Skip to content

พลิกปฐพี 289

ตอนที่ 289

ว่าที่เทพบรรพบุรุษ! ราชาแห่งตระกูลซาง!

ในพื้นที่ตระกูลซาง ในบ่อเลือดสำหรับการปลุกสายเลือดนั้น มู่ชิงเกอนั่งสมาธิหลับตา บ่อนํ้าที่เหนียวหนืด ตอนนี้เปลี่ยนเป็นกระแสนํ้าวนขนาดใหญ่รอบตัวนาง บ่อนํ้าเดือดขึ้นมา บ่อนํ้าที่มีสายเลือดของบรรพบุรุษถูกนางดูดเข้ามาในร่างกายไม่หยุด ขัดเกลาสายเลือดของตนเอง

ที่ริมฝั่ง ผู้อาวุโสไท่ซ่างนั่งสมาธิ สายตาจับจ้องมองไปยังมู่ชิงเกอที่อยู่ในบ่ออย่างไม่ละสายตา ไม่กล้าละเลยแม้แต่วินาทีเดียว

สองชั่วยามผ่านไป…

สีเลือดในบ่อค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจืดจางลง ส่วนสีผิวของมู่ชิงเกอกลับเปลี่ยนเป็นแดงขึ้นเรื่อยๆ สายรัดผมที่รัดผมของนางแตกสลายกลายเป็นผงตกลงมา เส้นผมดำยาวราวกับหมึกก็แผ่สยายลงไปในบ่อ

นัยน์ตาของผู้อาวุโสไท่ซ่างฉายแวววาววาบ ท่าทีดูเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน

ทันใดนั้นเสื้อผ้าบนร่างของมู่ชิงเกอก็พองขึ้นมา เหมือนกับโดนสูบลมเข้าไปอย่างนั้น ท่าทีของนางก็เปลี่ยนจากสงบนิ่งเป็นดูโหดเหี้ยมดุดันขึ้น

บ่อนํ้าก็ยิ่งปั่นป่วนดูบ้าคลั่งขึ้นมา เลือดของบรรพบุรุษด้านในก็ดูเหมือนว่าล้วนแต่อยากจะทะลักเข้าไปในร่างกายของนาง

ผู้อาวุโสไท่ซ่างขมวดคิ้วจับจ้องมอง ในใจก็ลอบเอ่ยว่า ‘แม้การเคลื่อนไหวของการปลุกสายเลือดให้ตื่นในครั้งนี้ ดูใหญ่เกินไปสักหน่อย เพียงแต่ดูจากท่าทีของนางแล้วก็ดูเหมือนว่ายังรับได้อยู่ งั้นข้าจะยังไม่รีบร้อน ดูไปก่อนดีกว่า’

ผ่านไปสามชั่วยาม นํ้าในบ่อได้เปลี่ยนจากสีเลือดกลายเป็นสีชมพูแล้ว แต่เดิมที่เคยเข้มจนมองไม่เห็นก้นบ่อมา ตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นชัดขึ้นแล้ว จนสามารถมองเห็นภาพของก้นบ่อได้

ส่วนเสื้อผ้าของมู่ชิงเกอก็เปลี่ยนเป็นพองจนดูเหมือนลูกบอล ที่ลอยอยู่เหนือบ่อ

ผิวของนางแดงดุจหยดเลือด แดงจนราวกับสามารถมองเห็นได้ว่าเส้นเลือดภายใต้ผิวหนังกำลังลุกไหม้ท่าทีก็เปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมขึ้นมา ทั้งยังมีร่องรอยของความเจ็บปวดแฝงอยู่

แต่นางกลับไม่ร้องสักคำ กัดฟันนิ่งเงียบ

ความเจ็บปวดของการปลุกสายเลือด ผู้อาวุโสไท่ซ่างก็เคยผ่านมาแล้วด้วยตนเอง ท่าทีของมู่ชิงเกอในตอนนี้ทำ ให้เขาชื่นชมมาก พยักหน้าไม่หยุดเอ่ยว่า “ถือว่าเป็นเด็กที่มีความเพียรและความอดทน ความสามารถนี้…”

สายตาของเขาตกไปอยู่บนบ่อน้ำที่เปลี่ยนเป็นจางลง ในใจอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

‘เกรงว่า แม้แต่คนในตระกูลร้อยคนเข้ามาในบ่อปลุกสายเลือดพร้อมกันก็ล้วนไม่อาจจะดูดซับพลังมากมายเช่นนางได้’ เขาสงสัยว่ามู่ชิงเกอนั้นอาจจะเป็นรูที่ไร้ก้นที่สามารถมารถดูดซับพลังจากบ่อปลุกสายเลือดได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“เพียงหวังแต่ว่าเจ้าจะไม่เสี่ยง รักษาสติเอาไว้ถึงจะดี” ผู้อาวุโสไท่ซ่างกระซิบออกมา

กระบวนการปลุกสายเลือดนั้นมีครั้งไหนบ้างที่ไม่เหมือนการต่อสู้กับปีศาจ? ใครก็ล้วนแต่กระหายในพลังที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังนี้สามารถขัดเกลาสายเลือดและเพิ่มพูนความสามารถทั้งเพิ่มโอกาสให้แก่ตนเองได้ด้วย

กระบวนการนี้ก็เหมือนกับการทิ้งวัสดุที่ใช้หลอมยุทธภัณฑ์เข้าไปในบ่อเพื่อขัดเกลา ในที่สุดก็จะกลายเป็นยุทธภัณฑ์ชั้นจิตวิญญาณหรือยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ หรืออาจจะเป็นยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพ!

แต่แน่นอนว่าก็มีโอกาสเยอะที่อาจจะประเมินค่าของตัวเองสูงเกินไปและถูกทำลายด้วยพลัง เปลี่ยนเป็นกองเศษเหล็ก

“น่าจะพอสมควรแล้ว” เห็นบ่อที่มีสีจางจนเป็นสีชมพูนั้นแล้ว ผู้อาวุโสไท่ซ่างก็ค่อยๆ พยักหน้า คำนวณว่ามู่ชิงเกอน่าจะไม่สามารถดูดต่อไปได้อีกแล้ว

มู่ชิงเกอที่อยู่ในบ่อตอนนี้ดูเหมือนว่าก็ ‘กินอิ่ม’ แล้ว กระแสนํ้าวนรอบกายนางเปลี่ยนเป็นช้าลง เสื้อผ้าที่พองตัวก็ค่อยๆ สงบลงมา

นี่คือสัญญาณของกระบวนการที่กำลังจะสิ้นสุด

แต่ในตอนที่ผู้อาวุโสไท่ซ่างคิดว่าจะจบแล้วนั้น มู่ชิงเกอก็ขมวดคิ้วขึ้นในทันใด บนสีหน้าปรากฎร่องรอยของความเจ็บปวด แขนเสื้อฉีกขาด กระแสน้ำวนที่ค่อยๆ ช้าลงก็หมุนวนอย่างรวดเร็วขึ้นอีกครั้ง

สีชมพูจางๆ ที่เหลืออยู่ในบ่อก็ถูกมู่ชิงเกอดูดเข้าไปในร่างกาย จนนํ้าในบ่อทั้งหมดเปลี่ยนเป็นใสจนมองเห็นก้นบ่ออย่างชัดเจน ไม่มีเศษเสี้ยวของสีแดงอีกเลย

ปัง!

บ่อนํ้าใสระเบิดออกในทันใด หยดนํ้ากระจายไปทั่วทุกทิศทาง

ผู้อาวุโสไท่ซ่างสะบัดมือ ขวางหยดนํ้าเอาไว้ เบิกตากว้างมองไปที่มู่ชิงเกอ

เห็นผิวของนางที่มีสีแดงดุจเลือดเปลี่ยนเป็นโปร่งใสขึ้นมา ดุจดั่งเลือดหยก บนใบหน้าที่เข้ารูปก็เต็มไปด้วยเส้นสายเลือดที่ละเอียดยิบ

“ไม่ดีแล้ว!” ผู้อาวุโสไท่ซ่างเบิกตากว้างขึ้นในใจเกิดความตกตะลึง “เหตุใดเด็กคนนี้จึงไม่ฟังคำเตือน? หากฝืนดูดซับเข้าไปอีกจะเป็นเรื่องใหญ่แน่!”

พูดแล้วเขาก็กระโดดลอยขึ้นไปกลางอากาศ ยื่นมือออกไปจะคว้ามู่ชิงเกอที่อยู่ในบ่อ

หลายหมื่นปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครสักคนที่สามารถดูดพลังทั้งหมดจากบ่อจนเกลี้ยงได้เช่นมู่ชิงเกอ! ต้องรู้ว่า พลังจากบ่อนี้แค่บ่อเดียวก็เพียงพอให้คนในตระกูลสามารถใช้ได้ไม่รู้กี่รุ่นแล้ว

แต่มาตอนนี้กลับถูกมู่ชิงเกอดูดซับไปจนหมด

ภายใต้ความตกใจ ผู้อาวุโสไท่ซ่างก็กังวลใจว่านางจะถูกพลังทำให้ระเบิด

แต่ในตอนที่มือของเขากำลังจะสัมผัสถูกมู่ชิงเกอนั้น นางที่กำลังหลับตาอยู่ก็ลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน นัยน์ตาสีแดงฉานปรากฎอยู่ตรงหน้าของผู้อาวุโสไท่ซ่าง เมื่อเขาถูกดวงตาคู่นั้นจ้องมอง ทั้งตัวคนก็เกือบจะสูญเสียการควบคุมตกลงไปในบ่อ

สะกิดเท้าเล็กน้อย เขาควบคุมร่างให้สมดุล กลับคืนไปยังฝั่งอย่างทุลักทุเล

“นี่…พลังกดดันทางสายเลือด!” ผู้อาวุโสไท่ซ่างมองมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง

ร่างกายของมู่ชิงเกอถึงกับมีพลังกดดันทางสายเลือด ปรากฎออกมา

นี่เป็นไปได้อย่างไร?

“นี่เป็นไปไม่ได้! นี่เป็นไปไม่ได้!” ผู้อาวุโสไท่ซ่างพึมพำกับตนเองอย่างไม่อยากที่จะเชื่อ

ส่วนในตอนนี้ ดวงตาสีแดงจนเปล่งประกายทั้งคู่ของมู่ชิงเกอก็ค่อยๆ มืดมิดลงกลับเป็นสีดำดังเดิม

ส่วนพลังกดดันทางสายเลือดที่สามารถกดดันพลังของผู้อาวุโสไท่ซ่างได้นั้นก็หายไปในทันใด ดูเหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ภายในบ่อมู่ชิงเกอกะพริบตา ลุกขึ้นมาจากภายในบ่อ นางยกสองมือขึ้น นํ้าใสไหลลงมาตามแขนของนาง นางมองออกไปอย่างแปลกใจเอ่ยว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

“เจ้าขึ้นมาก่อน” ผู้อาวุโสไท่ซ่างเอ่ยกับนาง

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองมาที่เขา กลับพบว่าเขานั่งอยู่ที่ริมฝั่งด้วยท่าทางดูอึดอัด เหงื่อออกทั่วร่าง แม้แต่เสียงก็ดูอ่อนแรง

มู่ชิงเกอเดินออกมาจากบ่อ เสื้อผ้าบนร่าง ก็ถูกนางใช้พลังจิตทำให้แห้งทันทีที่นางขึ้นมาบนฝั่ง

“ผู้อาวุโสไท่ซ่าง ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” มู่ชิงเกอเดินมาคุกเข่าที่ข้างกายเขา เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง นางคิดว่า ผู้อาวุโสไท่ซ่างเพื่อคุ้มครองนางถึงได้สูญเสียพลังไปมากเช่นนี้

ผู้อาวุโสไท่ซ่างส่ายๆ หน้า มองนางครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้ถอนใจเอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้ เจ้านั้นเป็นสัตว์ประหลาดที่โผล่มาจากไหนกันแน่?”

“สัตว์ประหลาด? ข้าหรือ?” มู่ชิงเกอทำหน้ามึนงง

มู่ชิงเกอปลุกสายเลือดสำเร็จแล้ว แต่ตัวนางเองกลับไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรแตกต่างไปจากเดิมเลย เพียงแต่ถูกรั้งตัวอยู่ในพื้นที่ตระกูลต่อก็เท่านั้น ทั้งยังถูกพาไปยังสถานที่ที่เหล่าผู้อาวุโสไท่ซ่างเก็บตัวอยู่ ในตอนนี้ผู้อาวุโสไห่ซ่างทั้งหกกำลังล้อมตัวนางไว้

ซางซุ่นหวางก็มีสีหน้าตกตะลึงยืนอยู่ข้างๆ พิจารณามู่ชิงเกอไปมา

ความแปลกของพวกเขาทำให้ตัวมู่ชิงเกอเองล้วนแต่รู้สึกเหมือนว่าตนเองเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดอะไรแล้วก็ไม่ปาน

ในที่สุดพวกเขาก็ไม่ล้อมรอบมู่ชิงเกออีก

“เฒ่าสาม เจ้าสัมผัสได้ถึงพลังกดดันทางสายเลือดจริงๆ น่ะหรือ? ไม่ได้ดูผิดไปใช่ไหม?” หนึ่งคนในนั้นหันไปถามผู้อาวุโสไท่ซ่างที่คุ้มครองมู่ชิงเกอก่อนหน้านี้

ในใจของมู่ชิงเกอก็รู้สึกอธิบายไม่ได้ขึ้นมา นางไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น นางมองไปยังผู้อาวุโสไท่ซ่างผู้นั้น รอคอยคำตอบ

ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สามยิ้มอย่างขมขื่นออกมาพยักหน้าเอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้ดูดซับสายเลือดในบ่อจนหมดเกลี้ยง สายเลือดของนางก็เข้มข้นเท่ากันกับเทพบรรพบุรุษแล้ว แน่นอนว่าจะเกิดพลังกดดันทางสายเลือด”

การอธิบายนี้ของเขาทำให้ผู้อาวุโสไท่ซ่างที่เหลืออีกห้าคนล้วนแต่สูดลมหายใจเข้าลึก นิ่งเงียบลง

ส่วนซางซุ่นหวางก็เหมือนกับถูกสายฟ้าฟาดจนนิ่งขึงไม่ขยับเขยื้อน เพียงแต่อ้าปากค้างจ้องมองมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอกลับมึนงงขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าให้ข้าดูดซับพลังให้เต็มที่มิใช่หรือ?” กลุ่มคนพวกนี้คงไม่ใช่ว่าเห็นนางดูดพลังในบ่อหมดแล้ว มาตอนนี้อยากจะคิดบัญชีกับนางหรอกกระมัง?

ยังมีอีก “อะไรคือเทพบรรพบุรุษ? อะไรคือพลังกดดันทางสายเลือด? หมายความว่าอะไรกันแน่?” มู่ชิงเกอซักถาม

“วางใจเถอะ สิ่งที่เจ้าดูดซับเข้าไปไม่มีใครให้เจ้าเอาออกมาหรอก” ผู้อาวุโสไท่ซ่างคนหนึ่งพูดออกมาอย่างอารมณ์ไม่ดี

“นั่งลงอธิบายเถอะ” ในที่สุดผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่หนึ่ง ก็เอ่ยออกมา

จากนั้น ทั้งหกคนก็ไปนั่งลงบนแท่นด้านหน้าของมู่ชิงเกอ ต่างคนต่างนั่งบนฟูก ส่วนซางซุ่นหวางยังคงยืนอยู่ที่เดิม ดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้สติกลับคืนมา

“เจ้าเด็กน้อย เจ้ารู้ที่มาของตระกูลบรรพกาลหรือไม่?” ผู้ อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่หนึ่งเอ่ยปากขึ้น

ที่มาของตระกูลบรรพกาล?

มู่ชิงเกอพยักหน้า นางรู้มาจากซือมั่วบ้างเล็กน้อย ดูเหมือนว่าในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร จะมีสายเลือดเทพมารบางส่วนที่แผ่ขยายสายเลือดของตนเอาไว้ในโลกอื่นๆ จากนั้นก็ค่อยๆ พัฒนาจนเป็นตระกูลบรรพกาล

คนที่ถูกเรียกว่าเป็นตระกูลบรรพกาลนั้นก็มักจะได้รับสืบทอดพลังบางอย่างของเทพมาด้วย

“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ข้าก็จะไม่เปลืองนํ้าลายพูดอีก เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า เหตุใดตระกูลซางถึงได้ตกตํ่าลงทุกวัน?” ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่หนึ่งเอ่ยออกมาอีก

มู่ชิงเกอลังเลเล็กน้อย ถึงได้เอ่ยว่า “ดูเหมือนจะเป็นเพราะว่าเทพที่ได้สืบทอดสายเลือดไว้แก่ตระกูลซางในแรกเริ่มนั้นจะดับสูญไปแล้ว ดังนั้นสายเลือดถึงได้เจือจางลงเรื่อยๆ”

“ไม่ผิด ดูแล้วเจ้ารู้มาไม่น้อยจริงๆ” ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่หนึ่งพยักหน้าเอ่ยว่า “ตระกูลบรรพกาลล้วนแต่จะต้องมีวันที่ตกตํ่า เพียงแต่จะช้าหรือจะเร็วเท่านั้น แต่ เพราะพวกเรากับตระกูลอื่นๆ นั้นมีสายเลือดที่แตกต่างและจะตกตํ่าหรือดับสูญไปพร้อมกับเทพแห่งสายเลือด เทพที่ทิ้งสายเลือดไว้แก่ตระกูลซางในแรกเริ่มท่านนั้นได้ดับสูญไปเป็นหมื่นปีแล้ว หมื่นปีที่ผ่านมานี้ตระกูลซาง จึงไม่มีใครที่มีระดับความเข้มข้นทางสายเลือดเกินระดับเจ็ดอีกเลย ซึ่งการปรากฎของเจ้านั้นเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายอย่างหนึ่ง”

มู่ชิงเกอเงียบ ระดับความเข้มข้นทางสายเลือดของนางสูงเช่นนี้ก็ทำให้นางรู้สึกเหนือความคาดหมายเช่นเดียวกัน นางก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลจากการดัดแปลงดี เอ็นเอหรือไม่ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูง

“เทพที่ทิ้งสายเลือดแก่ตระกูลซางในแรกเริ่มนั้นถูกพวกเราเรียกว่าเทพบรรพบุรุษ สายเลือดของเทพบรรพบุรุษนั้นเข้มข้นที่สุด และเป็นเพราะว่าสายเลือดนั้นถูกสืบทอดลงมาจากท่าน ดังนั้นต่อหน้าสายเลือดที่เข้มข้นเช่นนั้นจะเกิดพลังกดดันทางสายเลือด และก็สามารถทำให้คนที่มีพลังกดดันทางสายเลือดเช่นนั้นมีสถานะดุจดั่งเทพ เพียงแค่ใช้พลังกดดันทางสายเลือดออกมา พวกข้าผู้เฒ่าไม่กี่คนนี้ก็เหมือนโดนมัดมือมัดเท้า ไร้หนทางที่จะต่อต้าน” ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่หนึ่งพูดไป ไม่สนใจท่าที ที่ดูตกตะลึงของมู่ชิงเกอ

มองไปยังผู้อาวุโสไท่ซ่างที่ก่อน หน้านี้อยู่กับมู่ชิงเกอตอนปลุกสายเลือดว่า “เฒ่าสาม…”

ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สามสูดลมหายใจแล้วมองไปยังมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นท่าทางของเจ้าดูผิดปกติจึงคิดจะไปช่วยเจ้า แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน ปล่อยพลังกดดันทางสายเลือดออกมา ทำให้พลังในร่างของข้าถูกผนึกไว้ จนเกือบจะตกลงไปในบ่อ”

“ไม่ใช่กระมัง…” มู่ชิงเกอมีสีหน้าตะลึง

เหตุใดนางจึงไม่มีความทรงจำใดๆ เลย?

“ชิ จะไม่ใช่ได้อย่างไร เจ้าเด็กคนนี้ เจ้านั้นโชคดีมาก ดูดซับพลังสายเลือดไปจนหมดก็ถือว่าแล้วไปเถอะ แต่นั้น ยังทำให้เจ้าโชคดีถึงกับมีพลังกดดันทางสายเลือดได้อีก” ผู้อาวุโสไท่ซ่างคนหนึ่งที่อยู่ข้างผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สามสบถออกมาอย่างระทมใจ “เจ้ารู้หรือไม่ว่า ถูกเจ้าดูดซับพลังไปครั้งนี้ ภายในเวลาร้อยปี รุ่นหลังภายในตระกูลก็อย่าคิดจะได้ใช้บ่อเลือดปลุกสายเลือดอีกเลย”

อ่า…

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก นางไม่รู้จริงๆ อีกอย่างนางก็ไม่ได้ตั้งใจจะดูดมากมายขนาดนี้เสียหน่อย

“เอาละ เฒ่าสี่ ดูดไปแล้วก็ดูดไปเถอะ นี่เป็นวาสนาของเจ้าเด็กคนนี้ และก็เป็นโชคดีของนาง” ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่หนึ่งเอ่ย

ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สี่พูดอย่างไม่พอใจว่า “เด็กน้อย ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อนว่าอย่าได้ใช้พลังกดดันทางสายเลือดโดยพลกาลเด็ดขาด”

“พลังกดดันทางสายเลือด? ข้าไม่เห็นจะรู้เลยว่าใช้อย่างไร” มู่ชิงเกอพึมพำออกมา

อิงตามที่พวกเขาพูด พลังกดดันทางสายเลือดที่นางมี เมื่ออยู่ในตระกูลซางก็เปรียบเหมือนกับเป็นราชาของตระกูล แต่น่าเสียดายที่นางไม่รู้ว่าจะควบคุมพลังกดดันทางสายเลือดนี้อย่างไร

“ในเมื่อมีแล้ว ก็ต้องคงอยู่อย่างแน่นอน ตอนเจ้าเข้าสู่สมาธิ ตรวจดูอย่างละเอียดก็จะสามารถควบคุมได้เอง” ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่หนึ่งยิ้มเอ่ย

“พี่ใหญ่ ท่านยังกล้าสอนวิธีใช้ให้นางอีกหรือ ต่อไปเจ้าเด็กคนนี้จะไม่ทำตัวอหังการในตระกูลซางเลยหรือ!” ผู้ อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่ห้าเอ่ยในทันที

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล เรื่องทำตัวอหังการในตระกูลซางนั้นข้าไม่ได้สนใจ ขอแค่ไม่มีใครมาตอแยข้า แน่นอนว่าข้าก็จะไม่ใช้พลังสายเลือดกดดันแน่” มู่ชิงเกอแสดงท่าทีดูแคลนออกมา

แม้ว่าการใช้พลังกดดันคนนั้นจะทำให้รู้สึกดีมากก็ตาม แต่นางก็ไม่ใช่คนที่ชอบกดขี่คนขนาดนั้นแน่นอนว่าจะไม่ทำตัวเกะกะระรานโดยไร้เหตุผล!

“เจ้าต้องรักษาคำพูดละ!” ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่ห้ารีบพูด

มู่ชิงเกอพยักหน้า

อย่างไรไม่ช้าก็เร็วนางก็ต้องไปจากตระกูลซางอยู่แล้ว พลังกดดันทางสายเลือดอะไรนี่สำหรับนางแล้วมีหรือไม่มีก็ไม่ต่างกัน

“เกอเอ๋อร์ข้อตกลงระหว่างข้ากับเจ้าเกรงว่าคงต้องเปลี่ยนเสียหน่อยแล้วล่ะ” ทันใดนั้น ซางซุ่นหวางที่นิ่งเงียบไม่พูดจามาตลอดก็ได้สติกลับมา เอ่ยปากพูดขึ้น

ประโยคนี้ของเขาทำให้เหล่าผู้อาวุโสไท่ซ่างล้วนแต่ชะงักไป

มู่ชิงเกอหันไปมองเขา นัยน์ตากระจ่างใสเปล่งประกายสีแดงราวกับปีศาจ เอ่ยด้วยน้ำเสีลียงเฉียบคมดุดัน “ท่านคิดจะกลับคำงั้นหรือ?”

พลังกดดันกล้าแกร่งขุมหนึ่งพลันล้นทะลักขึ้นมาอย่างกะทันหัน แผ่ตกไปบนร่างของทุกคนที่อยู่รอบกายของมู่ชิงเกอ ในชั่วพริบตาพลังในร่างของพวกเขาทั้งหมดคล้ายกับถูกผนึกเอาไว้ไม่สามารถใช้ออกมาได้แม้แต่น้อย แม้แต่เรี่ยวแรงก็หายไปหมดไม่มีเหลือ

ส่วนดวงตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอก็ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน

“เกอเอ๋อร์รีบหยุดเร็ว!” ซางซุ่นหวางเหงื่อเย็นซึมออกมาทั่วร่างกาย ในตอนที่คุกเข่าลงนั้นก็ตะโกนเสียงดังออกมา

มู่ชิงเกอกะพริบตาแรงๆ พริบตาเดียวสีของดวงตาของนางก็กลับคืนสู่สีปกติ ส่วนพลังกดดันที่น่าหวาดกลัวนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“เห็นแล้วใช่ไหม” ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สามสูดหายใจเข้า เอ่ยกับคนอื่นๆ อย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ท่าทีของมู่ชิงเกอดูเคร่งขรึม สายตากวาดมองไปยังร่างของพวกเขา สุดท้ายก็มองไปยังซางซุ่นหวางที่ลุกขึ้นมาจากพื้น

ซางซุ่นหวางเอ่ยอย่างจนปัญญาว่า “เฮ้อ ไม่ใช่ว่าข้าคิดจะกลับคำ ข้อตกลงระหว่างข้ากับเจ้าเมื่อก่อนก็คือให้เจ้าหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพได้ชิ้นหนึ่ง ก็ถือว่าหายกันไปเรื่องวิชาหลอมศาสตรา เจ้าเป็นหลานนอกแซ่ของตระกูลซาง ทั้งยังได้รับการสืบทอดสายเลือด แต่เดิมข้อตกลงนี่จึงไม่มีอะไรใหญ่โต แต่มาตอนนี้ สถานการณ์ไม่เหมือนกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าในตอนนี้นั้นเป็นสิ่งที่แสดง ถึงอะไร?”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร?” มู่ชิงเกอหรี่ตาลง แววตาเย็นชา

“ข้อตกลงอะไรกัน?” ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่หนึ่งก็เอ่ยถาม

ซางซุ่นหวางโค้งคำนับเหล่าผู้อาวุโสไท่ซ่าง และใช้คำพูดง่ายๆ อธิบายข้อตกลงก่อนหน้านี้ระหว่างเขาและมู่ชิงเกอออกมา

หลังจากฟังจบแล้ว ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่หนึ่งก็สูดลมหายใจ เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เด็กน้อย เรื่องระหว่างเจ้ากับมารดาของเจ้านั้นพวกเราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือว่าพูดอะไร แต่ว่าประมุขตระกูลพูดถูก สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมือนกัน ข้อตกลงก่อนหน้านี้ไม่อาจนับได้แล้ว”

มู่ชิงเกอมีสีหน้ามืดครึ้ม เอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าคิดว่าตระกูลซางจะเป็นตระกูลที่ยึดมั่นในสัจจะตระกูลหนึ่งเสียอีก”

ใบหน้าชราของซางซุ่นหวางแดงขึ้น อธิบายว่า “เรื่องเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ใครก็คงคิดไม่ถึง เจ้าก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปไป ฟังข้าพูดให้จบก่อน”

“ได้ ข้าจะฟังสิว่าพวกท่านจะพูดอย่างไร” มู่ชิงเกอสะบัดชายเสื้อนั่งขัดสมาธิลงบนพื้น

ซางซุ่นหวางตั้งสติแล้วเอ่ยว่า “ในตอนนั้น เทพที่สืบทอดสายเลือดให้แก่ตระกูลซางดับสูญไป การล่มสลายของตระกูลซางนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว จุดๆ นี้ ผู้อาวุโสไท่ซ่างทุกท่านรู้ ข้ารู้ ผู้อาวุโสในตระกุลก็ล้วนแต่รู้ที่ข้าสามารถทำได้ก็แค่เพียงชะลอการตกต่ำลงก็เท่านั้น เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า การปรากฎตัวของเจ้าจะทำให้พวกเรามองเห็นความหวัง เดิมที ด้วยความสามารถของเจ้าก็เพียงแต่ทำให้ข้าสัมผัสได้ถึงโอกาสที่ความตกตํ่าของตระกูลซางจะชะลอช้าลงเท่านั้น ดังนั้นตอนที่เจ้าไม่อภัยให้มารดาของเจ้า ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยว

กับเรื่องใดๆ ของตระกูลซาง เพราะหมดทางเลือกข้าจึงได้แต่ยอมทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเพียงแค่ข้อตกลงระหว่างกันข้อหนึ่งเท่านั้น หากว่าเจ้าหลอมยุทธภัณฑ์ ชั้นมหาเทพออกมาได้ชิ้นหนึ่ง ยุทธภัณฑ์ชิ้นนี้ก็จะสามารถทำให้สถานะของตระกูลซางนั้นคงขึ้นได้ ส่วนข้านั้นก็มีความเห็นแก่ตัวอยู่ คาดหวังว่าช่วงเวลาสามปีที่เจ้าอยู่ในตระกูลซาง จะสามารถสานสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับมารดาของเจ้าได้ แม้ว่าเจ้าจะยังคงไม่สนิทสนมกับนางเช่นเดิม แต่อย่างน้อยก็ยอมรับนางเป็นมารดา นี่เป็นความคิดแรกเริ่มของข้า แต่ว่าตอนนี้…”

ซางซุ่นหวางนิ่งเงียบลง

มู่ชิงเกอฟังเงียบๆ ท่าทางไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ซางซุ่นหวางพูดเรื่องเหล่านี้ แผนการเหล่านี้ในตอนที่นางทำข้อตกลงก็มองเห็นมันได้อย่างปรุโปร่งแล้ว แต่ที่ไม่ได้ปฏิเสธก็เพราะนางต้องการวิชาหลอมศาสตราของตระกูลซางจริงๆ ส่วนวิธีเช่นนั้นก็สามารถทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับตระกูลซางนั้นไม่ซับซ้อนจนเกินไปด้วย

ส่วนซางหลันรั่ว…

ความสัมพันธ์ที่เรียกว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวนี้ไม่ เคยเป็นอุปสรรคต่อการก้าวไปข้างหน้าของนางเลย

“ตอนนี้ สายเลือดของเจ้าถูกปลุกแล้ว ทั้งยังมีพลังกดดันทางสายเลือดอีก และก็พูดได้ว่า สายเลือดของเจ้านั้นใกล้ชิดกับเทพบรรพบุรุษที่สุดในบรรดาคนในตระกูลซางทุกคนรวมถึงเหล่าบรรพบุรุษด้วย การคงอยู่ของเจ้า สำหรับตระกูลซางแล้วจึงสำคัญเป็นอย่างมาก” ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่หนึ่งต่อคำพูดของซางซุ่นหวาง

ประเด็นหลักมาแล้ว!

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบตั้งใจฟัง ไม่อยากจะพลาดไปแม้แต่ประโยคเดียว

“คิดอยากจะให้สายเลือดตระกูลซางฟื้นคืนขึ้นมากลับสู่ความรุ่งโรจน์ได้อีกครั้งนั้นมีความเป็นไปได้เพียงทางเดียว นั้นก็คือกลายเป็นเทพบรรพบุรุษคนใหม่! ในจุดนี้นั้น พวกเราทำไม่ได้ มีแค่เพียงแต่เจ้าเท่านั้นที่ทำได้” ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่หนึ่งพูดประเด็นที่สำคัญออกมา

มู่ชิงเกอหรี่ตาลง เข้าใจความหมายของเขาแล้ว ซางซุ่นหวางถอนหายใจเอ่ยว่า “ตอนที่เจ้าใช้พลังกดดันทางสายเลือดออกมานั้น เจ้าก็ไม่สามารถปัดความ สัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับตระกูลซางได้อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ สำหรับตระกูลซางแล้วเจ้าก็คือว่าที่เทพบรรพบุรุษคนต่อไป”

มู่ชิงเกอเบิกตากว้าง นัยน์ตาฉายแววตกตะลึง

“เด็กน้อย อาศัยความสามารถของเจ้า เรื่องที่จะเข้าสู่แผ่นดินแห่งเทพมารนั้นเป็นเรื่องเพียงไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น แต่ว่าเจ้ารู้หรือไม่ว่าภายในแผ่นดินเทพมาร สิ่งใดที่จะสามารถคงอยู่ได้?” ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่หนึ่งค่อยๆ พูด

“เทพมาร…” มู่ชิงเกอพึมพำออกมา

ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่หนึ่งพยักหน้า “เจ้าฉลาดมาก เมื่อเจ้าเข้าไปในแผ่นดินเทพมารก็ถือว่าเจ้าได้เกิดใหม่กลายเป็นเทพแล้ว ดังนั้น ที่ประมุขตระกูลบอกว่าข้อ ตกลงระหว่างพวกเจ้าสองคนจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงน่ะ ข้าคิดว่าเขาน่าจะหวังให้ในวันที่เจ้าได้รับสิทธิ์แห่งเทพนั้น จะไปยังดินแดนเทพมารดับสูญ หาสิทธิ์แห่งเทพของเทพบรรพบุรุษของตระกูลซางออกมาและแทนที่มัน! เพียงแต่เจ้ากลายเป็นเทพบรรพบุรุษคนใหม่ ก็สามารถเปลี่ยนชะตากรรมล่มสลายของตระกูลซางได้แล้ว”

“สิทธิ์แห่งเทพ? ดินแดนเทพมารดับสูญ?” มู่ชิงเกอยิ่งได้ฟังก็ยิ่งงง

ดูเหมือนว่ามีหลายเรื่องที่นางยังไม่เข้าใจ

ที่สำคัญก็คือ ภาระที่นางไม่อยากแบกรับอย่างตระกูลซาง ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวนางก็แบกรับมันมาแล้วหรือ?

มู่ชิงเกอรู้สึกหนักใจ นางไม่มีเวลาไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของตระกูลซางจริงๆ พลังกดดันทางสายเลือดอะไรนี้ นางสามารถส่งคืนได้หรือไม่?

‘เจ้านาย ท่านตอบตกลงกับพวกเขาไปเถอะ สิทธิ์แห่งเทพนั้นมีประโยชน์ต่อท่าน ถึงอย่างไรท่านก็ต้องการอยู่ดี ตกลงกับพวกเขาไปก็เพียงแค่ตามนํ้าซื้อไมตรีเท่านั้น’ ทันใดนั้น เสียงของเหมิงเหมิงก็ดังขึ้นมาในหัวของมู่ชิงเกอ

“สิทธิ์ของเทพคืออะไร? ดินแดนเทพมารดับสูญคืออะไร?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วถามออกไป

แต่ว่า ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่หนึ่งกลับส่ายหน้าเอ่ยว่า “เรื่องเหล่านี้ รอหลังจากที่เจ้าเข้าสู่ระดับสีทองแล้วข้าก็จะบอกแก่เจ้าทีละอย่าง ตอนนี้เจ้ารู้เร็วเกินไป จะไม่ดีต่อเจ้า”

ประโยคอย่างนี้อีกแล้ว!

ในใจของมู่ชิงเกอเกิดความรำคาญ

เหตุใดทุกๆ ครั้งที่นางปีนขึ้นไปถึงยอดเขาแล้ว ทำไมจะต้องมีใครบางคนมาบอกแก่นางว่ายังมีภูเขาสูงที่รอให้นางไปพิชิตอยู่อีกด้วย?

‘นี่เป็นเส้นทางที่จะไปสู่ความแข็งแกร่งอย่างนั้นหรือ?’ มู่ชิงเกอบ่นในใจ

“เงื่อนไขนี้…ข้าปฏิเสธ” มู่ชิงเกอยังคงปฏิเสธ

‘เจ้านาย ท่านปฏิเสธได้อย่างไร? นี่เป็นเรื่องดีนะ!’ เหมิงเหมิงเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ

มู่ชิงเกอกลับไม่ได้เอ่ยตอบนาง เพียงแต่มองเหล่าผู้อาวุโสไท่ซ่างที่นิ่งเงียบ และก็ซางซุ่นหวางที่ดูผิดหวัง

“เจ้ายังคงกังวลอะไร สามารถพูดออกมา พวกเราสามารถปรึกษากันดูได้นะ” ทันใดนั้นผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่หนึ่งก็พูดออกมา

ครู่หนึ่งมู่ชิงเกอถึงได้เอ่ยว่า “พูดตามหลักแล้ว ข้าได้รับบุญคุณจากตระกูลซาง หากว่ามีโอกาสที่จะตอบแทน ข้าก็สมควรตอบตกลง แต่ว่าข้ากลับไม่ต้องการที่จะยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องจุกจิกในตระกูลซาง เพราะตัวข้านั้น ก็มีเรื่องที่ต้องทำมากมายอยู่แล้ว”

พูดจบนางก็แบสองมือออก แสดงท่าที ‘อยากช่วยแต่หมดปัญญาจะช่วย’ ออกมา

“เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ เรื่องของตระกูลซาง ตาของเจ้าจัดการได้ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องให้เจ้าลำบาก เจ้าเพียงแต่ต้องตั้งใจฝึกฝน เพื่อทะลวงสู่ระดับสีทองโดยเร็วที่สุด จากนั้นพวกเราก็จะเล่าทุกอย่างให้เจ้าฟัง รอให้เจ้ามีโอกาสได้เข้าสู่ดินแดนเทพมารดับสูญและหาสิทธิ์แห่งเทพของเทพบรรพบุรุษพบ เข้าไปในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารเพื่อแทนที่ก็ได้แล้ว” ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่หนึ่งเอ่ย

“แต่ว่า…” มู่ชิงเกอยังคงลังเล

ซางซุ่นหวางรีบเอ่ยขึ้นในทันทีว่า “ไม่ต้องแต่ว่าแล้ว ต่อไปเจ้าสามารถเพลินเพลินไปกับสิทธิ์พิเศษทุกอย่างในตระกูลซาง หากไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องให้เจ้ายุ่งแล้ว แม้แต่ตระกูลจะถูกฆ่าล้างตระกูล ข้าก็ต้องคุ้มครองให้เจ้าปลอดภัย จะไม่ยอมให้เจ้าเสี่ยงแน่ สิ่งเดียวที่เจ้าต้องทำก็คือกลายเป็นเทพบรรพบุรุษคนใหม่ของตระกูลซางเท่านั้น”

มู่ชิงเกอพูดอย่างลำบากใจว่า “ในเมื่อพวกท่านขอร้องอย่างจริงใจเช่นนี้ ข้าก็ทำได้เพียงแต่ต้องฝืนใจตกล แล้ว”

‘เหมิงเหมิง ก่อนหน้านี้ที่เจ้าบอกให้ตกลงพวกเขาไป ตามนํ้าเพื่อซื้อนํ้าใจหมายถึงอะไร?’ หลังจากมู่ชิงเกอ ออกจากพื้นที่ตระกูลแล้วถึงได้มีโอกาสถามเหมิงเหมิงให้ชัดเจน

เสียงของเหมิงเหมิงดังขึ้นในหัวของนางอย่างรวดเร็ว ‘เพราะว่าสถานที่แห่งนั้นท่านจำเป็นต้องไป ท่านสามารถหาสิทธิ์แห่งเทพได้มากแค่ไหน ต่อไปเมื่อเข้าสู่ แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารแล้วก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ตกลงพวกเขาก็เป็นเหมือนการได้สิทธิ์แห่งเทพเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง ไม่เพียงแต่ท่านที่จะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แต่ท่านยังได้รับตระกูลซางเป็นฐานอำนาจเพิ่มมาอีก นี่เป็นการค้าที่คุ้มค่ามาก!’

‘แล้วสิทธิ์แห่งเทพคืออะไรกันแน่?’ มู่ชิงเกอเอ่ยถาม เหมิงเหมิงกลับคลุมเครือขึ้นมา ‘ไอหยา ตอนนี้พูดกับท่านถึงเรื่องเหล่านี้ ท่านก็ไม่เข้าใจ ท่านก็ตั้งใจฝึกปรือพลังเถอะ เมื่อโอกาสมาถึงแล้วท่านก็จะรู้เอง ถ้าหากว่าท่านอยากรู้ในตอนนี้ ก็ไปบีบบังคับถามเอากับราชาปีศาจของท่านผู้นั้นเถอะ!’

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก

ไปถามซือมั่ว? นั้นก็ต้องหาเขาให้เจอก่อนถึงจะได้!

เหมิงเหมิงไม่ได้อธิบาย มู่ชิงเกอก็ไม่ได้เค้นถามอย่างร้อนใจเหมือนเมื่อก่อนอีก ถึงอย่างไรความลับก็ต้องมีวันที่จะเปิดเผย เพียงแค่รู้ก่อนหรือรู้หลังเท่านั้น

เมื่อกลับไปถึงเรือนเล็ก เจียงหลีมองเห็นท่าทางอารมณ์ดีของมู่ชิงเกอแล้วก็เอ่ยถามอย่างสงสัย “วันนี้เป็นอย่างไร? หว่างคิ้วดูลอยจนแทบจะขึ้นฟ้าแล้ว”

มู่ชิงเกอเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้โยกใต้ต้นไม้ เอ่ยกับเจียงหลีว่า “วันนี้คุยได้ข้อเสนอใหญ่”

“พูดมา” เจียงหลีพุ่งไปข้างมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยถาม

มู่ชิงเกอหันมองนาง ภายใต้สายตาที่ดูรอคอยของนาง เติมเต็มความอยากรู้ของนาง เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ่อสายเลือดแล้วก็เรื่องที่พูดคุยกันหลังจากนั้นแก่นาง

หลังจากฟังจบแล้ว เจียงหลืก็เบิกตากว้างอ้าปากค้าง “เป็นข้อเสนอใหญ่จริงๆ! ตอนนี้ตระกูลซางก็ไม่ใช่ว่าถือเอาเจ้าเป็นเทพบรรพบุรุษแล้ว?”

หว่างคิ้วของมู่ชิงเกอมีท่าทีสบายใจ

“ดูท่าทางที่เจ้าเล่ห์ของเจ้าสิ” เจียงหลีเอ่ย นางนั่งลงบนเก้าอี้โยกอีกตัว เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เช่นนั้นไม่ใช่ว่าแตกต่างจากความคิดก่อนหน้านี้ของเจ้าหรือ? ความสัมพันธ์กับตระกูลซางไม่เพียงแต่ไม่ถูกลบหายไป แต่กลับยิ่งซับซ้อนยิ่งขึ้น?”

มู่ชิงเกอพยักหน้า “แตกต่างบ้าง แต่เมื่อมีได้ก็ต้องมีเสีย เช่นนี้แล้ว ข้าก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ประโยชน์ เรื่องภายในตระกูลซางนั้นข้าไม่ต้องสนใจ แต่ข้ากลับสามารถทำให้ตระกูลซางรับใช้ข้าได้”

“เป็นอย่างไร?” เจียงหลีสนใจขึ้นมา

มู่ชิงเกอยกมือขึ้นลูบคางของตนเอง ยิ้มจนตาหยี “ข้าเคยกังวลเกี่ยวกับเรื่องการจะพัฒนาอุตสาหกรรมอะไรในลั่วซิงเฉิง เพราะไม่อาจจะพึ่งพิงแต่การรับภารกิจขององครักษ์เขี้ยวมังกรเพื่อเลี้ยงทุกคนในเมืองอย่างเดียวได้ ยุทธภัณฑ์ที่ตระกูลซางหลอมมีชื่อเสียงในโลกแห่งยุคกลาง เพียงแค่ข้าผูกขาดการขายยุทธภัณฑ์ตระกูลซางไว้แต่เพียงผู้เดียว เช่นนั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นการเพิ่มเติมความรุ่งเรืองให้แก่ลั่วซิงเฉิงได้อีกหรือ? อีกอย่างเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เปรียบเหมือนกับว่าเบื้องหลังของข้ามีอาจารย์หลอมศาสตรานับหมื่น ไม่ว่าข้าจะมีจำนวนทหารเพิ่มมากแค่ไหน ก็ล้วนแต่มียุทโธปกรณ์สนับสนุน หากเข้าร่วมกับลั่วซิงเฉิงก็จะได้รับยุทธภัณฑ์ชิ้นหนึ่งจากตระกูลซาง เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วมองเจียงหลี

เจียงหลีสูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว ถึงได้ถอนหายใจเอ่ยว่า “มู่ชิงเกอนะมู่ชิงเกอ ข้าจะอดไม่นับถือเจ้าก็ทำไม่ได้แล้วจริงๆ อะไรๆ ก็ถูกเจ้าวางแผนไว้หมดแล้ว พูดเช่นนี้ที่เมื่อก่อนเจ้ายังทำท่าทีลำบากใจต่อหน้าหลายคนนั้นก็เห็นได้ชัดว่าเป็นการล่อเหยื่อตกปลา!”

“ชมเกินไป ชมเกินไป ข้าสามารถช่วยพวกเขาฟื้นคืนสายเลือดใหม่ พวกเขาช่วยข้าเสริมกำลัง ทุกคนล้วนแต่ได้รับผลประโยชน์’ มู่ชิงเกอยิ้ม เอ่ยออกมา

“เจ้าอายุยังน้อย แต่กลับเจ้าเล่ห์มากนัก” เจียงหลียิ้ม ด่าออกมา

มู่ชิงเกอถอนหายใจ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “เด็กยากจน รับผิดชอบครอบครัวเร็ว พวกเราเหล่าเด็กยากจน นับแต่เด็กมาก็ต้องวางแผนถึงจะสามารถทำให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้นมาได้ไม่เหมือนท่านฮ่องเต้หญิงที่นับแต่เกิดมาก็อยู่ท่ามกลางความรักจากคนรอบข้าง ไม่ต้องกังวลปัญหาเรื่องข้าวปลาอาหาร”

“มู่ชิงเกอเจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ?” เจียงหลีส่ายหน้า ถอนหายใจ

มู่ชิงเกอยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตนเอง พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าพึงพอใจกับใบหน้านี้มาก แน่นอนว่ามีหน้ามาพูด”

เจียงหลีกลอกตาขาว ไม่มีเรี่ยวแรงจะเถียงกับนางต่อ เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นหลังจากสามปียังจะไปจากตระกูลซางหรือไม่?”

มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ตาเฒ่าในโรงโอสถนั่น วางแผนเล่นแง่กับข้า ทำให้ภายในห้าปีที่ข้ามาถึงโลกแห่งยุคกลางจะต้องไปสำนักวิถีโอสถภาคตะวันออกเพื่อรายงานตัว ทั้งยังต้องได้รับที่หนึ่งในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถอีก ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไร หลังจากนี้สามปีข้าก็จำเป็นต้องไปภาคตะวันออก”

“มีคนกล้าวางแผนเล่นแง่กับเจ้าหรือ? เขาข่มขู่เจ้าอย่างไรกัน?” เจียงหลีสนใจขึ้นในทันที

มู่ชิงเกอเหลือบมองนางอย่างไม่พอใจ “ตอนที่เจ้ากำลังสนใจนั้นสามารถเก็บความรู้สึกบนใบหน้าที่ดูมีความสุขยามเห็นคนอื่นย่อยยับกลับไปได้หรือไม่? เขาพูดว่าหาก ข้าไม่ไปเขาก็มีวิธีที่จะทำให้นักปรุงยาในโลกแห่งยุคกลางรู้ว่าหม้อผลาญสวรรค์อยู่ในมือของข้า”

“หม้อผลาญสวรรค์? หม้อหลอมยานี้มีที่มางั้นหรือ?” เจียงหลีเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

มู่ชิงเกอขบริมฝีปาก “ใครจะรู้ล่ะ? ตาเฒ่าคนนั้นเคยพูดว่าหม้อผลาญสวรรค์ไม่เพียงแต่เอาไว้หลอมโอสถเท่านั้น เพียงแต่อื่นๆ นั้นเขาไม่พูดถึง ต่อมาข้าก็ค้นพบว่าหม้อผลาญสวรรค์สามารถเก็บเพลิงปฐพีได้ ตอนแรกยังโยนเจ้าเฒ่าสารเลวของโรงโอสถสาขาย่อยนั้นลงไปเผาเสียหลายวันหลายคืน นอกจากนั้น ข้าก็ไม่รู้อะไรอีก แต่ว่าในเมื่อตาเฒ่าคนนั้นกล้าพูดเช่นนี้ก็ต้องมีเหตุผลของเขาอย่างแน่นอน อีกอย่างสำนักวิถีโอสถก็เป็นสถานที่ที่ข้าอยากไปสักครั้งอยู่แล้ว เลยยอมให้ตาเฒ่าคนนั้นได้สมใจไปก็เท่านั้นล่ะ”

เจียงหลีพยักหน้า แล้วก็เอ่ยอีกว่า “ในเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับตระกูลซางเปลี่ยนไปแล้ว เช่นนั้นซางหลันรั่วล่ะเจ้าจะทำอย่างไรกับนาง?”

มู่ชิงเกอกลับเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่มีอะไรเกี่ยวกัน ตระกูลซางคือตระกูลซาง ซางหลันรั่วก็ซางหลันรั่ว ข้าสามารถมองนางเหมือนเป็นคนในตระกูลซางคนหนึ่งได้ ไม่ถือว่าเป็นมารดา อย่างน้อยก่อนที่นางจะทำตัวเหมือนมารดาคนหนึ่งสมควรจะเป็น ข้าก็จะยังไม่ถือว่านางเป็นมารดา”

“เช่นนั้นอย่างไรนางถึงจะถือว่าทำตัวเหมือนมารดาคนหนึ่งสมควรจะเป็น?” เจียงหลีเอ่ยถาม

แต่มู่ชิงเกอกลับโยนปัญหาทิ้ง ทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยค “ข้าก็ไม่รู้”

เรื่องที่มู่ชิงเกอมีพลังกดดันทางสายเลือดนั้นไม่ได้ถูกประกาศออกไป

นับแต่วันนั้นมา มู่ชิงเกอก็ยุ่งวุ่นวายขึ้นมา ยามเช้านางเรียนวิชาหลอมศาสตรากับซางซุ่นหวาง ยามคํ่าก็ดำเนินการฝึกปรือด้วยตนเอง

ความฝันที่แปลกประหลาดนั้นก็ไม่ได้หายไปไหน ยังคงปรากฎตามปกติ เพียงแต่มู่ชิงเกอไม่ได้ตกใจตื่นออกมาจากฝันอีก ภายในความฝัน นางฝึกตามวิธีฝึกฝนที่แปลกประหลาดนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ร่างระเบิดขึ้นอีก

นี่ถือว่าเป็นการฝึกเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนหรือไม่?

มู่ชิงเกอไม่รู้ และก็ไม่มีใครสามารถให้คำตอบแก่นางได้

เรือนเล็กห่างไกลที่แต่เดิมซางหลันรั่วเคยอยู่ ใครก็ไม่อยากเข้าใกล้ มาตอนนี้กลับกลายคึกคักมาก คนที่พักอยู่ด้านในล้วนแต่เป็นคนที่ทุกคนในตระกูลซางรู้สึก สงสัยใคร่รู้ ส่วนทุกๆ คืนก็ล้วนแต่จะมีเสียงร้องรำทำเพลงดังออกมา กลิ่นอาหารก็หอมกระจายไปทั่ว

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

มู่ชิงเกอรู้สึกว่าตนเองเพิ่งอยู่ตระกูลซางไม่นาน แต่เวลาก็ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน ถึงวันแข่งขันครั้งใหญ่ของตระกูลแล้ว

ก่อนวันแข่งขันหนึ่งวัน หลังจากซางซุ่นหวางสอนมู่ชิงเกอหลอมยุทธภัณฑ์แล้ว ก็ให้นางนั่งอยู่ในห้องหนังสือของตนเอง

“เกอเอ๋อร์ พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันแข่งขันครั้งใหญ่ของตระกูลแล้ว มีความนั่นใจหรือไม่” ซางซุ่นหวางเอ่ยยิ้มๆ

มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างขบขันว่า “ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ?”

ในตัวของนางไม่เคยขาดสิ่งที่เรียกว่าความมั่นใจ

ซางซุ่นหวางก็รู้สึกว่าตนเองเอ่ยประโยคนี้ออกมาดูทื่อไปเล็กน้อย จึงได้แต่พูดว่า “มีความมั่นใจก็ดีแล้ว การแข่งขันครั้งใหญ่ในวันพรุ่งนี้ ศิษย์ทุกคนจะเข้าร่วม สุดท้าย แล้วยุทธภัณฑ์ของใครมีระดับสูงที่สุด คุณภาพดีที่สุดก็จะถูกตัดสินให้ชนะ ข้ากับผู้อาวุโสรองยังมีผู้อาวุโสสาม ล้วนแต่เป็นผู้ตัดสิน เพราะว่ามีเจ้าเข้าร่วม ทางผู้อาวุโสไท่ซ่างจึงส่งคนหนึ่งมาดูเช่นกัน”

“อืม” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

“ศิษย์ส่วนใหญ่ของตระกูลมักจะใช้เพลิงปฐพี หรือไม่ก็เพลิงอสูรหลอมยุทธภัณฑ์แต่เจ้ามีพญาเพลิง…” ซางซุ่นหวางเอ่ยเตือน

“รู้แล้ว” มู่ชิงเกอรับคำ

ต่อหน้าซางซุ่นหวางมู่ชิงเกอตัดบทจบไปเลย

แต่ในตอนที่ซางซุ่นหวางกำลังจะจบการพูดคุยที่ไร้ความหมายนี้นั้น มู่ชิงเกอก็เอ่ยปากขึ้นในทันใด “ประมุขตระกูลซาง ข้ามีการค้าหนึ่งอยากหารือกับท่าน”

ซางซุ่นหวางขมวดคิ้ว “เจ้าจะไม่เรียกข้าว่าตาสักคำเลยหรือ?”

แต่สุดท้ายก็เอ่ยอย่างหมดทางเลือกว่า “ข้อเสนออะไร? ตระกูลซางยังมีอะไรที่เจ้าหมายตาอยู่อีกรึ?”

ประโยคนี้มีร่องรอยของความคับข้องใจ

มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยว่า “ข้าอยากได้สิทธิ์ขาดในยุทธภัณฑ์ของตระกูลซาง!”

เข้าตรู่ มู่ชิงเกอบิดขี้เกียจด้วยจิตใจแจ่มใส

เมื่อวาน นางได้รับสิทธิ์ผูกขาดในยุทธภัณฑ์ตระกูลซางจากปากของซางซุ่นหวางแล้ว ก็หมายความว่า ต่อไปหากคนในโลกแห่งยุคกลางอยากจะซื้อยุทธภัณฑ์ที่ ตระกูลซางหลอม ก็ต้องมาซื้อที่ลั่วซิงเฉิง กิจการของตระกูลซางเอง ก็จะเปลี่ยนเป็นร้านขายส่งรับสั่งจอง ไม่ขายปลีกขายแยก

ส่วนการสั่งของเหล่านี้ในตอนที่ส่งของก็ต้องให้เขี้ยวมังกรเป็นคนคุ้มครองพาไปส่งเท่านั้น

ส่วนร้านของตระกูลซางอีกส่วนก็เปลี่ยนเป็นร้านรับซื้อวัสดุหลอมยุทธภัณฑ์

การเปลี่ยนแปลงนี้ ต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ทว่านั้นก็เป็นเรื่องของซางซุ่นหวาง นางนั้นสบายอยู่แล้ว

ผลักประตูไป มู่ชิงเกอมองเห็นเจียงหลีที่พิงอยู่นอกประตูของนาง

“เจ้าสามารถจัดร้านประมูลร้านหนึ่งขึ้นในลั่วซิงเฉิง หากว่ามียุทธภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีหน่อย หรือว่าโอสถ ก็ประมูลขายที่นั่น สามารถเก็บกำไรได้มากที่สุด” เจียงหลีเอ่ย

มู่ชิงเกอยิ้มให้นางเอ่ยว่า “ความคิดดี! แต่ว่าข้ายังต้องการหน่วยงานข่าวกรองที่นอกเหนือไปจากหอสรรพสิ่ง และกลุ่มของพวกหลิวเค่อ ฮ่องเต้หญิงสามารถช่วยข้าวางแผนได้หรือไม่?”

นางจำได้ว่าในหลินชวน หน่วยงานข่าวกรองของเจียงหลีนั้นเหนือกว่าหอสรรพสิ่งเสียอีก!

หากพูดว่าไม่มีส่วนที่ฮ่องเต้หญิงเจียงไปจัดการเลย นางไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด

เจียงหลีกลอกตาขาวมองนางแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้ากลัวเจ้าแล้ว พอดีหลังจากที่ข้ากลับมาจากเมืองอูอิ๋นแล้ว มีประสบการณ์อยู่บ้าง ให้ข้าคิดดูหน่อย ถึงตอนนั้นจะบอกเจ้า”

“ขอบพระทัยฮ่องเต้หญิง’’ มู่ชิงเกอประสานมือคารวะ พร้อมยิ้มให้กับนาง

เจียงหลีกลับสบถออกมา “เจ้าช่างรู้จักใช้ของใช้คนจนได้ประโยชน์สูงสุดจริงๆ” นิดเดียวก็ไม่ยอมเสียเปล่า!

“ที่ไหนกันๆ ฮ่องเต้หญิงเจียงนั้นเป็นหงส์มังกรในหมู่คน ข้าจะทำเป็นมองไม่เห็นความสามารถของท่าน ให้ท่านเป็นเพียงหนอนข้าวตัวหนึ่งได้อย่างไร?” มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยออกมา

เจียงหลีโมโหเอ่ยว่า “ข้ามาหาเจ้าก็เพื่อจะมาเป็นหนอนข้าวนี่แหละ!”

“ได้ได้ได้ เป็นหนอนข้าวข้าก็ยินดีที่จะเลี้ยง” มู่ชิงเกออปลอบ

เจียงหลีส่ายหน้าอย่างหมดคำพูด เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “มู่ชิงเกอ เจ้าเป็นคนเดียวที่ชั่วชีวิตของข้าไม่รู้จะจัดการกับเจ้าอย่างไรดี! ชาติก่อนข้าคงติดค้างเจ้าไว้มาก!”

พูดจบแล้วนางก็หันกายจากไป

มู่ชิงเกอกลับยังเพิ่มเติมตามหลังนางไปอีกประโยค “ข้าสามารถรับรองกับเจ้าได้เลยว่า ชาติก่อนเจ้าไม่ได้ติดค้างข้าหรอก หากจะติดค้างก็ต้องเป็นติดค้างตั้งแต่ชาติก่อนก่อนนู่น! ทบเป็นดอกเบี้ยแล้วมาถึงชาตินี้จึงยากจะชดใช้คืนเสียหน่อย”

“ไสหัวไป!” เจียงหลีหันหน้ากลับมาไล่นาง

มู่ชิงเกอกลับไม่ได้สนใจยิ้มเอ่ยว่า “อย่าลืมมาดูยุทธภัณฑ์ที่ข้าหลอมล่ะ ครั้งนี้ข้าหลอมให้เจ้านะ!” คำพูดของนางเพิ่งจะหลุดออกไป เจียงหลีก็หายวับไป

จากสายตาของนาง

บนลานกว้างตระกูลซาง ไม่รู้ว่าใช้วัสดุอะไรวาดวงกลมสีขาวบนพื้น วงกลมสีขาวเหล่านี้เพียงพอสำหรับแค่หนึ่งคนยืน กางแขนออกก็พอดีกับขอบของวงกลมสีขาวแล้ว

วงกลมสีขาวเหล่านี้ เต็มไปทั่วลานกว้าง เพียงพอสำหรับคนนับพัน

กำแพงด้านหนึ่งข้างลานกว้าง เต็มไปด้วยป้ายห้อยเต็มไปหมด เหล่าศิษย์ตระกูลซางที่เข้าร่วมการแข่งขันล้วนแต่ต้องหาป้ายที่เขียนชื่อของตนเองจากบนกำแพง จาก นั้นก็เอาป้ายลงมาเดินไปในวงกลมที่ไม่มีคนยืนตามใจชอบ

ไม่นาน วงกลมสีขาวนับพันก็มีคนยืนถึงหกเจ็ดร้อยคนแล้ว

นอกเรือนพักชั่วคราวที่มู่ชิงเกออาศัยอยู่ มู่เสวี่ยอู่รออยู่นานแล้ว เมื่อเห็นมู่ชิงเกอเดินออกมาก็ยิ้มให้นางเอ่ยว่า “ลูกพี่”

มู่ชิงเกอมองนางแวบหนึ่ง เอ่ยถามว่า “เจ้ารอข้างั้นหรือ?”

มู่เสวี่ยอู่พยักหน้า “ลูกพี่ร่วมงานแข่งขันครั้งใหญ่ของตระกูลเป็นครั้งแรก ข้าไปพร้อมกับท่านก็พอดีจะได้อธิบายกฎและกระบวนการของการแข่งขันให้ฟังด้วย”

มู่ชิงเกอคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ดี”

ทั้งสองคนค่อยๆ เดินไป มู่เสวี่ยอู่ก็อธิบายกฎของการแข่งขันให้มู่ชิงเกอฟัง

ตอนพวกนางมาถึงลานกว้างนั้น วงกลมสีขาวก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว

“ลูกพี่! เสวี่ยอู่!”

ทันใดนั้นฝั่งทางคนดูก็มีเสียงดังออกมา

มู่ชิงเกอกับมู่เสวี่ยอู่มองออกไป ก็เห็นมู่อี้เฉินที่กำลังโบกมือให้พวกนางอยู่ ข้างกายของเขาก็มีหยวนหยวนที่กำลังโบกมือให้พวกนางเช่นเดียวกันนั่งอยู่

ข้างหยวนหยวน มีเหมยจื่อจ้งที่มีท่วงท่าประดุจเทพเซียนนั่งอยู่ ข้างกายเหมยจื่อจ้งก็ยังมีเจียงหลี เสวี่ยหยา และเซวี่ยนหยา ถัดจากพวกนางสองคนก็มีไป๋สี่นั่งอยู่ แต่ทว่านางเอาแต่หาว ไม่ได้สนใจอะไรกับการแข่งขันหลอมยุทธภัณฑ์เลย

“ท่านแม่ก็มาด้วย” มู่เสวี่ยอู่เอ่ยอย่างตกตะลึง

มู่ชิงเกอถึงได้สังเกตเห็นว่าอีกข้างของมู่อี้เฉินนั้น มีซางหลันรั่วที่เงียบเชียบจนไม่เข้ากับบรรยากาศรอบกายนั่งอยู่ด้วย

“เมื่อก่อนตอนที่ข้าเข้าร่วมแข่งขัน ท่านแม่ไม่เคยมาดูมาก่อนเลย วันนี้ยอมมาดูแล้ว หน้าของลูกพี่ใหญ่ยิ่งนัก” มู่เสวี่ยอู่ยิ้มให้มู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอถอนสายตากลับ เอ่ยกับนางว่า “ไปเถอะ”

มู่เสวี่ยอู่หมดทางเลือก ได้แต่ตามมู่ชิงเกอเดินไปยังกำแพงที่ห้อยแผ่นป้าย

แผ่นป้ายบนนั้นถูกคนเอาไปเกือบหมดแล้ว ชื่อของทั้งสองคนก็ห้อยไว้ด้วยกัน หาได้ง่ายมาก

“ลูกพี่ หลังจากจบการหลอมศาตราแล้ว ก็ห้อยแผ่นป้ายนี้บนยุทธภัณฑ์ที่หลอมออกมาได้ วางพวกมันไว้ในวงกลมสีขาวด้วยกัน พวกเราก็จะสามารถไปพักผ่อนได้ เหล่าผู้อาวุโสจะตรวจสอบตัดสินไปทีละชิ้น จำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควร” มู่เสวี่ยอู่ส่งแผ่นป้ายที่เขียนชื่อมู่ชิงเกอมอบให้นางถือไว้

“รู้แล้ว” มู่ชิงเกอตอบรับไป หยิบแผ่นป้ายของตนเอง เดินไปยังวงกลมสีขาวที่ว่างอยู่

ส่วนมู่เสวี่ยอู่ก็ตามนางเดินเข้าไปที่วงกลมสีขาวที่ว่างข้างนาง

ยืนอยู่ในวงกลมสีขาว มู่ชิงเกอก็มองดูกรรมการทั้งสี่คน

ส่วนสี่คนนี้ก็ล้วนแต่มองมาที่นาง สายตามองมาที่นางอย่างคาดหวัง…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version