ตอนที่ 286
เป็นเพียงแค่ข้อตกลงแลกเปลี่ยนร่วมกันเท่านั้น!
“ใครทำร้ายนาง ข้าจะฆ่ามันผู้นั้น!”
คำง่ายๆ เพียงไม่กี่คำกลับทำให้คนตระกูลซางนับแสน ตกตะลึงอยู่กับที่ นิ่งเงียบไม่ขยับ
พวกเขาตกตะลึงมองดูสัตว์มหาเทพบรรพกาลที่ลอยตัวกลางอากาศล้อมแท่นสูงเอาไว้ และก็ตกตะลึงกับ ‘ชายหนุ่ม’ แปลกหน้าที่ปรากฎตัวขึ้นอย่างกะทันหันพร้อมกับใช้คำพูดที่อหังการหยิ่งยโสเช่นนั้นกับพวกเขาทั้งตระกูล!
ในมือของเขาถือทวนเงินยวงด้ามหนึ่งที่แผ่ความเย็นยะเยือกออกมา ความเฉียบคมเช่นนี้พวกเขาล้วนแต่รู้จักดี มีเพียงแค่ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ ทั้งยังต้องเป็นยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะชั้นยอดเท่านั้นถึงจะมีได้!
เขาเป็นใครกัน? เหตุใดจึงมาปรากฎตัวอยู่ที่นี่ได้?
ภายในคนนับแสน นอกจากคนบนแท่นสูงแล้ว ก็มีเพียงแค่พวกซางซุ่นหวางสามคนที่รู้จักสถานะของมู่ชิงเกอ การปรากฎตัวของนาง ทำให้นัยน์ตาของซางซุ่นหวางแดงก่ำ
ไม่ใช่เพราะซาบซึ้งใจ แต่เป็นเพราะว่าการปรากฎตัวของมู่ชิงเกอ ทำให้เขารู้ว่า บุตรสาวของตนเองไม่ต้องตายแล้ว
“มู่ชิงเกอเจ้ากล้าดีเกินไปแล้ว! ไม่เพียงแต่กล้าบุกเข้ามาในพื้นที่ตระกูลข้า ยังกล้าทำตัวอหังการเช่นนี้อีก! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้มาท้าทายพวกเราตระกูลซาง?” ผู้ อาวุโสรองชี้มือไปใส่มู่ชิงเกอ ตะโกนด่าว่าออกมา
มู่ชิงเกอกลับทำเพียงแต่ยิ้มเย็นให้เขา พูดเยาะเย้ยว่า “ผู้อาวุโสรองคิดจะมาลองดูเองไหมละว่าข้ากล้าหรือไม่?”
“เจ้า!” ผู้อาวุโสรองถูกนางโต้กลับทำให้ต่อคำไม่ได้
“มู่ชิงเกอ? เป็นใครกัน?”
“ดูเขาอายุยังน้อยๆ แต่กลิ่นอายกลับดูทรงพลังมาก”
“นั่นสิ! ถึงกลับกล้ามาท้าทายพวกเราตระกูลซาง คิดจะรังแกเพราะคิดว่าพวกเราตระกูลซางไม่มีคนมีฝีมือหรืออย่างไร?”
“สนว่าเขาเป็นใครทำไมกัน เพียงแค่กล้ามาก่อเรื่องที่ตระกูลซางของพวกเรา ก็คือเป็นศัตรูกับพวกเรา บุกไปฆ่าเขาเลย!”
“ใช่! ฆ่าเขาซะ! เชือดไก่ให้ลิงดู!”
ภายในกลุ่มคน เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลซางทนไม่ได้กับท่าทีท้าทายของมู่ชิงเกอ ร่วมกันพูดคุยไม่กี่ประโยคก็เลือดขึ้นหน้าพุ่งตัวไปข้างหน้า นัยน์ตาของไป๋สี่ฉายแววเยียบเย็นอำมหิตขึ้น อ้าปากส่งเสียงกรีดร้องสูงแหลมออกมา
เสียงนี้ทำให้คนตกตะลึงจนเลือดลมตีกลับ เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลซางเหล่านั้นก็ถูกพลังบางอย่างดูดไปบนอากาศ ลอยพุ่งเข้าไปทางปากที่อ้ากว้างของไป๋สี่
“อ้า!”
“ช่วยด้วย! อ้า!”
“อย่ากินข้า!”
ชั่วขณะนั้น เสียงโวกแหวกโวยวายอย่างหวาดกลัวก็ดังขึ้นรอบด้าน
ซางซุ่นหวางรีบตะโกนออกไปว่า “หยุดมือเร็ว!”
เขาไม่อาจให้มู่ชิงเกอลงมือเอาจนชีวิตคนได้ มิเช่นนั้นเรื่องในวันนี้ก็จะยากที่จะแก้ไขได้ แต่ว่าไป๋สี่มีหรือจะฟังเขา?
นางยังคงดูดเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านั้นไปกลางอากาศ คนตระกูลซางคนอื่นๆ ที่อยู่บนพื้นคิดจะช่วยพวกเขา แต่เพียงแค่เข้าใกล้ก็พากันถูกม้วนขึ้นไปบนอากาศตามไปด้วย ไม่อาจควบคุมตัวเองได้
ชั่วขณะนั้น คนตระกูลซางนับพันนับหมื่นคนก็กระเสือกกระสนอยู่บนอากาศ
“เด็กน้อยรีบให้นางวางมือเถอะ!” ซางซุ่นหวางมองมาทางมู่ชิงเกอ รู้ว่าในตอนนี้มีเพียงมู่ชิงเกอเท่านั้นที่สามารถทำให้งูยักษ์ที่แข็งแกร่งตัวนี้หยุดลงได้
แต่ว่า ภายในนัยน์ตาของมู่ชิงเกอกลับมีแต่ความเย็นชา สภาพชุ่มเลือดไปทั้งตัวของซางหลันรั่ว ติดอยู่ตรงหน้าของนางไม่จางหายไปไหน
หากว่านางมาช้าไปอีกนิด ซางหลันรั่วก็คงจะตายไปแล้วจริงๆ
นางเกรงว่าไมตรีที่นางไม่อยากติดค้างก็คงจะติดค้างไปแล้ว!
“ศิษย์พี่เหมย ช่วยไปดูนางที อย่าให้นางตาย” มู่ชิงเกอไม่ได้สนใจในคำพูดของซางซุ่นหวาง เพียงแต่เอ่ยกับเหมยจื่อจ้งที่อยู่ข้างกาย
เหมยจื่อจ้งพยักหน้าแล้วก็หันกายไปทางซางหลันรั่ว
ในตอนนี้ ซางหลันรั่วได้ถูกพวกเสวี่ยอู่สองพี่น้องพาตัวลงมาจากเสาแล้ว นั่งอยู่บนพื้น เพียงไม่นาน พื้นก็ได้ย้อมไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลของนาง
“บังอาจ!”
เสียงตะคอกดังมาจากขอบฟ้า
เสียงนี้ได้ทำลายพลังของไป๋สี่ ทำให้คนตระกูลซางหลุดรอดออกมาจากขอบปากของไป๋สี่
ทุกคนของตระกูลซาง ร้องขึ้นอย่างตกใจ ตกลงมาจากอากาศ บนพื้นกลายเป็นความวุ่นวาย ส่วนในตอนนี้ เงาร่างหกสายก็ปรากฎขึ้นกลางอากาศ ล้อมอยู่รอบกายของไป๋สี่ และก็ล้อมรอบพวกมู่ชิงเกอเอาไว้ด้วย
“เป็นเหล่าผู้อาวุโสไท่ซ่าง!”
ภายในกลุ่มคนที่สับสนวุ่นวาย มีคนจดจำสถานะของคนทั้งหกออกมาได้
ร่างกายของคนทั้งหก ค่อยๆ ปรากฎชัดออกมา ยิ่งทำให้จดจำสถานะของพวกเขาได้มากยิ่งขึ้น
“ผู้อาวุโสไท่ซ่าง!”
“คำนับผู้อาวุโสไท่ซ่าง!”
คนของตระกูลซาง ทยอยพากันคุกเข่าบนพื้น คำนับคนกลางอากาศทั้งหก
“ผู้อาวุโสไท่ซ่าง!” ซางซุ่นหวางพึมพำออกมาอย่างตกใจ เขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะกระตุ้นไปถึงเหล่าผู้อาวุโสไท่ซ่าง พูดให้ชัดก็คือ เขาคาดเดากำลังของมู่ชิงเกอผิด ไป
เขาคิดไม่ถึงว่า ข้างกายของมู่ชิงเกอจะมีสัตว์อสูรวิญญาณที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้อยู่ด้วย
“ประมุขตระกูลซางคนปัจจุบัน ซางซุ่นหวางคำนับผู้อาวุโสไท่ซ่าง!” ซางซุ่นหวางระงับความตกตะลึงในใจ และก็คุกเข่าลงบนพื้นเช่นเดียวกัน
แม้ว่าเขาจะเป็นประมุขตระกูลซาง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าของผู้อาวุโสไท่ซ่าง ก็ยังคงต้องคุกเข่าคำนับ
“ประมุขตระกูลเชิญลุกขึ้น พวกเจ้าก็ลุกขึ้นเถอะ” หนึ่งคนในนั้นมองมา เอ่ยกับเหล่าคนในตระกูล และก็มองไปยังไป๋สี่อย่างระมัดระวัง นั้นเป็นคนที่จดจำสถานะของไป๋สี่ได้ก่อนใคร เขาเอ่ยขึ้นว่า “อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ ตระกูลซางของพวกเราไม่มีความแค้นอะไรกับเจ้า เหตุใดเจ้าถึงได้มาก่อเรื่องที่ตระกูลซางของพวกเราด้วย? หากว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ยังขอให้ระงับความโกรธด้วย มีเรื่องอะไรพวกเราค่อยๆ พูดกัน”
อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบเป็นสัตว์มหาเทพบรรพกาล มีกลอุบายมากมาย ไม่ได้ถูกฆ่าได้ง่ายๆ ที่สำคัญก็คือ อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบนั้นฆ่าไม่ตาย หากว่าผูกความแค้นกับนาง ก็จะถูกนางไล่ตามฆ่าไม่จบไม่สิ้น
“อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ!”
“อะไรคืออสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ? ดูจากท่าทางของเหล่าผู้อาวุโสไท่ซ่างแล้ว น่าจะร้ายกาจมาก”
“อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ! นี่กลับเป็นอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบงั้นหรือ!” ผู้อาวุโสสามเอ่ยออกมาอย่างตะลึง
ซางซุ่นหวางก็ตกใจเช่นเดียวกัน เขามองไปยังมู่ชิงเกอที่ดูเย็นชาด้วยสายตาที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ หลานสาวของเขาคนนี้มีความประหลาดใจให้แก่เขามากแค่ไหนกันแน่? ถึงกับมีอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ!
“ตระกูลซางของพวกเจ้าไม่ได้ล่วงเกินข้า แต่ล่วงเกินเจ้านายของข้า” ไป๋สี่เอ่ยปากออกมา เสียงที่ดูเหมือนเด็กนั้นกลับแฝงด้วยความดูแคลนและเย็นชา
รูปร่างภายนอกกับเสียงที่ไม่เข้ากันของนางนี้ทำให้ศิษย์ตระกูลซางที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังหัวเราะออกมา
นัยน์ตาของไป๋สี่ฉายแววอำมหิต ผู้อาวุโสไท่ซ่างตระกูลซางรีบหันกายไปตะโกนใส่ศิษย์ตระกูลซางที่ส่งเสียงหัวเราะว่า “อย่าเสียมารยาท!”
เสียงตะโกนนี้ทำให้เสียงหัวเราะนั้นหายไปในทันที
“เขามาปรากฎตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ทำเพื่อซางเสวี่ยอู่ถึงขนาดนี้เลยหรือ?” ภายในกลุ่มคน ซางจื่อหลันมองดูท่าทางของมู่ชิงเกอแล้วหว่างคิ้วก็ปรากฎร่องรอยของความอิจฉา
นางอิจฉาที่ซางเสวี่ยอู่อาศัยอะไรถึงได้ทำให้ทุกคนรักและปกป้องนางไปหมด ไม่เพียงแต่คนในตระกูล แม้แต่คนนอกตระกูลก็ล้วนแต่ยอมอยู่ใต้เท้านาง นางไม่รู้เรื่องแต่ก่อนว่าเป็นมาอย่างไร แม้แต่เรื่องที่ซางหลันรั่วจะถูกประหารชีวิตก็รู้อย่างไม่ชัดเจน
อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอปรากฎตัวขึ้นอย่างกะทันหัน รวมกับความสัมพันธ์ของซางเสวี่ยอู่และซางหลันรั่ว ทำให้นางคาดเดาถึงความสัมพันธ์ระหว่างมู่ชิงเกอและพวกนาง หลังจากตักเตือนคนในตระกูลแล้ว ผู้อาวุโสไท่ซ่างคนนั้นก็ถึงได้ประสานมือไปด้านหน้าเอ่ยกับไป๋สี่ว่า “ขอโปรดระงับความโกรธด้วย อย่าได้ถือสาศิษย์รุ่นเยาว์ที่ไม่รู้ความเลย เมื่อครู่เจ้าพูดว่าเจ้านาย…”
นัยน์ตาของเขาฉายแววแปลกใจขึ้น ดูเหมือนจะรู้สึกแปลกใจกับเรื่องเจ้านายของอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ
เขากวาดตามองบนแท่นสูงรอบหนึ่ง ในที่สุดสายตาก็ตกไปอยู่ที่มู่ชิงเกอที่สวมชุดสีแดงยืนกุมทวนหลิงหลงอยู่ด้านหน้าสุด ใบหน้าที่ดูอาจหาญอหังการของเขานั้นดูเย็นชามาก แม้ว่าเหล่าผู้อาวุโสไท่ซ่างของตระกลซางล้วนแต่มองมา
ที่เขา ก็ไม่ได้ทำให้เขาหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
“ท่านนี้คือเจ้านายของอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบงั้นหรือ?” อาวุโสบรรพบุรุษคนนั้นเอ่ยถามออกไป
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองเขา เม้มริมฝีปากไม่พูดจา ในใจคำนวณความเป็นไปได้ในการแก้ไขเรื่องราวในครั้งนี้ นางต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถพาตัวซางหลันรั่วไปได้
“อาวุโสบรรพบุรุษเหล่านี้อย่างน้อยก็ต้องอยู่ระดับสีทองชั้นห้าขึ้นไป อีกอย่าง เกรงว่าจะยังมีผู้แข็งแกร่งระดับข้ามผ่านอื่นๆ อีก ข้ามีพลังเพียงระดับสีทองชั้นสอง ต่อสู้กับประมุขตระกูลซางยังพอได้ แต่ถ้ากับพวกเขา…” มู่เฉินกระซิบที่ข้างหูของมู่ชิงเกอ พูดถึงความแตกต่างระหว่างสองฝ่าย
ผู้แข็งแกร่งระดับสีทองชั้นห้าหนึ่งคน ก็เพียงพอแล้วที่จะฆ่าพวกเขาทั้งกลุ่มได้ในพริบตา อย่าพูดไปถึงว่าตอนนี้มีถึงหกคนเลย
“ระดับข้ามผ่าน?” มู่ชิงเกอพึมพำออกมา
นางคิดมาตลอดว่า ในโลกแห่งยุคกลางระดับที่สูงที่สุดก็คือระดับสีทอง กลับคิดไม่ถึงว่า วันนี้จะได้ยินถึงชั้นระดับใหม่จากมู่เฉิน
แต่ทว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะถามอย่างละเอียด
นางก็กำลังประเมินกำลังของคู่ต่อสู้ ไพ่ตายของนางที่พอสูสีก็มีเพียงแค่โห่วที่อยู่ระดับสีทองชั้นหก ยังมีหยวนหยวน หากจะต่อสู้เป็นตายกับเหล่าคนเบื้องหน้านี้ก็เป็นไปไม่ได้
นัยน์ตาฉายแวววาววาบ มู่ชิงเกอไม่ได้เอ่ยตอบผู้อาวุโสไท่ซ่างที่เอ่ยถามนาง แต่กลับตะโกนออกไปว่า “ไป๋สี่”
ไป๋สี่หันมองนาง ทันใดนั้นก็กลายร่างเป็นแสงสีขาว อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบกลายร่างเป็นหญิงสาวรูปร่างงดงาม พลิ้วลอยลงมาจากกลางอากาศ มายืนอยู่ด้านข้างของมู่ชิงเกอ
ฉากนี้ทำให้คนของตระกูลซางจำนวนไม่น้อยตกตะลึง
พวกเขาคิดไม่ถึงว่ารูปมนุษย์ของงูยักษ์ที่ดูดุร้ายจะกลายเป็นหญิงสาวที่งดงามขนาดนี้ได้ ทำเช่นนี้ก็เอ่ยตอบคำถามของผู้อาวุโสไท่ซ่างตระกูลซางแล้วว่ามู่ชิงเกอนั้นเป็นเจ้านายของไป๋สี่ เป็นเจ้านายของอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ!
“เกอเอ๋อร์เจ้ารีบไป อย่าสนใจข้า” ด้านหลังมีเสียงอ่อนแรงของซางหลันรั่วดังเข้ามา
มู่ชิงเกอกลับไม่สนใจทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของนาง
เหล่าผู้อาวุโสไท่ซ่างล้วนแต่พากันพิจารณามู่ชิงเกอ ทั้งยังดูคนที่อยู่ข้างกายเขาถึงแม้ว่าจะไม่ได้แสดงออกมา แต่พวกเขาก็ลอบตกตะลึงในใจ
อายุน้อยขนาดนี้ แต่กลับมีท่วงท่าไม่ธรรมดา คุณชายผู้นี้ไม่เพียงแต่ทำให้อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบยอมรับใช้เป็นเจ้านายของนางได้ ข้างกายก็ยังมียอดฝีมือระดับสีทองคอยคุ้มกันอีก เขาเป็นใครกันแน่?
ที่สำคัญก็คือ พวกเขามีชีวิตอยู่มาตั้งนานยังไม่เคยได้ยินเลยว่าอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบเคยมีเจ้านายด้วย!
‘คนผู้นี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลซางของพวกเรา?’
นี่เป็นปัญหาที่ผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งหกคนคิดอยู่ในใจพร้อมกัน
“คุณชายท่านนี้ ตระกูลซางของข้ากับเจ้ามีความแค้นอะไรกัน? เจ้าถึงได้มาก่อกวนพื้นที่ตระกูลซางเช่นนี้ หากว่าไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม เกรงว่าวันนี้ยากที่จะปล่อยให้ออกไปได้” อาวุโสบรรพบุรุษคนหนึ่งเอ่ยปากขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะไม่ชัดเจนถึงกำลังเบื้องหลังของมู่ชิงเกอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตระกูลซางจะยอมให้เรื่องเหล่านี้ผ่านไปได้ง่ายๆ
“ผู้อาวุโสไท่ซ่าง พวกเขามาเพื่อหลานสาวหลันรั่ว” ผู้อาวุโสรองตระกูลซางเอ่ยปากออกมา พูดถึงจุดประสงค์ที่พวกมู่ชิงเกอมาปรากฎตัวที่นี่
“อ้อ?”
“ข้าจำได้ว่าหลันรั่วนั้นเป็นชื่อลูกของประมุขตระกูลใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสไท่ซ่างคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาในทันใด
ในตอนนี้พวกเขาถึงได้มองเห็นซางหลันรั่วที่ตัวชุ่มเลือดอยู่บนแท่นสูงด้วย ซางหลันรั่วเคยเป็นความหวังของตระกูลซาง ทั้งยังเป็นบุตรสาวของประมุขตระกูล เหล่าผู้อาวุโสไท่ซ่างล้วนแต่เคยพบเห็น แม้ว่าจะไม่ได้พบเจอนานหลายปีแล้ว แต่ก็ยังมองออกว่าเป็นนาง
“หลันรั่วทำผิดอะไร?” ผู้อาวุโสไท่ซ่างคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมา
“นางลอบถ่ายทอดวิชาหลอมศาสตราของตระกูลซางแก่คนที่มาบุกรุกคนนี้ถึงแม้ว่าเรื่องจะล้มเหลวแต่ก็ยังถือว่าทำผิดกฎ” ผู้อาวุโสรองรีบเอ่ย
“อะไรนะ? ลอบถ่ายทอดวิชาหลอมศาสตราของตระกูลซางงั้นหรือ?”
“กล้าดีเช่นนี้เชียวหรือ!”
กลิ่นอายของผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งหกเปลี่ยนไปในทันที ไอความกดดันพุ่งกดไปยังบนแท่นสูง
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว กระแทกทวนหลิงหลงลงบนแท่นสูง พลังของนางแผ่ออกมาจากทวนออกไปรอบด้าน ดูเหมือนว่าคิดจะต้านทานแรงกดดันที่พุ่งเข้ามา
เพียงแต่ว่า อาศัยกำลังของนางเพียงคนเดียวนั้นไม่สามารถต้านทานได้
ดังนั้นนางจึงลอบใส่พลังไร้รูปร่างของพญาเพลิงปาฮวงซูคงลงไปด้วย
เปลวเพลิงไร้รูปแผ่ออกมาจากร่างของนาง แผดเผาทำลายพลังกดดันที่พุ่งเข้ามาเหล่านั้นให้สลายหายไป
“หืม?”
เผชิญหน้ากับแรงกดดันขนาดนี้ มู่ชิงเกอกลับไม่มีท่าทีสีหน้าเปลี่ยน นี่ทำให้เหล่าผู้อาวุโสไท่ซ่างของตระกูลซางล้วนแต่ขมวดคิ้วขึ้น ประหลาดใจ
“ผู้อาวุโสไท่ซ่างโปรดระงับความโมโหด้วย เรื่องนี้มีอีกสาเหตุ” ซางซุ่นหวางเอ่ยขวางได้ทัน
ซางซุ่นหวางคือประมุขตระกูล คำพูดองเขาไม่อาจไม่ฟังได้ ผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งหกคนล้วนแต่แปลกใจ เก็บความกดดันกลับ เพียงแต่มองมู่ชิงเกออย่างสนใจมากยิ่งขึ้น
พวกเขาเก็บแรงกดดันกลับ ในใจของมู่ชิงเกอก็ลอบโล่งใจ หากว่ายังดึงดันต่อไปอีก เกรงว่าแม้แต่นางที่ลอบใช้พญาเพลิงปาฮวงซูคงก็คงต้านทานไม่อยู่
“พูดเถอะว่าสรุปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ผู้อาวุโสบรรพชนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ซางซุ่นหวางเอ่ยเสียงเข้มว่า “เขาชื่อว่ามู่ชิงเกอ เป็นบุตรที่พลัดพรากกันของหลันรั่ว หลันรั่วก็เลอะเลือนไปชั่วขณะถึงได้ลืมกฎของตระกูล คิดจะถ่ายทอดวิชาหลอมศาสตราให้แก่เขา”
“ประมุขตระกูล แต่คุณชายมู่ผู้นี้ไม่ยอมรับตระกูลซางของพวกเรานะ” ผู้อาวุโสรองสอดคำขึ้นมาอีก
“เจ้าหุบปาก!” ซางซุ่นหวางตะคอก ผู้อาวุโสสามก็ห้ามปรามผู้อาวุโสรอง เอ่ยกับเขาว่า “พี่รอง อย่าเพิ่งพูดเลย”
“เป็นเลือดเนื้อของพวกเราตระกูลซางงั้นหรือ?”
ข่าวคราวนี้ทำให้คนในตระกูลซางจำนวนไม่น้อยตกตะลึง และก็ทำให้ผู้อาวุโสไท่ซ่างตระกูลซางตกใจด้วยเช่นกัน
ส่วนมู่ชิงเกอก็เงียบลงในระหว่างที่ซางซุ่นหวางพูด ดูเหมือนจะใช้ความเงียบยอมรับ นางจ้องมองซางซุ่นหวาง และก็ดูออกจากท่าทีของเขาแล้วว่าเขาไม่อยากให้ซางหลันรั่วตาย เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าในใจของเขาวางแผนการอะไรไว้
“เขากลับเป็นพี่ชายของซางเสวี่ยอู่!” ซางจื่อหลันเอ่ยอย่างตกใจ
ซางเหย่กลับสบถออกมาอย่างไม่พอใจว่า “ในเมื่อเป็นคนของตระกูลซางเช่นเดียวกัน เหตุใดต้องกลั่นแกล้งพวกเราในทุ่งหญ้าอัสดงด้วย ไม่ได้ไว้หน้ากันสักนิดเลย”
ซางจื่อหลันยิ้มเยาะ “นี่เจ้าดูไม่ออกอย่างนั้นหรือ? เขาแก้แค้นแทนซางเสวี่ยอู่ยังไงละ”
พูดจบแล้ว นางก็ขบริมฝีปาก ในใจเกิดความอิจฉาตาร้อน
“จื่อหลัน เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นพี่ชาย?” ทันใดนั้นซางเหย่ก็ถามขึ้นมา
ซางจื่อหลันเขม็งตาใส่เขาแวบหนึ่ง ด่าเสียงเบาว่า “เจ้าเป็นหมูหรืออย่างไร? ล้วนพูดแล้วว่าเป็นบุตรที่rลัดพรากกัน ท่านอาหลันรั่วกลับมาตระกูลซางก็ตั้งหลายปีแล้ว ทั้งยังเก็บตัวไม่ออกไปไหน ทั้งยังคลอดลูกแฝดอย่างซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินออกมาอีก บุตรที่โผล่มาอย่างกะทันหันนี้ จะอายุน้อยกว่าพวกเขาได้อย่างนั้น หรือ?”
“อา อา! ข้าเข้าใจแล้ว” ซางเหย่พยักหน้า แล้วก็มองซางจื่อหลันอย่างชื่นชม “จื่อหลันเจ้าช่างฉลาดจริงๆ!”
ซางจื่อหลันกลับถอนหายใจอย่างจนใจ
“ประมุขตระกูล เป็นสายเลือดตระกูลซางของเราจริงๆ งั้นหรือ? ได้ผ่านการทดสอบการสืบสายเลือดแล้วหรือยัง?” ผู้อาวุโสไท่ซ่างอีกคนเอ่ยถาม
“ยังไม่ได้ทดสอบ” ซางซุ่นหวางตอบตามความจริง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ยังจะรออะไรอีกรีบทดสอบเลยสิ!” ผู้อาวุโสไท่ซ่างอีกคนรีบเอ่ย ตระกูลซางในตอนนี้นั้นมีคนที่มีความสามารถน้อยมาก หากว่าคุณชายที่ไม่ธรรมดาตรงหน้าเป็นสายเลือดของตระกูลซางจริงๆ อีกทั้งยังสืบทอดสายเลือดที่เข้มชันสูงส่ง นั่นก็ถือว่าเป็นโชคดีของตระกูลซางแล้ว
“ช้าก่อน” ทันใดนั้น มู่ชิงเกอที่เงียบมาโดยตลอดก็เอ่ยขึ้นมา
นางเพิ่งเอ่ยปากออกไป ทุกคนก็มองมาที่นางในทันที แม้แต่ผู้อาวุโสไท่ซ่างก็ไม่ยกเว้น
“ข้าพูดแล้วหรือว่าข้ามีความเกี่ยวข้องกับตระกูลซาง?” มู่ชิงเกอเยาะเย้ยด้วยนํ้าเสียงที่เย็นชา
ประโยคนี้ทำให้สีหน้าของผู้อาวุโสไท่ซ่างเปลี่ยนไปในทันที
ซางซุ่นหวางรีบเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสไท่ซ่าง เมื่อก่อนเด็กคนนี้มีความเข้าใจผิดบางอย่างกับตระกูลซาง รอให้ข้ากับนางพูดกันให้เข้าใจดีก่อน”
พูดแล้วเขาก็ก้าวเท้าไปข้างหน้า สะกิดเท้ากระโดดขึ้นไปบนแท่นสูง
“เกอเอ๋อร์ ข้าอยากจะพูดบางอย่างกับเจ้า” ซางซุ่นหวางพูดตรงๆ
สายตาของเขามองผ่านมู่ชิงเกอไปบนร่างของซางหลันรั่ว เห็นเหมยจื่อจ้งกำลังจัดการบาดแผลให้นางแล้วก็โล่งใจ เขาจำได้ว่า มู่ชิงเกอเคยพูดว่า ชายหนุ่มชุดสีขาวผู้นี้เป็นอาจารย์ปรุงยาระดับสมบัติ
มู่ชิงเกอมองเขาเงียบๆ ทันใดนั้นก็สะบัดมืออยู่ข้างกาย นางก็มีชายหนุ่มที่มีหน้าตาคมคายคนหนึ่งโผล่ออกมา หว่างคิ้วของเขามีจุดชาดสีแดงดุจเพลิงอยู่จุดหนึ่ง
“ลูกพี่!” หยวนหยวนมาถึงตรงหน้าของมู่ชิงเกอ ในใจรู้สึกตื่นเต้นในที่สุดลูกพี่ท่านแม่ก็ปล่อยเขาออกมา!
“ร่างของพญาเพลิง!”
“พญาเพลิง!” ทันทีที่หยวนหยวนปรากฎตัวออกมา ผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งหกคนก็มองร่างเดิมของเขาออกในทันที
ในใจของซางซุ่นหวางก็รู้สึกตกตะลึงเช่นเดียวกันใช้ นัยน์ตาที่ฉายแววตกตะลึงมองดูมู่ชิงเกอ เขาไม่คิดว่านางถึงกับมีพญาเพลิง อีกทั้งพญาเพลิงนี้ก็ยังทำให้คน รู้สึกว่าแข็งแกร่งมากอีกด้วย
“เฝ้าที่นี่ไว้หากว่ามีคนฝืนบุกเข้ามาก็ฆ่าได้เลย” มู่ชิงเกอสั่งการหยวนหยวน
“ขอรับ!” หยวนหยวนรับคำสั่ง วิ่งไปอยู่ข้างไป๋สี่ พลิกสองมือ พญาเพลิงสองดวงต่างสีสันก็ลุกโชนขึ้นมาตรงกลางฝ่ามือของเขา
“พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด!”
“พญาเพลิงปีศาจไปกู่!”
“นี่…มีพญาเพลิงถึงสองชนิดได้อย่างไร?”
ผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งหกจดจำที่มาของพญาเพลิงในมือของหยวนหยวนได้ และต่างก็รู้สึกตกตะลึง
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสไท่ซ่างคนหนึ่งก็เอ่ยออกมาอย่างตกใจว่า “ข้ารู้แล้ว! เขาคือพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน!”
เมื่อถูกเขาเอ่ยเตือน คนอื่นๆ อีกห้าคนก็สูดลมหายใจเข้าพร้อมกัน
พญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนจะอาศัยการกลืนพญาเพลิงชนิดอื่นๆ เพื่อเติบโตขึ้น ทรงพลังเหนือจินตนาการ พญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนสามารถแปลงร่างได้เช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าได้ดูดกลืนพญาเพลิงไปมากมายแค่ไหนแล้ว
การพูดคุยกันของผู้อาวุโสไท่ซ่างตกเข้าไปในหูของซางซุ่นหวางไม่หยุด
เขามองมู่ชิงเกอที่มีใบหน้าเรียบเฉยเย็นชาอย่างตกตะลึง ในใจเกิดคลื่นลูกใหญ่
เขาเดินไปปถึงตรงหน้าของมู่ชิงเกอ สะบัดมือ ปราการสีทองปรากฎขึ้นในอากาศ โอบล้อมสองคนไว้ ป้องกันไม่ให้เสียงลอดผ่านออกไปได้ แม้แต่ท่าทางของทั้งสองคนภายใต้สายตาของคนอื่นก็เปลี่ยนเป็นดูคลุมเครือ
“ประมุขตระกูลซางสามารถตัดใจใช้บุตรสาวของตนเองเป็นเหยื่อล่อให้ข้ามาได้ช่างถือว่าลงแรงลงความคิดไปไม่น้อยเลยทีเดียว” เมื่อถูกป้องกันเอาไว้แล้ว มู่ชิงเกอก็ เอ่ยอย่างดูแคลนขึ้นมา หากว่ามาจนถึงตอนนี้แล้วนางยังมองไม่ออกว่าซาง ซุ่นหวางคิดจะทำอะไร ก็ถือว่าเกิดมาสองครั้งเสียชาติเกิดแล้ว
การดูแคลนของมู่ชิงเกอทำให้สีหน้าของซางซุ่นหวางซีดขาว เขาเอ่ยเสียงเข้มว่า “ข้าก็เพียงแค่พนัน หากว่าเจ้าใจเหี้ยมไม่มาจริงๆ มารดาของเจ้าก็ต้องตายในวันนี้ อย่างไม่ต้องสงสัย หากว่าเจ้าปรากฎตัว นางก็ยังถือว่ามีโอกาสมีชีวิตรอด”
มู่ชิงเกอหรี่ดวงตาแคบลง ขบริมฝีปากไม่พูดจา
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามารดาของเจ้านางขอร้องอะไรข้า? นางรู้อยู่ชัดๆ ว่าทำเช่นนี้ตัวเองจะต้องตาย แต่กลับยังคิดจะรับเรื่องทั้งหมดนี้ไว้เองคนเดียว คุ้มครองเจ้าให้ ปลอดภัย” ซางซุ่นหวางเอ่ย
“เจ้าก็มองเห็นแล้ว ว่านี่ไม่ใช่การเล่นละคร การเปิดเผยวิชาหลอมศาสตราตระกูลซางมีเพียงแค่ตายสถานเดียว ที่นางต้องการก็เพียงเพื่อไม่ให้เกี่ยวโยงไปถึงเจ้าได้เท่านั้น หากว่าเจ้ามาช้าไปสักหน่อย เกรงว่าแม้แต่ใบหน้านาง เจ้าก็จะไม่ได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ไม่ว่านางจะติดค้างเจ้ามากสักแค่ไหน มีเรื่องที่ต้องขอโทษเจ้ามากเพียงใด แต่ในตอนนี้เจ้าก็ควรจะคลายโทสะลงได้แล้ว” ซางซุ่นหวางเอ่ยโน้มน้าวใจ
“เรื่องของข้า ไม่จำเป็นต้องให้ประมุขตระกูลซางมาเป็นห่วง” มู่ชิงเกอเอ่ยออกมา
ภายในดวงตาที่เรียบนิ่งไร้คลื่นลมของนาง ดูไม่ออกเลยว่าในตอนนี้นางกำลังคิดอะไรอยู่
ท่าทีของนาง ทำให้ซางซุ่นหวางรู้สึกไร้ทางเลือก เขาค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น เอ่ยถามว่า “จุดมุ่งหมายที่เจ้ามาก็เพื่อช่วยนางใช่ไหม?”
มู่ชิงเกอไม่ตอบคำ เพราะคำตอบนั้นแน่นอนอยู่แล้ว
นางมาช่วยคนเพราะว่าไม่อยากจะติดค้างบุญคุณ แต่ไม่ได้แสดงว่าในใจของนางจะยอมรับมารดาคนนี้
นางไม่ตอบ ซางซุ่นหวางก็ไม่บังคับ เอ่ยต่อไปว่า “ข้ามีวิธีหนึ่งที่สามารถคุ้มครองนางไม่ให้ตายได้ทั้งเจ้าก็สามารถเรียนวิชาหลอมศาสตราของตระกูลซางได้อย่าง
เปิดเผย”
มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ “ประมุขตระกูลซางคิดจะพูดว่า เพียงแค่ข้ายอมรับว่าเป็นบุตรของซางหลันรั่ว เป็นหลานของท่าน เช่นนั้นการกระทำของซางหลันรั่วก็จะไม่ถือว่าผิดกฎ ส่วนข้าก็สามารถเข้าสู่ตระกูลซางเรียนรูวิชาหลอมศาสตราได้อย่างนั้นหรือ?”
นางมองทะลุถึงความคิดของซางซุ่นหวางแล้ว
เมื่อความคิดถูกคาดเดาออกมา ซางซุ่นหวางก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร ในใจของเขานั้น มู่ชิงเกอเป็นคนที่ฉลาดมาก!
เพียงแต่ว่า ท่าทางที่ดูแคลนของนางนั้นกลับทำให้เขาลังเลอยู่บ้าง
ลังเลว่าสุดท้ายแล้วนางจะปฏิเสธ ถึงตอนนั้นเรื่องราวก็จะยากที่จะจัดการแล้ว!
“เจ้าพูดไม่ผิด เพียงแค่เจ้าพยักหน้า ปัญหาทุกอย่างก็จะถูกแก้ไขไปในทันที เจ้าก็อย่าเพิ่งรีบร้อนปฏิเสธไป ฟังข้าพูดให้จบก่อน” ซางซุ่นหวางเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องดูวิชาหลอมศาสตราที่หลันรั่วมอบให้เจ้าแล้วอย่างแน่นอน แต่ว่าแม้แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าวิชาหลอมศาสตราที่นางรับรู้นั้นไม่ได้สมบูรณ์วิชาหลอมศาสตราตระกูลซางล้วนแต่ถูกถ่ายทอดเป็นส่วนๆ ก่อนที่จะได้เป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับเทวะนั้น คนในตระกูลทุกคนก็จะได้รู้วิชาหลอมศาสตราเพียงแค่ครึ่งเดียว นางเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับสมบัติ มีเพียงแต่หลังจากนางทะลวงเข้าสู่อาจารย์หลอมศาสตราระดับเทวะแล้ว ถึงได้รับส่วนหลังที่เป็นเคล็ดลับไป ดังนั้น…”
“ดังนั้น ท่านคิดจะบอกข้าว่า ที่ข้าได้รับนั้นเป็นเพียงแค่วีธีการหลอมอาวุธระดับเทวะเท่านั้น ถึงแม้ว่าข้าจะหลอมอาวุธระดับเทวะออกมาได้ระดับต่อๆ ไปก็จะยากที่จะหลอมออกมาอยู่ดี” มู่ชิงเกอตัดบทพูดของซางซุ่นหวาง
“ไม่ผิด!” ซางซุ่นหวางพยักหน้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าภายในตระกูล ใช้คนใช้เวลานานมากเท่าไหร่ถึงจะปรากฎอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพออกมาสักคน? แม้ จะเป็นข้าในตอนนี้ก็อยู่เพียงแค่ระดับเทวะ หลังจากได้รับเคล็ดลับส่วนหลังแล้ว ก็ยังไม่เคยหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพออกมาได้เลย ดังนั้น ถ้าหากเจ้าคิดอยากจะได้รับวิชาหลอมศาสตราฉบับสมบูรณ์วิธีเดียวก็คืออยู่ใน ตระกูลซางต่อ หลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะออกมา แล้วก็รับเคล็ดลับส่วนหลังไปอย่างราบรื่น”
“ข้าจะไม่อยู่ตระกูลซางต่อ” มู่ชิงเกอปฏิเสธไปตรงๆ
“เพรราะเหตุใด? ถึงแม้ว่าเจ้าจะแซ่มู่ แต่ก็เป็นลูกหลานของตระกูลซาง เหตุใดจึงต้องปฏิเสธเช่นนี้ด้วย? หรือว่าอยากจะให้มารดาของเจ้าตายไปจริงๆ เจ้าถึงจะยอมปล่อยวางความแค้นนี้ลงได้?” ซางซุ่นหวางไม่เข้าใจ
“ท่านผิดแล้ว ที่ข้าไม่ยอมอยู่ตระกูลซางต่อก็เป็นเพราะว่าข้าไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกันกับตระกูลซาง เรื่องที่ข้าต้องทำนั้นมีเยอะมาก มีเวลาน้อยมาก ตระกูลซางสำหรับข้าแล้วเป็นเพียงแค่ปัญหาอย่างหนึ่ง ซางหลันรั่ว สำหรับข้าแล้วทั้งไม่รักและไม่แค้น ระหว่างข้ากับนางนั้นเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าต่อกัน” มู่ชิงเกอพูดอย่างเย็นชา
“เจ้า…จะไร้นํ้าใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ? นางเป็นมารดาที่คลอดเจ้าออกมานะ!” ซางซุ่นหวางพูดอย่างปวดใจ
มู่ชิงเกอเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “บุณคุณที่ให้กำเนิด ข้าจะตอบแทนแน่นอน”
“พูดอย่างไรเจ้าก็ยังโทษที่นางทิ้งเจ้าไปไม่ไยดีในตอนนั้นอยู่ดี” ซางซุ่นหวางถอนหายใจเอ่ยออกมา “หากว่าเจ้าอยากจะโทษก็โทษข้าเถอะ อย่าแค้นมารดาของเจ้า เลย นางเป็นแค่เพียงคนที่น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น ข้าก็ไม่คาดหวังให้เจ้าแบกรับภาระตระกูลซาง ข้ากับเจ้ามาทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนร่วมกันเป็นอย่างไร?”
“แลกเปลี่ยน?” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ สายดาสดใสเผชิญหน้ากับสายตาอันลุ่มลึกของซางซุ่นหวาง “พูดมา”
“เจ้าอยู่ต่อในตระกูลซางเรียนวิชาหลอมศาสตรา ข้าก็จะไม่บังคับให้เจ้าเปลี่ยนแซ่ ยิ่งจะไม่ควบคุมการอยู่การไปของเจ้า ต่อไปภายภาคหน้า เจ้าเพียงแค่ต้องหลอม ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพออกมาเพื่อตระกูลซางหนึ่งชิ้นให้ได้ก็พอ ถึงตอนนั้นหากว่าเจ้าอยากจะลบความสัมพันธ์กับตระกูลซางจนหมดสิ้น ข้าก็จะตามใจเจ้า แม้ว่า ตระกูลซางจะล่มสลาย ข้าก็จะไม่ลากเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นอันขาด ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพหนึ่งชิ้นแลกเปลี่ยนกับวิชาหลอมศาสตราฉบับสมบูรณ์” ซางซุ่นหวางถูกบีบจนหมดทางเลือก สามารถทำได้เพียงเท่านี้
“ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพหนึ่งชิ้นแลกเปลี่ยนกับวิชาหลอมศาสตราฉบับสมบูรณ์งั้นหรือ?” มู่ชิงเกอพึมพำ
“ไม่ผิด!” ซางซุ่นหวางเพิ่มเติมอีกว่า “ช่วงเวลาที่เจ้าอยู่ในตระกูลซางนี้ไม่ว่าตระกูลซางเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่เจ้าไม่ยินยอม ก็ไม่ต้องไปสนใจได้ไม่ต้องยุ่งไม่ต้องถาม”
มู่ชิงเกอนิ่งลงไป
การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ ดูไปแล้วก็เหมือนจะไม่เลว นางก็จะได้ถือโอกาสนี้พัฒนาวิชาหลอมศาสตราของตนเองไปด้วยในตัว
“ข้าอยู่ในตระกูลซางได้อย่างมากสุดก็คือสามปี อีกอย่างก็อย่าได้ใช้กฎของตระกูลซางมาควบคุมข้า หากมีใครมาพูดเรื่องกฎตระกูลซางกับข้าแม้แต่คนเดียว ก็อย่าโทษว่าข้าไม่รักษาสัญญาก็แล้วกัน” ในที่สุดมู่ชิงเกอก็เปิดปาก ให้คำตอบของตนเองออกไป
นี่ทำให้ซางซุ่นหวางโล่งใจ พยักหน้าเอ่ยว่า “ดี!”
เขาหยุดเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ในช่วงเวลาที่เจ้าอยู่ในตระกูลซาง อย่างน้อยก็ทำเหมือนกับเสวี่ยอู่ อี้เฉิน เรียกข้าว่าตาสักคำ และก็เรียกมารดาของ เจ้าว่าแม่เถอะ”
มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ “พูดว่านี่เป็นเพียงแค่ข้อตกลงแลกเปลี่ยนร่วมกันเท่านั้น จะเรียกอย่างไรก็เป็นเพียงแค่คำเรียกเท่านั้น แต่ว่าประมุขตระกูลซางคิดว่าคำเรียกสองคำนี้หากว่าไม่ได้เรียออกมาจากใจจะมีความหมายอยู่หรือ?”
คำพูดของนางทำให้ซางซุ่นหวางหมดแรงที่จะตอบโต้
เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถึงเอ่ยว่า“ในเมื่อเจ้าจะต้องอยู่ในตระกูลซางแล้ว จะไม่ทำให้ความสัมพันธ์ชัดเจนหน่อยหรือ?”
“ประมุขตระกูลซางถือว่าข้าเป็นเพียงแค่ศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งก็แล้วกัน” มู่ชิงเกอพูดง่ายๆ
นางไม่อยากติดค้างอะไรกับซางหลันรั่ว แล้วจะสามารถตกลงใช้ประโยชน์จากนาง จากสถานะของนางสร้างสถานะของตนเองในตระกูลซางได้อย่างไร?
ตอนนี้นั้นง่ายมาก นางร่วมมือกับซางซุ่นหวางช่วยซางหลันรั่ว ส่วนซางซุ่นหวางจะถ่ายทอดวิชาหลอมศาสตราฉบับสมบูรณ์ให้นาง นางก็ต้องจ่ายอะไรออกไปซึ่งนั้นก็คือยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพชิ้นหนึ่ง
เช่นนี้ดีแค่ไหน ชัดเจนดีแล้ว
หลังจากที่นางหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพออกมาได้แล้วก็แยกทาง ทางใครทางมัน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลซางอีก
“เจ้าเด็กคนนี้นิสัยดื้อดึงของเจ้าช่างเหมือนกันกับมารดาของเจ้าจริงๆ” ซางซุ่นหวางเอ่ยอย่างหมดหนทาง
เหมือนซางหลันรั่วงั้นหรือ?
มู่ชิงเกอยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววดูแคลนขึ้นมา นางไม่เหมือนใครเลย เหมือนก็เพียงแต่ตัวนางเองเท่านั้น!
เมื่อทั้งสองคนตกลงกันสำเร็จ ซางซุ่นหวางก็สลายปราการป้องกัน เขาหันกายไปเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งหกคนแล้วเอ่ยว่า “เรียนผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งหก เรื่องเข้าใจผิดได้รับการแก้ไขแล้ว เด็กคนนี้ได้ตกลงจะอยู่ในตระกูลซางต่อ วันนี้ที่นางบุกเข้ามาในพื้นที่ตระกูล ก็เป็นเพราะว่าร้อนใจอยากจะช่วยมารดา ขอผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งหกโปรดให้อภัยด้วย”
“อ้อ? ในเมื่อพูดกันเข้าใจดีแล้ว เจ้าเป็นประมุขตระกูล โทษหรือไม่โทษก็อยู่ที่การตัดสินใจของเจ้า” ผู้อาวุโสไท่ซ่างคนหนึ่งพูดออกมา
ผู้อาวุโสไท่ซ่างคนอื่นๆ ก็พยักหน้าด้วย
สามารถรั้งมู่ชิงเกอให้อยู่ในตระกูลซางได้แน่นอนว่าดีกว่าฆ่าเขามาก!
“ลูกพี่ ท่านตกลงจะอยู่ต่อแล้ว!”
“ลูกพี่ นี่เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ?”
มู่เสวี่ยอู่กับมู่อี้เฉินก็ตื่นเต้นขึ้นมา ในใจของพวกเขาสามารถกำจัดสิ่งกีดขวางระหว่างพี่สาวกับมารดาของตนเองลงได้ก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุด เพียงแค่สามารถทำความหวังในใจนี้สำเร็จ แม้จะให้พวกเขาไปตายพวกเขาก็ยอม
มู่ชิงเกอกวาดตามองมา มองความตื่นเต้นของทั้งสองคน และก็มองเห็นนํ้าตาจากดวงตาของซางหลันรั่ว นางถอนสายตากลับแล้วก็รับคำไปคำหนึ่ง
ข้อตกลงแลกเปลี่ยนนั้นเป็นเพียงระหว่างนางกับซางซุ่นหวาง นางไม่จำเป็นต้องพูดออกไปให้คนอื่นรู้
“ขอบคุณผู้อาวุโสไท่ซ่าง” ซางซุ่นหวางโค้งกายลงขอบคุณ จากนั้นก็พูดว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง หลันรั่วเพราะรักลูกถึงได้เสี่ยงลอบถ่ายทอดวิชาหลอมศาสตรา ดีที่ สุดท้ายก็ไม่ได้สำเร็จ ตอนนี้เด็กคนนี้ก็ได้เป็นคนของตระกูลซางของพวกเราแล้ว หลันรั่วก็ได้รับโทษแล้ว สามารถเว้นโทษตายให้นางได้หรือไม่?”
“นี่…”
ผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งหกสบตากันแวบหนึ่ง ภายในสายตาล้วนแต่ดูลังเลเล็กน้อย
พวกเขาก็กลัวว่าหากละเว้นไปแล้ว ต่อไปจะมีคนถือเอาเป็นแบบอย่าง ฝ่าฝืนกฎของตระกูล
“ผู้อาวุโสไท่ซ่าง ได้โปรดละเว้นหลานหลันรั่วเถอะ’’ ผู้อาวุโสสามคุกเข่าลงกับพื้นอ้อนวอน
เมื่อเขาคุกเข่าลง คนที่อยู่ในสายของเขาก็ล้วนแต่คุกเข่าลงตาม
ผู้อาวุโสรองคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็คุกเข่าลงตาม เอ่ยกับผู้อาวุโสไท่ซ่างว่า “ขอผู้อาวุโสไท่ซ่างทุกท่านเมตตาด้วย”
จากนั้น คนในสายของผู้อาวุโสรองก็คุกเข่าลงตาม
ส่วนสายที่เป็นของซางซุ่นหวาง รวมทั้งสาขาอื่นๆ ก็ล้วนแต่ทยอยคุกเข่าลงในเวลานี้
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ร้องออกมาให้ปล่อยซางหลันรั่ว แต่เมื่อมองเห็นสภาพชุ่มเลือดของนางแล้ว ในใจก็ล้วนแต่ทนไม่ไหว
“เฮ้อ!”
หลังจากเหล่าผู้อาวุโสไท่ซ่างสบตากันไปมาแล้วก็ถอนหายใจออกมา
หนึ่งคนในนั้นเอ่ยกับซางซุ่นหวางว่า “ตอนนี้เจ้าถึงเป็นประมุขตระกูลซาง พวกเราเป็นเพียงพวกคนแก่เฒ่า ไม่ได้สนใจเรื่องภายนอกนานมากแล้ววันนี้หากไม่เป็นเพราะอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบปรากฎตัว พวกเราก็คงจะไม่ได้ออกมา สมควรทำอย่างไรเจ้าตัดสินใจเองเถอะ”
“ขอบคุณผู้อาวุโสไท่ซ่าง!” ซางซุ่นหวางเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ
ผู้อาวุโสไท่ซ่างที่เอ่ยปากพยักหน้าให้กับซางซุ่นหวางแล้วทั้งหกคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยต่อหน้าทุกคน
ภายในเรือนเล็กของซางหลันรั่ว หลังจากจัดท่าทางให้นางดีแล้ว มู่เสวี่ยอู่กับมู่อี้เฉินก็อยู่ข้างกายของนาง เหมยจื่อจ้งเดินออกมาจากห้อง มองเห็นมู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ กลางเรือน เขาเดินไปข้างกายของมู่ชิงเกอ อีกฝ่ายก็หันมองมา
“รบกวนศิษย์พี่เหมยแล้ว”
เหมยจื่อจ้งส่ายๆ หน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ลำบากเลย เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น บาดแผลทั้งหมดจัดการเสร็จแล้ว เพียงเพราะบาดเจ็บถึงกระดูกจะให้ฟื้นฟูขึ้นมาก็จะช้า บ้างเล็กน้อย ยาก็ได้ใช้แล้ว พักผ่อนอีกไม่กี่วันก็จะหายดี”
“โรคเก่าของนาง…” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างลังเล
“ได้รับยาแล้วเช่นกัน” เหมยจื่อจ้งเอ่ยยิ้มๆ
มู่ชิงเกอพยักหน้า สายตามองไกลออกไป
เหมยจื่อจ้งยืนอยู่ข้างกายนาง เอ่ยถามเสียงเบาว่า “ชิงเกอ เหตุใดเจ้าจึงไม่ลงมือช่วยเอง?”
ศาสตร์การปรุงยา ของมู่ชิงเกอเหนือกว่าเขา แต่กลับไม่ยอมจัดการเอง แต่เขาก็เข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะปมในใจของนาง
มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่ามีศิษย์พี่เหมยอยู่แล้ว ในเมื่อศิษย์พี่อยู่ก็ให้ข้าแอบขี้เกียจบ้างเถอะ”
รอยยิ้มของนางทำให้เหมยจื่อจ้งพยักหน้าอย่างหมดหนทาง
จากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “แต่ว่า เจ้าก็รู้ดีว่าสภาพแวดล้อมเช่นนี้ไม่เหมาะแก่การพักรักษาตัว”
เหมยจื่อจ้งมองไปยัง บรรยากาศรอบกาย แล้วก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอ เรือนเล็กหลังนี้ แต่ก่อนถูกกลิ่นอายของนํ้าแข็งทมิฬกัดเซาะ แม้แต่คนที่ยืนอยู่นอกเรือนก็ยังรู้สึกหนาวเย็นแล้ว แม้ว่าตอนนี้นํ้าแข็งทมิฬจะถูกมู่ชิงเกอเก็บไปแล้ว แต่ว่าไอความเย็นที่ถูกบ่มเพาะมาเป็นเวลานานก็ไม่ได้จะหายไปได้ในเวลาไม่กี่วัน
มู่ชิงเกอพยักหน้า เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็เปลี่ยนที่พัก”
“เปลี่ยนที่พัก!” มู่อี้เฉินเดินออกมาจากห้องพอดีได้ยินการพูดคุยถึงเรื่องนี้กันของมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้ง
มู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งหันกายไปพร้อมกัน มองมู่อี้เฉิน ที่เดินมาใกล้ด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ลูกพี่ ท่านแม่คงไม่ยอมจากที่นี่ไปแน่ ข้ากับเสวี่ยอู่แล้วก็ยังมีท่านตาไม่รู้ว่าโน้มน้าวนางไปตั้งกี่ครั้งแล้ว สุดท้ายนางก็ไม่ยอมจากไป”
“พูดไม่ผิด” ทันใดนั้น ก็มีเสียงสอดแทรกขึ้นมา
ทั้งสามคนที่อยู่กลางเรือนมองออกไป เห็นซางซุ่นหวางก้าวยาวเข้ามา
ซางซุ่นหวางอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็พูดกับนางแล้วว่า ในเมื่อคนที่เฝ้านั้นไม่อยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเฝ้าอยู่ที่นี่ แต่นางก็ยังดื้อดึงไม่ยอมไป ไม่ได้ฟังการโน้มน้าวของข้าเลย”
“ตอนนี้นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับนาง ในเมื่อเป็นคนป่วยก็ต้องมีหน้าที่ของผู้ป่วย ท่านหมอเหมยได้สิ้นเปลืองแรงไปมากช่วยชีวิตนางกลับมาได้ไม่ได้มีไว้ให้นางทำลาย” มู่ชิงเกอพูดด้วยนํ้าเสียงที่เรียบเฉย
คำพูดที่อหังการเช่นนี้ทำให้มู่อี้เฉินพูดไม่ออก แต่นัยน์ตาของซางซุ่นหวางกลับฉายแวววาววาบ
มู่ชิงเกอมองไปยังมู่อี้เฉินแล้วเอ่ยว่า “ไปเก็บของย้ายวันนี้”
“ขอรับ ลูกพี่!” มู่อี้เฉินหันกายวิ่งออกไป แล้วก็ยังหันกลับมาถามอย่างลังเลอีกว่า “หากว่าท่านแม่ไม่ยอมย้ายละจะท่าอย่างไร?”
“เช่นนั้นก็ตีให้สลบแล้วพาออกไป” มู่ชิงเกอเอ่ย
เฮือก!
เด็ดขาดเกินไปแล้ว!
ภายในเรือนเงียบสงบลง
มู่ชิงเกอมองไปยังท่าทางที่อ้าปากค้างแล้วก็พูดอย่างไม่สนใจว่า “หากว่าไม่ไป ก็ตีให้สลบ หากว่าไม่กินอาหาร ท่านหมอเหมยทางนี้ก็มียามากพอที่จะทำให้นางไม่ตายได้ หากว่ายังทรมานตนเองต่อ เจ้าก็บอกนางว่า หากไม่เชื่อฟัง ข้าก็จะฝังมู่เหลียนเฉิงทันที”
มู่อี้เฉินสูดลมหายใจเข้า ชูนิ้วโป้งให้มู่ชิงเกอ จากนั้นก็หันกายวิ่งกลับไปในห้อง ถ่ายทอดคำพูดของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอถอนสายตากลับ เผชิญหน้ากับสายตาที่ดูพอใจของซางซุ่นหวาง
“แต่ก่อน ข้าบอกนางว่าเจ้าใช้ชีวิตของนางมาต่อรองแลกเปลี่ยนวิชาหลอมศาสตรากับข้า นางไม่เพียงไม่โกรธ กลับชมว่าเจ้าฉลาดกว่าบิดาของเจ้า มาตอนนี้ข้าก็ยอมรับในความคิดนั้นของนางแล้ว” ซางซุ่นหวางเอ่ยกับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอกลับเอ่ยด้วยท่าทีที่เรียบเฉยว่า “ขอบคุณที่ชม”
“ลูกพี่ ท่านแม่ยอมย้ายออกไปแล้ว” มู่อี้เฉินพุ่งออกมา
จากห้องด้วยความดีใจ รู้สึกนับถือมู่ชิงเกอมากยิ่งขึ้น
“แต่ว่า” เขาเอ่ยอย่างลังเล “ท่านแม่พูดว่าในเมื่อในตอนนี้ท่านไม่ไปชั่วคราว สามารถพาบิดากลับมาให้นางดูแลได้หรือไม่”
“ไม่ได้” มู่ชิงเกอปฏิเสธไปโดยไม่ต้องคิดมาก
สภาพร่างกายของซางหลันรั่วในตอนนี้หากยังไปใกล้ชิดกับนํ้าแข็งทมิฬและมู่เหลียนเฉิงต่อก็คือไม่ต้องการชีวิตแล้ว
มู่อี้เฉินอดใจไม่อยู่ “นี่…”
มู่ชิงเกอกลับพูดอย่างเย็นชาออกมาว่า “หากว่าเจ้าอยากให้นางตายเร็ว ก็สามารถยอมนางได้ เจ้าไปบอกนางว่า คิดอยากจะพบมู่เหลียนเฉิงก็ต้องดูว่าเมื่อไหร่ที่ นางจะฟื้นคืนหายดีดังเดิมก่อน”
“รับ…รับทราบแล้ว” มู่อี้เฉินพยักหน้า เขาค้นพบแล้วว่าแล้วหลังจากที่พี่สาวมา ครอบครัวของพวกเขาถือว่ามีที่ยึดเหนี่ยวแล้ว
“เกอเอ๋อร์เจ้าก็ย้ายเข้ามาตระกูลซางเถอะ เช่นนี้เวลาที่ฝึกหลอมยุทธภัณฑ์ก็จะสะดวกหน่อย” ซางซุ่นหวางฉวยโอกาสเสนอออกมา
มู่ชิงเกอครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วก็เอ่ยถามว่า “ที่นี่ไม่เลว ในช่วงที่ข้าอยู่ในตระกูลซางก็จะอยู่ที่นี่ละ” นางชอบความเงียบสงบไม่มีคนมารบกวนของที่นี่
“แต่ว่า เจ้าไม่ใช่พูดว่าที่นี่ไอความเย็นมากเกินไป…” ซางซุ่นหวางเอ่ยถามอย่างสงสัย
มู่ชิงเกอกลับเอ่ยว่า “ไอความเย็นนี้สำหรับข้าแล้วไม่มีผลกระทบใด”
เพียงแต่มีหยวนหยวนอยู่ ไอความเย็นเหล่านี้ก็ไม่ได้ส่งผลอะไร
“ก็ดี อีกครู่ข้าจะให้คนมาจัดเก็บทำความสะอาด” ซางซุ่นหวางก็ไม่ได้บีบบังคับ
“ไม่จำเป็น ข้ามีบ่าวของตัวเอง” มู่ชิงเกอปฏิเสธความปรารถนาดีของเขา
เวลานี้ มู่เฉินได้นำมู่เผิงเดินเข้ามา เดิมที่มู่เผิงไปเรียกรวมพล แต่ในตอนที่เขานำคนมาถึงนั้น ทุกอย่างก็ได้จบลงแล้ว
“นายน้อย”
“นายน้อย”
มู่เฉินกับมู่เผิงพูดกับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอพยักหน้า เดินเข้าไปหาพวกเขาเอ่ยกับทั้งสองคนว่า “ตอนนี้ข้าจะอยู่ตระกูลซางไปสักระยะหนึ่ง พวกเจ้าก็ถือโอกาสนี้กลับไป นำคนทั้งหมดของพวกเจ้ากลับมาด้วย มารอรับคำสั่งในเมืองฝูซา จากนั้นพวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอยู่ในภูเขาลึกอีก ข้ามีสถานที่ให้พวกเจ้าพักได้อย่างสบายใจ”
นางคิดว่าจะรีบหลอมชุดขององครักษ์เขี้ยวมังกรให้เสร็จ จากนั้นก็จะให้มู่เฉินนำคนกับไป๋สี่ไปยังลั่วซิงเฉิง รอให้มีข่าวคราวความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางแล้ว ก็ค่อยเรียกพวกเขามา
“ขอรับ นายน้อย” มู่เฉินกับมู่เผิงรับคำสั่ง
หลังจากที่ทั้งสองคนถอยออกไปแล้ว ซางซุ่นหวางถึงได้มองมู่ชิงเกออย่างสงสัยแล้วเอ่ยว่า “พวกเขาเรียกเจ้าว่านายน้อย แต่ก่อนก็เรียกมู่ลั่วฟงเป็นนายน้อยเช่น เดียวกัน นี่เป็นเรื่องอะไรกันแน่?”
“เรื่องของข้าคงไม่จำเป็นต้องรายงานแก่ประมุขตระกูลซางหรอกกระมัง” มู่ชิงเกอยิ้มอย่างมีเลศนัยแก่ซางซุ่นหวาง
“เกอเอ๋อร์ ตาก็เพียงแค่เป็นห่วงเท่านั้น” ซางซุ่นหวางขมวดคิ้วเอ่ยออกมา
“ขอบคุณประมุขตระกูลซางที่เป็นห่วง” มู่ชิงเกอพูดพอเป็นพิธี
บนโลกนี้มีคนบางชนิดที่สามารถพูดให้คนเจ็บปวดจนตายได้! ซางซุ่นหวางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และก็ไม่รู้ว่าเวลาสามปีจะสามารถละลายความแค้นในใจของมู่ชิงเกอลงได้หรือไม่
มู่ชิงเกอหันกายไปเอ่ยกับเหมยจื่อจ้ง “ศิษย์พี่เหมย ข้าออกไปข้างนอกครู่หนึ่ง เพื่อรับพวกเจียงหลีมา ที่นี่ก็ขอรบกวนท่านแล้ว”
เหมยจื่อจ้งพยักหน้า “วางใจเถอะ”
มู่ชิงเกอพยักหน้า หันกายก้าวเท้าจากไป
ซางซุ่นหวางรีบเอ่ยว่า “เกอเอ๋อร์เจ้าจะไปไหน?”
มู่ชิงเกอหยุดเท้า ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “อย่างไร? ตอนนี้จะเริ่มถามว่าข้าจะไปไหนแล้วหรือ คิดจะควบคุมการเคลื่อนไหวของข้างั้นหรือ?”
“เจ้าเด็กคนนี้อย่าได้เข้าใจผิดไป ข้าเพียงอยากจะเตือนเจ้าว่า เวลาที่เจ้าจะเข้าทดสอบสายเลือดได้ถูกกำหนดไว้แล้ว เป็นวันพรุ่งนี้ เจ้าจะไปไหน ข้าไม่สน แต่เจ้าอย่าได้พลาดเวลาไป” ซางซุ่นหวางเอ่ย
“พรุ่งนี้งั้นหรือ?” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ พึมพำออกไป
ซางซุ่นหวางพยักหน้า “หลังจากทดสอบสายเลือดให้แน่ใจแล้วว่าเจ้ามีสายเลือดของอาจารย์หลอมศาสตราตระกูลซาง ก็จะช่วยเจ้าปลุกสายเลือดให้ตื่น จากนั้นก็ จะสามารถฝึกหลอมยุทธภัณฑ์ได้แล้ว”
มู่ชิงเกอหันกายกลับไป มองไปยังซางซุ่นหวาง นัยน์ตาสดใสฉายแววบางอย่าง
“เป็นอะไรไป?” ซางซุ่นหวางมองนางอย่างแปลกใจ
มู่ชิงเกอสนใจวิชาหลอมศาสตราถึงขนาดนี้ ทำให้เขาแน่ใจว่านางต้องมีสายเลือดอย่างแน่นอน แต่ว่า กลับคิดไม่ถึงว่ามู่ชิงเกอนั้นได้ถูกกระตุ้นสายเลือดโดยวิธีสุดโต่ง ทั้งตอนนี้ยังเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับสมบัติคนหนึ่งแล้ว
มู่ชิงเกอค่อยๆ ส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร หันกายจากไป…