ตอนที่ 295
ช่วยฮ่องเต้เลือกชายา!
“ลูกพี่! ลูกพี่!”
“ภรรยา เจ้าเร็วหน่อย!”
ยามเช้าตรู่ ลูกบอลกลมๆ ก้อนหนึ่งก็กลิ้งเข้ามาสู่จวนตระกูลมู่ ด้านหลังของเขายังจูงภรรยาสาวที่ท้องกลมนูนมาด้วย ภรรยาสาวคนนั้นดูสดใสร่าเริง ดวงตาทั้งคู่กลมโต ดูเปล่งประกายทำให้คนรู้สึกเอ็นดู
“สามี เจ้าช้าหน่อย” ภรรยาสาวส่ายหน้าอย่างจนใจ นัยน์ตามองไปยังชายที่อยู่ด้านหน้าอย่างรักใคร่
“ฮ่า ฮ่า นี่ข้าก็เพียงแค่ร้อนใจอยากจะให้ลูกพี่ได้ชมดูสะใภ้คนดีที่ข้าคัดเลือกมาเองกับมือ” เจ้าอ้วนแซ่เช่าพูดจบแล้ว ก็ยังยื่นมือไปลูบแก้มของภรรยาเล็กน้อย
ทั้งสองคนเข้ามาในจวนตระกูลมู่ไม่นาน มู่ชิงเกอได้ข่าวแล้วก็รีบมาในทันที
ไม่เพียงแต่นางที่มา มู่อี้เฉินกับมู่เสวี่ยอู่สองคนก็ตามมาด้วย พวกเขาทั้งสองสนใจคิดอยากจะเห็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายตั้งแต่เด็กของพี่สาวตนเองว่ามีรูปร่างเป็นอย่างไร
และแล้วเมื่อพวกเขาเข้าสู่สวนดอกไม้ก็มองเห็นลูกบอลลูกหนึ่งกลิ้งเข้ามาหาพี่สาวของพวกเขาอย่างกระตือรือร้น
“ลูกพี่!” ร้องด้วยความคิดถึงดังสะท้านจนนกบนต้นไม้ในจวนตระกูลมู่ล้วนแต่ขยับปีกบินหนีไปอย่างหวาดกลัว
เจ้าอ้วนแซ่เซ่าวิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้นคิดอยากจะกอดมู่ชิงเกอให้หายคิดถึงที่ไม่ได้เจอกันมาอย่างยาวนาน แต่ว่าเขาก็ชะงักอยู่กับที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีเมื่อเห็นนางในชุดของผู้หญิง
“ลูกพี่ เมื่อท่านอยู่ในรูปร่างเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกอับอายที่จะเข้าใกล้ท่านแล้ว” เจ้าอ้วนแซ่เช่าถูๆ มืออย่างเสียดาย
มู่ชิงเกอหัวเราะเยาะเย้ยแล้วเอ่ยว่า “ไม่เจอกันมาสองปี แต่ร่างกายของเจ้ายังคงกลมโตเหมือนเดิมเสมอ!”
“ฮ่าๆ ขอบคุณลูกพี่ที่ชมเชย!” เจ้าอ้วนแช่เช่ายิ้มกว้างอย่างดีใจ
“นี่เป็นเพื่อนรักของลูกพี่อย่างนั้นหรือ?” มู่อี้เฉินอ้าปากค้างมองเจ้าอ้วนแช่เช่าผู้อ้วนกลม หมดหนทางที่จะเชื่อมโยงระหว่างเขาและลูกพี่ที่แข็งแกร่งกล้าหาญของตนเองเข้าด้วยกันได้
ผู้ชายอ้วนกลม สวมชุดหรูหราพร้อมทั้งใส่ทองและเงินอยู่เต็มตัว เครื่องหน้าของเขาเบียดเข้าด้วยกันเป็นก้อนเดียวพร้อมกับดวงตาที่เล็กเหมือนเม็ดถั่ว นี่ดูแล้วก็ เหมือนกับ เป็นคนเสเพลคนหนึ่ง!
“คนไม่อาจจะดูที่หน้าตาได้” มู่เสวี่ยอู่ก็รู้สึกตกตะลึงเช่นเดียวกัน เพียงแต่เอ่ยเสียงเบาๆ ตอบไปประโยคหนึ่ง
“ลูกพี่ สองคนนี้คือ…” เจ้าอ้วนแช่เช่ามองเห็นมู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่ ในใจคอยคาดเดาถึงสถานะของทั้งสองอยู่ตลอด
มู่ชิงเกอจึงแนะนำออกมา “มู่อี้เฉิน มู่สวี่ยอู่ น้องชายน้องสาวฝาแฝดของข้า”
“หา? ลูกพี่มีน้องชายน้องสาวด้วยงั้นหรือ?” เจ้าอ้วนแซ่เช่าตะลึง
มู่ชิงเกอพยักหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วนางจึงอธิบายออกมาประโยคหนึ่งว่า “ใช่ พวกเขาทั้งสองถือว่าเป็นพี่น้องพ่อเดียวกัน”
เจ้าอ้วนแซ่เช่าพยักหน้าอย่างรู้สึกเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่จุดเด่นที่สำคัญของเขาก็คือรู้จักว่าอะไรควรถามและอะไรไม่ควรถาม
เขากระตือรือร้นขึ้นมาทันใด จากนั้นก็ยิ้มหวานไปให้กับมู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่แล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นน้องชายน้องสาวของลูกพี่ เช่นนั้นก็คือพี่น้องของข้าเจ้าอ้วนแซ่เซ่าเช่นเดียวกัน! ต่อไปนี้หากมีอะไรให้ช่วยก็ให้มาหาข้าเจ้าอ้วนได้เลย!”
พูดแล้วเขาก็ลูบๆ ที่หน้าอกตนเอง
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างขบขันหันไปแนะนำให้กับมู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่ว่า “ผู้นี้คือเช่าเย่เจ๋อ เป็นพี่น้องของข้า เขาอายุมากกว่าพวกเจ้าหน่อย หากพวกเจ้ายินยอม ก็เรียกเขาว่า พี่อ้วนเถอะ”
“สวัสดีพี่อ้วน”
“สวัสดีพี่อ้วน”
มู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่เอ่ยขึ้นในทันที
“เกรงใจไปแล้ว เกรงใจไปแล้ว ต่อไปพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน” เจ้าอ้วนแซ่เซ่าลูบท้องใหญ่โตของตนเอง ยิ้มจนตาหยีเอ่ยออกมา
เวลานี้เองสายตาของมู่ชิงเกอก็กวาดมองไปเห็นหญิงสาวที่ยืนเงียบสงบอยู่ด้านหลังของเจ้าอ้วนแซ่เซ่าพร้อม กับเอ่ยอย่างขี้เล่นว่า “ในเมื่อล้วนแต่เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เจ้ายังไม่แนะนำให้ข้ารู้จักอีกหรือ?”
“อา! ดูสมองหมูของข้า” เจ้าอ้วนแซ่เซ่าตบหัวของตัวเองครั้งหนึ่งแล้วก็รีบหันไปจูงภรรยาของตนเองแล้วก็พามาข้างหน้าของมู่ชิงเกออย่างระมัดระวังจากนั้นก็ยิ้มกว้าง “ลูกพี่ นี่คือภรรยาของข้า ซงกวนโหรว ในท้องของนางนั้นคือหลานที่ยังไม่ทันได้เกิดของท่าน ฮ่าๆ”
“นี่! ไหนเลยจะมีคนที่แนะนำคนอื่นเช่นเจ้า” ซงกวนโหรวแง่งอนเล็กน้อย จากนั้นถึงได้ช้อนดวงตากลมโตขึ้น มองไปที่มู่ชิงเกอแล้วก็ย่อกายลงเอ่ยอย่างใจกว้างว่า “บุตรของซงกวนหงเสี่ย ภรรยาของเช่าเย่เจ๋อ ซงกวนโหรวคำนับคุณชาย”
มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อย “เจ้าคือบุตรสาวของซงกวนหงเสี่ยงั้นหรือ?”
ซงกวนโหรวพยักหน้าเบาๆ
มู่ชิงเกอยิ้มมองเจ้าอ้วนแซ่เซ่า พูดล้อว่า “เจ้าอ้วนแซ่เซ่า เจ้าช่างมีโชคยิ่งนัก! บุตรสาวสุดรักสุดหวงของราชครูก็ถูกเจ้าลักพาตัวมาได้”
เจ้าอ้วนแซ่เซ่าได้ใจขึ้นมา “แน่นอนอยู่แล้ว! เจ้าอ้วนเช่นข้าดูดีทั้งโชควาสนาและหน้าตา!”
“พรืด!”
มู่อี้เฉินถูกคำพูดยกยอตนเองของเจ้าอ้วนแซ่เช่า ทำให้อดไม่ไหวหลุดหัวเราะออกมา
เจ้าอ้วนแช่เช่าไม่ได้สนใจ แต่กลับเลยกับเขาว่า “น้องชายอย่าหัวเราะไป หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองถามพี่สะใภ้ของเจ้าดู นี่เป็นเพราะว่านางชอบข้า และหากไม่ใช่ข้าแล้วก็จะไม่แต่งด้วย!”
“เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ” ซงกวนโหรวมองเขาอย่างอับอาย ยื่นมือออกไปหยิกที่เอวของเขาครั้งหนึ่ง
ชั่วขณะนั้น เจ้าอ้วนแซ่เช่ากัดฟันอย่างเจ็บปวด
มู่ชิงเกอมองท้องของซงกวนโหรว คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พลิกยกมือขึ้น จากนั้นในมือก็ปรากฎขวดยาขวดหนึ่งออกมา
นางยื่นให้แก่ซงกวนโหรว แล้วเอ่ยกับนางว่า “ภายในขวดนี้บรรจุยาที่มีฤทธิ์ในการชำระล้างและเปลี่ยนกระดูกหลังจากเจ้าใช้มัน ก็จะเป็นประโยชน์ต่อเด็กใน ครรภ์ถือว่าเป็นของขวัญพบหน้าให้แก่เด็กก็แล้วกัน”
“ฮ่า ฮ่า ลูกพี่ เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจละนะ!” เจ้าอ้วนแซ่เซ่าเอ่ยแล้วก็ยื่นมือออกมาจะรับไป
เพียงแต่ว่ามือของเขายังไม่ได้สัมผัสโดน ก็ถูกซงกวนโหรวปัดตกลงไป แล้วนางก็ใช้สองมือของตัวเองรับขวดยานั้นมาแล้วก็โค้งกายคำนับ “ซงกวนโหรวขอบคุณคุณชาย”
มู่ชิงเกอส่ายหน้าเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นภรรยาของเจ้าอ้วนแซ่เซ่า ก็ไม่ต้องเกรงใจต่อข้าถึงขนาดนั้น เรียกข้าว่าลูกพี่เหมือนกับเขาก็ได้และก็ไม่ต้องคำนับข้า”
ซงกวนโหรวพยักหน้า “ขอบคุณลูกพี่”
คนทั้งห้าทักทายกันแล้วก็ไปนั่งลงที่ศาลาในสวนดอกไม้ ทั้งสามคนรู้ว่ามู่ชิงเกอและเจ้าอ้วนแช่เซ่าไม่ได้พบกันมานาน จะต้องมีคำพูดต้องพูดกันมากมายเป็นแน่ ดังนั้นจึงไม่ได้ไปรบกวนการพูดคุยของพวกเขา
“ลูกพี่ สองปีที่ท่านจากไป ท่านล้วนแต่ไม่รู้ว่าเวลาที่ท่านไม่อยู่ในเมืองลั่วตูนั้น ข้าเหงาเพียงไหน เป็นความรู้สึกที่ไม่อยากอยู่ในที่ที่หนาวเย็นและโดดเดี่ยวเดียว ดาย! คิดถึงตอนแรกที่ล้วนแต่เป็นคนเสเพลแห่งเมืองลั่วตูด้วยกัน มาตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ข้าแล้ว เฮ้อ!” ทันใดนั้นเจ้าอ้วนแซ่เซ่าก็เอ่ยออกมาอย่างปวดใจ
“คนเสเพลแห่งเมืองลั่วตู?” มู่อี้เฉินเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
ซงกวนโหรวยิ้มเล็กน้อย “น้องชายไม่รู้งั้นหรือ? ในตอนแรกสามีของข้ากับคุณชายนั้นถูกเรียกว่าเป็นคนเสเพลอันดับที่หนึ่งและที่สองแห่งเมืองลั่วตู”
“เมื่อพูดเช่นนี้ก็แสดงว่าลูกพี่ของข้านั้นถูกเรียกว่าเป็นคนเสเพลแห่งเมืองลั่วตูงั้นหรือ?” มู่อี้เฉินเอ่ยอย่างตกตะลึง”
ซงกวนโหรวพยักหน้ายิ้มๆ
“ลูกพี่ที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่กลับต้องถูกเรียกว่าคนเสเพล…” มู่เสวี่ยอู่พึมพำออกมาประโยคหนึ่ง สายตาที่มองไปยังมู่ชิงเกอฉายแววปวดใจ
“นอกจากนี้คุณชายยังได้รับชื่อว่าเป็นคนงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองลั่วตูอีกด้วย” ซงกวนโหรวเอ่ยไปอีกหนึ่งประโยค
เวลานี้ทั้งสามคนก็ได้เริ่มพูดคุยกัน แต่ประเด็นการพูดก็หนีไม่พันเรื่องราวของมู่ชิงเกอ
ส่วนอีกด้านหนึ่ง มู่ชิงเกอก็พูดคุยกับเจ้าอ้วนแซ่เซ่า
“เจ้าอ้วน ในเวลาสองปี เจ้าได้เข้าสู่ระดับสีม่วงแล้วยินดีด้วย” ด้วยระดับพลังของมู่ชิงเกอในตอนนี้ เพียงแค่แวบเดียว นางก็สามารถมองเห็นความสามารถของเจ้าอ้วนแซ่เซ่า
เจ้าอ้วนแซ่เซ่าเอ่ยอย่างได้ใจขึ้นมา “นั่นก็เป็นเพราะลูกพี่ช่วยเหลือ!”
คำพูดบางอย่างในใจของทั้งสองคนล้วนรู้ดีแก่ใจ สบตากันแวบหนึ่ง แล้วก็หัวเราะกันขึ้นมา
“เจ้ากับซงกวนโหรวรู้จักชอบพอกันได้อย่างไร?” เมื่ออยู่กับพี่น้องของตนเอง มู่ชิงเกอก็อดคุยเรื่องซุบซิบอย่างหาได้ยากขึ้นมาไม่ได้
เจ้าอ้วนแซ่เซ่าตื่นเต้นขึ้นมาในทันทีแล้วก็พูดถึงเรื่องราวระหว่างเขาและซงกวนโหรวขึ้นมา
ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องราวก็ดูเชยมากเป็นวิธีเก่าๆ พูดว่า ในวันหนึ่งตอนที่ซงกวนโหรวออกจากบ้าน ตอนเดินไปแถวชานเมืองนั้น ก็ได้พบกับโจรภูเขาที่ไม่ดูตาม้าตาเรือคิดจะปล้นชิงและทำมิดีมิร้ายกับนาง เจ้าอ้วนที่บังเอิญผ่านมาพบเข้า เมื่อมองเห็นว่าสาวงามกำลังจะถูกรังแก ก็ได้ทำตัวเป็นวีรบุรุษกล้าหาญเข้าต่อสู้กับเหล่าโจรภูเขาแล้วก็จับโจรภูเขาไปให้กับเจ้าหน้าที่ ช่วยเหลือซงกวนโหรวไว้
จากนั้นทั้งสองคนก็ไปมาหาสู่กันจนรู้สึกชอบพอกัน ทั้งคุณหนูตระกูลซงกวนผู้นี้ก็ยังเป็นคนที่มีนิสัยเด็ดเดี่ยว ถึงกับกล้าขอร้องบิดามารดาว่าต้องการแต่งงานกับเจ้าอ้วนแซ่เช่า
จากนั้นการแต่งงานที่ดูไม่เหมาะสมในสายตาของผู้อื่นก็ได้ถูกกำหนดลงเช่นนั้น ดีที่เจ้าอ้วนแช่เช่านั้นยังเป็นคนดีมีจิตสำนึก หลังจากที่พวกเขาแต่งงานกันแล้ว เขาก็กลับตัวกลับใจทำตัวดีขึ้นมา ไม่ได้ทำตัวโง่เง่าอย่างที่เคยเป็นและก็ไม่ได้ไปแถวย่านหอนางโลมอีก
คนทั้งสองผูกสมัครรักใคร่กันจนทำให้คนรอบข้างอิจฉาตาร้อน
หลังจากฟังจบแล้วมู่ชิงเกอก็หัวเราะอย่างขบขันแล้วก็กล่าวว่า “เจ้าอ้วน พูดความจริงมา ว่าที่จริงแล้วเป็นเจ้าที่สนใจคุณหนูตระกูลซงกวนอยู่ก่อนแล้วใช่หรือไม่ ดังนั้นถึงได้แสดงฉากวีรบุรุษช่วยสาวงามออกมา?”
“ข้าถูกใส่ร้ายแล้วลูกพี่! ข้าขอสาบานกับท่านเลยว่าข้าไม่ได้ทำเช่นนั้น!” เจ้าอ้วนแซ่เซ่ายกมือขึ้นสาบานแสดงความซื่อสัตย์
มู่ชิงเกอหัวเราะขึ้นมา “ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น เจ้าจะร้อนใจขนาดนี้ไปทำไม?”
หัวเราะแล้ว นางก็รู้สึกใจหายเอ่ยว่า “ไม่ถึงสองปีเจ้าก็ จะได้เป็นบิดาแล้วดูแล้วแม้ว่าข้าจะรู้สึกว่าเจ้าไม่ได้เปลี่ยนอะไร แต่ในความเป็นจริงก็มีหลายเรื่องที่ไม่ เหมือนเดิม”
“ก็ไม่ใช่ไม่เหมือนเดิมทั้งหมด อย่างน้อยฮ่องเต้ของพวกเราก็ยังไม่ได้แต่งงานเหมือนเดิม” เจ้าอ้วนแซ่เช่าเอ่ย
“ฉินจิ่นเฉินยังไม่ได้แต่งงานงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอแปลกใจขึ้นมา
ถ้าหากว่านางไม่ได้จำผิดแล้วละก็ ฉินจิ่นเฉินในตอนนี้ก็มีอายุได้ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดแล้ว!
เจ้าอ้วนแซ่เซ่าพยักหน้าเอ่ยต่อว่า “ไม่เพียงแค่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่วังหลังของเขาไม่มีแม้แต่ผู้หญิงเลย เหล่าบรรดานางกำนัลก็ไม่สามารถแม้แต่จะปีนขึ้นบนเตียง มังกรของเขาได้ ลูกพี่ ท่านรู้หรือไม่ว่าสองปีมานี้ ประเด็นเรื่องนี้ได้ถูกบรรดาขุนนางใหญ่พูดจนกลายเป็นเรื่องอย่างไรไปแล้ว”
“พวกเขาใจกว้างเกินไปแล้ว งานของแคว้นกองอยู่ก็ยังจัดการไม่เสร็จตั้งมากมาย ยังคิดที่จะไปสนใจจัดการเรื่องส่วนตัวของฉินจิ่นเฉินอีกหรือ?” มู่ชิงเกอหัวเราะ
เยาะออกมา
เจ้าอ้วนแซ่เซ่าหัวเราะเหอๆ อย่างเห็นด้วย แล้วก็เอ่ยเตือนมู่ชิงเกอว่า “ลูกพี่ ท่านอย่าลืมนะว่าราชวงศ์ฉินนั้น ได้ถูกท่านฆ่าล้างไปจนเกือบหมดแล้ว ตอนนี้ที่เหลืออยู่ก็มีแค่เพียงฝ่าบาทคนปัจจุบัน หากว่าเขายังลังเลชักช้าไม่ยอมแต่งงาน ไม่สืบเชื้อสายของราชวงศ์ต่อ รอจนเขากลับคืนสู่สวรรค์ไปแล้ว แผ่นดินแคว้นฉินใครจะเป็นคนครอง? คงจะห้ามไม่ให้เกิดศึกภายในขึ้นอีกครั้งไม่ได้”
มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปาก ขมวดคิ้วขึ้น
เจ้าอ้วนแซ่เช่าพูดได้ไม่ผิด หากไม่มีผู้สืบทอดก็จะทำให้คนที่มีใจทะเยอทะยานจำนวนมากเกิดความคิดอะไรขึ้นมาได้ แคว้นฉินที่นางต้องการก็คือเป็นแผ่นดินที่สงบสุข ทำให้มู่ซงสามารถสงบใจในบั้นปลายชีวิตได้ไม่ต้องไปกังวลใจเรื่องแว่นแคว้นอีก ไม่ใช่แคว้นที่ตกอยู่ท่ามกลางสงครามภายใน ประชาชนตกอยู่ในความไม่สงบวุ่นวาย
“เหตุใดฉินจิ่นเฉินจึงไม่แต่งงาน?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามเสียงเข้มไป
ดวงตาเล็กเมล็ดถั่วของเจ้าอ้วนแช่เช่าเบิกกว้าง เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “ลูกพี่ ท่านไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งไม่รู้ กันแน่?”
“ข้าต้องรู้อะไรอย่างนั้นหรือ?” มู่ชิงเกอกะพริบตา ใบหน้ามึนงง
เจ้าอ้วนแซ่เซ่าถอนหายใจเอ่ยกับนางว่า “คนทั่วทั้งแผ่นดินแคว้นฉินล้วนแต่รับรู้ว่าถึงแม้แคว้นฉินในตอนนี้จะมีฝ่าบาทคนปัจจุบันจัดการอยู่แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฮ่องเต้ที่แท้จริงก็คือคุณชายแห่งตระกูลมู่ เพราะว่าทุกคนก็ล้วนแต่รู้ว่าฝ่าบาทฟังแต่คำท่านเพียงคนเดียว ท่านคิดว่าเพราะเหตุใดฝ่าบาทจึงฟังเพียงแต่ท่านแค่คนเดียว?”
มู่ชิงเกอไร้คำพูดที่จะตอบ
นางไม่เคยสนใจถึงเรื่องเหล่านี้มาก่อนและก็ไม่เคยคิดถึง ในความเป็นจริงนั้น เวลาที่นางอยู่ในแคว้นฉินนั้นก็น้อยมาก
“บางที…อาจเป็นเพราะว่าคำพูดของข้านั้นมีเหตุผล” มู่ชิงเกอหรี่ตาเอ่ยออกมา
เจ้าอ้วนแซ่เซ่าหัวเราะออกมา “ลูกพี่นะลูกพี่ หรือว่าท่านไม่รู้ว่าฝ่าบาทนั้นชอบท่าน?”
หา?
มู่ชิงเกอตกตะลึง ฉินจิ่นเฉินชอบนางอย่างนั้นหรือ? เหตุใดนางจึงไม่รู้เรื่องเลย?
ท่าทางของนางเช่นนั้น ทำให้เจ้าอ้วนแซ่เช่าได้แต่ต้องพยายามอธิบายให้นางฟังต่อ “ตั้งแต่ก่อนตอนที่ไม่รู้ว่าท่านเป็นผู้หญิงข้าก็รู้สึกแล้วว่าฝ่าบาทนั้นดีต่อท่านเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็คิดเผื่อท่านอยู่เสมอ แม้ว่าท่านจะฆ่าครอบครัวของเขาทั้งครอบครัวเขาก็ยังไม่แค้นท่าน ลูกพี่ท่านจำได้หรือไม่ว่าแต่ก่อนนั้นฝ่าบาทไม่เคยสนใจเรื่องอำนาจการเมือง ไม่ชอบแก่งแย่งชิงดีกับคนอื่น แต่เขาทำเพื่อท่านถึงกับยอมที่จะนั่งอยู่ในตำแหน่งฮ่องเต้และนับจากนั้นก็ถูกกักขังอยู่แต่ในพระราชวัง”
สีหน้าของมู่ชิงเกอแสดงท่าทีแปลกประหลาดออกมา นางเอ่ยว่า “เหตุใดเมื่อถูกเจ้าพูดมา ข้ารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นคนไร้ใจอย่างไรอย่างงั้น?”
เจ้าอ้วนแซ่เซ่าหัวเราะเอ่ยว่า “ไร้ใจหรือไม่นั้นข้าไม่รู้ข้า เพียงแต่อยากจะพูดว่า ที่ฝ่าบาทไม่แต่งงานนั้นแปดเก้าส่วนมีสาเหตุมาจากท่าน อีกอย่างเขาก็ยังเชื่อฟังคำพูดของท่านมาก ไม่สู้ท่านทำเพื่อแคว้นฉินของพวกเราคิดหาทางให้ฝ่าบาทแต่งงานเถอะ”
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก
เจ้าอ้วนแซ่เซ่าบอกว่าฉินจิ่นเฉินชอบนาง? ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร มู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง
“แต่ว่า ลูกพี่ ข้าคิดอยากจะถามสักหน่อยว่า หากไม่มีมหาปราชญ์แล้วท่านจะมองเห็นความจริงใจที่ฝ่าบาทมอบให้ท่านหรือไม่?” เจ้าอ้วนแซ่เซ่าอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา
มู่ชิงเกอชะงัก ถ้าเกิดว่าไม่มีซือมั่ว…
นางยิ้มๆ แล้วส่ายหน้าเอ่ยว่า “ข้ายอมรับว่าฉินจิ่นเฉิน นั้นทำให้ข้าสนใจเป็นพิเศษอยู่บ้าง แต่ว่าข้าสามารถบอกได้อย่างแน่ใจว่า ข้ากับเขานั้นไม่สามารถเป็นไปได้”
มู่ชิงเกอยืนขึ้น ไพล่มือไว้ข้างหลัง มองไปยังบรรยากาศ นอกศาลา เจ้าอ้วนแซ่เช่าตามมาข้างหลังของนาง เดินตามไปติดๆ นางมองไกลออกไป แต่ในใจกลับปรากฎบรรดาภาพที่เคยสนิทกันกับฉินจิ่นเฉิน แล้วก็ค่อยๆ เอ่ยว่า “ในตอนแรกพบ ภายในดวงตาของเขามักจะมีความรู้สึกชนิดหนึ่ง ที่ทำให้คนรู้สึกปวดใจรู้สึกใจสลาย แต่ว่าเขาปิดกั้นตัวเองไว้ลึกจนเกินไป ข้าไม่ได้มีความอดทนและความ สนใจมากขนาดนั้นที่จะช่วยเขาทำลายเปลือกด้านนอกนี้ให้ออกไปได้ และข้าก็ไม่ยินยอมที่จะสิ้นเปลืองความคิดไปกับเขา นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นได้ชัดว่า ข้านั้นไม่มีความรู้สึกอื่นใดให้กับเขา”
“ลูกพี่ เช่นนั้นมหาปราชญ์ทำอย่างไรถึงได้ใจของท่านมา?” นัยน์ตาที่เล็กเหมือนเมล็ดถั่วเขียวของเจ้าอ้วนแซ่เซ่ากลอกไปกลอกมาฉวยโอกาสพูดอย่างอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา เขาไม่ได้พัวพันไปกับเรื่องที่ว่าเหตุใดมู่ชิงเกอจึงไม่ชอบฉินจิ่นเฉินต่อ เพราะว่าตัวเขาเองก็รู้สึกว่าพวกเขาทั้งสองนั้นไม่เหมาะสมกัน
“เขางั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเล็กคิ้วขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ทั้งมุมปากก็ยังเกิดรอยยิ้มหวานออกมา
สายลมพัดผ่านมา พัดให้กระดิ่งที่แขวนอยู่หว่างเอวของนางขยับเบาๆ เกิดเป็นเสียงอันสดใสของกระดิ่งดังออกมา
“คุณชายขอรับ!”
ทันใดนั้น องครักษ์ภายในจวนก็มารายงานว่า “คุณชาย ด้านนอกจวนมีขุนนางใหญ่มามากมายคิดอยากจะขอพบท่าน”
“กลุ่มตาเฒ่าพวกนี้รู้ข่าวเร็วจริงๆ!” เจ้าอ้วนแซ่เช่าตำหนิออกไป
เขามองมู่ชิงเกอด้วยใบหน้าที่ขมขื่นแล้วเอ่ยว่า “ลูกพี่ ดูแล้ววันเวลาที่สงบสุขของท่านคงจะไม่มีแล้วล่ะ แต่ท่านต้องเหลือเวลาบ้างเล็กน้อยพวกเราจะได้ดื่มกันสักครั้ง”
มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างขบขันว่า “ประตูใหญ่จวนตระกูลมู่เจ้าอยากมาเวลาไหนก็มาได้เลยมิใช่หรือ? ทั้งยังไม่ต้อง รายงานก่อนเช่นพวกเขาอีก”
เจ้าอ้วนแช่เช่าหัวเราะเหอๆ เกาศีรษะ
“คุณชายจะพบหรือไม่พบดีขอรับ?” องครักษ์เงยหน้าขึ้นมามองไปที่มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ในเมื่อมาจนถึงหน้าประตูจวนแล้ว พบก็พบเถอะ”
พูดจบแล้วนางก็ยืดตัวตรงเดินออกไปทางนอกจวน
ในตอนที่นางเดินออกไปด้านนอกจวนนั้น เจ้าอ้วนแซ่เช่าก็พามู่อี้เฉินตามออกไปด้วย แล้วก็ไปแอบอยู่ด้านหลังประตูที่ถูกเปิดออกเพื่อแอบฟัง
“คุณชาย!”
“คำนับคุณชาย คุณชายจงเจริญ!”
เพียงแค่มู่ชิงเกอก้าวเท้าออกจากประตูจวนไป บรรดาขุนนางนับร้อยใต้บันไดก็พากันคุกเข่าลงร้องตะโกนขึ้น
“พวกเขาถึงกลับเคารพลูกพี่ถึงขนาดนี้!” มู่อี้เฉินตกตะลึง
เจ้าอ้วนแซ่เซ่าหัวเราะเยาะออกมา “นี่ถือว่าเป็นอะไร? ภายในหลินชวนนี้สามารถพูดได้เลยว่าถึงลูกพี่จะระรานไปทั่ว ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำ”
มู่อี้เฉินถูกคำพูดนี้ของเขาทำให้ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
“ลุกขึ้นเถอะ” มู่ชิงเกอยืนอยู่บนบันไดนอกประตูจวน ก้มลงมองขุนนางนับร้อยที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
แต่ว่าพวกเขากลับไม่ลุกขึ้น
ขุนนางใหญ่ท่านหนึ่งที่เป็นผู้นำเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชายเพิ่งจะกลับมาถึงจวน เดิมทีพวกเราไม่ควรจะมารบกวนในเวลานี้ แต่เป็นเพราะว่าหมดทางเลือก เพื่อแผ่นดินแคว้นฉินแล้ว พวกเราไม่อาจไม่มารบกวนความสงบของคุณชายได้”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น “เป็นเรื่องอะไรกันที่ทำให้พวกเจ้าพูดซะดูเหมือนร้ายแรงขนาดนี้?”
ขุนนางคนนั้นเอ่ยว่า “เรื่องนี้พูดขึ้นมาก็ยากที่จะเอ่ยปาก แต่ว่าตอนนี้พวกเราก็ไม่อาจที่จะไม่ลากเอาใบหน้าแก่ๆ ของพวกเรามาขอร้องให้คุณชายให้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้ ฝ่าบาทครองบัลลังก์มาหลายปีแต่กลับไม่ตั้งวังหลังสักที พวกเรา…พวกเราเป็นกังวลมากว่าราชวงศ์จะไร้ผู้สืบทอดและจะส่งผลให้แผ่นดินเกิดความไม่สงบได้!”
เป็นเรื่องนี้อีก แล้วงั้นหรือ?
หางตาของมู่ชิงเกอกวาดมองไปยังเจ้าอ้วนแซ่เซ่าที่หลบอยู่ด้านหลังประตู ฝ่ายหลังรู้สึกได้แต่ก็เพียงแค่หัวเราะออกมาเท่านั้น
ถอนสายตากลับแล้ว ท่าทีของมู่ชิงเกอก็ดูเคร่งขรึมขึ้น “หรือว่าพวกเจ้าคิดอยากจะให้ข้าไปเลือกสาวงามสักหลายๆ คนแล้วเอาไปทิ้งไว้บนเตียงมังกร? หรือว่าวางยาฮ่องเต้บีบบังคับให้เขายอม?”
“พรืด” มู่อี้เฉินรีบกุมปาก ไม่ให้ตัวเองหัวเราะเสียงดังออกมา
“ไม่กล้า ไม่กล้า!”
“ไม่กล้า! คุณชาย พวกข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
“เช่นนั้นพวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร?” มู่ชิงเกอหรี่ตาลงเอ่ยถามออกไป
กลุ่มขุนนางเหล่านี้ถอนหายใจอยู่นานถึงได้เอ่ยว่า “ขอเชิญให้คุณชายไปพูดโน้มน้าวฝ่าบาทด้วยตนเอง ให้เขาถือเอาแคว้นเป็นสำคัญ เห็นความสำคัญของผู้สืบทอดราชวงศ์”
“ขอร้องให้คุณชายไปช่วยพูดโน้มน้าวให้ฝ่าบาทเปิดวังหลังด้วย!”
“ขอร้องให้คุณชายไปช่วยพูดโน้มน้าวให้ฝ่าบาทเปิดวังหลังด้วย!”
เสียงนี้เป็นเสียงความต้องการจากประชาชน…ไม่สิ เป็นเสียงความต้องการจากขุนนางมากกว่า
นี่ทำให้มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นถอนหายใจอย่างไร้เสียง พร้อมบ่นในใจว่า ‘เวลานี้การโน้มน้าวใจให้ฮ่องเต้เปิดวังหลังกลายเป็นประเด็นหลักภายในราชสำนักแล้วหรือ นี่ถือว่าเป็นเรื่องอะไรกัน?’
“คนเหล่านี้ก็ดูตลกดี ถึงกับให้พี่สาวของข้าไปจัดการเรื่องวังหลังของฮ่องเต้งั้นหรือ?” มู่อี้เฉินหัวเราะเสียงเบาๆ
เจ้าอ้วนแซ่เซ่าชู่ออกมา เอ่ยกับเขาว่า “เจ้าไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของมัน!”
“ฝ่าบาทมีบัญชา เชิญคุณชายเข้าวัง!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงของเกือกม้าดังเข้ามา พร้อมกับเสียงประกาศพระบัญชา
มู่ชิงเกอถอนสายตาที่มองท้องฟ้ากลับมา สายตากวาดมองไปยังร่างของคนนับร้อย ส่วนคนนับร้อยก็ยังใช้สายตาที่คาดหวังมองนางอยู่ รอคอยการตกลงจากนาง
คนที่มาถ่ายทอดพระบัญชา พริบตาเดียวก็มาถึงนอกประตูจวน เมื่อมองเห็นบรรดาขุนนางใหญ่ในราชสำนักเต็มอยู่เบื้องหน้าแล้วก็ตกตะลึง
แต่เขาก็กลับคืนสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว ลงมาจากหลังม้าพุ่งไปยังเบื้องหน้าของมู่ชิงเกอ เขาชันเข่าลงข้างหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “คุณชาย ฝ่าบาททราบว่าคุณชายมาถึงเมืองลั่วตูเมื่อวาน วันนี้จึงขอเชิญคุณชายให้เข้าไปในวังหลวงสักครั้ง”
มู่ชิงเกอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “เอาเถอะ ไปกัน”
หากไม่ใช่เพราะว่าก่อนหน้านี้เจ้าอ้วนแซ่เช่าพูดเรื่องนี้กับนาง นางก็คงจะไม่ร่วมลุยนํ้าขุ่นนี้เป็นแน่ แต่ในเมื่อล้วนแต่รวมตัวกันมาแล้ว นางก็จะไปถามดูว่าทางฉินจิ่นเฉินนั้นมีสถานการณ์เป็นอย่างไร
เมื่อมู่ชิงเกอเข้าวังหลวงแล้ว เหล่าขุนนางใหญ่ด้านนอกประตูจวนก็สลายตัวไป
เจ้าอ้วนแซ่เซ่าไม่ได้ออกจากจวนตระกูลมู่ แต่ถูกมู่อี้เฉินรั้งเอาไว้ เป็นเพราะอยากฟังเขาพูดเรื่องราวของพี่สาวตนเองให้ฟัง
เมื่อมีคนอยากฟังเรื่องราวความกล้าหาญของมู่ชิงเกอ ชั่วขณะนั้นเจ้าอ้วนแซ่เซ่าก็เกิดความกระตือรือร้นขึ้นมา กลับไปยังศาลาในสวนดอกไม้แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องราวให้สองพี่น้องมู่เสวี่ยอู่ฟัง
ภายในศาลาในสวนดอกไม้ตระกูลมู่เกิดเสียงร้องอย่างตื่นเต้นดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
วังหลวงแคว้นฉินไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย มู่ชิงเกอมาที่นี่อีกครั้งก็อดไม่ได้ที่จะระลึกไปถึงฉากของการเปลี่ยนแปลงในวังหลวงครั้งนั้น คืนนั้นมีคนตายไปไม่น้อย แต่ที่ทำให้มู่ชิงเกอยากที่จะลืมกลับเป็นองค์หญิงเล็กที่ตายอยู่ในอ้อมอกของนาง ฉินอี้เหลียน
สาวน้อยไร้เดียงสาที่ต้องถูกฝังพร้อมสถานะภรรยาของนาง
เก็บความคิดกลับแล้ว มู่ชิงเกอก็เดินไปถึงห้องสมุดหลวง
เพียงเข้าไปข้างในนางก็มองเห็นเงาคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรอ่านฎีกา ไม่เจอกันมาสองปีกว่า เขาก็ยังคงรูปงามดุจดั่งเซียนในภาพวาด เพียงแต่ว่าการใช้ชีวิตเป็นฮ่องเต้หลายปี ทำให้หว่างคิ้วของเขาเปลี่ยนเป็นลึกขึ้นมาก
เมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนเดินเข้ามา ฉินจิ่นเฉินก็วางพู่กันในมือลง แล้วก็เงยหน้าขึ้น
สายตาที่เรียบสงบคู่นั้น เมื่อมองเห็นมู่ชิงเกอแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความว้าวุ่น
จนกระทั่งมู่ชิงเกอกระแอมไอขึ้นมาเบาๆ เขาถึงได้สติขึ้นมาเก็บอารมณ์ในสายตานั้นกลับไป
“กลับมาแล้ว” เขาเอ่ยปาก นํ้าเสียงดูสงบเช่นยามปกติ
มู่ชิงเกอพยักหน้า เดินตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง
ฉินจิ่นเฉินเดินลงมาจากเก้าอี้มังกร แล้วก็รินชาให้มู่ชิงเกอด้วยตนเองแล้วก็ยื่นไปตรงหน้าของนาง “บรรดาขุนนางใหญ่เหล่านั้นไปรบกวนเจ้าสินะ”
มู่ชิงเกอช้อนตาขึ้นมองไปที่เขา พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเองก็รู้นี่”
นัยน์ตาของนางสงบนิ่ง มองไปยังฉินจิ่นเฉินแล้วถามว่า “เหตุใดจึงไม่แต่งงานมีบุตร?”
การเคลื่อนไหวของฉินจิ่นเฉินชะงักไปชั่วขณะ “ในเมื่อไม่ชอบพวกนาง แล้วเหตุใดจะต้องลากพวกนางมายังพระราชวังที่เปลี่ยวเหงาด้วย?”
“เช่นนั้นเจ้าชอบใคร?” มู่ชิงเกอจ้องมองเขา ไม่ยอมให้เขาหลบเลี่ยง
ฉินจิ่นเฉินเม้มริมฝีปากแน่น ไม่พูดจา
อาจจะเป็นเพราะสายตาของมู่ชิงเกอนั้นบีบบังคับคนเกินไป ฉินจิ่นเฉินจึงอดไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยงเปลี่ยนประเด็น “ฎีกาของท่านผู้เฒ่านั้นข้าได้อ่านแล้ว ยินดีกับเจ้าด้วยที่หาน้องชายน้องสาวกลับมาได้ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบที่จะจัดการเรื่องราวภายในตระกูล ดังนั้นจึงคิดที่จะแต่งตั้งมู่อี้เฉินเป็นซื่อจื่อเพื่อจะได้สืบทอดตำแหน่งนายน้อยจวนหย่งหนิงต่อไปในภายภาคหน้า แล้วก็จัดการกองทัพตระกูลมู่ สำหรับมู่เสวี่ยอู่ก็จะแต่งตั้งนางเป็นท่านหญิงอันหนิงเป็นอย่างไร?”
“เจ้าอย่ามาเบี่ยงประเด็นกับข้า” มู่ชิงเกอโบกมือแล้วเอ่ยว่า “เรื่องฎีกาเหล่านี้เจ้าไปพูดคุยกับท่านปู่ของข้าเอง ที่ข้ามาก็เป็นเพราะบรรดาขุนนางของเจ้าเหล่านั้น เป็นกังวลว่าเจ้าจะไม่มีผู้สืบทอด”
ฉินจิ่นเฉินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถึงได้พูดว่า “พูดกันว่าเมื่อครั้งอดีต ฮ่องเต้สามารถสละบัลลังก์เพื่อออกบำเพ็ญตนได้”
“เจ้าอยากจะทำตามวิธีโบราณออกบำเพ็ญตนอย่างนั้นหรือ?” มู่ชิงเกอหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา “เจ้าคิดง่ายดายเกินไปแล้ว เหตุผลที่ลัทธิเต๋าล่มสลายก็เป็นเพราะว่าใช้ไม่ค่อยได้ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าหากวันนี้เจ้าแต่งตั้งคนแปลกหน้าขึ้นมาเป็นรัชทายาทพรุ่งนี้ก็จะมีคนก่อกบฏขึ้น”
ฉินจิ่นเฉินช้อนตาขึ้นมามองไปที่มู่ชิงเกอ ผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงค่อยๆ เอ่ยถามว่า “เจ้าก็คิดอยากจะให้ข้าแต่งตั้งฮองเฮาคัดเลือกสนมอย่างนั้นหรือ?”
มู่ชิงเกอสูดหายใจเช้าลึกๆ ยืนขึ้นมา “ข้าพบฉินอี้เหยาในโลกแห่งยุคกลาง”
“อี้เหยา!” ฉินจิ่นเฉินตกตะลึง เอ่ยถามออกไปว่า “นางสบายดีหรือไม่?”
ตอนนี้สายเลือดของราชวงศ์ก็เหลือแต่พวกเขาแค่สองคนแล้ว
“เคยผ่านมาไม่ดี แต่ตอนนี้ก็ถือได้ว่าไม่เลว” มู่ชิงเกอพูดไป แล้วก็หันไปมองเขา “นางบอกข้าว่านางปล่อยวางได้แล้ว”
“เช่นนั้นก็ดีมาก” ฉินจิ่นเฉินเอ่ย
“เช่นนั้นเจ้าละ?” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เอ่ยถามขึ้นมา นัยน์ตาของนางฉายแวววาววาบมองจ้องเขา “มีคนบอกข้าว่าที่เจ้าไม่แต่งงานนั้นเป็นเพราะข้า?”
นัยน์ตาของฉินจิ่นเฉินฉายแววสับสนขึ้นมา เขาหลบเลี่ยงสายตาของมู่ชิงเกอ ปฏิเสธว่า “ไม่ใช่”
มู่ชิงเกอพยักหน้า “ไม่ใช่ก็ดีแล้ว ฉินจิ่นเฉิน เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรานั้นมีขอบเขต ส่วนข้าก็คิดเพียงแค่ต้องการให้ท่านปู่ของข้ามีสถานที่ที่สงบสุขในบั้นปลายชีวิตก็เท่านั้น หากว่าแคว้นฉินเกิดความวุ่นวายขึ้นอีกเพราะเจ้า ก็อย่าได้โทษว่าข้าไม่คิดถึงไมตรีเมื่อครั้งก่อนก็แล้วกัน”
ฉินจิ่นเฉินร่างแข็งทื่อไม่พูดจา
มู่ชิงเกอมองเขาแล้วพูดต่อ “ข้าเป็นคนที่ไร้ใจ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยคิดมาก ความสามารถของข้านั้นก็มีขอบเขตจำกัด สามารถปกป้องได้เพียงแค่คนที่ข้าคิดจะปกป้องเท่านั้น แต่หากว่ามีใครคิดอยากจะทำลายทั้งหมดนี้ ข้าก็จะไม่ไว้ไมตรี เพราะสาเหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมเปิดวังหลังนั้นข้าไม่เข้าใจ ข้าทำได้เพียงแต่บอกเจ้าว่า หากว่าแคว้นฉินตกเข้าไปอยู่ในความวุ่นวายเพราะความดื้อดึงของเจ้าแล้ว คนแรกที่ข้าจะไม่ยอมปล่อยไป ก็คือเจ้า”
ความสงบในดวงตาของฉินจิ่นเฉินถูกทำลาย เขามองมู่ชิงเกอและก็มองเห็นความเด็ดขาดในสายตาสดใสคู่นั้นของนาง
เขารู้สึกเหมือนว่าหัวใจของตนเองนั้นถูกฉีกกระชาก ในที่สุดเขาก็หลุบตาลง เอ่ยอย่างอดสูว่า “ก็ได้ข้าเชื่อฟังเจ้า ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว คนที่จะคัดเลือกเข้ามาอยู่ในวังหลังของข้า ก็ให้เจ้าเป็นคนเลือกเถอะ”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว “นั่นเป็นเรื่องของฮองเฮา”
“ข้ายังไม่มีฮองเฮา” ครั้งนี้ฉินจิ่นเฉินมั่นใจขึ้น
มู่ชิงเกอมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่เย็นชาว่า “ให้คนส่งภาพวาดไปที่จวนตระกูลมู่”
พูดแล้ว นางก็ก้าวยาวออกไปจากห้องสมุดหลวง ทิ้งฉินจิ่นเฉินยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายภายใน
เดินไปยังประตูวังหลวง ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็หยุดฝีเท้าลง แล้วก็เอ่ยกับระเบียงที่ว่างเปล่าว่า “ปรมาจารย์กู่ออกมาเถอะ”
เงาร่างของปรมาจารย์กู่ออกมาจากมุมลับ เขามาที่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ คำนับนาง “ขอบคุณคำพูดของคุณชายในวันนี้”
มู่ชิงเกอคลี่ยิ้มออกมา “ท่านไม่ใช่ว่ามาโทษว่าข้าไร้หัวใจเกินไป ตำหนิที่ข้าเห็นแก่ตัวงั้นหรือ?”
ปรมาจารย์กู่สายหน้า “ในเมื่อเป็นไปไม่ได้ก็อย่าได้มีเยื่อใยหลงเหลือไว้ให้จิตใจของฝ่าบาทได้ดำดิ่งเข้าไปสู่ภายในความโดดเดี่ยวและก็มีเพียงแค่ยาแรงเท่านั้นที่จะทำให้เปลี่ยนใจ ได้ยาแรงจากคุณชายในวันนี้คิดว่าคงจะทำให้ฝ่าบาทได้สติขึ้นมาไม่น้อย บางทีหลังจากฝ่าบาททรงคิดได้แล้วก็อาจจะพบกับคนที่รู้ใจในภายหลังก็เป็นไปได้ ดังนั้นข้าถึงได้มาขอบคุณคุณชาย”
“ฉินจิ่นเฉินมีท่านอยู่ข้างกายก็ถือว่าเป็นโชควาสนาของเขาแล้ว” มู่ชิงเกอทิ้งคำพูดเอาไว้แล้วก็ออกไปจากวังหลวง
“พวกเจ้าไม่รู้ว่าในวันนั้นลูกพี่ของข้ายืนอยู่บนถนนทิศเหนือในมือหิ้วพระมาตุลาผู้นั้น แล้วก็เอ่ยกับเหล่าประชาชนเต็มเมืองว่า พวกเจ้าไม่ยอม ข้าก็ไม่ยอม หลัง จากนั้นก็ระเบิดเจ้าพระมาตุลาที่ทำให้ทหารตระกูลมู่มากมายต้องตายอย่างทรมานไป นี่ทำให้ผู้คนมากมายรู้สึกสะใจมาก ทั้งยังมีคนตระกูลเล่อที่มาจากโลกภายนอก และพวกเขาก็ถูกลูกพี่แขวนเอาไว้แล้วตี แม้แต่ฮ่องเต้น้อยที่กล้าก่อการกบฏก็ถูกจัดการไปพร้อมกัน เขาก็ไม่คิดบ้างว่าตำแหน่งฮ่องเต้นี้ใครเป็นคนให้เขา เป็น” เจ้าอ้วนแซ่เซ่าพูดอย่างออกรส
เขาพูดอย่างออกรส พวกมู่อี้เฉินทั้งสองคนก็ฟังอย่างออกรสเช่นเดียวกัน
แม้แต่ซงกวนโหรวที่รู้มาบ้างก็ยังอดไม่ได้ที่จะเผยร่องรอยของความชื่นชมนับถือออกมา
“ลูกพี่ร้ายกาจจริงๆ!” มู่อี้เฉินพึมพำออกมา แต่มู่เสวี่ยอู่กลับสัมผัสได้ถึงอีกด้านหนึ่งเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “ลูกพี่ถูกด่าว่าเป็นคนเสเพลมาสิบกว่าปี นางอดทนเพื่อตระกูลมู่มาสิบกว่าปี คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่านางผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไร” วันนี้นางรู้เรื่องราวมากมาย เกี่ยวกับมู่ชิงเกอ หลังจากกลับไปแล้วนางจะเล่าให้ มารดาฟังทีละเรื่องๆ ให้มารดาได้รู้
“พวกเจ้ากำลังพูดอะไรกัน?”
ขณะที่กำลังพูดอย่างออกรส ทันใดนั้นเสียงของมู่ชิงเกอก็สอดแทรกเข้ามา
เจ้าอ้วนแซ่เซ่ามองไปที่นางรีบวิ่งไปหาในทันที แสดงท่าทางประจบประแจง “ลูกพี่ ท่านกลับมาแล้วหรือ? เรื่องราวจัดการเป็นอย่างไรบ้าง?”
มู่ชิงเกอพยักหน้า “ใช้คำพูดที่รุนแรงไป ลองเป็นคนเลวสักครั้งหนึ่ง ส่วนผลลัพธ์ก็ถือว่าไม่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง”
“ฝ่าบาทตกลงแล้วหรือ?” เจ้าอ้วนแซ่เซ่าเอ่ยอย่างตกตะลึง
มู่ชิงเกอพยักหน้า “พรุ่งนี้เจ้ามาหาข้าที่นี่สักหน่อย ข้ามีเรื่องให้เจ้าทำ”
“อา” เจ้าอ้วนแซ่เซ่าพยักหน้าอย่างมึนงง
มู่ชิงเกอกวาดมองออกไป เอ่ยถามว่า “ก่อนหน้านี้พวกเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรกัน ถึงได้ดูตื่นเต้นเช่นนี้?”
“ลูกพี่! ข้าคือ…คือ…ไอ้หยา! นับแต่นี้ต่อไปท่านจะเป็นแบบอย่างของข้า!” มู่อี้เฉินพุ่งไปที่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ มองนางด้วยสายตาที่เร่าร้อน
มู่ชิงเกอกะพริบตามองไปยังเจ้าอ้วนแซ่เซ่าแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าพูดอะไรให้พวกเขาฟัง?”
เจ้าอ้วนแซ่เซ่าหัวเราะเอ่ยว่า “ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องราวของลูกพี่นั้นแหละ? แต่ทว่าข้าก็รู้แต่เพียงเรื่องที่เกิดตอนที่ท่านยังอยู่ในแคว้นฉินเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้าก็ไม่รู้แล้ว ซึ่งตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ไม่สู้ลูกพี่ ท่านเล่าให้พวกข้าฟังบ้าง?”
มู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่มองนางด้วยสีหน้าที่คาดหวัง
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว “ก็ไม่มีอะไรที่น่าพูด”
นางไม่ใช่คนที่เก่งในการเล่าเรื่อง
“เฮ้อ!” เจ้าอ้วนแซ่เช่าถอนหายใจ รู้สึกผิดหวัง
มู่อี้เฉินกลับคิดตก เขาพัวพันรบเร้าเจ้าอ้วน “พี่อ้วนในเมื่อลูกพี่ไม่อยากจะพูดต่อ ท่านก็พูดต่อเถอะท่านเพิ่งจะพูดถึงคนของตระกูลเล่อมาทำเรื่องราวอะไร”
“ได้! ในเมื่อพวกเจ้าอยากจะฟัง ข้าก็จะเล่าต่อ” ครู่เดียว เจ้าอ้วนแซ่เซ่าก็มีอารมณ์เล่าเรื่องขึ้นมาอีกครั้ง เริ่มเล่าเรื่องอย่างออกรส
มู่ชิงเกอส่ายหน้าอย่างหมดทางเลือก เดินไปนั่งอยู่อีกข้าง ยกขาขึ้นมา ดื่มชา แทะเมล็ดแตง ฟังเจ้าอ้วนแซ่เซ่าเล่าเรื่องราวพร้อมเสริมเติมแต่งจนดูตื่นเต้น
วันนั้นเอง เจ้าอ้วนแซ่เซ่าก็พักอยู่ในจวนตระกูลมู่ เพราะดื่มเหล้ามากเกินไปจนกลับไม่ไหว
ดีที่ซงกวนโหรวเป็นคนรู้เหตุรู้ผล ไม่ได้ทะเลาะกันกับเขาเพราะเรื่องนี้ หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้วก็กลับไปเอง
วันที่สองเมื่อเจ้าอ้วนแซ่เซ่าตื่นขึ้นมาก็ถูกเรียกไปที่สวนสระเมฆาของมู่ชิงเกอ
“ลูกพี่ ภาพสาวงามเหล่านี้มันอะไรกัน?” เจ้าอ้วนแซ่เซ่า มองเห็นม้วนภาพกองโตอยู่บนโต๊ะหินด้านนอกเรือน ทั้งยังมีบางส่วนที่ตกอยู่บนพื้น ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาอย่างตกตะลึง อาการเมาค้างก็หายไปในพริบตา
มู่ชิงเกอนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกภายในเรือน พูดขึ้นว่า “เหล่านี้ล้วนแต่เป็นบรรดาผู้ที่จะถูกคัดเลือกเป็นพระสนมในวังหลังที่ทางวังหลวงส่งมา เจ้าเลือกไปก่อน เลือกเอาที่ต้องตาออกมา”
“เหตุใดเรื่องการเลือกสนมถึงได้ตกมาอยู่ที่ท่านได้?” เจ้าอ้วนแซ่เซ่าพึมพำออกมา ในมือหยิบม้วนภาพขึ้นมา ค่อยๆ เลือก เขาก็ถือว่าผ่านผู้หญิงมานับไม่ถ้วน สาวงามที่ต้องตา ย่อมไม่แย่อย่างแน่นอน
มู่ชิงเกอขานรับไปหนึ่งคำ แล้วเอ่ยว่า “บางทีฉินจิ่นเฉิน คงรู้สึกว่าข้าเป็นคนเสเพลมาตั้งหลายปี เรื่องของการเลือกผู้หญิงนี้ก็น่าจะมีความรู้อยู่บ้าง ดังนั้นจึงมอบภาระนี้ให้แก่ข้า แต่ว่าเขากลับไม่รู้ว่าในจุดๆ นี้ เจ้าที่เป็นคนเสเพลแห่งลั่วตูอันดับที่สองต่างหากถึงเป็นอันดับหนึ่ง”
เจ้าอ้วนแซ่เซ่าหัวเราะขึ้นมา รู้สึกภูมิใจตั้งอกตั้งใจคัดเลือก
มู่ชิงเกออาบแดดอย่างเกียจคร้าน
เมื่อวานในตอนที่เจ้าอ้วนแซ่เซ่าเล่าเรื่องนั้น มู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่ได้ยินว่าตนเองนั้นได้หมั้นหมายแล้วก็ตกตะลึง จนอ้าปากค้าง ดูเหมือนว่าจะอ้าปากใหญ่จนสามารถยัดไข่เป็ดลงไปได้
มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา ที่นางถูกใจนั้นเป็นประเภทที่ไม่มีคนต้องการอย่างนั้นหรือ?
ทว่าหลังจากที่ผ่านการตกตะลึงไปแล้ว ทั้งสองคนก็แสดงท่าทีสนอกสนใจพี่เขยที่ยังไม่ปรากฎตัวคนนี้อย่างลํ้าลึก แต่สุดท้ายความเร่าร้อนก็ถูกท่าทีที่เย็นชาของ นางขวางเอาไว้
เรื่องของนางกับซือมั่วนั้น นางไม่เคยพูดออกไปให้ใครรู้ แม้แต่กับเจียงหลีก็ยังรู้แค่เพียงครึ่งเดียว แล้วนางจะเอาออกมาพูดได้อย่างไร?
ระดับความเร็วของเจ้าอ้วนแซ่เซ่านั้นไม่ช้าเลย ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วยามก็เลือกสาวงามออกมาได้สิบคนจากกองม้วนภาพกองโต
เขานำเอาม้วนภาพเหล่านี้ไปคลี่อยู่เบื้องหน้าของมู่ชิงเกอ เพียงแค่กวาดตามองแวบหนึ่งนางก็เอ่ยว่า “ส่งคนออกไปสักรอบ สืบสักหน่อยถึงเบื้องหลังของพวกนาง ที่สำคัญก็คือต้องสืบให้รู้จักลักษณะนิสัยที่แท้จริงของพวกนางด้วย”
“ได้” เจ้าอ้วนแซ่เซ่าพยักหน้า
มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นอีกว่า“หลังจากสืบความออกมาได้แล้ว ก็ค่อยคัดเลือกอีกครั้ง บรรดาตระกูลที่มีเบื้องหลังซับซ้อน ทั้งยังพวกที่มีเล่ห์กลมาก มีความทะเยอทะยานสูง ก็ให้กำจัดทิ้งไป ส่วนที่เหลือก็ส่งไปในวังหลวงให้ฉินจิ่นเฉินจัดการเอง”
“ลูกพี่วางใจได้ เรื่องนี้ข้าจะจัดการให้เป็นอย่างดี” เจ้าอ้วนแซ่เซ่าเอ่ย
“ไปเถอะ” มู่ชิงเกอพูด
เจ้าอ้วนแซ่เซ่าโอบเอากอดม้วนภาพที่คัดเลือกออกมาได้แล้วถอยออกไป ส่วนม้วนภาพที่เหลือก็ถูกมู่ชิงเกอสั่งให้คนเอาออกไป
เรื่องราวเสร็จไปอีกหนึ่ง มู่ชิงเกอก็อดไม่ได้ที่จะยืดเส้นยืดสาย
เมื่อกลับมาถึงจวนตระกูลมู่ นางก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา นับวันเวลา ผ่านไปอีกสิบวันนางก็จะต้องกลับไปที่โลกแห่งยุคกลางแล้ว ถึงตอนนั้นฝั่งทางราชครูก็น่าจะได้ผลสรุปจากการคำนวณแล้ว
“หานชุ่นคือช่องว่างอย่างไรกันแน่?” มู่ชิงเกอพึมพำเสียงเบา
ตอนบ่ายราชโองการแต่งตั้งมู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่จากฉินจิ่นเฉินก็มาถึงตระกูลมู่ ซึ่งรับแล้วก็คือการประกาศต่อใต้หล้า ตระกูลมู่ก็กลายเป็นวุ่นวายครึกครื้นขึ้นมา ต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขกจากทั่วทิศ
ส่วนข่าวที่ว่ามู่ชิงเกอกลับมาหลินชวนนั้นก็ดุจตั้งติดปีกบิน แผ่กระจายไปทั่วทุกแคว้นในหลินชวน
ในวันที่เริ่มงานเลี้ยงนั้นตระกูลมู่ก็ได้รับของขวัญจากแคว้นต่างๆ
เวลานี้เองมู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่ถึงได้รู้สึกอย่างชัดเจนถึงสถานะของมู่ชิงเกอในหลินชวน
พี่สาวของพวกเขาผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเพียงแค่คนที่ไม่มีใครกล้าล่วงเกินเฉพาะในแคว้นฉินเท่านั้น แม้แต่จะเป็นทั่วทั้งหลินชวนก็ไม่มีใครกล้าล่วงเกิน
ในตอนที่เริ่มงานเลี้ยงนั้น มู่เหลียนหรงที่ท่องเที่ยวอยู่ข้างนอก ก็นำลูกและเซวียเฉียวกลับมายังตระกูลมู่
เมื่อเครือญาติได้พบกันก็เป็นภาพซาบซึ้งใจที่หาได้ยากอีกภาพหนึ่ง
ส่วนมู่ชิงเกอกลับพบว่าชายเสื้อของตนเองนั้นถูกคนดึง เมื่อก้มหัวลงมอง ก็เห็นซาลาเปาเนื้อแน่นกำลังยืนอยู่ข้างเท้าของตัวเอง พร้อมกับใช้ใบหน้ากลมๆ มองมาที่ตนเองอย่างสนอกสนใจ
“เซวียชิงเสียงงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอมองเขาแล้วก็เลิกคิ้วขึ้น
“พี่สาว มารดาบอกว่าท่านนั้นร้ายกาจมาก ถ้าหากว่าเสียงเอ๋อร์ไม่เชื่อฟัง ท่านก็จะลงโทษข้า” ซาลาเปาเนื้อแน่นใช้ดวงตาที่มีนํ้าตาซึมมองดูมู่ชิงเกอ ดูเหมือนว่า
นางได้ทำเรื่องอะไรที่เลวร้ายมาก็ไม่ปาน
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุกเอ่ยกับซาลาเปาเนื้อแน่นว่า “แค่ก เจ้ามองข้าเหมือนเป็นคนที่โหดร้ายอย่างนั้นหรือ?”
“เหมือน!” ซาลาเปาเนื้อแน่นพยักหน้าอย่างจริงจัง
ชั่วขณะนั้นก็ทำให้มู่ชิงเกอก็หมดคำจะพูด
ภาพลักษณ์อันกล้าหาญของนางถูกทำลายในเงื้อมมือของท่านอา
คนในครอบครัวอยู่พร้อมหน้ากันทำให้วันเวลาผ่านไปเร็วมาก
พริบตาเดียวก็ถึงเวลาที่มู่ชิงเกอจะต้องจากไปแล้ว
แม้ว่าจะอาลัยอาวรณ์ แต่มู่ซงและมู่เหลียนหรงก็รู้ว่าพวกเขาไม่อาจจะขวางการก้าวเดินไปข้างหน้าของมู่ชิงเกอได้
คืนก่อนเดินทาง มู่ชิงเกออยู่กับมู่ซงตามลำพัง
“ท่านปู่ ท่านรู้เรื่องของตระกูลมู่หรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
มู่ซงเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ตระกูลมู่? ตระกูลมู่อะไรใช่ตระกูลมู่ของพวกเราหรือไม่?”
มู่ชิงเกอเรียบเรียงเล็กน้อย จากนั้นก็เล่าเรื่องราวหลังจากที่ตนเองได้เข้าสู่ทะเลแห่งทุกข์แล้วพบกับเผ่าอี๋ รวมทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลมู่ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมา เล่าให้มู่ซงฟังคร่าวๆ
หลังจากที่มู่ซงฟังจบ ก็ตกตะลึงมาก
หลังจากเขาสงบใจลงได้แล้วถึงพึมพำเอ่ยออกมาว่า “ชิ้นส่วนตำรานั้นเป็นบรรพบุรุษถ่ายทอดลงมาเป็นรุ่นๆ ข้าไม่รู้เลยว่าภายในนั้นจะมีที่มาเป็นเช่นนี้ แต่ว่าเก
อเอ๋อร์…”
เขามองมู่ชิงเกออย่างเป็นกังวล “เรื่องนี้ดูไม่เบาเลย ปู่ไม่คาดหวังให้เจ้าเข้าไปอยู่ภายในการแย่งชิงของตระกูลมู่อะไรนั้น ผ่านมาเป็นหมื่นปีแล้ว พวกเราลูกหลานรุ่นหลังก็ลืมเรื่องราวความแค้นในหมื่นปีก่อนไปนานแล้ว ข้าไม่คิดอยากจะให้เจ้าเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในบุญคุณความแค้นเมื่อหมื่นปีก่อน”
“ท่านปู่ หากว่าข้าสามารถละทิ้งได้แล้วข้าจะลงไปลุยนํ้าขุ่นอีกทำไม?” มู่ชิงเกอส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น “ตามสภาพในปัจจุบันแม้ว่าข้าจะไม่ไปแย่งชิงอะไร ก็ได้ถูกม้วนเข้าไปแล้ว โดยสรุปแล้ว ข้าได้ตกหลุมที่บรรพบุรุษตระกูลมู่ขุดหลุมพรางเอาไว้”
“เฮ้อ! ต้องโทษข้า ข้าไม่ควรมอบชิ้นส่วนตำรานั้นให้แก่เจ้าเลย” มู่ซงถอนหายใจอย่างรู้สึกเสียใจ
มู่ชิงเกอเอ่ยปลอบ “ท่านปู่ก็อย่าได้เสียใจไปเลย ท่านไม่รู้สักหน่อยว่าจะต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องเหล่านี้ และก็เพียงแต่ทำตามคำสั่งสอนของบรรพบุรุษเท่านั้น อีก อย่างแม้ว่าท่านจะไม่ให้ข้า ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงเรื่องราวเหล่านี้ได้” ในใจนางนั้นชัดเจนดีว่าในเมื่อเคล็ดวิชาเทวะเป็นของที่นายน้อยตระกูลมู่จำเป็นต้องมี เช่นนั้นไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องมีคนมาหามันถึงที่อยู่ดี เพราะต้องการชิ้นส่วนตำรา หากเป็นเช่นนี้แล้วไม่สู้ให้นางได้รับรู้ตั้งแต่แรกและเริ่มแย่งชิงจะดีกว่า
มู่ซงถอนหายใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหดหู่
มู่ชิงเกอเอ่ยปลอบว่า “ท่านปู่ก็ไม่ต้องกังวลใจแล้ว หากรู้ก่อนว่าท่านจะเป็นเช่นนี้ข้าไม่ควรพูดให้ท่านฟังเลย”
มู่ซงจ้องมองนางแวบหนึ่ง “หากไม่พูดกับข้าแล้วเจ้ายังจะสามารถพูดกับใครได้อีก? เจ้าเด็กคนนี้ตั้งแต่เล็กก็ชอบเก็บเรื่องราวไว้ในใจ เรื่องอะไรก็จะแบกรับด้วยตนเอง แม้ว่าจะถูกคนเข้าใจผิดก็ไม่เคยคิดจะแก้ตัวเลยสักประโยค ปู่มองเห็นแล้วก็ปวดใจ เจ้ารู้หรือไม่?”
มู่ชิงเกอไร้คำพูดจะตอบ เพราะว่าที่มู่ซงพูดถึงนั้น ไม่เพียงแต่เป็นนาง แต่ยังรวม ถึงมู่ชิงเกอตัวจริงก็เป็นเช่นนี้ด้วย
“เกอเอ๋อร์ข้าขอถามเจ้าหน่อยว่า เหล่าคนที่หาเจ้าพบและถือเจ้าเป็นนายน้อยทั้งยังจัดบ่าวรับใช้ให้แก่เจ้านั้น ล้วนแต่ยังไม่รู้สถานะผู้หญิงของเจ้าใช่หรือไม่?” ทันใด นั้นมู่ซงก็เอ่ยขึ้นมา
มู่ชิงเกอพยักหน้า “แต่ก่อนไม่ค่อยเข้าใจความหมายของพวกเขา ข้าจึงไม่ได้อธิบาย”
“เช่นนันก็ดี หากว่าเจ้าบอกกับพวกเขาไปว่าเจ้าเป็นผู้หญิง พวกเขามีโอกาสที่จะไม่พัวพันเจ้าต่ออีกหรือไม่? เปลี่ยนไปหาคนอื่น? เจ้าไม่ใช่พูดแล้วหรือว่ายังมีผู้ถูกคัดเลือกคนอื่นๆ อีก ในพวกเขาใครคิดอยากจะไปทำตามความปรารถนาหมื่นปีของบรรพบุรุษให้สำเร็จก็ไปทำเลย แล้วหลานสาวของข้าก็ไม่จำเป็นต้องไปแล้ว” มู่ซงเอ่ย
ในใจของมู่ชิงเกอเกิดความอบอุ่นขึ้น ความเป็นห่วงของมู่ซงทำให้ชั่วขณะนั้นนางเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง นางเอ่ยกับมู่ซงว่า “ปัญหาก็คือเคล็ดวิชาเทวะนั้นข้าได้ฝึกแล้ว อีกทั้งยังฝึกโดยไม่รู้ตัว เพื่อที่จะทำให้มันชัดเจนขึ้น ข้าจำเป็นต้องหาอีกสองส่วนที่เหลือ ซึ่งสิ่งนี้จะต้องปะทะกับคนอื่นๆ ดังนั้นเรื่องนี้ปัญหาไม่ใช่เรื่องว่าจะเป็นหรือไม่เป็นนายน้อยของตระกูลมู่อีกแล้ว”
“เกอเอ๋อร์อยู่ดีๆ ปู่ก็รู้สึกว่าตนเองไร้ประโยชน์มากเหลือเกิน” มู่ซงพูดอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย