ตอนที่ 290
นี่คือหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะออกมาแล้ว?
รอคอยงั้นหรือ…
มู่ชิงเกอเก็บความรู้สึกกลับ ขนตายาวบดบังอารมณ์ในนัยน์ตาของนาง
‘ดูจากท่าทางของผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามแล้ว เหมือนกับว่ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่นางปลุกพลังกดดันทางสายเลือดแล้วจึงได้เกิดความคาดหวังกับนางขึ้น
มา!’ มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นในใจ
อยู่ในวงกลมสีขาว มู่ชิงเกอรอคอยการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ชั่วขณะนั้น นางก็สัมผัสได้ว่ามีสายตาหลายสายกำลังจับจ้องมาที่นาง นางจึงกวาดตามองไป
ในกลุ่มคนที่แน่นขนัด นางกลับยังสามารถมองหาตัวคนที่มองมาทางนางได้อย่างง่ายดาย
หนึ่งคนในนั้นก็คือซางจื่อหลันที่เคยพบหน้ากันแล้วก่อนหน้านี้ที่ทุ่งหญ้าอัสดง
ยังมีอีกคนที่นางไม่รู้จัก แต่ในตอนที่นางส่งสายตามองไป ชายผู้นั้นกลับไม่หลบสายตา แต่พยักหน้าให้อย่างสุภาพ
นอกจากสองสายตานี้ ก็ยังมีสายตาที่ค่อนข้างหลุกหลิกปะปนอยู่สายหนึ่ง สายตาของมู่ชิงเกอตกไปที่ตัวของคนผู้นั้น พอมองดูแล้วนางก็เลิกคิ้วขึ้น
นั้นไม่ใช่คนที่ด่าว่ามู่อี้เฉินว่าเป็นเศษสวะครั้งที่นางทดสอบสายเลือดและสุดท้ายก็ถูกนางตอกกลับไปประโยคหนึ่งว่าเป็นเศษสวะผู้นั้นมิใช่หรือ?
ภายใต้สายตาของนาง คนผู้นั้นก็หลบสายตาท่าทางลุกลี้ลุกลน ไม่กล้าสบตากับนาง
นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฎขึ้นบนใบหน้างดงามของมู่ชิงเกอ
รอจนนางถอนสายตากลับ ถึงได้สบสายตาเข้ากับสายตาของมู่เสวี่ยอู่
มู่เสวี่ยอู่ยิ้มหวานให้กับนาง รอยยิ้มนั้นไม่ค่อยเข้ากับท่าทางสูงส่งเย็นชาในยามปกติ แต่ว่า…
มู่ชิงเกอครุ่นคิดไปมาครู่หนึ่ง เหมือนกับว่าหลังจากที่มู่เสวี่ยอู่รู้ถึงสถานะของนางแล้ว ก็จะไม่เคยเผยท่าทีที่ดูสูงส่งเย็นชาต่อหน้าของนางอีก
“ลูกพี่ ท่านตื่นเต้นไหม?” อยู่ๆ มู่เสวี่ยอู่ก็เอ่ยถามขึ้นเสียงเบา
ตื่นเต้น? ที่ไหนกัน
มู่ชิงเกอส่ายหน้าช้าๆ นางเรียนรู้จนควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้มาตั้งนานแล้ว อารมณ์ตื่นเต้นพวกนั้นก็ไม่เคยปรากฎในชีวิตของนาง
“เอาละ ในเมื่อทุกคนก็ได้มาครบกันแล้ว เริ่มการแข่งขันได้” ผู้อาวุโสรองลุกยืนขึ้นมา เอ่ยขึ้นกับหลายพันคนที่ยืนอยู่ในวงกลมสีขาวในลานกว้าง
เขาพอเปิดปาก กลุ่มคนในสนามแข่งขันก็พากันนิ่งเงียบลง ผู้ชมด้านบนก็พากันเงียบเสียงลงเช่นกัน
ผู้อาวุโสรองยืนอยู่บนแท่นยกสูง สายตาเข้มงวดกวาดมองไปรอบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงที่จริงจังว่า “เวลาในการแข่งขันใหญ่ครั้งนี้มีทั้งหมดสามวันในสามวันนี้ ขอให้พวกเจ้าหลอมศาสตราอย่างสุดความสามารถ อย่าได้วอกแวกสนใจผู้อื่น การแข่งขันในครั้งนี้ คนที่ชนะจะได้รับนํ้ายาเคลือบศาสตราสิบหยดเป็นรางวัล ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องตั้งใจ!”
“น้ำยาเคลือบศาสตรา!”
“รางวัลของครั้งนี้กลับเป็นนํ้ายาเคลือบศาสตรา!”
“นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว! ”
“ฮ่า ฮ่า รางวัลครั้งนี้เป็นนํ้ายาเคลือบศาสตราสิบหยด ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะแย่งกับข้า อันดับหนึ่งจะต้องเป็นของข้า!”
“เจ้าเนี่ยนะ? ข้าดูแล้วน่าจะเป็นอันดับหนึ่งจากล่างสุดมากกว่า”
“นํ้ายาเคลือบศาสตราสิบหยดนี้จะต้องเป็นของข้าให้ได้”
“อะไรเป็นของเจ้าให้ได้ ข้าดูแล้วน่าจะเป็นของเสวี่ยอู่เสียมากกว่ากระมัง หลายปีมานี้ ในทุกๆ ครั้งนางก็ล้วนแต่เป็นอันดับหนึ่งในการแข่งขันของตระกูล”
“นั้นก็ไม่แน่ ครั้งนี้พี่ชายของนางผู้นั้นก็มาด้วยมิใช่หรือ? อีกทั้งยังมีพรสวรรค์สูงส่งขนาดนั้น ความเข้มข้นของสายเลือดก็พุ่งไปถึงระดับสิบ ที่สำคัญที่สุดก็คือเขาเป็นถึงอาจารย์หลอมศาสตราขั้นสมบัติเชียวนะ”
“นั่นก็ไม่เหมือนกัน เขาก็ไม่ได้ฝึกฝนเรียนรู้อยู่ในตระกูล วิชาหลอมศาสตราของเขาก็เกรงว่าจะไม่ค่อยสมบูรณ์ดูจากระดับความสมบูรณ์แล้วจะมาเปรียบเทียบกับผู้เชี่ยวชาญอย่างตระกูลซางของพวกเราได้อย่างไร?”
“ดูท่าการประลองในครั้งนี้จะเป็นการแข่งขันระหว่างพยัคฆ์และมังกรสนามหนึ่ง!”
รางวัลจากการแข่งขันของตระกูลซางพอถูกพูดออกมา บรรยากาศของทั้งลานกว้างก็ดูคึกคักขึ้น
รอบด้านล้วนแต่เป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา
ในดวงตาของซางจื่อหลันปรากฎเปลวเพลิงลุกโชน สายตามองไปยังตัวของซางชิงอี่ว์ที่ห่างจากนางอยู่ไม่ไกล เอ่ยขึ้นด้วยเสียงตํ่า “เจ้าอย่าได้ลืมละว่าข้าสั่งให้เจ้าทำอะไร”
ชั่วขณะนั้นซางชิงอี่ว์ก็มีสีหน้าลำบากใจ เอ่ยขึ้นกับซางจื่อหลันว่า “เจ้าก็ปล่อยข้าไปเถอะ ก่อนหน้าเพราะยังไม่รู้สูงตํ่าก็ยังพอคุยกันได้ ตอนนี้ก็ได้รู้แล้วว่าพรสวรรค์และสายเลือดของเขานั้นเหนือกว่าข้า ทั้งยังเป็นอาจารย์หลอมศาสตราขั้นสมบัติ ข้าจะไปล่วงเกินเขาอีกได้อย่างไร? เจ้าไม่เห็นหรือว่าเพื่อเขาแล้วแม้แต่ผู้อาวุโสไท่ซ่างก็ล้วนแต่ออกมาแล้ว? ในการแข่งขันทุกๆ ปีที่ผ่านมา เจ้าเคยเห็นผู้อาวุโสไท่ซ่างมาร่วมหรือไม่?”
คำพูดของเขาประโยคนี้ทำเอาซางจื่อหลันพูดไม่ออก นางโมโหจนต้องขยี้เท้าไปมา นางไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจเรื่องราวแต่เป็นเพราะในใจกลืนความโกรธที่ถูกไล่ออกจากค่ายของเขี้ยวมังกรในตอนนั้นไว้ไม่อยู่
“จื่อหลัน ท่านปู่รองไม่ใช่ว่าพูดแล้วหรือว่าอย่าไปล่วงเกินมู่ชิงเกอ” ซางเหย่ที่อยู่ด้านข้างของนาง เอ่ยเกลี้ยกล่อมขึ้นเสียงเบา
ซางจื่อหลันขบเม้มริมฝีปาก ในสายตาทอแววดุดัน
“จื่อหลัน เจ้าอย่าได้วู่วาม! ผู้อาวุโสไท่ซ่างก็ยังอยู่ที่นี่” เห็นท่าทางขุ่นข้องของนางแล้ว ซางเหย่ก็รีบเอ่ยขึ้นทันที
ซางจื่อหลันถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง เม้มริมฝีปากแน่น พลางเอ่ยขึ้นในใจว่า ‘ในเมื่อทุกคนล้วนแต่ไม่กล้าล่วงเกินเจ้า เช่นนั้นหากข้าก็เอาชนะเจ้าในการแข่งขันได้ นี่ก็คงจะได้อยู่กระมัง? อีกอย่างนํ้ายาเคลือบศาสตรา ข้าก็ต้องการมันเช่นกัน!’
นางก็เป็นอาจารย์หลอมศาสตราขั้นสมบัติ ทั้งยังใกล้ที่จะทะลวงไปถึงขั้นเทวะแล้ว
ถ้าหากในการแข่งขันครั้งนี้นางทุ่มเทมากกว่าปกติจนสามารถหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะได้นั่นก็ไม่ใช่เป็นการเอาชนะทุกคนได้หรอกหรือ? พอถึงตอนนั้น นางก็จะคอยดูสิว่าซางเสวี่ยอู่กับมู่ชิงเกอผู้นั้นยังจะมีคุณสมบัติอะไรมาอวดดีต่อหน้านางอีก
“เงียบ” หลังจากปล่อยให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไปครู่หนึ่ง ผู้อาวุโสรองถึงได้เอ่ยต่อ “ของรางวัลพวกเจ้าก็ล้วนแต่ชัดเจนดีแล้ว กฎเกณฑ์พวกเจ้าก็ชัดเจนแล้ว ถ้าหากในการแข่งขันนี้เกิดพบว่ามีคนใช้กลโกงก็จะถูกตัดสิทธิ์ในการแข่งขันทันที พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจแล้วขอรับ” / “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” คนนับพันขานรับขึ้นพร้อมกัน ดูทรงพลังน่าเกรงขามยิ่งนัก
“ดี ในเมื่อล้วนแต่เข้าใจกันแล้ว เช่นนั้นก็เริ่มได้” พอผู้อาวุโสรองกล่าวจบ ก็สะบัดแขนเสื้อหันหลังกลับไปยังที่นั่ง
การหลอมศาสตราเป็นการรอคอยที่ยาวนาน
พอสิ้นจากคำประกาศของผู้อาวุโสรอง คนนับพันที่อยู่ในวงกลมสีขาวก็ค่อยๆ พากันลงมือ
ที่ด้านนอกของวงกลมสีขาว มีผู้ดูแลของตระกูลซางจำนวนไม่น้อยเดินตรวจสอบไปมา จับจ้องคนที่เข้าร่วมการแข่งขันว่ามีใครทำผิดกฎหรือไม่
มู่ชิงเกอยืนอยู่ในวงกลมสีขาว ท่าทางไม่รีบร้อนจนถึงขั้น ไม่มีการขยับใดๆ นางเพียงแค่มองดูการเตรียมของคนตระกูลซางคนอื่นๆ ด้วยสายตาที่แฝงความสนใจอยู่หลายส่วน
บนที่นั่งของคนดู พอเห็นมู่ชิงเกอไม่ขยับเคลื่อนไหว ไป๋สี่ก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ชิงเกอเป็นอะไรไป? คนเขาล้วนแต่เริ่มกันหมดแล้ว แต่นางกลับยังยืนนิ่งไม่ขยับ”
“นั่นสิ เหตุใดลูกพี่ถึงยังไม่ขยับ?” ใบหน้าของมู่อี้เฉินเต็มไปด้วยความร้อนรน
“พวกเจ้าจะร้อนใจไปทำไม? ในใจของชิงเกอก็มีแผนการของนาง” พอได้ยินประโยคที่เต็มไปด้วยความกังวลใจของทั้งสอง เจียงหลีก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น
นางเข้าใจมู่ชิงเกอ และก็รู้ว่าที่นางไม่ขยับในตอนนี้ ไม่ได้เป็นเพราะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นอย่างแน่นอน น่าจะเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาของนาง
คำกล่าวของเจียงหลีก็ทำให้ความกังวลใจของกลุ่มคนผ่อนเบาลง
“ลูกพี่ ท่านทำไมยังไม่เริ่มอีก?” หลังจากที่นำวัตถุดิบในการหลอมศาสตราของตนออกมาแล้ว มู่เสวี่ยอู่ก็พบว่ามู่ชิงเกอยังไม่ขยับเลย จึงถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
มู่ชิงเกอหันหน้ามองไปทางนาง พบว่าในวัตถุดิบที่นางหยิบออกมา ก็มีวัตถุดิบหลักชนิดหนึ่งเป็นเกล็ดหนังมังกรเกราะทมิฬที่ได้รับตอนอยู่ที่เทือกเขาซางหลานในตอนนั้น
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่ชิงเกอที่ตกไปอยู่ที่เกล็ดหนังของมังกรเกราะทมิฬแล้ว มู่เสวี่ยอู่ก็หลุบตาลงอย่างอายๆ เอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าติดอยู่ที่อาจารย์หลอม ศาสตราขั้นสมบัติมานานแล้ว วันนี้อยากอาศัยโอกาสนี้ ทะลวงขั้นไปขั้นเทวะ เกล็ดหนังของมังกรเกราะทมิฬนี้แข็งมาก หยิบยืมความสามารถในการป้องกันของมัน ก็หวังว่าข้าจะสามารถหลอมชุดเกราะขั้นเทวะออกมาได้”
มู่ชิงเกอพยักหน้า เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “พยายามเข้า”
คำง่ายๆ ไม่กี่คำ พอสะท้อนเข้าไปในหูของมู่เสวี่ยอู่ก็กลายเป็นแรงขับเคลื่อนอันยิ่งใหญ่ แผ่นหลังของนางเหยียดตรงขึ้น พยักหน้าหนักๆ ให้มู่ชิงเกอ ในนัยน์ตางดงามลุกโชนด้วยความฮึกเหิม
ไม่ทันไร นอกจากมู่ชิงเกอแล้ว วัตถุดิบในการหลอมศาสตราของทุกคนก็ล้วนแต่ถูกหยิบออกมาหมด อีกทั้ง ยังมีบางพวกที่เริ่มเร็วหน่อยก็ได้เริ่มหลอมแล้ว
นางที่ไม่ขยับแม้แต่น้อยกลับกลายเป็นแกะดำของกลุ่มคนขึ้นมา
“เด็กนั่นเป็นอะไรไป? ไม่ใช่ว่าตื่นสนามแล้วหรือ?” ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สองมองไปยังมู่ชิงเกอที่ไม่ขยับเคลื่อนไหว ยิ้มเอ่ยขึ้น
ซางซุ่นหวางยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเด็กนี่มีความคิดลึกล้ำ คำว่า ตื่นสนาม เกรงว่าคงจะเป็นไปไม่ได้ คาดว่าน่าจะอยากดูความเคลื่อนไหวของคู่มือก่อน”
ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สองพยักหน้ายิ้มๆ เอ่ยกำชับขึ้นประโยคหนึ่งว่า “อย่าได้สิ้นเปลืองเวลาก็แล้วกัน”
ในสนามแข่งขัน แต่ละคนก็ล้วนแต่เริ่มลงมือหลอมศาสตราแล้ว
อาจารย์หลอมโอสถเวลาหลอมโอสถก็จำเป็นจะต้องใช้หม้อหลอม
อาจารย์หลอมศาสตราก็จำเป็นต้องใช้หม้อหลอมเช่นเดียวกัน
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น วิชาการหลอมศาสตราของตระกูลซาง ก็ได้ออกห่างจากการใช้หม้อหลอมแล้ว พวกเขานั้นอาศัยพลังจิตของตัวเองกับเพลิงอสูรหรือเพลิงปฐพีดำเนินการหลอมศาสตรา
ดังนั้น ถ้าหากว่าระดับพลังในการฝึกฝนไม่เพียงพอ การพัฒนาวิธีการหลอมศาสตราให้สูงขึ้นก็จะพบกับอุปสรรค
มู่ชิงเกอค้นพบว่า ในบรรดาเหล่าศิษย์ทั้งหมดที่เข้าร่วมการแข่งขันของตระกูลซางนี้ที่หว่างเอวของทุกคนก็จะแขวนถุงผ้าเอาไว้ใบหนึ่ง ด้านในมีกลิ่นหอมของโอสถพุ่งโชยออกมา
พอนางได้กลิ่น ก็รู้เลยว่าสรรพคุณของโอสถพวกนั้นคือ การฟื้นฟูพลังจิต แต่ว่าก็เป็นเพียงโอสถระดับกลางหรือโอสถระดับสูงที่หาพบได้โดยทั่วไปเท่านั้น
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็พลันเข้าใจขึ้นมา เข้าใจถึงสาเหตุที่มู่เสวี่ยอู่ไปหาเหมยจื่อจ้ง
‘ดูจากรูปการณ์แล้วก็น่าเป็นเพราะโอสถที่ใช้ฟื้นฟูพลังจิต’ มู่ชิงเกอมองไปทางมู่เสวี่ยอู่ เห็นที่เอวของนางก็แขวนถุงผ้าที่มีกลิ่นโอสถลอยออกมาอยู่ใบหนึ่ง
มู่เสวี่ยอู่ยังไม่ได้เริ่มต้นการหลอม นางเพียงแค่ทำการจัดเรียงวัตถุดิบ หลังจากนั้นก็มองมาทางมู่ชิงเกอ ก่อนจะเดินมาหานาง
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น ไม่รู้ว่านางคิดจะทำอันใด
มู่เสวี่ยอู่เดินมาที่ด้านหน้าของมู่ชิงเกอ ดึงเอาถุงผ้าที่ใส่โอสถใบนั้นลงมาจากเอว เอ่ยขึ้นกับมู่ชิงเกอว่า “ลูกพี่ การหลอมยุทธภัณฑ์นั้นสิ้นเปลืองพลังจิตมาก ไม่กี่วันก่อนข้าได้ขอให้อาจารย์เหมยหลอมโอสถฟื้นฟูพลังจิตออกมาส่วนหนึ่ง ในตอนนั้นข้าก็ขอให้เขาหลอมให้ท่านด้วยจำนวนหนึ่ง แต่เขากลับพูดว่าท่านไม่จำเป็นต้องใช้มัน”
นางขบเม้มริมฝีปาก ก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อว่า “ยังดีที่เขาเป็นอาจารย์หลอมโอสถขั้นสมบัติ โอสถที่หลอมก็น่าจะคุณภาพดีกว่าปกติ ข้าก็คงไม่ได้ใช้มากมายเท่าไร ข้า แบ่งให้ท่านครึ่งหนึ่ง”
ระหว่างที่พูด นางก็เอาถุงผ้าในมือยื่นไปที่ด้านหน้าของมู่ชิงเกอ
แต่ว่ามู่ชิงเกอกลับยื่นมือออกมาขวางไว้ หยุดการกระทำของนาง
ภายใต้สีหน้างุนงงของมู่เสวี่ยอู่ นางยิ้มขึ้นบางๆ พลางเอ่ยขึ้น “เขาพูดถูกแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องใช้มัน”
“แต่ว่า…” นู่สวี่ยอู่เอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ
มู่ชิงเกอกลับใช้มือหนึ่งดันถุงผ้าของนางกลับไป เอ่ยกับนางว่า “หลอมศาสตราอย่างสบายใจเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
เมื่อหมดหนทาง มู่เสวี่ยอู่ก็ทำได้เพียงเดินกลับไปยังวงกลมสีขาวของตัวเอง นำเอาถุงผ้าที่ใส่โอสถระดับสมบัติ ผูกกลับไปที่เอวของตนดังเดิม
“พี่เหมย ท่านไม่ได้เตรียมโอสถฟื้นฟูพลังจิตให้ลูกพี่หรือ?” มู่อี้เฉินพอเห็นการกระทำของมู่เสวี่ยอู่ ก็หันไป เอ่ยถามเหมยจื่อจ้ง เหมยจื่อจ้งส่ายหน้าช้าๆ ไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางกังวลใดๆ ออกมา
มู่อี้เฉินตบๆ ไปที่หัวของตัวเอง “ต้องโทษที่ข้า ข้าควรจะกำชับลูกพี่ตั้งแต่แรก”
“เจ้าจะโทษตัวเองไปทำไม? ลูกพี่ของข้าหากต้องการโอสถ ไหนเลยจะต้องขอความช่วยเหลือจากพี่เหมย?” หยวนหยวนเอ่ยอย่างขำขัน
“เจ้าหมายความว่ายังไง?” มู่อี้เฉินเบิกตาทั้งสองข้างมองไปทางเขา
หยวนหยวนกลับส่ายหน้าเอ่ยขึ้น “ไม่มีอะไร”
มู่อี้เฉินรู้สึกแปลกๆ สายตากวาดมองไปยังคนไม่กี่คนนี้ไปมา พวกเขาไม่มีท่าทีกังวลเลยสักนิดทำตัวราวกับว่าไม่ได้เคร่งเครียดแทนมู่ชิงเกอแม้แต่น้อย
“อี้เฉิน อย่าได้ตื่นตูมไป” ซางหลันรั่วที่เงียบมาโดยตลอดเอ่ยปากขึ้น
มู่อี้เฉินมองไปทางนาง เอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจว่า “ท่านแม่”
ในแววตาของซางหลันรั่วมีความกังวลใจอยู่รางๆ แต่ก็ยังควบคุมอารมณ์ของตัวเอง เอ่ยปลอบเขาว่า “ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก เสวี่ยอู่ก็อยู่ข้างกายเกอเอ๋อร์ถ้า หากพลังจิตของเกอเอ๋อร์ไม่เพียงพอ นางก็รู้ว่าควรทำอย่างไร”
พอได้ฟังคำพูดของมารดา มู่อี้เฉินก็ทำได้เพียงปล่อยวางความกังวลลงชั่วคราว หันไปมองการแข่งขันต่อ
เปลวเพลิงสายแล้วสายเล่าค่อยๆ ลุกโชนขึ้นตรงกลางฝ่ามือของเหล่าศิษย์ตระกูลซาง ลอยไปด้านหน้าของพว เขา ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น อุณหภูมิทั่วทั้งสนามแข่งขันก็กลายเป็นสูงขึ้นในพริบตา
แสงเพลิงส่องแสงเจิดจ้า ทั่วทั้งสนามแข่งขันกลายเป็นแสงระยิบระยับไปมา ดูงดงามยิ่งนัก
วัตถุดิบในการหลอมศาสตราชนิดต่างๆ ถูกโยนเข้าไปในเปลวเพลิง ใช้พลังจิตบีบหลอมพวกมันจนก่อขึ้นเป็นรูปร่าง นี่เป็นขั้นแรกของวิธีการหลอมศาสตราของตระกูลซาง…
มู่ชิงเกอมองไปยังการหลอมศาสตราของกลุ่มคนอย่างสนใจ ท่าทางไม่รีบไม่ร้อนนั่นก็ดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนไม่น้อย
มีบางคนที่เพราะว่าหันไปมองอย่างสงสัยเพียงแวบเดียวทำให้การหลอมคาสตราของตนเองล้มเหลว ไม่อาจไม่เริ่มต้นใหม่ได้
“เขาทำอันใดกัน? ยังไม่ขยับอีก ไม่ใช่ว่าจะรอให้พวกเราหลอมจนเสร็จแล้ว เขาถึงจะเริ่มลงมือหรอกใช่ไหม?” ซางจื่อหลันส่งพลังจิตของตนเข้าไปในเปลวเพลิงอย่างต่อเนื่อง ควบคุมการหลอมสร้างวัตถุดิบที่ใช้หลอมศาสตราที่อยู่ด้านใน หางตากวาดมองไปยังจุดที่มู่ชิงเกอยืนอยู่ในใจรู้สึกสงสัย
ซางเหย่ก็อาศัยจังหวะว่างหันไปพูดกับนางประโยคหนึ่ง “อย่าได้สนใจผู้อื่น ตั้งใจหลอมศาสตราจะดีกว่า”
คำพูดของเขา ก็ทำให้ซางจื่อหลันดึงสายตากลับ และก็กลบความสงสัยในใจของตนลง ตั้งใจหลอมศาสตรา
“ทำไมถึงไม่ขยับ?” มู่อี้เฉินเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ มองเห็นวัตถุดิบในมือของคนอื่นๆ เริ่มกลายเป็นของเหลวหลากสีแล้ว แต่ด้านหน้าลูกพี่ของเขากลับไม่มีอะไรเลย นี่ทำให้เขาร้อนใจจนเหมือนกับมดที่อยู่ในกระทะร้อน
“รีบร้อนอะไรกัน? เวลาการแข่งขันก็ไม่ใช่ว่าสามวันหรอกหรือ ในสามวันหลอมศาสตราออกมาได้ก็เพียงพอแล้ว”หยวนหยวนกลับไม่ร้อนใจเลยแม้แต่น้อย
มู่อี้เฉินหันมองไปทางเขา กวาดตามองขึ้นลงไปมา เอ่ยขึ้นอย่างสงสัยว่า “ทำไมเจ้าถึงยังอยู่ที่นี่?”
หยวนหยวนนิ่งชะงัก ชี้ไปที่จมูกของตัวเองพลางเอ่ยถามขึ้น “หากข้าไม่อยู่นี่ แล้วจะให้ไปที่ไหน?”
มู่อี้เฉินกะพริบตาเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่ใช่พญาเพลิงของลูกพี่ข้าหรอกหรือ? เจ้าอยู่ที่นี่ แล้วนางจะหลอมศาสตราได้ยังไง?” พอกล่าวจบ เขาก็พลันเอ่ยราวกับเข้าใจบางสิ่งบางอย่างขึ้น “อ้า! ข้ารู้แล้ว ที่ลูกพี่ข้าชักข้าไม่ยอมขยับก็จะต้องเป็นเพราะเจ้าแอบอยู่ที่นี่เป็นแน่ ทำให้นางไม่สามารถหลอมศาสตราได้”
พอกล่าวจบ ก็พุ่งเข้าไปจะคว้าคอเสื้อของหยวนหยวน ราวกับว่าอยากจะโยนตัวเขาไปตรงหน้าของมู่ชิงเกอ
หยวนหยวนตีมือของเขาทิ้ง แยกเขี้ยวเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าอย่าได้คิดว่าเจ้าเป็นน้องชายของลูกพี่ข้าและกินดื่มกับข้ามาเพียงไม่กี่ครั้ง แล้วข้าจะไม่กล้าลงมือกับเจ้านะ!”
“แน่นอนว่าจะต้องเป็นเพราะเจ้า ลูกพี่ของข้าถึงทำได้เพียงแต่ยืนมองอยู่เฉยๆ!” มู่อี้เฉินก็โมโหแล้วเช่นกัน ยื่นมือออกไปจะต่อยตีกับหยวนหยวน
“อี้เฉินหยุดมือ!” ซางหลันรั่วรีบเอ่ยห้าม
เหมยจื่อจ้งก็เอ่ยขึ้นกับหยวนหยวนว่า “ตอนนี้เป็นสถานการณ์อย่างไร อย่าได้ก่อเรื่อง ชิงเกอก็บอกให้ข้าดูแลเจ้า”
เจียงหลีก็หันมาเอ่ยต่อว่า “พวกเจ้าสองคนหุบปากให้หมด! โวยวายอันใดกัน?”
คนอื่นๆ ต่างก็พากันส่งสายตาไม่พอใจมองมา
พอถูกกลุ่มคนห้ามปราม มู่อี้เฉินกับหยวนหยวนก็ล้วนแต่สบถเสียงเย็นใส่กันและกันเสียงหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหันหนีออกไป
เหมยจื่อจ้งส่ายหน้าอย่างหมดคำพูดจะกล่าว มองไปทางหยวนหยวนสายตาหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยไปทางมู่อี้เฉิน “ไม่ต้องกังวลใจไป ถึงแม้หยวนหยวนจะอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการหลอมศาสตราของชิงเกอ”
พอได้ฟังคำอธิบายของเขา มู่อี้เฉินก็ถึงรู้ตัวว่าตนเองเข้าใจผิดหยวนหยวนไป
เขาหันหน้ากลับไป เอ่ยขึ้นกับหยวนหยวน “ขอ… ขอโทษด้วย! ข้ามุทะลุเกินไป ใจร้อนเกินไป”
หยวนหยวนค่อยๆ ปรับสีหน้ากลับคืนสู่ปกติ หันหน้ากลับมาพร้อมกับเอ่ยขึ้น “เอาเถอะ เจ้าก็เพราะเป็นห่วงลูกพี่ บอกเรื่องจริงกับเจ้าก็ได้ ลูกพี่กำลังรอให้พวกเขาหลอมศาสตราใกล้เสร็จแล้วถึงค่อยเริ่มลงมือ”
“เพราะเหตุใด!” มู่อี้เฉินเอ่ยขึ้นอย่างแปสกใจ
หยวนหยวนพลันได้ใจขึ้นมา “เพราะว่าข้า!”
มู่อี้เฉินยังรีบร้อนจะถามต่อ แต่กลับมีคนทนไม่ไหวร้อนใจกว่าเอ่ยถามออกมาก่อน
“มู่ชิงเกอ ทำไมเจ้าถึงยังไม่ขยับ?” ผู้อาวุโสรองลุกขึ้นมาอีกครั้ง ตะโกนเอ่ยกับมู่ชิงเกอ ท่าทางที่ไม่ขยับของมู่ชิงเกอ แต่เดิมก็ทำให้จำนวนไม่น้อยคนรู้สึกสงสัย ตอนนี้เขาตะโกนออกไป ก็กลายเป็นดึงดูดความสนใจของทุกคน
“น้องรอง เจ้าตะโกนเช่นนี้ เกรงว่าจะไปรบกวนการหลอมศาสตราของพวกเด็กๆ” ซางซุ่นหวางเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น
“ใช่แล้ว พี่รอง” ผู้อาวุโสสามเอ่ยเห็นด้วย
ผู้อาวุโสรองมีสีหน้ากระดากอายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินลงจากแท่นยกสูงเอาเสียดื้อๆ ก้าวอาดๆ เดินไปทางมู่ชิงเกอ เขาพอขยับ ซางซุ่นหวางคิดแล้วคิดอีกก็ลุกขึ้นตามไปอีกคน
บนแท่นยกสูงก็เลยเหลือเพียงผู้อาวุโสสามกับผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สอง
ผู้อาวุโสรองเดินตรงมาทางมู่ชิงเกอ เดินไปที่ด้านหน้าของนาง ก่อนจะถามขึ้นตรงๆ ว่า “ทำไมเจ้าถึงไม่ขยับ?”
“น้องรอง เกอเอ๋อร์แน่นอนว่าจะต้องมีแผนการของตัวเอง ทำไมเจ้าจะต้องร้อนใจด้วย?” ซางซุ่นหวางเอ่ยปาก
เกลี้ยกล่อมผู้อาวุโสรองก่อนที่มู่ชิงเกอจะเปิดปาก ผู้อาวุโสรองกลับส่ายหน้าเอ่ยขึ้น “ท่านประมุข เขามีพรสวรรค์นั้นไม่ผิด แต่ว่าก็ไม่อาจจะทะนงตนได้บัดนี้ อยู่ในการแข่งขัน คนอื่นๆ ก็ได้เริ่มลงมือหลอมศาสตรากันแล้ว เขากลับยืนเฉยไม่ยอมขยับ คือคิดจะแสดงว่าตัวเองเหนือชั้นกว่างั้นหรือ?”
พอกล่าวจบ เขาก็หันมองไปทางมู่ชิงเกอ ราวกับว่าจะต้องการให้มู่ชิงเกอตอบออกมาให้ได้
มู่ชิงเกอสีหน้าเรียบเฉย สบเข้ากับสายตาที่เขามองมาไม่ได้มีท่าทีจะหลีกหนีเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า “ผู้อาวุโสรองอยากจะให้ข้าเริ่มหลอมศาสตราจริงๆ น่ะหรือ”
“ไม่ผิด” ผู้อาวุโสรองเอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจ
มู่ชิงเกอหัวเราะขึ้นเบาๆ พยักหน้าเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นก็ทำตามที่ท่านว่า”
พอกล่าวจบ ฝ่ามือของนางก็พลิกสะบัด พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดสายหนึ่งปรากฎขึ้นที่กลางฝ่ามือของนาง ชั่วขณะนั้น ทั่วทั้งสนามแข่งขันก็เหมือนกับมีดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งร่วงตกเข้าใส่ก็ไม่ปาน
“ร้อนยิ่งนัก!”
“ทำไมอยู่ๆ ถึงร้อนเช่นนี้ได้?”
อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันได้ดึงดูดความสนใจของคนทั้งหมด
และชั่วขณะที่พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดปรากฎขึ้น ขณะนั้น ในสนามแข่งขัน เพลิงอสูร เพลิงปฐพีที่กำลังใช้หลอมศาสตราอยู่เหล่านั้นก็กลายเป็นสั่นไหวไม่สมดุลขึ้นมา ดิ้นรนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะดับมอดไปในทันที
ฟู่ ฟู่ ฟู่ ฟู่ ฟู่
“อ้า ไฟของข้าดับแล้ว!”
“ของข้าก็ดับเช่นกัน!”
“วัตถุดิบของข้า อ๊าก!”
“ต้องมาเปลืองวัตถุดิบชั้นดีขนาดนั้น!”
ในวงกลมสีขาวบนสนามแข่งขัน มีเสียงร้องโวยวายดังขึ้นไม่หยุด
ผู้อาวุโสรองกับซางซุ่นหวางกวาดมองไปโดยรอบอย่างตกตะลึง คนทั้งหมดล้วนแต่เป็นเพราะเปลวเพลิงดับมอดลงอย่างกะทันหัน จนทำให้การหลอมศาสตราล้ม เหลว แม้แต่ของมู่เสวี่ยอู่ที่มีฝีมือโดดเด่นที่สุดในตระกูลซางก็ยังไม่ยกเว้น
บนใบหน้างดงามของนางก็พลันปรากฎสีหน้าเสียใจขึ้นมาสายหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เหมือนกับคนอื่นที่ตะโกนโวยวาย เพียงแค่จัดการเก็บกวาดวัตถุดิบที่หลอมล้มเหลวอย่างเงียบๆ
ยังดีที่เพิ่งเริ่มหลอมศาสตราได้ไม่นาน ความเสียหายก็เลยไม่นับว่ามากมายนัก
เพียงแต่ฉากเหตุการณ์อันแปลกประหลาดนี้ ก็ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเปลวเพลิงเพียงหนึ่งเดียว ที่ยังเจิดจ้าอยู่ในลานกว้าง
พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดในมือของมู่ชิงเกอส่องประกายแสงสีส้มอมเหลือง แผ่คลุมทั่วทั้งสนามแข่งขันเอาไว้ด้านใน สถานที่ที่ถูกมันกลํ้ากราย ก็ล้วนแต่รู้สึก ร้อนอย่างหาที่เปรียบมิได้
“นี่… นี่มัน…” ผู้อาวุโสรองมองไปยังเปลวเพลิงในมือของมู่ชิงเกออย่างตื่นตระหนก
มู่ชิงเกอยกมุมปากโค้งขึ้น เอ่ยหยอกเย้าขึ้นว่า “ผู้อาวุโสรอง นี่เป็นสาเหตุที่ข้าไม่ลงมือหลอมศาสตรา นี่เป็นพญาเพลิง พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด เปลวเพลิงก็มี ระดับชั้นของมัน อยู่ต่อหน้ามัน เปลวเพลิงของคนทั้งหมดที่นี่ก็ล้วนแต่ไม่สามารถเผาไหม้ได้อย่างปกติ”
“เจ้า เจ้ารีบเก็บมันไปก่อนเถอะ” ผู้อาวุโสรองเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน
มู่ชิงเกอยกยิ้มขึ้นที่มุมปากสายหนึ่ง สะบัดพลิกฝ่ามือเก็บเอาพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดกลับไป
อุณหภูมิอันร้อนระอุ ก็พลันสลายหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่าผู้คนบนลานกว้าง รวมถึงผู้ชมบนอัฒจันทร์ก็ล้วนแต่รู้สึกว่าตัวเองเพิ่งเดินผ่านนํ้าร้อนมารอบหนึ่ง เสื้อผ้าบนตัวก็ถูกเหงื่อซึมจนเปียก แนบชิดติดไปกับตัว รู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
พอไม่มีความร้อนแล้ว เปลวเพลิงในมือของมู่ชิงเกอหายไปด้วย แต่ว่าฉากภาพนี้กลับทำให้การแข่งขันของตระกูลซางกลายเป็นวุ่นวายขึ้น
มู่ชิงเกอยืนอยู่ในวงกลมสีขาวด้วยท่าทางเรียบเฉย สองมือไพล่ไว้ที่แผ่นหลัง ราวกับไม่รู้สึกผิดหลังจากทำให้การแข่งขันวุ่นวาย
ซางซุ่นหวางมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกับผู้อาวุโสรองว่า “น้องรอง ดูท่าการแข่งขันในครั้งนี้ ก็คงทำได้เพียงให้คนอื่นเริ่มลงมือไปก่อน รอพวกเขาหลอมกัน เสร็จเกือบหมดแล้ว ค่อยให้เกอเอ๋อร์เริ่มลงมือ”
ผู้อาวุโสรองพยักหน้าด้วยสีหน้าที่ดูเก้ๆ กังๆ “ก็คงได้แต่ทำเช่นนั้นแล้ว”
พอเห็นเขาพยักหน้า ซางซุ่นหวางถึงค่อยมองไปทางมู่ชิงเกอพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนี้เจ้าก็สามารถกลับไปพักผ่อนได้ หากใกล้เวลาแล้ว พวกเราจะส่งคนไปหาเจ้า แต่ก็สามารถรั้งอยู่ดูได้เช่นกัน ดูคนอื่นๆ หลอมศาสตรา”
“ข้าว่าอยู่ก่อนจะดีกว่า ฉากภาพการหลอมศาสตราที่น่าตื่นตาตื่นใจเช่นนี้ ถ้าหากไม่ชมดูก็จะน่าเสียดายไปหน่อย” มู่ชิงเกอเอ่ย นี่ก็เป็นโอกาสที่จะทำความเข้าใจ เกี่ยวกับพื้นฐานการหลอมศาสตราของอาจารย์หลอมศาสตราตระกูลซาง นางไม่มีทางพลาดได้
“ตามใจเจ้าเถอะ” ซางซุ่นหวางพยักหน้า ก่อนจะวกกลับไปยังแท่นกรรมการพร้อมกับผู้อาวุโสรอง
เขายืนอยู่บนแท่นยกสูง ก่อนจะเอ่ยไปยังบรรดาศิษย์ของตระกูลซางที่กำลังตื่นตระหนกว่า “ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันเล็กน้อย ตอนนี้เริ่มการแข่งขันต่อได้ เพราะว่าเปลวเพลิงของมู่ชิงเกอนั้นมีความพิเศษจึงให้เริ่มหลอมศาสตราในภายหลัง”
การแข่งขันเริ่มขึ้นใหม่อีกครั้ง แต่ว่าเวลาก็ได้ล่วงเลยไปส่วนหนึ่งแล้ว
ยังไม่ทันได้คิดฟุ้งซ่าน ฝูงชนก็ดึงเก็บความตื่นตระหนกกลับไป เก็บสีหน้าและความรู้สึก เตรียมการเพื่อเริ่มหลอมศาสตราใหม่อีกครั้ง
บนที่นั่งของคนดู มู่อี้เฉินมองไปทางหยวนหยวนอย่างตื่นตะลึง เอ่ยขึ้นอย่างอํ้าๆ อึ้งๆ “เจ้า เจ้า เจ้า เจ้า เจ้า…”
หยวนหยวนเอ่ยขึ้นอย่างได้ใจ “เป็นอย่างไรบ้าง ข้าร้ายกาจใช่ไหมละ!”
“จริงๆ แล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” หลังจากสูดลม หายใจเข้าลึกๆ แล้วมู่อี้เฉินถึงค่อยเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา
หยวนหยวนบอกเขาว่า “ข้ากับลูกพี่มีความเชื่อมโยงที่ใกล้ชิดต่อกัน ข้ารับนางเป็นนายแล้ว เพียงแค่ข้าไม่ได้อยู่ในการต่อสู้ ความสามารถของข้านางก็ล้วนแต่ใช้ได้ ก็เพียงแค่ไม่สามารถใช้งานมันได้เต็มที่เหมือนกับข้าก็เท่านั้น”
“จริงๆ แล้วเจ้ากลืนกินพญาเพลิงไปเท่าไรกันแน่?” มู่อี้เฉินก็รู้ถึงร่างจริงของหยวนหยวนมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ก็เลยเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย
หยวนหยวนคิ้วขมวดเข้าหากัน นึกคิดอย่างตั้งใจพลาง เอ่ยขึ้น “เห็นแก่ที่เจ้าเป็นน้องชายของลูกพี่ข้า ข้าก็จะบอกเจ้า เจ้าก็จะต้องรักษาความลับให้ข้าด้วย ก่อน หน้าข้าก็ดูดกลืนพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ พญาเพลิงปาฮวงซูคง แล้วก็พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด”
“สามชนิด! พอรวมเข้ากับตัวตนของเจ้า ก็ไม่ใช่ว่าลูกพี่ครอบครองพญาเพลิงถึงสี่ชนิดแล้ว?” มู่อี้เฉินตกตะลึง
“เหอะ เหอะ” หยวนหยวนหัวเราะเอ่ยขึ้น “นี่นับว่าเป็นอันใด ข้าก็ยังต้องกลืนกินพญาเพลิงอีกมาก เพื่อแข็งแกร่งกว่านี้หลังจากนั้นก็จะปกป้องลูกพี่! ภายภาคหน้า ไม่ว่าใครก็จะไม่กล้ารังแกลูกพี่! ใครกล้ารังแกลูกพี่ข้าก็จะเผามันผู้นั้น!”
ดูจากท่าทางที่ตั้งใจของเขาแล้ว มู่อี้เฉินก็เอ่ยขึ้นอย่างอิจฉา “ลูกพี่มีเพื่อนพ้องที่จริงใจเช่นเจ้าช่างดียิ่งนัก! ”
“นั้นก็เป็นเพราะว่าลูกพี่นางดีกับข้า!” หยวนหยวนเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ ตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นไข่ก็ได้ติดตามอยู่กับมู่ชิงเกอแล้ว ทุกครั้งที่ต่อกรกับพญาเพลิง มู่ชิงเกอก็ล้วนแต่ช่วยเขาคิดแผนการต่างๆ นานา ไม่เคยสั่งเขาเหมือนเป็นทาสมาก่อน นายท่านที่ดีเช่นนี้จะไปหาได้จากที่ไหนอีก?
“ข้าก็หวังว่าในอนาคตจะได้พานพบกับคู่หูเพื่อนร่วมศึกที่เป็นของข้าเช่นกัน!” ในแววตาของมู่อี้เฉินเผยให้เห็นถึงความอิจฉาและวาดหวัง
หยวนหยวนเวลานี้ก็เข้าใจที่ปลอบโยนผู้คน ตบไปที่บ่าของเขาพลางเอ่ยขึ้นว่า “วางใจเถอะ เจ้าก็เรียนรู้จากลูกพี่ให้ดีจะช้าจะเร็วสักวันหนึ่งเจ้าก็จะต้องพานพบเช่นกัน!”
“อืม! เริ่มตั้งแต่วันนี้ลูกพี่ก็จะเป็นแบบอย่างของข้า เป็นเป้าหมายของข้า!” มู่อี้เฉินเอ่ยขึ้นด้วยสายตาแน่วแน่
ซางหลันรั่วที่นั่งอยู่ด้านข้าง พอได้ฟังบทสนทนาของมู่อี้เฉินกับหยวนหยวนแล้ว ในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ชั่วขณะนั้น นางก็ค้นพบว่าลูกชายที่ถูกนางปกป้องมาโดยตลอด ในที่สุดก็เติบโตขึ้นแล้ว
การหลอมศาสตราก็เป็นสิ่งที่ยุ่งยากและวุ่นวายอย่างหนึ่ง
ถ้าหากเจ้าไม่ใช่อาจารย์หลอมศาสตรา พอดูนานเข้า พอความแปลกใหม่ผ่านพ้นไป ก็จะเริ่มสัมผัสได้ถึงความน่าเบื่อหน่าย
หนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านพ้นไป ไป๋สี่ที่อดทนมาอย่างยาวนาน ในที่สุดก็อดทนต่อไปไม่ไหว เอ่ยบอกกล่าวไปทางกลุ่มคน “ข้าไม่ไหวแล้ว ง่วงเกินไป บอกชิงเกอด้วยว่าข้าไปนอนแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรก็อย่าได้เรียกข้า”
พอกล่าวจบ เงาร่างของนางก็พลันไหววูบ กลายเป็นแสงสีขาวสายหนึ่งหายไปต่อหน้าของกลุ่มคน
พอนางจากไป ชั่วขณะนั้นเจียงหลีก็กลายเป็นผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย ชั่วทั้งตัวคนก็กลายเป็นรู้สึกอิสระขึ้นมามาก นางเอ่ยพึมพำกับตัวเองว่า “การหลอมศาสตราอะไรนี่ก็ช่างน่าเบื่อเสียจริง ถ้าหากไม่ใช่ว่าชิงเกออยู่ที่นี่ เชิญข้า ข้าก็ไม่มา”
“ได้ยินนายน้อยบอกมาว่า ยุทธภัณฑ์ที่จะหลอมขึ้นในวันนี้ ก็เป็นยุทธภัณฑ์ที่หลอมให้แม่นางเจียงโดยเฉพาะ”
ในนํ้าเสียงสายนั้นก็ไม่รู้ว่ามีความอิจฉาปนอยู่หรือไม่
ทันใดนั้นดวงตาของเจียงหลีหรี่เล็กลงดุจจันทร์เสี้ยว เอ่ยขึ้นอย่างคาดหวังว่า “ถ้าหากไม่ใช่เพราะเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่มีทางมาทนนั่งอยู่ที่นี่ นี่ก็ไม่รู้ว่าชิงเกอที่รักของข้าจะหลอมยุทธภัณฑ์แบบไหนให้กับข้ากัน”
นางก็ไม่ใช่ว่าไม่มียุทธภัณฑ์ของตนเอง แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่มู่ชิงเกอหลอมเพื่อนางโดยเฉพาะ แน่นอนว่าความหมายจะต้องไม่ธรรมดา
พอถึงตอนเย็นของวันที่สอง คนส่วนใหญ่ก็ได้หลอมศาสตราสำเร็จอย่างไร้อุปสรรค
ส่วนใหญ่ก็เป็นยุทธภัณฑ์ชั้นจิตวิญญาณ ระดับชั้นสมบัตินั้นมีออกมาน้อยมาก มองไปก็มีอยู่ไม่กี่ชิ้น คุณภาพก็ไม่ได้นับว่าสูงมากนัก ยุทธภัณฑ์ที่หลอมเสร็จพวกนั้นก็ล้วนแขวนไว้ด้วยแผ่นป้ายของแต่ละคน วางไว้ในวงกลมสีขาว หลังจากนั้น อาจารย์หลอมศาสตราก็สามารถออกไปพักผ่อนได้ เพื่อฟื้นคืนพลังจิตและเรี่ยวแรงของตน
มู่ชิงเกอมองไปทางมู่เสวี่ยอู่ ใบหน้าของนางซีดเซียว พละกำลังและพลังจิตก็สูญเสียไปมาก อาศัยช่วงว่างนางก็หยิบโอสถเม็ดหนึ่งออกมาจากถุงผ้าที่เอวของตนใส่มันเข้าไปในปากเพื่อฟื้นฟูพลังกายและพลังจิต
หลังจากกลืนเม็ดโอสถลงไปแล้ว สีหน้าของนางถึงค่อยดีขึ้นมาเล็กน้อย
สายตาของมู่ชิงเกอตกไปอยู่ที่ชุดเกราะที่นางกำลังหลอมซึ่งได้เผยรูปลักษณ์เป็นรูปเป็นร่างแล้ว เป็นชุดเกราะของผู้หญิงชุดหนึ่ง คุณภาพก็ดูไม่เลวนัก สีสันลวด ลายก็ดูงดงามมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังห่างไกลจากชั้นเทวะที่นางหวังเอาไว้
มู่ชิงเกอลอบส่ายหน้าเงียบๆ ‘ดูท่าแล้วที่นางคิดจะทะลวงถึงชั้นหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว’
มู่เสวี่ยอู่ก็เหมือนกับว่าจะเข้าใจในจุดนี้ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้คิดจะล้มเลิกการหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ แต่ว่านางนั้นไม่มีความกล้าและบ้าบิ่นเพียงพอ
ที่คล้ายกันกับนางก็ยังมีซางจื่อหลันอีกหนึ่งคน
นางก็อยากจะหลอมยุทธภัณฑ์ชนเทวะเช่นเดียวกัน เพียงแต่นางไม่ได้มีจิตใจที่มั่นคงเช่นเดียวกันกับมู่เสวี่ยอู่ จิตใจที่อยากเอาชนะนั้นรุนแรงเกินไป ซึ่งส่งผลให้ ยุทธภัณฑ์ที่นางใกล้จะหลอมสำเร็จเกิดบิดเบี้ยวไม่เสถียรขึ้นมาเล็กน้อย
ระดับความคืบหน้าของทั้งสองคนนั้นใกล้เคียงกันมาก
ผ่านไปชั่วอึดใจ ล้วนแต่ไปถึงช่วงปลายของการหลอมแล้ว
ซางจื่อหลันมองไปทางนู่สวี่ยอู่ พอเห็นว่านางล้มเลิกความคิดที่จะทะลวงชั้นการหลอมศาสตราไปสู่ชั้นเทวะแล้ว ในใจก็เกิดความยินดีขึ้นมาสายหนึ่ง ก่อนจะมองไปยังยุทธภัณฑ์ที่ตนกำลังขึ้นรูป พลันกัดฟันเข้าหากัน ทำการทะลวงชั้นถึงชั้นเทวะต่อไป
เปลวเพลิงด้านหน้าของมู่เสวี่ยอู่ก็ได้มอดดับไปแล้ว ชุดเกราะอันประณีตงดงามชุดหนึ่งร่วงตกลงสู่มือนาง
นางส่ายหน้าด้วยความผิดหวังเล็กน้อย เงยหน้ามองไปทางมู่ชิงเกอพลางเอ่ยขี้น “แต่เดิมคิดจะหลอมชุดเกราะชั้นเทวะให้ลูกพี่ชุดหนึ่ง แต่ก็ยังกลายเป็นล้มเหลว หลอมออกมาได้แค่ชุดเกราะระดับสมบัติชั้นยอดชุดหนึ่ง”
มู่ชิงเกอรับมันจากมือนาง พินิจมองอย่างละเอียด ก่อนจะเอ่ยกับนางว่า “นี่ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ชุดเกราะชุดนี้ เจ้าก็เก็บเอาไว้เองก่อน รอเวลาไหนเจ้าหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะได้แล้ว ค่อยส่งมันให้ข้า”
ชุดเกราะระดับสมบัติ เทียบกับพลังป้องกันของตัวนางเองแล้วก็ยังสู้ไม่ได้ รับมาก็ไม่ได้ใช้
มู่เสวี่ยอู่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจ พยักหน้าเอ่ยขึ้น “ครั้งนี้ถึงแม้จะไม่ได้ทะลวงชั้นเป็นชั้นเทวะ แต่ข้าก็ได้รับประโยชน์มาไม่น้อย เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะสามารถหลอม ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะออกมาได้ พอถึงตอนนั้นข้าก็จะสามารถหลอมชุดเกราะชั้นเทวะให้ลูกพี่ได้แล้ว”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นสายหนึ่ง
พวกนางหันมองตามเสียงไป ก่อนจะพบว่าซางจื่อหลันนอนสลบอยู่กับพื้น ส่วนยุทธภัณฑ์ที่นางหลอมก็ระเบิดกลายเป็นเศษซากกองหนึ่ง
“จะต้องเป็นเพราะทะลวงชั้นเทวะล้มเหลวเป็นแน่” มู่เสวี่ยอู่กล่าว
“จื่อหลัน!” ผู้อาวุโสรองร้องเสียงหลงขึ้น ตัวคนพุ่งมาถึงข้างกายของซางจื่อหลัน ในขณะเดียวกันนั้น ก็ยังมีอีกหลายคนที่พุ่งลงมาจากอัฒจันทร์พุ่งไปทางนาง
ไม่ทันไรก็เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเข้าอุ้มตัวซางจื่อหลัน พร้อมกันกับผู้อาวุโสรองมุ่งไปยังแท่นอัฒจันทร์ทางทิศที่เหมยจื่อจ้งอยู่
“อาจารย์เหมย ขอร้องท่านช่วยหลานสาวของข้าด้วย” ผู้อาวุโสรองพูดออกไปตรงๆ กับเหมยจื่อจ้ง
อาการบาดเจ็บของซางจื่อหลันไม่นับว่าร้ายแรง แต่ตอนเกิดเหตุมีอาจารย์หลอมโอสถระดับสมบัติท่านหนึ่งอยู่ในตระกูล แล้วทำไมเขาจะต้องไปหาอาจารย์หลอมโอสถผู้อื่นด้วย
เหมยจื่อจ้งเงยหน้าขึ้น มองไปทางมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอพยักหน้าให้เขาเงียบๆ เขาก็ถึงค่อยเอ่ยขึ้นกับผู้อาวุโสรองว่า “ให้ข้าตรวจดูก่อน”
“ช่วงนี้อาการของท่านแม่ก็ลำบากอาจารย์เหมยแล้ว” มู่เสวี่ยอู่อยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไปทางนาง ก่อนจะค้นพบความรู้สึกเอียงอายของเด็กสาวสายหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของแววตานางเข้าพอดี
ถึงแม้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงของนางแต่ไหนแต่ไรจะไม่ค่อยหัวไวสักเท่าไหร แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรในตอนนี้นางก็พูดได้ว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์พอเห็นแววตาที่เผยออกมาอย่างไม่รู้ตัวของมู่เสวี่ยอู่ นางก็พลันเอ่ยขึ้นในใจว่า ‘หรือว่าเด็กสาวนางนี้จะมีความคิดความรู้สึกพิเศษอันใดกับศิษย์พี่เหมย?’ แน่นอน ความคิดนี้ก็ปรากฎขึ้นแค่เพียงแวบเดียวในหัวของนาง นางยังไม่เบื่อหน่ายถึงขั้นต้องไปยุ่งเกี่ยวกับโลกแห่งความรักของผู้อื่น
“ขอเพียงกลืนโอสถเม็ดนี้ลงไปก็จะได้สติกลับมา แต่ว่าอาการของนางคือหลอมศาสตราจนถูกสะท้อนกลับ บาดเจ็บไปจนถึงจิตวิญญาณ จำเป็นจะต้องพักผ่อนให้ดีๆ สักช่วงหนึ่ง ภายในหนึ่งเดือนก็ห้ามหลอมศาสตราอีก” หลังจากตรวจร่างกายของซางจื่อหลันแล้วเหมยจื่อจ้งก็หยิบเอาโอสถเม็ดหนึ่งส่งให้ผู้อาวุโสรอง
หลังจากเอ่ยขอบคุณแล้วผู้อาวุโสรองก็ส่งเม็ดโอสถเข้าไปในปากของซางจื่อหลันทันที
หลังจากกลืนลงไป นางก็ค่อยๆ ได้สติกลับคืนมา ผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์นี้ ส่งผลให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยส่งสายตาเลื่อมใสไปทางเหมยจื่อจ้ง
ส่วนในแววตาของมู่เสวี่ยอู่ที่มองเหมยจื่อจ้งก็ยิ่งเพิ่มความยินดีแทนเขาขึ้นอีกหลายส่วน
ในหมู่ศิษย์สองคนที่มีสิทธิ์จะทะลวงระดับการหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะออกมาได้ ตอนนี้มีหนึ่งคนผลีผลามดึงดันจนล้มเหลว อีกหนึ่งคนหลอมชุดเกราะระดับ สมบัติชั้นยอดออกมาได้หนึ่งชุด จะพูดว่าไม่ผิดหวังนั่นก็เป็นเรื่องโกหก
ซางซุ่นหวางมองไปทางผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สอง ก่อนจะถอนหายใจออกมา
ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สองกลับปล่อยวางไม่ติดใจ “เด็กพวกนี้สามารถรักษาพรสวรรค์เช่นนี้เอาไว้ในตอนที่ตระกูลอยู่ในสภาพตกต่ำเช่นนี้ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว พวกเจ้าที่เป็นผู้ใหญ่ ก็อย่ากดดันคาดหวังมากจนเกินไป เพราะถึงอย่างไรปัญหาก็ไม่ได้อยู่ที่ตัวพวกเขา”
“ผู้อาวุโสไท่ซ่างสั่งสอนได้ถูกต้อง ซุ่นหวางใจร้อนเกินไป” ซางซุ่นหวางเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม
ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สองยิ้มขึ้นเล็กน้อย กวาดตามองไปแวบหนึ่งพลางเอ่ยขึ้นว่า “ล้วนแต่หลอมกันจนเสร็จเกือบหมดแล้ว ที่เหลือก็คงไม่ส่งผลกระทบอันใดมาก ให้ชิงเกอเริ่มลงมือเถอะ”
“ขอรับ” ซางซุ่นหวางพยักหน้า ตอนนี้ความหวังสุดท้ายก็ตกไปอยู่ที่ตัวมู่ชิงเกอแล้ว
ในลานใหญ่ เหลือเพียงแค่มู่ชิงเกอคนเดียวที่ยังยืนอยู่ในวงกลมสีขาว
แต่ถึงอย่างนั้นคนรอบด้านที่เฝ้ารอกลับไม่เห็นว่าลดน้อยลง ตอนนี้คนที่หลอมศาสตราเสร็จก็ล้วนแต่ขึ้นไปนั่งบน แท่นอัฒจันทร์หมดแล้ว รอดูการหลอมศาสตราของมู่ชิงเกอ แม้แต่ซางจื่อหลันก็ไม่ยกเว้น
มู่ชิงเกอหยิบเอาวัตถุดิบที่ตนเองเตรียมเอาไว้ดีแล้วขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน
วัตถุดิบมีไม่มาก แต่ล้วนแต่เป็นของชั้นดี
หลังจากเตรียมการเสร็จแล้ว นางก็สะบัดฝ่ามือขึ้นครั้งหนึ่ง พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดพลันปรากฎขึ้นบนฝ่ามือของนางอีกครั้ง แสงเพลิงสว่างจ้าไปทั่วทั้งสนามแข่งขัน และความร้อนนั่นก็ยากที่คนจะทนไหว
แววตาของหยวนหยวนไหววูบ สะบัดมือออกไปสายหนึ่ง พญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ก็ปกคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศของอัฒจันทร์ลดอุณหภูมิของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดได้ อย่างเห็นผล
ความเคลื่อนไหวของเขาแน่นอนว่าทำการดึงดูดความสนใจของผู้อาวุโสไท่ซ่างตระกูลซาง
หยวนหยวนเบ้ที่มุมปาก “เวลาหลอมศาสตราของลูกพี่ข้า ต้องมีคนดู!”
จะมองอะไรกัน ถ้าหากคนพวกนี้ทนความร้อนของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดไม่ไหวแล้วจากไป ตอนที่ลูกพี่ของข้าแสดงฝีมือจะมีใครดูกันละ?
หยวนหยวนเลิกคิ้วขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
การกระทำของหยวนหยวนไม่ได้ดึงดูดความสนใจของมู่ชิงเกอ
นางได้เริ่มต้นการหลอมแล้ว นำเอาวัตถุดิบที่หยิบออกมาก่อนหน้านี้โยนเข้าไปในพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด ทำการหลอมศาสตรา หลอมตีเอาคุณสมบัติสูงสุด ขจัดสิ่งเจือปนออก
ท่าทางผ่อนคลายสบายๆ ของนาง ก็ทำให้อาจารย์หลอมศาสตราของตระกูลซางรู้สึกตกตะลึง!
เวลาที่พวกเขาทุกคนหลอมศาสตรา ไม่ว่าใครก็ไม่อาจไม่ระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก ไม่กล้ามีความวอกแวกแม้แต่น้อย? แต่มู่ชิงเกอกลับมีท่าทีผ่อนคลายขนาดนั้น หยิบเอาวัตถุดิบในการหลอมใส่เข้าไปในเปลวเพลิง
ท่าทางที่ไม่รีบร้อนนี้ ก็ทำให้หัวใจของพวกเขาเต้นระรัว ไปตามวัตถุดิบพวกนั้นอยู่หลายจังหวะ
ก่อนหน้านี้เวลามู่ชิงเกอหลอมศาสตราเนื่องจากว่าไม่มีคนชี้แนะนางก็เลยใช้แม่พิมพ์ในการหลอม ก็คือก่อนหลอมเตรียมแม่พิมพ์เอาไว้ก่อน จากนั้นหลังจากหลอมวัตถุดิบเสร็จค่อยเทมันใส่ลงไป ก่อนจะทำการทุบตีซํ้าไปซํ้ามา ท้ายที่สุดค่อยลงอักขระและอาคม
แต่กระนั้นวิธีการหลอมของตระกูลซางกลับไม่เหมือนกัน กลับเหมือนกับการหลอมโอสถ ที่หลังจากหลอมวัตถุดิบเสร็จแล้วก็ผสมพวกมันเข้าด้วยกัน ก่อนจะใช้พลังจิตควบคุมการไหลเวียนของวัตถุดิบโดยตรงก่อรูปด้วย ความคิด…
วัตถุดิบหลอมละลายอยู่ภายในพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดอย่างต่อเนื่อง แต่พวกมันกลับถูกมู่ชิงเกอใช้พลังจิตปกคลุมเอาไว้แยกเป็นลูกกลมๆ หลายลูก ไม่เจือปนซึ่งกันและกัน
ฉากนี้ก็ทำให้ผู้คนตกตะลึง
พวกเขาหลอมศาสตราล้วนแต่เป็นรูปแบบเดียวกัน ทุกครั้งที่หลอมหนึ่งชนิด ก็จะหลอมแค่หนึ่งชนิด เวลาที่เสียไปก็มาก หากทำเหมือนกับมู่ชิงเกอที่หลอมไปพร้อมกัน เรื่อยๆ นี่ต้องสิ้นเปลืองพลังความคิด สิ้นเปลืองพลังจิตไปเท่าไรกัน?
“ดูจากท่าทีแล้วความแข็งแกร่งทางสมาธิของเจ้าเด็กนี่ก็ไม่อาจดูเบาได้!” ผู้อาวุโสไท,ช่างลำดับที่สองยิ้มและเอ่ยขึ้นมา
“ทำเช่นนี้ก็จะทำให้สิ้นเปลืองพลังจิตและสมาธิไปมากมาย เขาจะทนไหวได้หรือ?” ผู้อาวุโสสามอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล
แต่ซางซุ่นหวางเคยเห็นมู่ชิงเกอหลอมศาสตรามาก่อน จึงเข้าใจในความเคยชินของนางอยู่บ้าง จึงเอ่ยรับรองขึ้นก่อนว่า “นี่ไม่นับว่าเป็นอันใด พวกท่านรอดูต่อไปเถอะ”
และก็จริงๆ หลังจากที่คำพูดของเขาจบลง มู่ชิงเกอก็นำวัตถุดิบที่หลอมเหลวเสร็จแล้วมาผสมเข้าด้วยกันพร้อมๆ กัน
สมาธิของนางก็แบ่งเป็นหลายสายแยกกันเฝ้าดูวัตถุดิบที่ไม่เหมือนกันเหล่านั้น พลังจิตก็แยกออกเป็นหลายสายเช่นกันควบคุมเอาวัตถุดิบพวกนั้นหลอมเข้าด้วยกัน
“สวรรค์! เขาจะหลอมวัตถุดิบพวกนั้นเข้าด้วยกัน!”
“นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน? นี่อาจจะระเบิดเอาได้นะ!”
“ใช่แล้ว! วิธีการหลอมอันบ้าบิ่นเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน!”
“ช่างเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์จริงๆ กล้ายิ่งนัก?”
“พลังสมาธิของเขาแข็งกล้าเกินไปแล้ว!”
“เกรงว่าการทำแบบนี้จะทำให้ล้มเหลวในท้ายที่สุดกระมัง!”
การกระทำของมู่ชิงเกอก็นำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา และอาการตกตะลึงของกลุ่มคน
แม้แต่มู่เสวี่ยอู่ก็ยังเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ เอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “ลูกพี่หลอมศาสตราเช่นนี้เสี่ยงเกินไปแล้ว หากไม่คอยระมัดระวังอาจจะทำให้ผลงานก่อนหน้านี้เสียเปล่าได้”
“วางใจเถอะ พวกเจ้าไม่ได้สังเกตหรือไงว่าจนถึงตอนนี้ ชิงเกอก็ยังไม่ได้ใช้โอสถเลยแม้แต่เม็ดเดียว?” ทันใดนั้น เจียงหลีก็เอ่ยเตือนขึ้นมา
พอถูกนางเอ่ยเตือนเช่นนี้ กลุ่มคนถึงนึกขึ้นมาได้ มู่ชิงเกอไม่ได้ใช้โอสถขึ้นฟูพละกำลังและโอสถฟื้นฟูพลังจิตเลยสักนิด
“จริงๆ แล้วเขาแข็งแกร่งเท่าใดกันแน่? พลังสมาธิกับพลังจิตถึงสามารถทนรับได้นานขนาดนี้?” ในกลุ่มคนมีคนร้องตะลึงออกมาเพราะคำพูดของเจียงหลี
การหลอมรวมของมู่ชิงเกอดำเนินไปครึ่งวัน
หลังจากครึ่งวันผ่านไป ในพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดก็ปรากฎก้อนวงกลมขนาดใหญ่ สีสันสวยงาม เป็นวัตถุดิบแต่ละชนิดที่หลอมเข้าด้วยกัน
ก้อนวงกลมขยับขึ้นลงไปมา ราวกับว่ากำลังจะเปลี่ยนรูปร่าง
นี่เป็นขั้นตอนของการขึ้นรูป และก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เกี่ยวพันถึงระดับชั้นและคุณภาพของยุทธภัณฑ์ที่จะได้ในตอนท้ายสุด
ซางหลันรั่วขบริมฝีปากขึ้นอย่างเคร่งเครียด มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อก็กำเป็นหมัดแน่น
ในพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดเริ่มปรากฎรูปลักษณ์ของยุทธภัณฑ์อันเรียวยาวขึ้นหนึ่งชิ้นอย่างช้าๆ
และทันใดนั้นเองแสงเพลิงของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดก็เปล่งแสงเข้มขึ้น ปกปิดเค้าโครงของยุทธภัณฑ์ที่อยู่ด้านใน นี่ทำเอาทุกคนพากันนั่งหลังตรงขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย โน้มตัวไปด้านหน้า มองไปทางมู่ชิงเกอ อย่างลุ้นระทึก
โครงหน้าของมู่ชิงเกอถูกพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดส่องสะท้อนจนเจิดจ้าขึ้นมา ถึงความมืดมิดยามราตรีจะเข้ามากล้ำกราย แต่ฝูงชนกลับยังมองเห็นสีหน้าที่ไร้ความรู้สึกใดๆ ของเขาได้อย่างชัดเจน
ทันใดนั้นเอง นางก็เม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น สีหน้าดูเหมือนจะเคร่งขรึมขึ้น นางค่อยๆ ปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลง ใช้ใจหลอมสร้างยุทธภัณฑ์
“จะก่อรูปแล้ว!”
“ก็ไม่รู้ว่าจะหลอมเป็นยุทธภัณฑ์อะไรออกมา!”
ทันใดนั้น สายลมกรรโชกพัดแรงขึ้น พลังจิตทั่วร่างของมู่ชิงเกอถูกดูดเข้าไปในพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดอย่างบ้าคลั่ง
ความบ้าคลั่งนั้น ได้เกิดเป็นลมหมุนรอบตัวนาง
ฉากภาพนี้ก็ทำให้กลุ่มคนตกตะลึง ต่างพากันลุกขึ้นมาจากที่นั่ง
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเข้าหากัน สีหน้าซีดขาวอยู่บ้าง
นางยกมือขึ้นพลิกสะบัด โอสถเม็ดหนึ่งปรากฎขึ้นบนฝ่ามือของนาง ยังไม่ทันให้ผู้คนเห็นชัดว่าเป็นโอสถระดับอะไร ก็ถูกนางกลืนเข้าไปในปาก ชั่วขณะนั้น พลังจิตที่นางเสียไปทั้งหมดก็ถูกฟื้นฟูกลับมา แต่มันก็ถูกดูดกลืนเข้าไปอีกครั้ง ซ้ำไปซํ้ามาเช่นนี้อยู่สามครั้ง สีหน้าของมู่ชิงเกอก็ถึงค่อยดูดีขึ้นมาหน่อย
ตอนนั้นเอง ท้องฟ้าก็ปรากฎแสงสายฟ้าวาววาบ ประกายสายฟ้าปรากฎขึ้นสว่างจ้าบนท้องฟ้าเหนือลานกว้าง
กลุ่มคนแหงนหน้าขึ้นไปมองอย่างตกตะลึง พวกซางซุ่นหวางทั้งสี่คนพลันลุกขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก
ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สองเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น “ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะจุติแล้ว!”
ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ!
นางหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะออกมาได้จริงๆ?
ฝูงชนที่ได้ฟังคำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สองประโยคนี้ เผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมา
พวกเขาเหล่านี้ ลำบากลำบนมาทั้งชีวิตก็ไม่แน่ว่าจะหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะออกมาได้ แต่นี่กับถูกหลานนอกแซ่ที่เพิ่งเข้ามาในตระกูลได้ไม่นานหลอมออกมาได้แล้ว?
นี่… นี่ก็ง่ายดายเกินไปแล้วกระมัง!
ง่ายดายจนทำให้ผู้คนไม่อาจเชื่อได้!
ครืน!
มีสายฟ้าสายหนึ่งส่งแสงสว่างวาบขึ้น สายพำสายนี้เหมือนกับกำลังสั่งสมพลังที่ร้ายกาจอยู่
ซางซุ่นหวางเบิกตาทั้งสองข้างขึ้น พึมพำว่า “เป็นยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะจริงๆ! มีเพียงการจุติของยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะเท่านั้นถึงจะถูกลงทัณฑ์จากสายฟ้าสวรรค์!”