุทธภัณฑ์ขององครักษ์เขี้ยวมังกร ทว่าศาสตร์การหลอมศาสตราของข้ายังคงตันอยู่ที่อาจารย์หลอมศาสตราชั้นสมบัติ ยากที่จะทะลวงชั้น ข้าคิดว่าวิธีหลอมศาสตราของตระกูลซาง จะสามารถช่วยให้ข้าทะลวงด่านนี้ไปได้”
“อาจารย์หลอมศาสตราชั้นเทวะเช่นนั้นหรือ!” เจียงหลีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ทันใดนั้นก็ร้องขึ้นว่า “ว้าว! เจ้าวางแผนจะหลอมศาสตราไม่น้อยกว่าห้าร้อยชุดงั้นหรือ?”
นางจำได้ว่าองครักษ์เขี้ยวมังกรของมู่ชิงเกอมีห้าร้อยนาย หากว่าทุกคนพกยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะยืนออกไป ภาพนั้นช่างสุดยอดจริงๆ!
เผชิญหน้ากับอาการตื่นตระหนกตกใจของเจียงหลี มู่ชิงเกอเพียงแค่พยักหน้านิ่งๆ
ราวกับว่า การเตรียมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะห้าร้อยชุดในสายตาของนาง ไม่นับเป็นกระไรได้
เจียงหลีส่ายหน้าด้วยความชื่นชม เอ่ยยั่วเย้าว่า “มู่ชิงเกอ หากตอนนี้เจ้าบอกกับข้าว่า ต้องการเด็ดจันทราบนท้องนภามาสวมเป็นมงกุฎดอกไม้ข้าก็ไม่รู้สึกแปลก ใจ”
มู่ชิงเกอคิ้วกระตุก เข้าใจความหมายที่เจียงหลีสื่อออกมาในทันที “เจ้าไม่เชื่อข้า?”
“เชื่อสิ! เชื่อแน่นอน” เจียงหลีเอ่ยยิ้มๆ ยื่นมือมาตบไหล่มู่ชิงเกอเบาๆ เอ่ยด้วยความจริงจัง “อืม ตอนที่ผลิตหากไม่ลำบาก รบกวนผลิตยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะให้ข้าสักชิ้นด้วยนะ ขอบคุณ”
อาวุธชั้นเทวะห้าร้อยชุดเชียวนะ!
นี่ไม่ใช่ภารกิจที่แค่มีเวลาก็สำเร็จลงได้! เกรงว่าแม้แต่อาวุธที่ประมุขตระกูลซางผู้นั้นหลอมมาทั้งชีวิตก็หลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะจำนวนขนาดนี้ไม่ได้ แน่นอนว่าหาก ‘ความปรารถนาอันยิ่งใหญ่’ ของมู่ชิงเกออนี้สำเร็จได้จริง ตอนที่องครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งห้าร้อยนาย แสดงอาวุธชั้นเทวะพร้อมกัน ความรู้สึกที่ได้ดูชมก็คงจะ เยี่ยมยอดไปเลย
ฟังออกถึงการไม่เชื่อในคำพูดของเจียงหลี มู่ชิงเกอก็ได้แต่ยิ้มขี้เกียจอธิบาย
“เช่นนั้น เจ้าจะทำอย่างไรถึงจะได้วิธีหลอมศาสตราของตระกูลซางกันล่ะ?”เจียงหลีเอ่ยถาม นี่ก็เป็นจุดที่มู่ชิงเกอ ยากที่จะจัดการเช่นกัน
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว เม้มปากไม่เอ่ยวาจา
เจียงหลีพูดเองเออเองว่า “เจ้าต้องการวิธีหลอมศาสตราของตระกูลซาง ก็แค่สารภาพว่าตนเองมีสายเลือดในการหลอมศาสตรา ปรารถนาที่จะนับญาติกับตระกูลซาง ข้าคิดว่าพวกเขาก็คงไม่ตระหนี่ แต่เจ้ากลับไม่ปรารถนาที่จะเกี่ยวพันธ์กับตระกูลซางมากเกินไป และยิ่งไม่อยากถูกผูกมัดไว้ที่ตระกูลซาง เช่นนั้นก็เหลือเพียงวิธีเดียว ง้างออกมาจากปากน้องสาวของเจ้าไง”
ทว่ามู่ชิงเกอกลับส่ายหน้า “ของแบบนี้มิใช่ว่าจะเอ่ยออกมาได้ตามใจมิใช่หรือ? แล้วข้าจะไปทำให้นางลำบากใจได้อย่างไร หากเรื่องราวเปิดเผยออกมา นางก็จะติดร่างแหไปด้วย”
“เจ้านี่นะ” เจียงหลีถอนหายใจพลางส่ายหน้า “เจ้าคนนี้ คนอื่นเข้ามาพัวพันทำให้เจ้าเดือดร้อนเจ้าไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้เพียงครึ่งคำ แต่เรื่องของเจ้า กลับไม่ปรารถนาที่จะลากผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้อง”
“บนโลกนี้ สิ่งที่คืนได้ยากที่สุดก็คือนํ้าใจมนุษย์” มู่ชิงเกอยิ้มนิ่ง เอ่ยออกมา จากนั้นนางก็อธิบายว่า “แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องวุ่นๆ ของใครข้าล้วนปรารถนาจะแบกเอาไว้”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว แต่ขอเพียงเป็นคนที่เจ้ายอมรับแล้ว เจ้าก็ไม่เคยผลักภาระไปให้ ข้าเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใด องครักษ์เขี้ยวมังกรถึงได้มีจิตใจซื่อสัตย์ภักดีต่อเจ้า และเพราะเหตุใดพวกเหมยจื่อจ้งถึงได้ยินยอมที่จะลองสัมผัสกับรสชาติของการตายเก้าส่วนรอดหนึ่งส่วนแทบเอาชีวิตไม่รอดเพื่อมาตามหาเจ้า” เจียงหลีถอนหายใจ
รอยยิ้มในดวงตาของมู่ชิงเกอแทบจะฉายชัดออกมา มองหน้าเจียงหลีแล้วเอ่ยว่า “เจ้าลืมพูดถึงไปหนึ่งคน”
“หืม?” เจียงหลีแปลกใจไปชั่วครู่
มู่ชิงเกอเอ่ยยิ้มๆ “คนผู้นั้นสละอาณาจักรของตน ดินแดนมาตุภูมิ เสื้อผ้าอาภรณ์อาหารการกินชั้นดี ราษฎรนับหมื่นนับแสนเพียงเพื่อมาอยู่ข้างกายข้า”
ลีหน้าของเจียงหลีในสายตาของมู่ชิงเกอเปลี่ยนเป็นปั้นยาก นางอดไม่ได้ที่จะขนลุกขนพอง ตัวสั่นขึ้นมา ลูบแขนตนเองพลางเอ่ยขึ้นว่า “ขนลุก! ข้าบอกไปแล้วไงว่าที่ข้ามาโลกแห่งยุคกลาง ก็เพราะข้าไม่เคยมา สนใจในแผ่นดินนี้ ไม่ใช่เพราะเจ้าเพียงอย่างเดียว”
“นั่นก็มีข้าเป็นเหตุอยู่ส่วนหนึ่ง เจ้าไม่ต้องอาย” มู่ชิงเกอแย้มยิ้ม
เจียงหลีกลอกตามองนาง หันหลังจากไป อ้าปากหาว “ง่วงจัง! ข้าไปนอนแล้วนะ ขี้เกียจตากลมเป็นเพื่อนเจ้า”
เดินมาถึงข้างเตียง เจียงหลีก็พลิกตัวลงนอนบนเตียง หลังจากที่ตนกับมู่ชิงเกอได้พบกัน ยามคํ่าคืนนางก็อาศัยห้องเดียวกับมู่ชิงเกอ การกระทำเช่นนี้ราวกับยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือในฐานะ ‘บุรุษ’ ของนาง ต่อหน้าเสวี่ยหยากับเซวี่ยนหย่า หรือกระทั่งต่อหน้ามู่เฉินกับมู่เผิง นางแทบจะเป็นว่าที่ผู้หญิงของเจ้านาย
หลังจากเอนตัวลงนอน เจียงหลีเอ่ยถามขึ้นว่า “พรุ่งนี้ เจ้าก็จะไปรับคนที่ตระกูลซาง ต้องการให้ข้าไปเป็นเพื่อนหรือไม่? หรือบางทีเจ้าก็ไปดึงดูดความสนใจของตระกูลซางไว้ แล้วข้าไปช่วยขโมยวิธีหลอมศาสตราของตระกูลซางมาให้เจ้า ไม่อย่างนั้นพ้นจากวันพรุ่งนี้ไปเจ้าต้องการเข้าหาตระกูลซาง หรืออยู่ที่เมืองฝูซาเพื่อหาโอกาส ก็ไม่มีข้ออ้างแล้ว”
ใครใช้ให้มู่ชิงเกอไม่ยอมรับมารดากันล่ะ?
“ไม่ต้องหรอก เรื่องวิธีหลอมศาสตราของตระกูลซางรีบไม่ได้ นำตัวคนออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” มู่ชิงเกอเอ่ยบอกนาง
เมื่อเห็นว่าในใจของมู่ชิงเกอมีทางออกแล้ว เจียงหลีก็พยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก เอนตัวนอนบนเตียง
เจียงหลีนอนหลับแล้วทว่ามู่ชิงเกอกลับยังไม่ง่วงงุนเลยสักนิด
วิธีหลอมศาสตราของตระกูลซาง จะขโมยหรือลวงหลอก ย่อมไม่ราบรื่นอย่างแน่นอน ยังไม่ต้องพูดถึงว่านางจะฝ่าฝืนกฎระเบียบของตระกูลซางแอบบอกนางเลย แค่ว่านางรู้วิธีหลอมศาสตราทั้งหมดหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ ต้องการวิธีหลอมศาสตราแบบสมบูรณ์ เกรงว่าจะต้องลงมือกับซางซุ่นหวาง
แต่ว่า… สายตาที่สะท้อนแสงจันทราของมู่ชิงเกอนิ่งขรึมลง คิ้วก็ขมวดเข้ากัน วันนั้นที่ซางซุ่นหวางทดสอบนาง ท่าทางเช่นนั้นราวกับว่าหากนางมีสายเลือดตระกูลซาง ก็ต้องกลับเข้าตระกูลซางอย่างไรอย่างนั้น หากนางยอมรับไปจริงๆ มิใช่ว่าต้องผลิตอาวุธเพื่อตระกูลซางไปทั้งชีวิตหรอกหรือ?
ในเมื่อเปิดใจไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงแลกเปลี่ยน
ถึงกระนั้น นางจะสามารถนำสิ่งใดออกมาเป็นสิ่งที่ซางซุ่นหวางสนใจ แลกเปลี่ยนกับเขากันเล่า?
‘ใช่แล้ว!’
ทันใดนั้น แววตาของมู่ชิงเกอก็เป็นประกาย ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว สายตาของนางเปลี่ยนไปยากที่จะคาดเดา พึมพำกับตนเองว่า “แม้ไม่นับว่าเป็นอะไรที่เที่ยงธรรมนัก แต่ก็ถือว่าต่างฝ่ายต่างก็ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการในเมื่อไม่ยอมรับ แล้วจะต้องหวั่นเกรงต่อสายตาประณามหยามเหยียดว่าไม่กตัญญูของผู้อื่นไปทำไม?”
หมดคำพูดแล้ว สายตาของนางก็สงบนิ่ง เปลี่ยนไปแน่วแน่เหลือใดเปรียบ
วันที่สอง เป็นวันนัด
เช้าตรู่ มู่ชิงเกอก็พามู่เฉิน มู่เผิง และยังปล่อยไป๋สี่ออกมามุ่งหน้าตรงไปตระกูลซาง ผู้ที่ร่วมทางไปยังมีเหมยจื่อจ้ง
สามคนหน้าเป็นคนที่มู่ชิงเกอเตรียมไว้ในกรณีที่การเดินทางวันนี้ไม่ราบรื่น มีสามคนนี้อยู่ก็มีประโยชน์ในการข่มขวัญ ทำให้ก่อนที่ตระกูลซางจะตัดสินใจก็ต้องพิจารณาดูให้ละเอียดเสียก่อน
ไม่ได้ปล่อยหยวนหยวนออกมา เป็นเพราะว่าหยวนหยวนเป็นร่างพญาเพลิง นางไม่แน่ใจว่าจะถูกตระกูลซางมองออกหรือไม่ หากมองออกนั่นมิใช่ว่าเปิดเผยตน เองหรืออย่างไร?
ยังไงเสียแม้ว่าจะอยู่ในช่องว่าง หากว่ามีเรื่องด่วน นางก็สามารถเรียกปล่อยออกมาได้ตามใจ
ส่วนที่พาเหมยจื่อจ้งมา นั่นก็ด้วยเรื่องอื่น
“ศิษย์พี่เหมย เมื่อถึงตระกูลซางแล้ว ทุกอย่างขอให้ฟังคำสั่งข้า ใช่แล้ว ตอนนี้ศิษย์พี่สามารถหลอมโอสถในระดับใด?” มู่ชิงเกอยืนอยู่นอกประตูตระกูลซางเอ่ยบอกเหมยจื่อจ้ง
เหมยจื่อจ้งสุขุมนุ่มลึก ดูสะอาดบริสุทธิ์ไร้การแปดเปื้อน ยืนอยู่ข้างมู่ชิงเกอ เอ่ยตอบคำถามนางว่า “ชั้นสมบัติ”
ชั้นสมบัติ!
มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นมา เอ่ยกับเขาว่า “เพียงพอแล้ว”
เพียงไม่นานคนของตระกูลซางก็ออกมา เชิญพวกเขาเข้าไปข้างใน มู่ชิงเกอได้พบหน้าซางซุ่นหวางอีกครั้งในโถงใหญ่ตระกูลซาง นอกจากเขาแล้วยังมีอีกสองคน วันแรกที่มาพวกเขาก็อยู่
แบ่งเป็นผู้อาวุโสรองกับผู้อาวุโสสามตระกูลซาง
ผู้ดูแลตระกูลซางคือซางซุ่นหวาง ดังนั้นนอกจากเขาจะเป็นประมุขของตระกูลแล้วก็เป็นผู้อาวุโสใหญ่อีกด้วย พี่น้องของเขาแบ่งกันดูแลเรื่องต่างๆ แบ่งเป็นผู้อาวุโสรอง กับผู้อาวุโสสาม
ส่วนรุ่นผู้เฒ่าในปัจจุบันส่วนมากก็ไม่ได้ดูแลเรื่องงาน บ้างก็ตั้งสมาธิฝึกพลังยุทธ์ บ้างก็เก็บตัวหลอมศาสตรา
ถึงกระนั้นตระกูลซางในทุกวันนี้ ก็หลงเหลือเพียงผู้อาวุโสอยู่สามสี่ท่าน ส่วนคนรุ่นเยาว์ก็ยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่มีคนที่พรสวรรค์โดดเด่นเป็นธงนำในรุ่นหนุ่มสาว การเสื่อมถอยของตระกูลซางปรากฎออกมาให้เห็นแล้ว
ใช้ถ้อยคำง่ายๆ เพียงสี่คำก็สามารถบรรยายสภาพการณ์ในปัจจุบันของตระกูลซางได้ว่า หัวท้ายไม่ต่อ
ผู้อาวุโสสามมู่ชิงเกอยังพอคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่สำหรับผู้อาวุโสรองนั้นกลับมีวาสนาได้พบเพียงแค่ครั้งเดียว ดังนั้นเมื่อนางนั่งลงในโถงใหญ่ตระกูลซาง สายตาของนางก็กวาดตามองผ่านเขาเงียบๆ ไม่ได้ให้ความสนใจอะไร
“เจ้ามาจริงๆ ด้วย” พอมู่ชิงเกอนั่งลง ซางซุ่นหวางก็เอ่ยขึ้นมา นํ้าเสียงเป็นแบบผู้อาวุโสกับคนรุ่นหลัง
มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “พูดแล้วว่าสามวันให้หลังมารับตัวคน ย่อมไม่มีทางผิดสัญญา”
ซางซุ่นหวางดวงตาเป็นประกาย เอ่ยกำชับบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ “ไปเถอะ”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นโค้งตัวถอยออกไป ท่าทางนั้นราวกับว่าไปตามซางหลันรั่ว
ในโถงใหญ่ตกอยู่ในความเงียบสงบ
ถือโอกาสตอนที่ซางหลันรั่วยังไม่ปรากฎตัวออกมา มู่ชิงเกอก็เอ่ยกับซางซุ่นหวางว่า “ประมุขซาง มีข้อแลกเปลี่ยนหนึ่งต้องการสนทนากับท่านเป็นการส่วนตัว”
แววตาซางซุ่นหวางสุขุม สายตาเปลี่ยนไปหลายส่วน ก่อนจะลุกขึ้น เอ่ยบอกนางว่า “เจ้าตามข้ามา”
มู่ชิงเกอยิ้มน้อยๆ ลุกขึ้นเดินตามซางซุ่นหวางไปตรงมุมห้องโถงใหญ่
ทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน ซางซุ่นหวางสะบัดมือ พลังจิตแสงสีทองก็แผ่ออกมาจากมือของขา ลำแสงปกคลุมตัวพวกเขา ตัดขาดกับคนอื่นที่อยู่ในห้องโถง
พวกเขาสามารถมองเห็นกันได้ แต่ว่าไม่ได้ยินว่าซางซุ่นหวางกับมู่ชิงเกอเจรจาเรื่องอะไรกัน
“เจ้าจะพูดอะไร?” ซางซุ่นหวางเอ่ยถาม
มู่ชิงเกอยิ้มเฉยชา สายตามองทะลุลำแสงที่ปกคลุมตัวอยู่ไปทางเหมยจื่อจ้ง “ประมุขซาง ท่านเห็นชายที่มีบุคลิกราวเทพเซียนผู้นั้นหรือไม่?”
ซางซุ่นหวางมองตามสายตานางไป เหมยจื่อจ้งที่นิ่งขรึมเกินมนุษย์มีความโดดเด่น
พยักหน้าเงียบๆ เขาไม่ได้เอ่ยปาก ต้องการดูว่ามู่ชิงเกอจะมาไม้ไหน
“คนผู้นั้นเป็นอาจารย์หลอมโอสถชั้นสมบัติ” มู่ชิงเกอบอกตัวตนของเหมยจื่อจ้งอย่างมีความหมาย แม้ว่า ศาสตร์การหลอมโอสถของเหมยจื่อจ้งจะไม่ได้ศึกษาที่ โลกแห่งยุคกลาง แม้ว่าเขาจะไม่มีป้ายทักษะการหลอมโอสถที่โลกแห่งยุคกลางยอมรับ แต่นางมี!
นางสามารถเอาตัวเองมาเป็นเงื่อนไขในการแลกเปลี่ยนนี้ แต่ว่านางกลับไม่ปรารถนา
ควักป้ายทองที่ผู้อาวุโสโรงโอสถให้นางมาในปีนั้นออกมาจากอกเสื้อ มู่ชิงเกอยื่นมันไปตรงหน้าซางซุ่นหวาง ซุงซุ่นหวางหลุบตาลงมองรับป้ายจากมือของมู่ชิงเกอมาพิจารณาโดยละเอียดรอบหนึ่ง ก่อนคืนให้นาง พยักหน้าเอ่ยด้วยนํ้าเสียงราบเรียบ “อืม เป็นอาจารย์หลอมโอสถชั้นสมบัติจริงๆ ทำไมหรือ เจ้าต้องการบอกข้าว่าเจ้าหาตัวอาจารย์หลอมโอสถเจอแล้ว ดังนั้นก็สามารถช่วยชุบชีวิตบิดาเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
มู่ชิงเกอส่ายหน้าช้าๆ ให้กับการคาดเดาของเขา “ไม่ เรื่องที่ข้าต้องการคุยกับท่านไม่ใช่เรื่องของมู่เหลียนเฉิง แต่เป็นเรื่องของซางหลันรั่ว”
“หลันรั่ว?” ส่วนลึกในสายตาลึกลํ้าของเขาจริงจังขึ้น นํ้าเสียงมีความประหลาดใจอยู่หลายส่วน “หลันรั่วมีเรื่องอะไร?”
มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “วันนั้นตอนที่อาจารย์หลอมโอสถผู้นี้มาถึงตระกูซางก็มองออกว่าชีพจรของนางสะสมไอความเย็นไว้ ไอความเย็นเหล่านั้นกัดกิน ชีพจรของนางและอวัยวะภายใน อีกอย่างนางสัมผัสกับมู่เหลียนเฉิงมากเกินไป ถูกกลิ่นไอของคนตายอาบย้อม กลิ่นไอของคนตายเหล่านี้กัดกินร่างกายของนางเป็นระยะ หากไม่รีบรักษาเกรงว่านางจะอยู่ได้อีกไม่นาน”
สุดท้ายถูกนางพูดเกินความจริง แต่ก็ไม่ต่างกันมาก
ตอนแรกที่นางได้สัมผัสร่างกายของซางหลันรั่ว ก็รู้สึกได้ถึงปัญหาร่างกายภายในของนาง ภายหลังได้พบหน้ากันเป็นครั้งที่สองนางก็อาการกำเริบ หากว่าไม่จัดการแล้วล่ะก็ แม้ว่าซางหลันรั่วจะไม่ได้ตายในทันที แต่ว่าก็จะค่อยๆ อ่อนแอลงเนื่องจากร่างกายถูกกัดกิน ร่างกายแย่ลงเรื่อยๆ ผ่ายผอมไปทุกวันๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบกับปัญหาเรื่องอายุขัย
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!” ซางซุ่นหวางเบิกตากว้าง จ้องมู่ชิงเกอเขม็ง ราวกับกำลังตัดสินคำพูดของนางอยู่ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ
มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นอีกว่า “ท่านอาจารย์เหมยบอกว่าเขาสามารถจัดการปัญหาสุขภาพบนตัวของซางหลันรั่วได้ แต่ว่าเขาจะลงมือหรือไม่ การตัดสินใจขึ้นอยู่ที่ข้า”
วางปัญหานี้ลงชั่วคราว ซางซุ่นหวางเอ่ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงติดจะเย็นชาว่า “นางเป็นมารดาของเจ้า ตอนนี้เจ้ากลับนำชีวิตนางมาแลกเปลี่ยนสิ่งที่เจ้าต้องการกับข้า ทำเช่นนี้เจ้าไม่รู้สึกละอายแก่ใจเลยหรือ?”
มู่ชิงเกอกลับเอ่ยอย่างไม่เห็นเป็นเช่นนั้น “มารดา? ประมุขซางล้อเล่นแล้ว 19 ปีมานี้ข้าไม่เคยรู้เลยว่าตนเองมีมารดาอยู่คนหนึ่ง ที่หลินชวนข้าเป็นคุณชายเจ้า สำราญ ไม่ใช่วีรบุรุษอะไร ยิ่งไม่รู้ว่าอะไรคือความกตัญญู ดังนั้นท่านไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำสวยหรูเหล่านี้กับข้า หนึ่งชีวิตแลกกับศาสตร์การหลอมศาสตรา ข้าดูว่ายังคงเป็นตระกูลซางที่ได้กำไร จะทำหรือไม่ทำก็ดูที่ตัวท่านประมุขซางแล้ว”
“เจ้า!” สีหน้าซางซุ่นหวางเคร่งเครียด เขาไม่คิดว่ามู่ชิงเกอจะเอ่ยคำพูดที่แสนจะเย็นชาไร้ความรู้สึกเช่นนี้ออกมาได้
หนึ่งผู้เฒ่าหนึ่งคนหนุ่มฟาดฟันกันทางสายตา เป็นเนิ่นนานก่อนที่ซางซุ่นหวางจะเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถข่มขู่ข้าได้หรือ? ข้าเองก็สามารถไปตามหาอาจารย์
หลอมโอสถชั้นสมบัติได้”
มู่ชิงเกอยักไหล่อย่างไม่สนใจ “เช่นนั้นก็เชิญตามสบาย แต่ว่าเท่าที่ข้ารู้มาคือที่เขตภาคตะวันตก อาจารย์หลอมโอสถมีจำนวนน้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาจารย์หลอม ศาสตราชั้นสมบัติ แม้ว่าตระกูลซางจะเดินทางมุ่งไปยังเขตภาคตะวันออกเพื่อขอโอสถ ก็ไม่รู้ว่าคนที่พบจะสามารถหลอมโอสถที่รักษาอาการป่วยได้แบบหายขาด หรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่รู้ว่าซางหลันรั่วจะทนได้ถึงตอนนั้นหรือไม่”
“เจ้ามีหัวใจหรือไม่?!” ซางซุ่นหวางตวาดเสียงดัง
“ประมุขซางเอ่ยชมเกินไปแล้ว ข้ามีหัวใจหรือไม่ ย่อมไม่ต้องให้ประมุขซางเป็นห่วง ตอนนี้ข้าเองก็อยากถามท่าน ว่าในหัวใจของประมุขซาง ชีวิตของลูกสาวสำคัญหรือว่าศาสตร์การหลอมศาสตราฉบับหนึ่งสำคัญกันแน่?” ดวงตาสุกสกาวของมู่ชิงเกอเปล่งแสงออกมา สีหน้าท่าทางนั้นราวกับกระจกใสส่องสว่างในใจผู้คน
ทั้งตัวซางซุ่นหวางคล้ายกับถูกสายฟ้าฟาด เขามองเห็นตนเองในส่วนลึกดวงตาสุกสกาวของมู่ชิงเกอ มองเห็นโครงหน้าที่ดุร้ายของตนเอง มองเห็นความบิดเบี้ยวในสายตาตนเอง
“ข้าปฏิเสธ!” เขาบอกคำตอบตนเองท่ามกลางสายตานี้ คำตอบนี้ทำเอาสายตามู่ชิงเกอเคร่งขรึม ทันใดนั้นนางก็หัวเราะ “ดูแล้ว ประมุขซางก็เป็นคนไร้หัวใจ เอาเถอะถือซะว่าข้าไม่เคยพูดเรื่องนี้ออกมาก็แล้วกัน แน่นอนว่าหากประมุขซางเปลี่ยนความคิดในช่วงที่ข้ายังอยู่ที่เมืองฝูซา ก็สามารถมาพบข้าได้ตลอดเวลา”
พูดจบนางก็หันหลังออกมาจากม่านพลังที่ซางซุ่นหวางสร้างขึ้น เดินตรงไปยังตำแหน่งเดิม ทว่ารอยยิ้มมุมปากของนางหายไปช้าๆ ส่วนลึกนัยน์ตาผุดนํ้าแข็งบางๆ
คนไร้หัวใจ!
สีหน้าซางซุ่นหวางเขียวสลับขาว มือที่ซ่อนในแขนเสื้อกำเข้าหากันแน่น
ตระกูลซางมีกฎระเบียบที่สืบทอดต่อกันมา นอกจากคนตระกูลซางแล้วผู้ใดก็ไม่อาจแตะต้องศาสตร์การหลอมศาสตราได้ ผ่านมาเป็นพันปีกฎระเบียบนี้ก็ยังรักษากันมาอย่างเคร่งครัด ไม่อาจปล่อยให้มาเสียในรุ่นของเขาได้
มู่ชิงเกอเดินกลับไปนั่งที่เดิม เหมยจื่อจ้งมองมาทางนาง เอ่ยถามเบาๆ “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“เขาปฏิเสธ” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา
นี่เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถแก้ไขในสิ่งที่ทั้งสองต้องการอย่างสันติ แต่ซางซุ่นหวางกลับไม่ได้ทบทวนอะไรมากก็ปฏิเสธเสียแล้ว
“ไม่ต้องรีบ ต้องมีวิธีอื่นอีก” เหมยจื่อจ้งเอ่ยปลอบ
มู่ชิงเกอพยักหน้า อารมณ์กลับเป็นปกติ
ซางซุ่นหวางเองก็กลับมาที่ของตนเอง
“ท่านประมุข…” ผู้อาวุโสสามเอ่ยด้วยความกังวล ตอนนี้สีหน้าของซางซุ่นหวางไม่ดีเลย
ผู้อาวุโสรองก็มองมาทางเขา ในสายตาก็เขียนคำถามไว้เต็มไปหมด
ซางซุ่นหวางส่ายหน้าช้าๆ “ข้าไม่เป็นอะไร”
พอเขาพูดจบ ซางหลันรั่วก็เดินเข้ามาในโถงใหญ่ โดยมีซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินมาเป็นเพื่อน พอเข้ามาในโถงใหญ่ ดวงตาคู่นั้นของซางหลันรั่วก็จ้องมองไปยังมู่ชิงเกอด้วยอารมณ์หลากหลาย
“เกอเอ๋อร์…” นางพึงพำเสียงแผ่วเบา
ส่วนมู่ชิงเกอกลับไม่มองเลยสักนิด
“หลันรั่ว นั่งสิ” เมื่อได้รู้สภาพร่างกายของซางหลันรั่ว นํ้าเสียงที่ซางซุ่นหวางเอ่ยกับนางก็อ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว
ซางหลันรั่วถูกซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินพามานั่งลงบนที่นั่งอีกฝั่งหนึ่งตรงข้ามกับมู่ชิงเกอ ฝาแฝดสองคนก็ยืนอยู่หลังมารดาตามระเบียบ มองดูพี่สาวของตนด้วยอารมณ์ที่หลากหลายเช่นกัน
พี่สาวจะพาร่างบิดากลับไป พวกเขาก็ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด
ฝั่งหนึ่งก็พี่สาว ฝั่งหนึ่งก็มารดาพวกเขาคิดไม่ออกว่า เพราะเหตุใดไม่สามารถอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันได้? เหตุใดต้องตัดสินใจเลือก?
“ฮูหยินซาง วันนี้ครบกำหนดสามวัน ข้ามารับคน” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นตรงๆ
ได้ยินลูกสาวเรียกตนเองว่า ‘ฮูหยิน’ ในใจซางหลันรั่วก็ปวดร้าวยากที่จะเปรียบ นางกลั้นน้ำตาเผยยิ้ม “เกอเอ๋อร์ ต้องเป็นเช่นนั้นหรือ? ข้ากับบิดาเจ้าเคียงคู่กันมา จนถึงตอนนี้ หากเจ้าตั้งมั่นว่าจะพาเขาไป ข้าก็จำเป็นต้องตามไปด้วย”
“ข้าพเนจรไปทั่วทุกสารทิศ ฮูหยินอยู่ที่ตระกูลซางจะดีกว่า ส่วนพวกเขา…” มู่ชิงเกอมองดูพวกซางเสวี่ยอู่ แล้วก็เอ่ยว่า “จะช้าจะเร็วพวกเขาก็ต้องเดินทางไปตระกูลมู่ที่หลินชวนสักครั้ง”
“บังอาจ!” ผู้อาวุโสรองตระกูลซางฟังต่อไปไม่ไหว ตะคอกด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ
ซางซุ่นหวางไม่ได้ห้ามปราม
มู่ชิงเกอก็มองมาทางเขา เอ่ยขี้เล่นว่า “บังอาจรึ?”
ผู้อาวุโสรองตระกูลซาง เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “เจ้าเป็นสายเลือดของหลานหลันรั่ว พวกเรายอมให้เจ้าหลายเรื่อง แต่ว่าเจ้าอย่าได้มาทำตัวได้คืบจะเอาศอก!”
“ได้คืบจะเอาศอก? ข้ากลับไม่เข้าใจว่าผู้อาวุโสเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” รอยยิ้มของมู่ชิงเกอยิ่งขี้เล่นมากขึ้น “ข้ามารับบิดาข้า ให้สายเลือดตระกูลมู่กลับสู่บรรพชน นี่เรียกว่าได้คืบจะเอาศอกหรือ?”
“เหอะ! ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินเป็นสายเลือดตระกูลซางเรา สิบกว่าปีที่ผ่านมาตระกูลซางทุ่มเทให้พวกเขาไปเท่าไร มิใช่พูดว่าจะพาไปก็พาไปได้? คนตายผู้นั้นหากเจ้าต้องการพาตัวไปก็พาไปได้ แต่คิดจะพาซางเสวี่ยอู่ไป นี่เป็นไปไม่ได้!” ผู้อาวุโสรองสะบัดแขนเสื้อ
คำพูดประโยคนี้พูดแล้วทำให้บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไป
“ผู้อาวุโสรองนั่งลง” ซางซุ่นหวางเอ่ยขัดออกมาในตอนนี้เอง
หลังจากที่ผู้อาวุโสรองตระกูลซางแค่นเสียงด้วยความไม่สบอารมณ์ถึงได้นั่งลงด้วยความไม่พอใจ
คำพูดนี้ของเขาทำเอาส่วนลึกในดวงตาลุกสกาวของมู่ชิงเกอย้อมไปด้วยความโกรธ
ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินเองก็ไม่ได้รู้สึกดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งซางอี้เฉิน คำพูดนั้นของผู้อาวุโสรองแทบจะเป็นการโจมตีจิตใจ ซางเสวี่ยอู่ไปไม่ได้ แล้วเขาไม่สำคัญหรือ?
ก็เหมือนกับบิดา ในสายตาของคนอื่นในตระกูลซาง ก็เป็นภาระอย่างหนึ่ง!
“ผู้อาวุโสรอง โปรดระวังวาจาของท่านด้วย!” ซางหลันรั่ว สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ลุกขึ้นเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสรอง “คนตายที่ท่านเอ่ยถึงเป็นสามีของข้า ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินก็เป็นสายเลือดตระกูลมู่ กลับไปเคารพบรรพชนก็เป็นเรื่องแค่ช้าเร็วเท่านั้น”
“หลานหลันรั่วเจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หรือต้องการทำตัวเป็นคนเนรคุณ?” ผู้อาวุโสรองเอ่ยเสียงดัง
“เจ้ารอง พอแล้ว!” ซางซุ่นหวางเอ่ยขัดขึ้นอีกครั้ง เขากังวลว่าซางหลันรั่วจะได้รับการกระทบกระเทือนอีกครั้ง
ผู้อาวุโสรองมองเขา เอ่ยด้วยความไม่เข้าใจ “ประมุข ท่านจะปล่อยไปเช่นนี้? ปีนั้นนางเอาแต่ใจตัวเอง เดินทางไปหลินชวนเพียงลำพัง คิดไม่ถึงว่าจะตัดสินใจเรื่องใหญ่ด้วยตัวเอง พวกเราทุ่มเทเรี่ยวแรงตั้งเท่าไรถึงจะตามนางกลับ นางไม่เพียงพาคนตายกลับมาด้วยคนหนึ่ง ทั้งยังตั้งครรภ์บังคับให้เราต้องล่วงเกินตระกูลอิ๋งอย่างเสียมิได้ ชดใช้ไปตั้งเท่าไรถึงจะให้เพลิงโทสะของตระกูลอิ๋งสงบลง ยกเลิกงานหมั้น? หลายปีมานี้ เพื่อการเลี้ยงดูคนตายคนนั้น ตระกูลซางเราจ่ายออกไปเท่าไร? แม้แต่เจ้าสองคนนี้ ก็กินของตระกูลซาง ดื่มของตระกูลซาง ใช้ของตระกูลซาง เสวี่ยอู่ยังดีมีสายเลือดตระกูลซางไหลเวียน ยังมีพรสวรรค์อายุยังน้อยไม่เพียงแต่หลอมศาสตราสำเร็จ ยังมีชื่ออยู่บนทำเนียบฉูเฟิ่ง แต่ว่าซางอี้เฉินน่ะหรือ? สายเลือดหลอมศาสตราไม่ได้ถ่ายทอดไปสักนิดก็ช่างเถอะ ด้านการฝึกพลังยุทธ์ก็ขี้เกียจ ไม่รู้จักมุมานะพยายาม เป็นเช่นนี้พวกเราก็เลี้ยงดูมา 19 ปี วันนี้คนตระกูลมู่ตามมา เอ่ยประโยคเดียวว่าจะพาเสวี่ยอู่ไป? ข้าไม่เห็นด้วยเด็ดขาด!”
“พี่รองท่านอย่าได้พูดอีกเลย ปีนั้นท่านประมุขก็บอกแล้วว่าจะให้เสวี่ยอู่กับอี้เฉินกลับไปเคารพบรรพชน หลันรั่วถึงได้ยอมให้พวกเขาใช้แซ่ซางชั่วคราว” ผู้อาวุโสสามเอ่ยขัด
ผู้อาวุโสรองเอ่ยแน่วแน่ “คนอื่นข้าไม่สนใจ เสวี่ยอู่ไม่สามารถไปจากตระกูลซางได้เด็ดขาด”
“พอแล้ว!” ทันใดนั้นซางอี้เฉินก็ตะโกนออกมา
การตะโกนนี้ทำเอาคนในโถงทั้งหมดต่างหันมามองเขา เห็นเพียงดวงตาแดงระเรื่อของเขา สองไหล่สั่นน้อยๆ หน้าอกกระเพื่อม เขาเอ่ยเสียงขรึม “ข้าเป็นหนี้ตระกูลซาง ช้าเร็วข้าก็ต้องชดใช้คืน”
เขาเงยหน้าขึ้นมองมู่ชิงเกอ นํ้าเสียงสั่นเครือจะร้องไห้ “ลูกพี่ ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว ท่านจะยอมรับข้าหรือไม่ เห็นด้วยกับการกลับตระกูลมู่ของข้าหรือไม่ นับจากนี้ข้าชื่อมู่อี้เฉิน ไม่ใช่ชื่อซางอี้เฉินอีกต่อไป”
มู่ชิงเกอหรี่ตาลงสองข้าง ไม่ได้เอ่ยวาจา
“อี้เฉิน!” ซางเสวี่ยอู่กับซางหลันรั่วต่างก็มองเขาด้วยความตระหนกตกใจ
ซางอี้เฉิน…มู่อี้เฉินก้าวเท้ายาวๆ เดินออกมา คุกเข่าลงสองข้างหันไปโขกศีรษะให้กับซางซุ่นหวาง
หลังจากเสียงโขกศีรษะดังขึ้นสามครั้ง เขาก็เอ่ยกับซางซุ่นหวางนํ้าตาไหลพราก “ท่านตา ขอบคุณท่านแล้วก็บุญคุณของตระกูลซางที่เลี้ยงดูตลอด 19 ปี นับแต่วันนี้ไป อี้เฉินออกจากตระกูลซาง ไม่ได้รับบุญคุณจากตระกูลซางอีก ส่วนที่ติดค้างก่อนหน้านี้ข้าจะชดใช้ให้ทั้งหมด แต่ว่าท่านตาได้โปรดอนุญาตให้ข้ากลับมาเยี่ยมท่านแม่ได้บ่อยๆ”
“พอแล้ว!”
“พอแล้ว!”
มู่ชิงเกอกับซางซุ่นหวางเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
ทั้งสองฝ่ายมองกันอยู่ครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอลุกขึ้นช้าๆ เอ่ยกับประมุขซางทั้งสามท่านว่า “ข้าบอกว่าจะพาพวกเขาไปทำความเคารพบรรพบุรุษ ก็ต้องกลับไปทำความเคารพบรรพบุรุษ ใครก็ขาดไม่ได้ พวกเขาทั้งสองคนก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลซาง เลี้ยงดูหลายปีกลับมาคุยเรื่องค่าใช้จ่ายกับข้า ข้าก็คงต้องขอมองว่าในใจของพวกท่าน มู่เสวี่ยอู่ก็เป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งเท่านั้น”
คำว่า ‘มู่เสวี่ยอู่’ ในคำพูดของนางทำเอาซางเสวี่ยอู่ตะลึงไปทั้งตัว นัยน์ตารื่นนํ้าตาอุ่น พึมพำว่า “ลูกพี่!”
“ไม่ผิด ข้าเป็นตาของพวกเขา เลี้ยงดูพวกเขาก็เป็นเรื่องสมควร นับแต่นี้เป็นต้นไป ไม่อนุญาตให้ใครยกเรื่องนี้มาพูด ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าพวกเขาจะแซ่มู่ แต่ก็เป็นลูกหลานตระกูลซางเราเช่นกัน เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้” ซางซุ่นหวางเอ่ย
คำพูดของเขาทำให้ผู้อาวุโสรองใจคอแห้งเหี่ยว
ส่วนมู่ชิงเกอกลับมีสีหน้าแปลกใจ
ราวกับว่าซางซุ่นหวางที่ปล่อยวางชีวิตลูกสาวโดยไม่ลังเลเมื่อครู่นี้ กับซางซุ่นหวางที่เอ่ยปกป้องฝาแฝดตระกูลมู่ในตอนนี้เป็นคนละคนกัน ไม่คิดว่า จู่ๆ ซางซุ่นหวางก็มองมาที่นาง เอ่ยว่า “เจ้าต้องการสิ่งที่เจ้าอยากได้ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเมื่อครู่นี้หากเจ้ายอมรับข้าเป็นตา ยอมรับมารดาของเจ้า เมื่อพิสูจน์สายเลือดของเจ้า ศาสตร์การหลอมศาสตราของตระกูลซางก็ถ่ายทอดให้เจ้าได้โดยไม่ตระหนี่”
“ประมุข!” ผู้อาวุโสรองถูกคำพูดของซางซุ่นหวางชวนให้ตระหนก
ผู้อาวุโสสามเองก็มองเขาตาโตอ้าปากค้าง ซางหลันรั่วมองหน้ามู่ชิงเกอ นางไม่คิดว่ามู่ชิงเกอต้องการศาสตร์การหลอมศาสตราของตระกูลซาง
ลวงข้าหรือ?
มู่ชิงเกอยิ้มเย็นในใจ เรื่องนี้มองเผินๆ คล้ายว่าเป็นการซื้อขายที่คุ้มค่า แต่ความจริงแล้วผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือซางซุ่นหวาง หากว่านางยอมนับญาติกับตระกูลซางเพื่อให้ได้ศาสตร์การหลอมศาสตราจริงๆ ในฐานะลูกสาวของซาง หลันรั่ว มารดาป่วยไข้ นางจะช่วยหรือไม่ช่วย? ย่อมต้องช่วย
ช่วยซางหลันรั่วแล้ว ตระกูลซางยังมีอาจารย์หลอมศาสตราเพิ่มขึ้นมาอีกคน
นี่เป็นการคำนวณของซางซุ่นหวาง!
มู่ชิงเกอยิ้มเฉยเมย เอ่ยขึ้นช้าๆ ท่ามกลางการรอคอย ของซางซุ่นหวางว่า “ข้าก็แค่รู้สึกประหลาดใจต่อศาสตร์การหลอมศาสตราของตระกูลซางก็เท่านั้นเอง ดูหรือไม่ สำหรับข้าแล้วไม่สำคัญ”
นางปฏิเสธไปแล้ว ไม่มีทางกระโดดลงไปในกับดักที่ซางซุ่นหวางขุดเอาไว้อย่างเด็ดขาด
ทำเอาแววตาซางซุ่นหวางขุ่นมัว
“เจ้าพาบิดาเจ้าไปเสียเถอะ” จู่ๆ ซางหลันรั่วก็ลุกขึ้นยืน
คำตอบที่แสนเต็มใจนี้ของนาง ทำเอามู่ชิงเกอประหลาดใจอยู่บ้าง และก็ทำให้พวกซางซุ่นหวางประหลาดใจ ซางหลันรั่วกลับมองเพียงมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยกับนางว่า “เจ้า ตามข้ามา”
พูดจบ นางก็ผลักการประคองของซางเสวี่ยอู่ออก หันหลังเดินออกไปจากโถงใหญ่
มู่ชิงเกอดวงตาเป็นประกาย ลุกขึ้นยืนเดินตามออกไป คนในโถงใหญ่ถูกเหตุการณ์นี้ทำเอาไม่เข้าใจอยู่บ้าง ซางซุ่นหวางเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าทั้งสองยังไม่รีบตามไปดูมารดาพวกเจ้าอีก?”
แต่ว่าขณะที่ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินกำลังจะตามไปนั้น ไป๋สี่ก็กระโดดออกมาขวางหน้าพวกเขาไว้ เอ่ยด้วยรอยยิ้มเกียจคร้านว่า “เจ้านายของข้าไม่ปรารถนาให้ใครไปรบกวนในตอนนี้”
และในเวลานี้เองมู่เฉินก็เอ่ยว่า “ประมุขซาง ให้เวลาพวกเขาแม่ลูกได้อยู่ด้วยกันสักหน่อยเถอะ บางทีอาจคลายปมในใจได้?”
มาตระกูลซางตั้งหลายครั้ง แม้ว่าจะเป็นคนโง่เขลาขนาดไหนก็สามารถเดาความสัมพันธ์ระหว่างมู่ชิงเกอกับตระกูลซางได้
“เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้สักประเดี๋ยว” ซางหลันรั่วพามู่ชิงเกอมาที่เรือนหลังเล็ก ทว่ากลับทิ้งให้นางรออยู่ที่โถงหน้า ตนเองเดินเข้าไปด้านใน
มู่ชิงเกอมองนางเดินจากไปโดยไม่เอ่ยอะไร
นางมองว่าการจะพาตัวมู่เหลียนเฉิงไปนั้น อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดคือซางหลันรั่ว แต่มาวันนี้นางกลับรับปากอย่างง่ายดาย ความผิดปกตินี้ทำให้นางเดาไม่ถูกว่า ซางหลันรั่วคิดอะไรอยู่
ผ่านไปเนิ่นนาน ซางหลันรั่วก็เดินออกมาจากห้อง ในมือ ถือม้วนกระดาษออกมา “ในนี้เขียนเอาไว้ว่าจะดูแลบิดาของเจ้าอย่างไร ยังมีตัวยาที่เขาเคยใช้อยู่ก่อนหน้านี้ เจ้าเก็บไว้ให้ดี”
มองดูม้วนกระดาษที่ส่งมาตรงหน้าตนเอง มู่ชิงเกอก็ยื่นมือออกไปรับ
ขณะที่ตัดสินใจว่าจะเปิดออกดูก็ถูกซางหลันรั่วเอ่ยขัด “ตามข้าไปรับตัวบิดาเจ้าเถอะ ม้วนกระดาษนี้ดูช้าหน่อยก็ไม่สาย”
นางหันหลังเดินไปทางอุโมงค์หิมะ มู่ชิงเกอเดินตามหลังนาง พิจารณาภาพด้านหลังนางด้วยความสงสัย
“ในเมื่อรับตัวบิดาเจ้าแล้ว ก็ออกไปจากเมืองฝูซาให้เร็วหน่อยอย่าได้เสียเวลา เสวี่ยอู่กับอี้เฉินยังเด็ก ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม เจ้าก็เป็นพี่สาวของพวกเขา ต่อไปเจ้าต้องดูแลพวกเขาให้ดี”
ซางหลันรั่วอยู่ๆ ก็เอ่ยกำชับสิ่งเหล่าขึ้นมา พามู่ชิงเกอไปอยู่ตรงหน้ามู่เหลียนเฉิง นางคุกเข่าอยู่ข้างมู่เหลียนเฉิง จัดระเบียบเสื้อผ้าและผมเผ้าให้เขาอีกครั้ง เอ่ยพึมพำ นํ้าเสียงรื่นหูราวสมัยหวานชื่น เอ่ยขึ้นช้าๆ “เหลียนเฉิง เกรงว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะแต่งกายให้เจ้า เจ้าดูเอาสิการนอนครั้งนี้ นอนไปนานไม่ปรารถนาจะตื่นมาช่างเถอะข้าเองก็ไม่บังคับเจ้า อยากนอนก็นอนเถอะ ขอเพียงจำไว้ว่าต้องตื่นขึ้นมาก็พอ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า…เจ้าหลับไปนานขนาดนี้ตื่นขึ้นมายังจะจำข้าได้อยู่หรือไม่ หรือจะโทษข้า หากเจ้าเองก็โทษข้า ข้าก็ปรารถนาให้หลังจากที่เจ้าตื่นขึ้นมาจำข้าไม่ได้เสียมากกว่า”
มู่ชิงเกอไม่ได้รบกวนการสนทนาของระหว่างนางกับมู่เหลียนเฉิง
พูดสิ่งที่ต้องการจะพูดจบแล้ว ซางหลันรั่วก็ได้ดันหิมะทมิฬลุกขึ้นมา หันหลังมาเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “นำหิมะทมิฬไปด้วย บิดาเจ้าห่างจากมันมากไม่ได้”
มู่ชิงเกอเดินไปข้างหน้า สะบัดมือนำร่างของมู่เหลียนเฉิง และหิมะทมิฬเก็บเข้าไปในช่องว่างด้วยกัน
โชคดีที่ตอนนี้มู่เหลียนเฉิงเป็นคนไร้ไอชีวิต มิฉะนั้นแล้วนางก็จะไม่สามารถเก็บเข้าไปในช่องว่างได้
“ไปกันเถอะรีบไปแต่หัววัน อย่าได้เสียเวลา” ซางหลันรั่วเอ่ยเร่งอีกครั้ง
มู่ชิงเกอไม่ได้ขอตัวอยู่ต่อ พาคนออกจากตระกูลซาง แต่ว่าท่าทางผิดปกติของซางหลันรั่วตั้งแต่ต้นจนจบทำให้นางรู้สึกสงสัย หลังจากที่นางจากไป
มู่เสวี่ยอู่กับมู่อี้เฉินก็ถูกเรียกไป ตรงหน้าซางหลันรั่ว
“พี่สาวของพวกเจ้าอยู่ในเมืองฝูซา ข้าเกรงว่าคนตระกูลซางจะไปสร้างความลำบากให้นาง พวกเจ้าทั้งสองคนก็ไปส่งนาง คุ้มครองจนถึงสถานที่ปลอดภัย ไม่ใช่บอกว่าจะกลับตระกูลมู่หรือ? พวกเจ้าก็ถือโอกาสนี้กลับหลิน
ชวนสักครั้ง” ซางหลันรั่วนั่งลงกำชับพวกเขาทั้งสอง
มู่เสวี่ยอู่ กับมู่อี้เฉินรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่ดีที่จะไปโต้แย้งคำพูดของมารดา ทำได้เพียงจากไป มุ่งหน้าไปหามู่ชิงเกอ
พวกเขาสองคนเพิ่งจะจากไป ซางวุ่นหวางก็มาถึงเรือนที่ซางหลันรั่วพำนักอาศัยอยู่
“ไม่ถูกต้อง” เดินทางครึ่งทาง จู่ๆ มู่ชิงเกอก็หยุดเท้า นางหยิบม้วนกระดาษที่ซางหลันรั่วให้นางออกมาเปิดดู ทันใดนั้นกระดาษที่พับไว้เป็นอย่างดีก็ร่วงลงมา
“นายน้อย” มู่เผิงเก็บขึ้นมา ส่งไปตรงหน้ามู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเปิดออกดู ไล่กวาดสายตาอย่างรวดเร็ว ดวงตาฉายแววเคร่งเครียดขึ้นมาทันที กระดาษแผ่นนั้นเขียนศาสตร์การหลอมศาสตราของตระกูลซาง พู่กันกับนํ้าหมึกยังใหม่อยู่เลย เห็นชัดว่าเพิ่งจะเขียนเสร็จไม่นานมานี้
สุดท้ายยังเขียนไว้หนึ่งประโยคว่าให้นางดูแลมู่เสวี่ยอู่กับมู่อี้เฉินเป็นอย่างดี
มู่ชิงเกอเพิ่งจะอ่านเนื้อความบนนั้นจบ มู่เสวี่ยอู่กับมู่อี้เฉินก็ตามหลังมา เมื่อเห็นพวกเขาสองคน มู่ชิงเกอก็เข้าใจความต้องการของซางหลันรั่วในทันที
ถึงกระนั้นแล้ว นี่กลับไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ! มู่ชิงเกอขมวดคิ้วน้อยๆริมฝีปากเม้มสนิท…