Skip to content

พลิกปฐพี 285

ตอนที่ 285

ใครกล้าแตะต้องนาง ข้าจะฆ่ามันผู้นั้น!

“เสวี่ยอู่กับอี้เฉินเร่งรีบไปไหนกัน?” ซางซุ่นหวางมองซางหลันรั่ว นัยน์ตาลุ่มลึกแฝงความกดดัน

ซางหลันรั่วหลุบตาลงแล้วเอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่นิ่งเรียบว่า “ข้ามอบหมายให้พวกเขาไปทำธุระบางอย่าง”

สายตาของซางซุ่นหวางจับจ้องไปที่ใบหน้าอันซีดขาวของซางหลันรั่ว นัยน์ตาฉายแววซับซ้อน ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงได้เอ่ยออกมาอย่างยากลำบากว่า “หลันรั่ว เจ้ารู้สึกว่าร่างกายไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”

ซางหลันรั่วเงยหน้าขึ้น มองไปยังบิดาของตนเอง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร อยู่ดีๆ นางก็รู้สึกว่าผมหงอกของบิดาตนเองดูขาวขึ้นมาก หว่างคิ้วก็ปรากฎร่องรอยของ ความเหนื่อยล้า

“ข้าสบายดี” นางเอ่ยตอบเรียบๆ แต่คำตอบนี้ก็ไม่ได้ทำให้ซางซุ่นหวางรู้สึกโล่งใจ เขามองไปที่บุตรสาวเพียงคนเดียวของเขาแล้วเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ข้าจะหาหมอมาดูเจ้า”

เขาคิดว่าหาหมอมาตรวจดูอาการของบุตรสาว หากว่าสถานการณ์เป็นอย่างที่มู่ชิงเกอพูดไว้จริงๆ เขาก็จะไปภาคตะวันออกด้วยตนเองเพื่อขอโอสถจากสำนัก บัญญัติโอสถ

“ไม่จำเป็นหรอก ข้าไม่เป็นอะไร” ซางหลันรั่วส่ายหน้าปฏิเสธ

“หลันรั่ว เชื่อฟังบิดาสักหนเถอะนะ” ซางซุ่นหวางเอ่ยด้วยนํ้าเสียงขอร้อง

ซางหลันรั่วมองบิดาของตนเองอย่างไม่เข้าใจ เดินเข้าไปใกล้เขาอีกหลายก้าว แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ข้าไม่เป็น อะไรเหตุใดจึงต้องหาหมอด้วย?”

“หลันรั่ว…” ซางซุ่นหวางจะพูดแล้วก็ชะงัก

“บิดา” ทันใดนั้น ซางหลันรั่วก็ร้องเรียกออกมา คำเรียกที่ไม่ได้ยินมานานนี้ทำให้ร่างของซางซุ่นหวางชะงัก นัยน์ตาฉายแววอบอุ่นขึ้นมา

“เจ้าเรียกข้าว่าอย่างไรนะ?” นานเท่าไหร่แล้ว? ความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูกห่างกันมานานแค่ไหนแล้ว? ที่ทำให้เขาไม่ได้ยินซางหลันรั่วเรียกเขาว่าบิดา

“บิดา” ซางหลันรั่วมองบิดาของตนเองด้วยความรู้สึกผิด นํ้าตาไหลลงมา “ข้าเป็นลูกที่ไม่ดีและก็เป็นแม่ที่ไม่ดี หลายปีมานี้ ข้ามัวแต่จมปลักอยู่กับความทุกข์ เสวี่ย อู่และอี้เฉินก็ได้แต่บิดาคอยดูแล หลันรั่วขอขอบคุณบิดา”

พูดแล้วนางก็คุกเข่าลงกับพื้น โขกหัวคำนับซางซุ่นหวางสามครั้ง

ซางซุ่นหวางมองนาง นัยน์ตาฉายแววซับซ้อน ในนาทีนี้ เขาวางทิ้งความเข้มงวดในฐานะประมุขตระกูล ยื่นมือออกไปพยุงซางหลันรั่วขึ้นมา “นี่เจ้าทำอะไร?”

แต่ว่า ซางหลันรั่วกลับไม่ยอมลุกขึ้น นางปฏิเสธการพยุงของบิดา เพียงแต่เงยหน้าขึ้นมองไปยังบิดาของตนเอง เอ่ยอย่างขอร้องว่า “บิดา หลันรั่วไม่ดี หลายปีมานี้ ไม่เคยได้ทำหน้าที่ของลูกเลย มาตอนนี้ ข้าอยากจะให้บิดารับปากกับข้าว่าจะให้เสวี่ยอู่กับอี้เฉินยอมรับบรรพชนกลับคืนสู่ตระกูล ท่านวางใจได้ พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูจากตระกูลซาง ทั้งร่างกายก็มีสายเลือดของตระกูลซางไหลเวียนอยู่ จะต้องไม่ทำเรื่องที่ผิดต่อตระกูลซางอย่างแน่นอน”

“แต่ก่อนข้าก็ไม่ใช่ว่าเคยพูดไว้แล้วว่า ไม่ว่าพวกเขาจะแซ่มู่หรือแซ่ซางก็ล้วนแต่เป็นหลานของข้า เรื่องที่รับปากเจ้าไว้ ข้าเคยตระบัดสัตย์เสียเมื่อไหร่กัน?” ซางซุ่นหวางเอ่ย

เขาเอ่ยปลอบว่า “เจ้าลุกขึ้นมาก่อน พื้นเย็นเกินไป ไม่ดีต่อร่างกาย”

“ขอบคุณบิดา” ซางหลันรั่วเอ่ย แล้วก็โขกศีรษะให้ซางซุ่นหวางอีกสามครั้ง

นี่ทำให้ซางซุ่นหวางเป็นกังวลจนคิ้วขมวด อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป? ท่าทางดูแปลกๆ คงไม่ใช่ว่ามู่เหลียนเฉิงถูกเอาตัวไปแล้วเจ้าก็จะทิ้งบิดาคนนี้แล้วตายตามเขาไปหรอกใช่ไหม?”

พูดแล้วนํ้าเสียงของเขาก็ดูแข็งกร้าวขึ้น

หากว่าซางหลันรั่วอยากจะตาย เขาจะไม่ยอมอย่างแน่นอน!

“บิดา…” ซางหลันรั่วร้องเรียกเบาๆ ยิ้มออกมาอย่างงดงาม “วางใจเถอะ ข้าไม่ทำเรื่องโง่ๆ แน่นอน”

“เจ้าจะไม่ฆ่าตัวตายแต่จะค่อยๆ ทรมานตนเองจนตายใช่ไหม?” ซางซุ่นหวางเอ่ยอย่างร้อนใจ

นิสัยของบุตรสาวเป็นอย่างไรมีหรือที่เขาจะไม่รู้?

หลายปีมานี้ การฟื้นคืนชีพของมู่เหลียนเฉิงก็คือความหวังเดียวที่ทำให้นางมีชีวิตต่อไปได้ ตอนนี้มู่เหลียนเฉิง ถูกเอาตัวไปแล้ว จะส่งผลกระทบต่อซางหลันรั่วแค่ไหนกัน?

เกรงว่านับจากวันนี้ไป ความคิดที่อยากจะมีชีวิตอยู่ของนางคงจะลดน้อยลงเรื่อยๆ แล้ว

“ในเมื่อไม่อาจหักใจ ไยต้องรับปากด้วยเล่า?” ซางซุ่นหวางโมโหขึ้นในใจ “หากว่าเจ้าคิดจะตาย ตอนนี้ข้าก็จะไปลากคอเจ้าลูกทรพีที่บีบแม่ของตนเองจนตายกลับมา บีบคั้นให้นางส่งตัวมู่เหลียนเฉิงคืนให้เจ้า”

“ไม่! อย่า!” ซางหลันรั่วรีบห้าม

นางพุ่งไปข้างหน้า คว้าจับชายเสื้อของซางซุ่นหวาง ขอร้องว่า “อย่าไปหานางเลย นางไม่ได้บังคับข้า เป็นข้าเองที่คิดได้ เหลียนเฉิงอยู่ข้างกายข้า ข้าก็ได้หมดหน ทางที่จะช่วยเขาให้กลับมาได้แล้ว แต่เกอเอ๋อร์พูดไว้ว่านางมีวิธี”

“นางใจร้ายกับเจ้าถึงขนาดนี้แต่เจ้าก็ยังพูดแก้ต่างให้นางอีก!” ซางซุ่นหวางเอ่ยย่างแค้นเคือง นัยน์ตาฉายแววทั้งขุ่นเคืองทั้งปวดใจ

ซางหลันรั่วรักและเอ็นดูบุตรของตนเอง แล้วเมื่อไหร่กันที่เขาจะไม่รักและเอ็นดูบุตรของตนเอง?

ซางหลันรั่วค่อยๆ ส่ายหน้า “เป็นข้าไม่ดีต่อนาง ที่นางแค้นข้านั้นสมควรแล้ว”

“เจ้า!” ซางซุ่นหวางชี้ไปที่นางแต่กลับถูกท่าทีของนางทำให้โมโหจนพูดไม่ออก

ซางซุ่นหวางเอ่ยด้วยความโมโหว่า “หากเจ้าไม่อยากให้ข้าไปวุ่นวายกับนาง เจ้าก็ต้องรับปากข้าว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ห้ามมีความคิดที่จะฆ่าหรือทรมานตัวเองอย่าง เด็ดขาด พรุ่งนี้ข้าจะหาหมอมาตรวจสุขภาพร่างกายของเจ้า ที่นี่เจ้าก็อย่าได้อยู่ต่อเลย ย้ายไปอยู่เรือนอื่นเพื่อรักษาตัว”

“บิดา ข้ารับปากท่านได้ว่าจะพบหมอ แต่ว่าข้าจะไม่ย้ายอย่างเด็ดขาด” ซางหลันรั่วเอ่ย

“นิสัยดื้อดึงของเจ้านี้ได้มาจากใครกัน?” ซางซุ่นหวางถอนหายใจ

ซางหลันรั่วหลุบตาไม่พูดจา

ได้มาจากใครงั้นหรือ? นางก็ไม่รู้ว่ามาจากบิดาหรือว่ามารดา

“อา…” ซางซุ่นหวางค่อยๆ พูดขึ้นมาว่า “นิสัยหัวแข็งของบุตรสาวคนโตของเจ้าไม่ต่างไปจากเจ้าเลย ตอนนี้นางไม่ยอมรับเจ้า เจ้าก็อย่าได้ไปคิดถึงอีกเลย”

ซางหลันรั่วขบริมฝีปากนิ่งเงียบ นางจะไม่คิดได้อย่างไร? บุตรสาวที่แยกจากกันมา 19 ปี ในที่สุดก็มาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าของนาง แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมให้อภัยนาง ไม่ยอมรับนางเป็นแม่ แต่นางก็ไม่อาจไม่คิดถึงบุตรสาวคนนี้ได้

“ข้าให้โอกาสนาง แต่นางกลับไม่รับไมตรี ที่ข้ามาก็เพราะอยากบอกเจ้าว่า หากว่านางเอ่ยปากขอวิชาหลอมศาสตราของตระกูลซาง เจ้าก็อย่าได้หักหลังตระกูลเพราะรู้สึกผิดต่อนางอย่างเด็ดขาด เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าผลลัพธ์นั้นร้ายแรงแค่ไหน”

นี่เป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายที่ซางซุ่นหวางมา ด้วยกลัวว่าซางหลันรั่วจะทำเรื่องโง่ๆ

ไป ถึงตอนนั้นแม้แต่เขาก็คุ้มครองนางไม่ได้

บทลงโทษของตระกูลซางต่อคนที่ลักลอบถ่ายทอดวิชาหลอมศาสตราไปโดยพลการ รวมทั้งคนที่ได้รับการถ่ายทอดล้วนแต่จะต้องได้รับโทษหนัก ไม่ได้ง่ายดายเช่นการตายเพื่อชดใช้ความผิด

เขากังวลว่ามู่ชิงเกอที่ถูกปฏิเสธจากเขาจะตรงไปหาซางหลันรั่ว ใช้ยาแลกกับวิชาหลอมศาสตรา ส่วนซางหลันรั่วก็จะยอมตกลงเพราะรู้สึกผิด

เพียงแต่ว่า หลังจากที่เขาพูดจบประโยคนี้ เขาก็รู้สึกว่า ไม่ถูกด้อง

ซางหลันรั่วเงียบเกินไป ดูผิดปกติ จากนั้นนัยน์ตาของเขาก็หดตัวลง หลุดเสียงออกไปว่า “เจ้าเอาให้นางไปแล้ว!”

“เปล่า” ซางหลันรั่วหลบสายตาของซางซุ่นหวาง เดิมยังคิดว่าจะสามารถถ่วงเวลาไปได้สักหน่อย แต่ไม่คิดว่าสายตาของบิดาคู่นั้นกลับพบพิรุธอย่างรวดเร็ว ทั้งยังพูดถึงเรื่องนี้อีก

แต่ว่า ซางซุ่นหวางไม่เชื่อ พริบตาเดียวก็พุ่งไปยังตรงหน้าของซางหลันรั่ว ถามออกไปอย่างตกใจ “เจ้าบอกข้ามา เจ้าเอาให้นางไปแล้วใช่ไหม!

ซางหลันรั่วเงยหน้าขึ้น มองบิดาของตนเอง ภายในสายตาของบิดาดูเหมือนว่าจะแน่ใจในคำตอบแล้ว นางกัดฟันเอ่ยว่า “บิดา นี่เป็นเรื่องเดียวที่ข้าสามารถทำให้เก อเอ๋อร์ได้ ขอให้ท่านเห็นใจข้าเถอะ”

ปัง!

ซางซุ่นหวางรู้สึกราวกับโดนอัสนีผ่าฟาด ร่างกายสั่นสะท้าน สีหน้าของเขาซีดขาวมาก มองซางหลันรั่วอย่างปวดใจ “ข้ามีลูกสาวเช่นเจ้าออกมาได้อย่างไรกัน? เจ้า อยากให้ประมุขตระกูลซางเช่นข้าคุ้มครองเจ้าอย่างไร?”

“ลูกรู้ว่าตนเองทำผิดอย่างร้ายแรง ดังนั้นจึงไม่คิดจะหลีกเลี่ยงการลงโทษ ขอให้บิดาทำตามกฎของบรรพชน ลงโทษข้า ข้าไม่มีคำแก้ตัวใดๆ เพียงแต่ขอให้บิดา ปล่อยเกอเอ๋อร์ไป นางไม่รู้มาก่อนด้วยซํ้าว่าที่ข้ามอบให้นางนั้นเป็นวิชาหลอมศาสตรา นางบริสุทธิ์ ท่านลงโทษข้าเพียงคนเดียวเถอะ!” ซางหลันรั่วขอร้องอย่างน่าสงสาร

“ทรพี ทรพี…” ซางซุ่นหวางหลับตาอย่างปวดใจ เขาค่อยๆ เอ่ยออกมาว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าบทลงโทษต่อการกระทำของเจ้านี้คืออะไร?”

ซางหลันรั่วพูดด้วยท่าทีที่สงบว่า “เฆี่ยนตีหนึ่งร้อย แทง ดาบขวานเข้าร่างกาย ทิ้งเข้าไปในเตาหลอม เผาให้สิ้นซาก”

ทุกคำที่นางพูด ซางซุ่นหวางก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวเล็กๆ จนสุดท้าย เขาพิงกับขอบโต๊ะ เหมือนเรี่ยวแรงในร่างถูกดูดหายไปหมด จากนั้นก็เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่แหบพร่าว่า “เจ้าจะให้ข้าลงโทษเจ้าเช่นนั้นก็เหมือนกับควักหัวใจข้าไป!

“บิดา เป็นลูกเองที่ไม่ดี” ซางหลันรั่วหลับตาลงอย่างเจ็บปวด นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าทำเช่นนั้นจะเป็นการทำร้ายซางซุ่นหวางมากขนาดไหน? เพียงแต่ว่านางไม่มีทางเลือก นางไม่เคยได้มอบอะไรไว้ให้แก่บุตรสาว ตอนนี้รู้ว่านางต้องการวิชาหลอมศาสตรา นางไม่อาจไม่ทำเช่นนั้นได้

“บิดา ตั้งแต่เด็กมาหลันรั่วก็ไม่เชื่อฟัง ทั้งยังมีนิสัยดื้อดึง แม้ว่าจะได้เป็นภรรยาและกลายเป็นแม่แล้ว ก็ยังคงถือเอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจจิตใจของคนอื่น บิดา ชั่วิชีวิตนี้ หลันรั่วแก้ไม่ได้แล้ว ท่านก็เมตตาข้าอีกสักครั้ง ครั้งสุดท้ายดีหรือไม่?” ซางหลันรั่วเอ่ยด้วยนํ้าตา

มุมตาของซางซุ่นหวางมีน้ำตาไหล พึมพำว่า “สุดท้าย แล้วเจ้าก็คิดที่จะตาย ยังคงคิดที่จะทิ้งบิดาของเจ้าคนนี้ไปอยู่ดี”

ซางหลันรั่วหลับตาอย่างปวดใจ นํ้าตาไหลไม่หยุด นางไม่อยากตาย บุตรสาวยังไม่ได้เรียกว่าแม่สักคำ ทั้งนางก็ยังไม่ได้เห็นสามีฟื้นคืนชีพขึ้นมา บุตรชายหญิงทั้งสองก็ยังไม่ทันได้เติบใหญ่ แม้ว่าจะเจ็บปวดอยู่ตลอด แต่นางก็ยังไม่อยากตาย แต่ในเมื่อนี่เป็นทางเดียวที่ดีที่สุด นางก็จะไม่ยอมถอยหลัง

“เจ้าช่วยนางอย่างนี้ แต่รู้หรือไม่ว่าทั้งๆ ที่นางรู้ว่าสภาพร่างกายของเจ้าเจ็บป่วย แต่กลับไม่ยอมยื่นมือเข้าช่วย? เจ้ารู้หรือไม่ว่าบุตรสาวที่เจ้าคิดถึงมาโดยตลอด วันนี้ก่อนที่เจ้าจะเข้าไปในห้องโถงก็ใช้ยาที่สามารถช่วยเจ้าได้มาเป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยนกับวิชาหลอมศาสตรา? หลังจากที่ข้าปฏิเสธไป นางกลับไม่สนใจความเป็นความตายของเจ้า สะบัดเสื้อจากไป ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก” ซางซุ่นหวางเอ่ยอย่างปวดใจ

เขาคิดอยากจะเล่าให้ซางหลันรั่วได้สติ บอกกับนางว่า ไม่คุ้มค่าที่จะทำเช่นนี้

แต่ว่า ซางหลันรั่วกลับยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “เด็กคนนี้ฉลาดกว่าบิดาของนาง เช่นนี้ข้าก็วางใจแล้ว”

“เจ้า!” ซางซุ่นหวางโมโหปวดใจจนกล่าวคำด่าไม่ออก

ซางหลันรั่วกลับมองไปยังเขา ค่อยๆ เอ่ยว่า “ในใจของบิดา ตัวเองที่มีฐานะเป็นประมุขตระกูลซางไม่อาจจะทำตัวเห็นแก่ตัวได้ ปฏิเสธเกอเอ๋อร์เพื่อส่วนรวม หลันรั่วเข้าใจในใจของเกอเอ๋อร์ นางไม่เคยยอมรับแม่เช่นข้า สำหรับนางแล้วข้าเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง จับจุดอ่อนนี้ไปต่อรองกับบิดา ก็เป็นเรื่องที่ธรรมดา แล้วข้าจะไปโทษนางได้อย่างไร?”

ซางซุ่นหวางมองนางอย่างปวดใจ ริมฝีปากสั่นระริก

“แค่ก แค่ก…” ทันใดนั้นซางหลันรั่วก็ไอขึ้นมา

“หลันรั่ว!” ซางซุ่นหวางรีบพยุงนาง ดึงนางขึ้นมาจากพื้น

ในตอนที่นางเงยหน้าขึ้นมา เขาถึงได้พบว่ามุมปากของนางมีเลือดไหลออกมา

สีเลือดที่โดดเด่นนั้นทำให้นัยน์ตาของซางซุ่นหวางเผยร่องรอยของความตกใจและปวดใจ “ข้าจะไปหาหมอมาเดี๋ยวนี้!”

“บิดา” ซางหลันรั่วจับข้อมือของเขาแน่น ส่ายหน้าให้เขา “บิดา รับปากข้า เมตตาข้าเป็นครั้งสุดท้าย ลูกเกิดมาชีวิตนี้ ตอนยังเด็กก็ดื้อรั้น เติบโตขึ้นมาภายใต้การ คุ้มครองของบิดา ตอนแรกรุ่นก็ได้พบกับความรัก ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาสั้นๆ แต่ก็เพียงพอให้ข้าเสียสละทั้งชีวิต ในส่วน 19 ปีมานี้ ข้ากลับใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน บิดา ข้ารู้สึกเหนื่อยเหลือเกินแล้ว ชีวิตนี้ข้าไม่ใช่ลูกที่ดี ไม่ใช่ภรรยาที่ดี ไม่ใช่แม่ที่ดี เพียงหวังให้ชาติหน้าได้เกิดเป็นลูกสาวของบิดาอีก เพื่อตอบแทนบุญคุณในชาตินี้ให้บิดา ชีวิตหน้าข้าจะเชื่อฟังคำของบิดาดีหรือไม่” ทุกคำของซางหลันรั่ว ล้วนเหมือนกำลังฉีกทึ้งหัวใจของซางซุ่นหวาง

เขาสามารถทำเป็นไม่รู้ได้ ปิดบังเรื่องนี้ไว้ แต่ว่าถ้าทำเช่นนั้นเขาก็ไม่เหมาะสมที่จะเป็นประมุขตระกูลซาง ส่วนในอนาคตหากว่ามู่ชิงเกอทำอาวุธตามวิชาหลอม ศาสตราของตระกูลซางออกมา ก็ยังคงต้องถูกทั้งตระกูลซางตามสังหารอยู่ดี

ซางหลันรั่วคิดจะแบกรับเรื่องนี้ไว้คนเดียว หวังว่าให้เรื่องนี้จบลงที่นาง ไม่ลำบากไปถึงมู่ชิงเกออีก

“เจ้าต้องการเช่นนี้จริงหรือ?” ซางซุ่นหวางเอ่ยเสียงสั่น

ซางหลันรั่วยิ้มออกมา “ข้าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของบิดา ตอนนี้ตระกูลซางอยู่ในภาวะวิกฤตเสี่ยงต่อการล่มสลาย หากว่าบิดาไม่ลงโทษข้าตามกฎ เกรงว่า จะทำให้คนในตระกูลเอาใจออกห่าง มอบวิชาหลอมศาสตราให้เกอเอ๋อร์เป็นเรื่องเดียวที่ข้าจะสามารถทำให้นางได้ ส่วนความรับผิดชอบในเรื่องนี้ก็เป็นเพียงเรื่อง เดียวที่ข้าจะสามารถทำให้บิดาได้ ต่อไป บิดาจะได้สามารถจัดการเรื่องราวในตระกูลได้ดียิ่งขึ้น ลบเสียงความไม่พอใจในตระกูลเหล่านั้นออกไป”

หลายปีมานี้ ที่นางเก็บตัวก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รับรู้เรื่องราวภายในตระกูลว่ามีเสียงไม่พอใจต่อความเมตตาที่บิดามีต่อนางเกิดขึ้นมากมาย

หากว่าในครั้งนี้ นางถูกตัดสินให้ตายตามกฎ ก็จะทำให้ซางซุ่นหวางจัดการตระกูลได้ราบรื่นยิ่งขึ้น ตระกูลซางก็ไม่แน่ว่าอาจมีโอกาสที่จะรุ่งเรืองขึ้นได้อีกครั้ง

ซางซุ่นหวางหลับตาอย่างปวดใจ เขาดิ้นรนไม่ยอม ตัดสินใจอยู่นาน ในที่สุด เขาก็ตะโกนเสียงดังออกไป “ใครก็ได้ ซางหลันรั่วคิดจะลอบถ่ายทอดวิชาหลอมศาสตราโดยพลการ เอาตัวนางออกไปขังไว้ในคุกใต้ดิน พรุ่งนี้ลงโทษต่อหน้า คนทั้งตระกูล!”

พูดประโยคนี้จบ ทั้งใบหน้าและคอของเขาก็กลายเป็นสีม่วงไปแล้ว เส้นเลือดบนหน้าผากนูนขึ้นมา นัยน์ตาก็เต็มไปด้วยเส้นเลือด

“ขอบคุณบิดาที่เมตตา” ซางหลันรั่วยิ้มเจิดจ้าให้เขา

“พวกเจ้ามาทำอะไร?” มู่ชิงเกอกำกระดาษในมือแน่น มองมู่เสวี่ยอู่กับมู่อี้เฉินสองพี่น้องด้วยสายตาวาววาบ

“ลูกพี่ ในที่สุดพวกเราก็ไล่ตามท่านมาทัน ท่านแม่ให้พวกเรามาส่งท่านออกจากเมืองฝูซา พูดว่าเป็นกังวล กลัวว่าจะมีบางคนในตระกูลซางไม่พอใจท่านแล้วทำ เรื่องไม่ดีอะไร ให้พวกเราส่งท่านไปที่ที่ปลอดภัย จากนั้นก็ถือโอกาสนี้กลับไปยังตระกูลมู่ที่หลินชวนสักครั้ง” มู่อี้เฉินรีบเอ่ย

มู่เสวี่ยอู่ก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ลูกพี่ ถึงแม้ว่าตอนนี้ท่านจะยังไม่ยอมรับท่านแม่ แต่อย่างไรพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน จุดๆ นี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้”

คำพูดของทั้งสองทำให้สีหน้าของมู่ชิงเกอดำทะมึนขึ้น สีหน้าของนางไม่น่าดูทำให้มู่เสวี่ยอู่และมู่อี้เฉินทำหน้ามึนงง ไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรผิดไป

‘เจ้าโง่สองคนนี้! คำพูดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าซางหลันรั่วคิดจะกันพวกเขาออกไป ออกจากตระกูลซาง’ มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างโกรธแค้นในใจ

ในตอนที่นางเห็นว่าของที่ซางหลันรั่วมอบให้นางมีวิชาหลอมศาสตราตระกูลซางสอดมาด้วยนั้น นางก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้องแล้ว ตอนนี้ การปรากฎตัวของมู่เสวี่ยอู่และมู่อี้เฉินก็ยิ่งทำให้นางแน่ใจในการคาดเดาของตน

ถ่ายทอดวิชาหลอมศาสตราออกมาโดยพลการจะมีผลลัพธ์อย่างไร? แค่เห็นว่าซางซุ่นหวางยอมละทิ้งยาที่จะช่วยซางหลันรั่วจากนาง จุดๆ นี้ก็สามารถสรุปได้แล้วว่าบทลงโทษนั้นต้องไม่เบาแน่

“นายน้อย มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” มู่เฉินรู้สึกว่าท่าทีของมู่ชิงเกอดูไม่ปกติจึงเอ่ยถามออกไป

“มีเรื่องเล็กน้อย” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเข้ม มือของนางถือวิชาหลอมศาสตราที่ซางหลันรั่วมอบให้ แต่ในใจกลับไม่ยอมรับไมตรีในครั้งนี้ของนาง

‘ยังคงกลับไป ขอแค่อีกฝ่ายยังไม่รู้ตัวก็พอ’ มู่ชิงเกอหรี่ตาลงตัดสินใจ นางอยากได้วิชาหลอมศาสตราของตระกูลซาง แต่จะใช้วิธีของตนเอง ไม่ยอมให้ซางหลันรั่วช่วยนางเช่นนี้ เพียงแต่ว่า นางไม่ทันได้เคลื่อนไหว ภายในเมืองฝูซาก็มีเสียงสัญญาณดังขึ้น

มู่เสวี่ยอู่กับมู่อี้เฉินได้ยินเสียงนี้แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที

“นี่เป็นสัญญาณเรียกรวมตัวคนในตระกูลซาง” มู่เสวี่ยอู่มองไปทางมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยออกมา

“น่าจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นแน่นอน เพราะสัญญาณนี้ หากไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็จะไม่ส่งเสียงนี้ออกมา” มู่อี้เฉินก็เอ่ย

มู่ชิงเกอรู้สึกหนักใจ ในใจลอบเอ่ยว่า ‘สงสัยจะถูกค้นพบแล้ว’

เช่นนี้แล้ว นางก็มีสองทางให้เลือก หากไม่หนีออกจากเมืองฝูซาก่อนที่จะถูกคนของตระกูลซางไล่ตามมาก็กลับไปตระกูลซาง

นัยน์ตากระจ่างของมู่ชิงเกอฉายแววแข็งกร้าว นางกวาดตามองไปยังมู่เสวี่ยอู่และมู่อี้เฉิน

“นายน้อย ท่านจะไปไหน?” ในขณะที่ทุกคนไม่เข้าใจนั้น มู่เผิงได้เอ่ยปากถาม

“ตระกูลซาง” มู่ชิงเกอก้าวเท้าไม่หยุด เพียงทิ้งคำไว้ให้ทุกคนเข้าใจสามคำ ตระกูลซางเกิดเรื่องขึ้นแล้วนางจะไปทำไม?

ภายในรถคุมขังที่ปิดแน่น ซางหลันรั่วแววตาแดงกํ่า กัดฟันเม้มริมฝีปาก มองไปยังซางซุ่นหวางด้วยนัยน์ตาที่แข็งกร้าว

ซางซุ่นหวางยืนอยู่นอกรถ ทำเป็นมองไม่เห็นสายตาที่แข็งกร้าวของนาง ค่อยๆ เอ่ยว่า “หลันรั่ว อย่าได้โทษบิดา เจ้าเป็นลูกสาวของข้า ข้าไม่อยากให้เจ้าตายไป อย่างนี้ เมื่อสัญญาณดังขึ้นแล้ว หากว่านางอยู่ด้วยกันกับพวกเสวี่ยอู่ก็จะต้องรู้ว่านี่หมายถึงอะไร หากว่านางกลับมาเพื่อเจ้า ตัวข้าแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่ง ประมุขตระกูลอีก ก็จะรับรองความปลอดภัยของพวกเจ้าสองแม่ลูก แต่หากว่านางใจอำมหิตตัดสินใจไม่มา ข้าก็คงทำได้แต่เพียงมองดูเจ้าถูกทิ้งเข้าไปในเตาหลอม”

“หากว่าเกอเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บอะไร ข้าจะแค้นท่านไปทุกชาติ…,” ซางหลันรั่วพูดด้วยนํ้าเสียงที่แหบแห้ง

เดิมนางคิดว่าบิดาได้รับปากนาง หลังจากขังนางไว้แล้วก็จะรอจนมู่ชิงเกอออกไปจากเมืองฝูซาแล้วค่อยจัดการ กลับคิดไม่ถึงเลยว่า เขากลับส่งสัญญาณเรียกรวมตัวคนในตระกูลโดยทันที

ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม คนตระกูลซางที่อยู่ในเมืองฝูซาทุกคนจะมารวมตัวกัน

“แค้นเถอะ แม้ว่าเจ้าจะแค้นข้า ข้าก็จะทำเช่นนี้อยู่ดี” ซางซุ่นหวางพูดจบแล้วก็หันกายจากไป

อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็ตัดสินใจย้อนกลับตระกูลซางทำให้ทุกคนไม่เข้าใจ

แต่ว่า สัญญาณนี้ก็แสดงชัดว่าตระกูลซางเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น มู่เสวี่ยอู่และมู่อี้เฉินก็ไม่สามารถจากไปตอนนี้ได้ ทั้งกลุ่มรีบกลับไปยังตระกูลซาง แต่กลับพบว่าประตูจวนปิดสนิท ด้านในก็ดูเหมือนจะไม่มีคน

“ต้องไปที่พื้นที่ตระกูลอย่างแน่นอน!” มู่เสวี่ยอู่หันไปพูดกับมู่ชิงเกอ

“พื้นที่ตระกูลงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น

มู่เสวี่ยอู่พยักหน้า อธิบายให้นางฟังว่า “หากว่าเกิดเรื่องใหญ่ที่ต้องให้ทุกคนในตระกูลเข้าร่วมก็จะไปจัดการที่พื้นที่ตระกูล และก็มีเพียงแค่ที่นั้นถึงจะสามารถจุคนหลายหมื่นของตระกูลซางได้” ถึงแม้ว่าในตอนนี้ตระกูลซางจะตกตํ่า แต่คนที่แซ่ซาง ร่วมกับคนในตระกูลซางที่มีแซ่อื่นรวมกันแล้วก็มีเกือบหนึ่งแสนคน

ในยุครุ่งเรือง คนแซ่อื่นที่เข้ามาตระกูลซางก็มีหลายแสน เกือบถึงหนึ่งล้านแล้ว

นั่นเป็นยุคเฟื่องฟูที่สุดของตระกูลบรรพกาล!

“พื้นที่ตระกูลอยู่ที่ไหน?” มู่ชิงเกอไล่ซักถาม

“ห่างจากจวนตระกูลซางสักระยะหนึ่ง” มู่เสวี่ยอู่เอ่ย

“พวกเราไป” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นในทันที

“ลูกพี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” มู่อี้เฉินเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเข้มว่า “ตอนที่ข้าออกจากตระกูลซางนั้น ในม้วนกระดาษที่ซางหลันรั่วมอบให้ข้าซ่อนวิชาหลอมศาตราของตระกูลซางเอาไว้”

“อะไรนะ!”

“อะไรนะ!”

มู่เสวี่ยอู่และมู่อี้เฉินตกใจร้องออกมา

“เช่นนั้นสัญญาณนั่นก็คือเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป ท่านแม่ถูกจับแล้ว! ลักลอบถ่ายทอดวิชาหลอมศาสตราของตระกูลโดยพลการ นั่นต้องถูกเฆี่ยน ทั้งยังถูกอาวุธแทงเข้าร่าง ถูกทรมานจนเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย แล้วค่อยโยนเข้าไปในเตาหลอม แผดเผาจนกลายเป็นขี้เถ้า!” มู่เสวี่ยอู่เอ่ยด้วยสีหน้าที่ซีดขาว

มู่อี้เฉินก็มีสีหน้าที่ยํ่าแย่มาก เร่งเร้าพลังจิตไปที่เท้า หายไปจากตรงหน้าของทุกคน

“ลูกพี่ พวกเรารีบตามไปเถอะ” มู่เสวี่ยอู่เอ่ยกับมู่ชิงเกออย่างร้อนใจ

“นายน้อย นี่เป็นเรื่องของตระกูลซาง หากว่าพวกเราไปอย่างนี้เกรงว่าจะทำให้เรื่องแย่ลง!” มู่เฉินขวางอยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอใช้สายตาเย็นเฉียบมองไปยังเขา เอ่ยด้วยท่าทางเรียบเฉย “เรื่องนี้ข้าเกี่ยวข้อง ข้าเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ”

หากว่านางไม่ไป แล้วซางหลันรั่วตายไปเช่นนี้ เกรงว่านางคงจะติดค้างนางไปตลอดทั้งชีวิต

ถึงแม้ว่าจะได้รับวิชาหลอมศาสตราของตระกูลซางมาแล้ว นางจะสามารถใช้ได้งั้นหรือ?

ผ่านมู่เฉินไปแล้ว มู่ชิงเกอกับมู่เสวี่ยอู่ก็จากไปด้วยกัน ไป๋สี่กับเหมยจื่อจ้งก็รีบตามไป

มู่เผิงเอ่ยกับมู่เฉินว่า “ผู้อาวุโสใหญ่ นี่เป็นความต่าง หากว่าพบเจอเรื่องเช่นนี้ มู่ลั่วฟงเกรงว่าคงจะหนีไปนานแล้ว ส่วนนายน้อยกลับกล้ารับผิดชอบเช่นนี้ นี่สิถึงเป็นนายน้อยตระกูลมู่ของพวกเรา!”

มู่เฉินถอนหายใจ สายตาก็เผยร่องรอยชื่นชม เขาเอ่ยกับมู่เผิงว่า “ข้าตามไปคุ้มครองความปลอดภัยของนายน้อยก่อน เจ้ารีบเรียกรวมคน แล้วตามมา ตามทางข้าจะทิ้งสัญลักษณ์ไว้ให้เจ้า เพื่อนำทาง”

“ขอรับ ผู้อาวุโสใหญ่!” มู่เผิงรับปากแล้วก็ถอยจากไป

หลังจากที่มอบหมายให้มู่เผิงเสร็จแล้ว มู่เฉินก็รีบไล่ตามไป

ภายในเมืองฝูซา สายลมม้วนทรายขึ้นมา ปกคลุมสายตาของคนจำนวนไม่น้อย และก็พัดพาความกังวลในใจคนบางคนออกไป

วูด วูด!

เสียงสัญญาณเก่าแก่ค่อยๆ ดังขึ้นมา พื้นที่ตระกูลของตระกูลซางตั้งอยู่ภายในเขาตะวันตก นอกเมืองฝูซา เขาตะวันตกมีรูปร่างเหมือนดาบและขวาน ทำให้ดูแข็งกร้าวและดุดันโดยธรรมชาติ กระบี่สองเล่มตั้งตระหง่านไขว้กันกลายเป็นประตูใหญ่ของพื้นที่ตระกูลตระกูลซาง

ที่นี่มีรูปสลักของตระกูลซาง หินภูเขาที่อยู่ภายใน ล้วนแต่มีรูปร่างเหมือนกับอาวุธนานา ชนิด

กำแพงโค้งเชื่อมต่อหินภูเขาที่มีรูปร่างเหมือนอาวุธเป็นชั้นๆ เชื่อมต่อกัน

ในวงกลมตรงกลาง มีคนรวมตัวกันเกือบหนึ่งแสนคน พวกเขาถูกเสียงสัญญาณดึงดูดให้มาที่นี่ แต่กลับไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

มองเห็นเพียงแต่บนแท่นสูง ยังมีเตาหลอมที่มีไฟลุกโชน เตาหลอมนี้เกิดขึ้นมาพร้อมกับตระกูลซาง สำหรับตระกูลซางแล้วก็เปรียบเสมือนบรรพบุรุษก็ไม่ปาน

เปลวไฟด้านในเป็นเปลวไฟเคียงกำเนิด เป็นทั้งพญาเพลิงและไม่ใช่พญาเพลิง นับจากที่มันลุกโชนขึ้นมาจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เคยมอดดับมาก่อน บรรพชนของตระกูลซางเคยพูดไว้ว่า เปลวไฟในเตาหลอมนี้ก็เปรียบเสมือนชะตาชีวิตของตระกูลซาง เปลวไฟยังลุกโชติช่วง ก็หมายถึงว่าบนโลกนี้ยังมีตระกูลซางอยู่ หากว่ามีวันใดที่เปลวไฟดับลง เช่นนั้นก็หมายถึงวันที่ตระกูลซางเผชิญเคราะห์หนัก

หลายยุคสมัยผันผ่าน เหล่าบรรพบุรุษที่เฝ้าที่พื้นที่ตระกูลก็คอยจับตาดูเตาหลอม ดูเปลวไฟนี้เป็นอย่างดี หากเป็นเรื่องปกติธรรมดาก็จะไม่แตะต้องเตาหลอม ง่ายๆ

คนในตระกูลซางที่อยู่ในเมืองฝูซาล้วนแต่มากันหมด

พวกเขายืนอยู่ด้วยกัน วิเคราะห์พูดคุยคาดเดาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“ประมุขตระกูล ท่านจะลงโทษหลานหลันรั่วเช่นนี้จริงหรือ?” ผู้อาวุโสรองตระกูลซางเอ่ยกับซางซุ่นหวาง

ซางซุ่นหวางเม้มริมฝีปากแน่นไม่พูดจา นัยน์ตาลํ้าลึกมองไปบนแท่น บนนั้นมีเสาสลักอันงดงามอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าได้ย้อมเลือดของคนที่ทำผิดกฎตระกูลซางไว้มากมายแค่ไหน วันนี้ตกมาถึงคราวของบุตรสาวของเขาแล้วงั้นหรือ?

ผู้อาวุโสรองตระกูลซางเอ่ยว่า “เท่าที่ข้าดู ที่หลานหลันรั่วทำผิดเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะโดนเจ้าลูกทรพีนั้นล่อลวงเป็นแน่ ไม่อาจโทษนางทั้งหมดได้”

“พี่รอง ไม่อาจพูดเช่นนั้นได้ เรื่องราวเป็นอย่างไรพวกเรายังไม่รู้ความนัย จะไปโทษมู่…หลานชิงเกอได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสสามพูดแทนมู่ชิงเกอ

ตอนนี้เขาถึงได้เข้าใจว่าที่มู่ชิงเกอปฏิบัติต่อเสวี่ยอู่ต่างออกไปก็เป็นเพราะว่าสายเลือดนั่นเอง ไม่ใช่อย่างที่เขาคิดเอาไว้

“ความนัย? ยังจะมีความนัยอะไรอีก? ในห้องโถง เจ้าไม่ได้ยินที่ประมุขตระกูลพูดว่านางต้องการวิชาหลอมศาสตราของตระกูลซางงั้นหรือ? ตอนนี้ดีที่ประมุข ตระกูลพบเห็นทันเวลา ไม่ได้ให้หลานหลันรั่วบอกวิชาหลอมศาสตราแก่นางไปจริงๆ” ผู้อาวุโสรองถลึงตาเอ่ย

“นั่นสิ!” ผู้อาวุโสสามก็ถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยปลอบซางซุ่นหวางว่า “ท่านประมุข ในเมื่อหลานหลันรั่วทำไม่สำเร็จ จำเป็นที่จะต้องลงโทษนางหนักถึงขนาดนี้ด้วยหรือ?”

ซางซุ่นหวางค่อยๆ เอ่ยปาก “ซางหลันรั่วเป็นบุตรสาวของข้าไม่ผิด แต่ก็เป็นคนของตระกูลซางเช่นกัน กฎเป็นบรรพชนบัญญัติขึ้น ใครก็ไม่สามารถฝ่าฝืนได้ นางรู้อย่างชัดเจนว่าเป็นโทษหนักแต่ก็ยังทำ หากไม่ลงโทษไม่ใช่ว่าจะทำให้คนในตระกูลเกิดความไม่พอใจหรือ?”

“แต่ว่าเรื่องนี้หากถูกเปิดเผยออกไป ตามกฎแล้วหลานหลันรั่วจะต้องถูกโยนเข้าเตาหลอมนะ” ผู้อาวุโสสามเอ่ยอย่างอดไม่ได้

ซางซุ่นหวางถอนหายใจ เอ่ยเสียงเข้มว่า “นั่นก็เป็นทางเลือกของนางเอง เป็นชะตากรรมของนาง”

“ใครก็ได้นำนักโทษของตระกูล ซางหลันรั่วขึ้นมา!” ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นแล้วตะโกนออกมา

ทันใดนั้นก็มีองครักษ์ของตระกูลซางจับซางหลันรั่วขึ้นมาบนแท่น ผูกสองมือของนางไว้กับเสา

“เป็นซางหลันรั่วจริงๆ!”

“นางเป็นถึงบุตรสาวของประมุขตระกูล! ทำเรื่องอะไรผิดกัน?”

“ชิ บุตรสาวประมุขตระกูลอะไรกัน คราวนั้นก็เป็นนางที่ทำให้ตระกูลซางของพวกเราลำบากต้องไปก้มหัวให้กับตระกูลอิ๋ง หลายปีมานี้หากไม่ใช่เพราะว่ามีประมุขตระกูลคอยคุ้มครอง ยังจะมีใครถือนางเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลซางอีก?”

“นั้นสิ ครั้งนี้ไม่รู้ว่าก่อเรื่องอะไรขึ้นอีก แม้แต่ประมุขตระกูลก็คุ้มครองไม่อยู่ถึงได้ถูกนำตัวมาที่นี่”

“บางทีอาจจะเกี่ยวกับสามีผีของนางผู้นั้น”

“ใช่แล้ว คิดถึงตอนนั้น ซางหลันรั่วก็เป็นไข่มุกของพวกเราตระกูลซาง รูปโฉมงดงาม ความสามารถสูงส่ง สายเลือดเข้มชัน ตระกูลตั้งความหวังกับนางไว้สูงมาก ทุกคนในตระกูลปฏิบัติต่อนางราวกับองค์หญิงก็ไม่ปาน ส่วนตอนนี้ล่ะ? เพื่อผู้ชายที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งตกตํ่าจนถึงตอนนี้ ตอนนั้นข้าไม่รู้จักนาง แต่ศาสตราที่ข้าหลอมออกมาได้ในตอนนี้ก็สามารถทำให้นางเอ่ยปากยอมแพ้ได้แล้ว”

ภายในตระกูลซาง เพราะว่าการปรากฎตัวของซางหลันรั่วดึงดูดให้การพูดคุยดุเดือดขึ้นอีก

เสียงพูดคุยกันของคนนับแสน ส่งเข้าไปถึงหูของซางหลันรั่วบนแท่น ก็เหมือนกับเป็นสายลมพัดผ่าน อะไรก็ฟังไม่ชัดเจน แต่ว่านางกลับสามารถเข้าใจได้ถึงท่าทีของคนในตระกูลและคาดเดาได้ว่าในตอนนี้พวกเขา กำลังพูดถึงเรื่องอะไร

ในใจยิ้มอย่างขมขื่น ซางหลันรั่วไม่ได้แก้ต่างอะไรให้ตนเอง

ก็เรื่องราวเป็นเช่นนั้น นางทำให้คนในตระกูลผิดหวังจริงๆ

เมื่อมัดซางหลันรั่วเสร็จแล้ว องครักษ์สองคนของตระกูลซางก็แยกออกไปซ้ายขวา ท่าทีแข็งกร้าว เย็นชา

ซางซุ่นหวางมองซางหลันรั่วด้วยท่าทีที่ดูซับซ้อน ในดวงตาทั้งคู่ของนาง เขามองเห็นการตัดสินใจและการรอคอย การรอคอยนั้น…ไม่ต้องเดาเขาก็รู้ว่านางรอคอยอะไร

นางกำลังรอคอยให้มู่ชิงเกอไม่ต้องปรากฎตัว รอคอยให้ทุกอย่างจบโดยเร็ว

ถอนสายตากลับแล้ว ซางซุ่นหวางก็ก้าวออกมา เขายืนอยู่บนพื้นยกสูงกับผู้อาวุโสรองและสาม ด้านหลังของพวกเขาไปไม่ไกลก็คือแท่นสูง

“วันนี้ที่เรียกทุกท่านมารวมกันก็เพื่อจัดการนักโทษของตระกูล ซางหลันรั่ว!” เสียงของซางซุ่นหวางแฝงไว้ด้วยพลังจิต ทำให้เสียงของเขาได้ยินไปทั่วทุกคน

ทุกคนในตระกูลล้วนแต่เงียบลง

พวกเขาไม่รู้ว่าซางหลันรั่วทำอะไรผิด จึงได้แต่รอประโยคต่อไปของซางซุ่นหวาง

ซางซุ่นหวางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วถึงเอ่ยว่า “วันนี้ นางคิดจะเอาวิชาหลอมศาสตราของตระกูลถ่ายทอดให้แก่คนนอกแล้วถูกข้าพบเจอเข้า ห้ามไว้ได้ทัน แต่ว่าแม้จะไม่สำเร็จนางก็ได้ทำผิดกฎ ดังนั้นวันนี้ต่อหน้าคนทั้งตระกูลเป็นพยาน ข้าในนามประมุขตระกูลซางขอลงโทษนางตามกฎของบรรพบุรุษ!”

“อะไรนะ! ถึงกลับจะถ่ายทอดวิชาหลอมศาสตราให้กับคนนอกเลยงั้นหรือ? ซางหลันรั่วเป็นบ้าไปแล้ว!”

“นางบ้าไปตั้งนานแล้ว!”

“วิชาหลอมศาสตราเป็นเคล็ดลับของพวกเราตระกูลซาง พวกเราทุกคนต่างถือเอาวิชาหลอมศาสตราสำคัญกว่าชีวิต อย่าได้พูดว่าคนนอกเลย ถึงแม้จะเป็นคนใน ตระกูล หรือบุตรของตนเองหากไม่ได้ผ่านการทดสอบทางสายเลือดก่อนแล้ว พวกเราใครจะกล้าถ่ายทอดวิชาหลอมศาสตราให้?”

“ไม่เลว! ซางหลันรั่วคนนี้ถือตัวว่าเป็นบุตรสาวคนเดียวของประมุขตระกูลถึงได้กล้าทำตัวเช่นนี้ ไม่สนใจผลประโยชน์ของคนในตระกูล!”

“เฮ้อ น่าเสียดายแทนประมุขตระกูล ซางหลันรั่วเป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของเขา นับจากวันนี้ไป เขาคงจะต้องตรอมตรมไปอีกนานเลยทีเดียว”

“ถือว่าประมุขตระกูลของพวกเรายังดีอยู่ วันนี้ลงโทษซางหลันรั่ว ก็คือไม่เห็นแก่ส่วนตัว”

คำพูดของซางซุ่นหวาง ทำให้เกิดเสียงการพูดคุยกันขึ้นในกลุ่มคนตระกูลซาง

คำพูดเหล่านี้มีบางคำลอยเข้าไปในหูของซางซุ่นหวางและซางหลันรั่วอย่างชัดเจน ไม่ว่าเป็นใครได้ยินก็ล้วนแต่จะเหมือนกับโดนเข็มทิ่มแทง แม้ว่าคำเหล่านี้จะไม่มีคำหยาบหรือคำด่าว่าแต่ก็ยังทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี

เพราะว่านี่เป็นความผิดหวังที่มาจากคนทั้งหมดในตระกูลของตนเอง

ซางหลันรั่วยิ้มอย่างขมขื่น ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ เงียบเฉย ตอนนี้ในใจของนาง มีเพียงความคิดเดียวก็คือหวังว่ามู่ชิงเกอจะไม่ปรากฎตัว

ไม่เพียงแต่มู่ชิงเกอ ที่ดีที่สุดก็คือแม้แต่เสวี่ยอู่และอี้เฉิน ก็อย่าปรากฎตัวออกมา

นางติดค้างบิดา ติดค้างคนในตระกูลมากเกินไป ตอนนี้ให้นางชดใช้ให้หมดก็ดี แล้ว

“ประมุขตระกูล นางเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของท่าน ท่านจะลงโทษนางอย่างไร?” ภายในกลุ่มคน ไม่รู้ว่าเป็นเสียงใครตะโกนขึ้นมา

ผู้อาวุโสรองและสามตะคอกขึ้นพร้อมกันว่า “บังอาจ!”

แต่ซางซุ่นหวางกลับยกมือขึ้นอย่างเรียบเฉย ขวางไม่ให้พวกเขาไล่เอาความ

นัยน์ตาที่ลุ่มลึกคู่นั้นของเขา กวาดตามองไปยังกลุ่มคนในตระกูลนับหมื่นนับแสนแล้วเอ่ยปากว่า “ตามกฎ คนที่ถ่ายทอดวิชาหลอมศาสตราออกไปโดยพลการ จะต้องถูกเฆี่ยนร้อยที แทงร่างด้วยดาบและขวานร้อยชิ้น จากนั้นก็โยนเข้าไปในเตาหลอม”

คำพูดของเขาทำให้คนในตระกูลเงียบลง พวกเขาไม่ได้คิดว่ากฎนี้โหดร้าย แต่เป็นไม่คิดว่าซางซุ่นหวางจะทำเช่นนั้นกับบุตรสาวของตนเองได้ลงคอ

เฆี่ยนตีร้อยครั้งยังพูดได้ แต่แทงดาบขวานใส่ร่าง…นั้น ต้องแทงอาวุธใส่ร่างจนครบร้อยชิ้นเลยนะ! ต่อจากนั้น ยังถูกตรึงไว้บนเสา ถูกไฟแผดเผาจนเลือดในร่างไหลออกจนเหือดแห้ง หรือไม่ก็ถูกย่างจนแห้ง จนเหลือลมหายใจสุดท้ายแล้วจึงโยนทิ้งเข้าไปในเตาหลอม การลงโทษที่โหดร้ายเช่นนี้ พวกเขาที่เป็นชายฉกรรจ์ก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถทนไหว ซางหลันรั่วที่อ่อนแอเช่นนั้นจะไหวหรือ? แม้ว่านางจะทนไหวแต่ประมุขตระกูลทนได้หรือ?

พวกเขายังสงสัยว่าที่ทำเช่นนี้ก็เพราะจะให้คนทั้งตระกูลเอ่ยปากห้าม จากนั้นก็ปล่อยซางหลันรั่วไป

ความเงียบของคนนับหมื่นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าเสียงดังอึกทึกเสียอีก

สายตาของซางซุ่นหวางกวาดมองไปบนใบหน้าของพวกเขา แต่กลับไม่มีสักคนก้าวออกมาพูดว่าให้ปล่อยซางหลันรั่วไป นี่ทำให้ซางซุ่นหวางรู้สึกปวดใจ เขารู้ว่าสิบกว่าปีมานี้ ซางหลันรั่วไม่เพียงแต่ทำร้ายหัวใจของเขาแต่ยังทำร้ายหัวใจของคนในตระกูลด้วย สามารถพูดได้ว่าแต่ก่อนคนในตระกูลคาดหวังกับซาง หลันรั่วมากเท่าไหร่ ตอนนี้ก็ผิดหวังมากเท่านั้น ทั้งความผิดหวังนี้ยังเติบโตขึ้นด้วย

มุมปากของซางซุ่นหวางสั่นเล็กน้อย เอ่ยกับองค์รักษ์บนแท่นว่า “เฆี่ยนหนึ่งร้อย ตี!”

สองคนก้าวออกมา ในมือของพวกเขาวาบแสงออกมา ต่างคนต่างถือแส้ที่เต็มไปด้วยหนามและชุ่มไปด้วยน้ำเกลือ

“คุณหนูใหญ่ ขอโทษด้วย”

หนึ่งคนในนั้นพูดจบ สองคนก็สบตากัน

พวกเขายกแส้ในมือขึ้นสูง สองแส้ผลัดกันหวดลงบนร่างของซางหลันรั่ว

เพียะ เพียะ เพียะ เพียะ!

เสียงแส้กระทบร่างดังกังวานไปทั่ว ทุกแส้ล้วนแต่ฉีกเสื้อผ้าบนตัวของซางหลันรั่วจนขาดวิ่น แต่ละแส้ปะปนไปด้วยเลือดเนื้อของนาง แต่นางกลับกัดฟัน ไม่ยอมส่งเสียงร้องออกมา

แม้ว่าจะมีบางครั้งที่กลั้นไม่อยู่ หลุดเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมา แต่ก็เบาบางนัก มีเพียงคนสองคนบนแท่น และพวกซางซุ่นหวางสามคนเท่านั้นที่ได้ยิน

เสียงแส้นั้น ตีลงบนร่างของซางหลันรั่ว แต่ความเจ็บปวดกลับอยู่ที่ใจของซางซุ่นหวาง ดวงตาคู่นั้นของเขาเปลี่ยนเป็นแดงกํ่าอย่างรวดเร็ว เงาแส้ที่ฟาดลงไปถี่รัว ทำให้สายตาของคนในตระกูลซางเปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมา

ทันใดนั้น เสียงแส้ก็หยุดลง เสียงองครักษ์ดังขึ้นมาว่า “ประมุขตระกูล คนสลบไปแล้วขอรับ”

“ใช้นํ้าสาดให้ตื่น ตีต่อ!” ซางซุ่นหวางกัดฟัน เอ่ยคำที่ทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดออกมา

“ขอรับ!”

ซ่า!

เสียงสาดนํ้าดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงไอของซางหลันรั่วที่ถูกทำให้ตื่น

แต่ซางซุ่นหวางที่ได้ยินเสียงไอ ในใจก็โล่งใจ ที่เขากลัวที่สุดก็คือจะไม่ได้ยินเสียงจากบุตรสาวอีกแล้ว

เฆี่ยนร้อยแส้ในที่สุดก็สิ้นสุดลง

ซางซุ่นหวางกำมือเป็นกำปั้นแน่น “แทงมีดขวานเข้าร่าง!”

“พี่ใหญ่! หลันรั่วรับไม่ไหวแล้ว!” ผู้อาวุโสสามในตอนนี้ไม่เรียกประมุขตระกูลอีก แต่เรียกซางซุ่นหวางว่าพี่ใหญ่ สภาพอาบไปด้วยเลือดของซางหลันรั่วนั้น ทำให้เขาคนที่เห็นนางมาตั้งแต่เล็กจนโตทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว

แต่ว่าซางซุ่นหวางกลับไม่สนใจการโน้มน้าวของเขา ตะโกนเสียงดังว่า “ต่อไป!”

อาวุธร้อยชิ้นถูกขนขึ้นไปบนแท่นสูง

ซางหลันรั่วนั้นอ่อนแอมากแล้ว ชุดสีม่วงบนร่างได้กลายเป็นเศษผ้าชุ่มเลือดไปนานแล้ว สายตาของนางพร่ามัว เหล่าอาวุธที่เข้ามาใกล้นางเหล่านั้นก็กลายเป็นเพียงเงาพร่าเลือน

แต่ว่านางกลับเผยรอยยิ้มออกมา

ในใจคาดหวังให้การลงโทษนี้เร็วขึ้นหน่อย เพียงแค่มู่ชิงเกอไม่ปรากฎตัว นางก็จากไปอย่างไร้กังวลได้แล้ว

ฉึก!

เสียงอาวุธแทงเข้าเนื้อดังขึ้น ทำให้ในใจของคนตระกูลซางนับหมื่นสั่นสะท้านขึ้นในทันใด

มีดเล่มหนึ่งแทงเข้าไปในไหล่ขวาของซางหลันรั่วแล้ว

เรือนร่างเรียวบางของนาง ไม่รู้จะสามารถแทงอาวุธหนึ่งร้อยชิ้นได้หมดอย่างไร

ในเวลานี้ องครักษ์อีกคนก็ชูขวานด้ามหนึ่งขึ้น ออกแรงสะบัด ฟันเข้าไปที่บนน่องของซางหลันรั่ว

“อา!” ความเจ็บปวดที่กระดูกหัก ทำให้ซางหลันรั่วเจ็บจนแทบสลบ เหงื่อเย็นซึมออกมา

ขวานด้ามนั้นติดอยู่ในกระดูกของนาง ไม่ได้หลุดออก

ฉากนี้ทำให้หัวใจของคนทั้งตระกูลซางหัวใจสั่นสะท้าน ดาบขวานทิ่มร่าง เมื่อได้เห็นด้วยตาตนเองถึงได้รู้สึกได้ถึงความโหดเหี้ยม นี่เพิ่งจะสองชิ้น ยังเหลืออีก 98 ชิ้น หากว่าทำเสร็จ นี่…ยังจะเป็นรูปร่างคนได้อีกหรือ?

ซางซุ่นหวางซ่อนมือที่กำแน่นไว้ในแขนเสื้อ กำแน่นจนใจกลางฝ่ามือนั้นมีเลือดซึมนานแล้ว ฉากด้านหลัง เขาไม่กล้าหันกลับไปมอง เลียงร้องแผ่วเบาของบุตรสาวทำ ให้เขาหวั่นไหวขึ้นมาแล้ว

‘มู่ชิงเกอ เจ้าจะไม่มาจริงๆ งั้นหรือ!’ เขาเอ่ยขึ้นในใจ

ชิ้นที่สาม ลูกศรที่แหลมคมถูกแทงลงไปบนไหล่ซ้ายของซางหลันรั่ว เลือดไหลซึมออกมาตามบาดแผล หยดลงพื้น สะท้อนสีหน้าของนางให้ซีดขาวลงไปอีก

“พี่ใหญ่! พอเถอะ อย่าลงโทษต่ออีกเลย!” ผู้อาวุโสสามทนไม่ได้เอ่ยออกมา

ซางซุ่นหวางขบริมฝีปากไม่พูดจา

ผู้อาวุโสรองกลับเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “กฎของตระกูลเป็นเช่นนี้ หากว่าปล่อยไปในตอนนี้ ต่อไปประมุขตระกูลจะจัดการคนในตระกูลได้อย่างไร? เรื่องที่ยังไม่เกิดนั้นก็ยังพอพูดได้ แต่ตอนนี้ได้เริ่มลงโทษแล้ว ไม่มีทางหยุดกลางคันได้ แล้ว!”

“พี่รอง! หลันรั่วก็เป็นหลานที่ท่านเห็นมาแต่เล็กจนโต หรือว่าท่านจะทนเห็นนางทรมานเช่นนี้ได้?” ผู้อาวุโสสามเอ่ยอย่างหวั่นไหว

ผู้อาวุโสรองค่อยๆ ส่ายหน้า “แน่นอนว่าข้าไม่อาจทนได้ แต่ว่าเรื่องได้กลายเป็นเช่นนี้แล้ว จะมีวิธีใดอื่นอีก?”

“อ้า!” ทวนด้ามหนึ่งถูกแทงเข้าไปในกลางฝ่ามือของซางหลันรั่ว เจ็บจนทำให้นางร้องส่งเสียงออกมา

ไม่นาน บนร่างของนางก็เต็มไปด้วยอาวุธยี่สิบกว่าชิ้น

ซางหลันรั่วที่เหลือเพียงลมหายใจอ่อนเบา ในตอนที่ร่างนางมีรอยเลือดเพิ่มขึ้นมาอีกรูนั้น นางก็กรีดร้องเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ครืน!”

ตามเสียงร้องของนาง บนอากาศก็มีสายลมม้วนขึ้นในทันใด ทั้งยังมีเสียงคำรามแสบแก้วหูของสัตว์อสูรดังขึ้น

สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ดึงดูดให้ทุกคนในตระกูลซางเงยหน้าขึ้นไป แม้แต่พวกซางซุ่นหวางสามคนก็ไม่ยกเว้น เพียงเห็นแต่เงาดำมหึมาปรากฎบนอากาศ ใหญ่จนมองไม่เห็นขอบ งูยักษ์ที่ทั่วร่างส่องประกายสีเงินทำให้ทุกคนตกตะลึงไป

“นั่นคืออะไรน่ะ!”

“เป็นสัตว์อสูรวิญญาณงั้นหรือ? ใหญ่เกินไปแล้ว!”

บนพื้น คนตระกูลซางเริ่มวุ่นวายขึ้นมา

การปรากฎตัวของอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบได้ดึงดูดความสนใจของผู้อาวุโสไท่ซ่างที่กำลังเก็บตัวฝึกวิชา ในพื้นที่ตระกูลซางเข้าแล้ว

พวกเขาค่อยๆ ทยอยพากันออกมาจากที่กักตน มองไปยังงูยักษ์บนอากาศ

ภายในนั้น มีคนหนึ่งที่นัยน์ตาหดตัวลง ทั้งยังจดจำสถานะของงูยักษ์นั้นได้ “เป็นอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ! สัตว์มหาเทพบรรพกาลมาปรากฎตัวอยู่ที่นี่ได้ อย่างไรกัน?”

“คนทั้งตระกูลของพวกเราล้วนแต่อยู่ตรงหน้า พวกเราไปดูกันเถอะ!” ผู้อาวุโสไท่ซ่างอีกคนเอ่ยขึ้น

เงาร่างของคนหกคนวาบขึ้น หายไปจากที่เดิม

และในตอนนั้นเอง ก็มีคนห้าคนกระโดดลงมาจากร่างของไป๋สี่ ยืนอยู่บนแท่นลงทัณฑ์

“ท่านแม่!

“ท่านแม่!”

มู่เสวี่ยอู่และมู่อี้เฉินมองเห็นซางหลันรั่วที่เนื้อตัวอาบไปด้วยเลือด ก็รีบพุ่งเข้าไปหานาง

มู่ชิงเกอกุมทวนหลิงหลง ยืนอยู่บนแท่นสูง ท่าทางเย็นชา ประดุจเทพแห่งสงคราม

มู่เฉินรีบยื่นมือออกไป ควบคุมสองคนบนแท่นสูง คุ้มครองอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด

ไป๋สี่ม้วนตัวรอบแท่นสูง เป็นชั้นๆ คุ้มครองทุกคนไว้ตรงกลาง

สภาพของซางหลันรั่ว ทำให้นัยน์ตาของมู่ชิงเกอสาดประกายเย็นเยียบขึ้นหลายส่วน นางมองไปทางซางซุ่นหวาง เอ่ยด้วยสังหารอันเปี่ยมล้น “ใครทำร้ายนาง ข้าจะฆ่ามันผู้นั้นเสีย!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version