Skip to content

พลิกปฐพี 297

ตอนที่ 297

ความกังวลใจของราชครู

“ชิงเกอ ข้าขอบอกเจ้าก่อนเลยว่า หากเจ้าจะไปหานชุ่น ข้าก็จะขอไปด้วย” เมื่อเจียงหลีเห็นมู่ชิงเกอออกมาแล้วก็พูดบอกไปตรงๆ

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มันอันตรายมาก”

มีโอกาสที่จะพบเจอคนจากแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร

เจียงหลีกลับส่ายหน้าอย่างดื้อดึง “ก็เพราะว่าอันตราย ข้าถึงได้ต้องการไปกับเจ้า เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไม่เป็นตัวถ่วงให้กับเจ้า”

“ข้าก็จะไปด้วย!” หยวนหยวนก็แสดงเจตนาออกมาเช่นเดียวกัน

มู่ชิงเกอมองไปยังทั้งสองคนหยวนหยวนนั้นนางจะต้อง

พาไปอย่างแน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าสำหรับเจียงหลี…

“เจ้าไม่ต้องไปหรอก อยู่รอข้าที่นี่เถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ย

แต่ว่า เจียงหลียังคงส่ายหน้าเช่นเดิม

มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปากแน่น ในใจครุ่นคิด ตอนนี้นางจะต้อง เข้าไปในหานชุ่นให้เร็วกว่าฝั่งทางแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร เพื่อหาเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางให้พบก่อน ดังนั้นจึงไม่สามารถล่าช้าได้

ราชครูไม่รู้ถึงความสามารถของหยินเฉินและไป๋สี่ดังนั้นจึงเรียกกลับมาเพียงแต่มู่เฉินและมู่เผิงที่มีพลังอยู่ระดับสีทอง

แต่ว่าถึงแม้จะเลือกคนใหม่หลังจากนางกลับมาแล้ว ก็จะต้องสูญเสียเวลาไปมาก ไม่แน่ว่าอาจจะถูกฝ่ายตรงข้ามแย่งนำไปก้าวหนึ่ง

ตอนนี้ดูแล้ว คนที่อยู่ข้างกายของนางนอกจากมู่เฉินและมู่เผิงแล้ว ก็มีเพียงราชครูกับหยวนหยวนใช่แล้ว!

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกายสว่างวาบ ยังมีโห่วอีก!

นางยังมีไพ่ตายเป็นนักสู้ระดับสีทองอีกใบ!

เมื่อคิดได้เช่นนี้ กำลังข้างกายนางก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว

ถ้าหากว่าเจียงหลีจะตามไป…มู่ชิงเกอช้อนตาขึ้นมองเจียงหลี ในใจลอบเอ่ยว่า ‘อาศัยสายเลือดของนาง หากว่ากระตุ้นพลังทั้งหมดออกมาก็จะแข็งแกร่งมาก ถึง แม้ว่าจะพบกับอันตรายอย่างน้อยก็น่าจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้’

เมื่อคิดวางแผนในใจแล้ว ในที่สุดมู่ชิงเกอก็พยักหน้า เอ่ยกับเจียงหลีว่า “เอาเถอะ เจ้าอยากจะไปด้วยก็ไป แต่ว่าห้ามเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด ต้องเชื่อฟังข้า”

“ไม่มีปัญหา!” เจียงหลีพยักหน้า

“คุณชาย ท่านเพิ่งจะกลับมาถึง ทานของว่างก่อนเถอะ” โย่วเหอพูดขึ้นในตอนนี้

มู่ชิงเกอนั่งลงบนเก้าอี้โยกใต้ต้นไม้ทานอาหารว่างร้อนกรุ่นไปหลายชิ้นแล้วค่อยเอ่ยกับโย่วเหอว่า “ตอนนี้สถานการณ์ในลั่วซิงเฉิงนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

“รายงานคุณชาย” โย่วเหอเอ่ย “ตอนนี้กระบวนการฟื้นฟูเมืองของลั่วซิงเฉิงกำลังดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย สัตว์อสูรจอมตะกละก็พ่นศิลาวิญญาณออก มาไม่น้อย ทั้งยังค้นพบสายแร่ศิลาวิญญาณใกล้ๆ ลั่วซิงเฉิงอีก พวกมั่วหยางกำลังทำการลองขุดค้นดู พบว่าเป็นสายแร่ศิลาวิญญาณระดับกลาง หากว่าขุดลงไปลึกอีกไม่แน่ว่าอาจจะมีศิลาวิญญาณระดับสูงก็เป็นได้”

“โอ้?” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกายขึ้นมา ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “สัตว์อสูรจอมตะกละนี่ถือว่าเป็นสมบัติที่ดีชิ้นหนึ่งจริงๆ”

“พวกเราประเมินไว้ว่าอีกสามเดือนข้างหน้า พวกเราก็จะสามารถประกาศถึงการจัดตั้งลั่วซิงเฉิงได้แล้ว ช่วงเวลานี้ เขี้ยวมังกรก็กำลังทำงานร่วมกันกับตระกูลอื่นๆ ชื่อเสียงของเขี้ยวมังกรในโลกของหลิวเค่อก็สูงขึ้นเรื่อยๆ เรื่องที่จะรับสมัครคนนั้น มั่วหยางบอกว่ารออีกสองเดือนก่อน รอจัดระเบียบพื้นฐานของลั่วซิงเฉิงดีแล้วค่อยป่าวประกาศออกไป” โย่วเหอรายงานสถานการณ์ในลั่วซิงเฉิงให้มู่ชิงเกอฟัง

รอจนนางพูดรายงานเสร็จแล้ว เสวี่ยหยาก็กลับมาถึงพอดี ด้านหลังของนางยังมีมู่เฉินและมู่เผิงสองคนตามมาด้วย

“นายน้อย!”

“นายน้อย!”

มู่เฉินและมู่เผิงคำนับมู่ชิงเกอ นัยน์ตาฉายแววตื่นเต้น

มู่ชิงเกอพยักหน้าให้กับพวกเขา แล้วก็เอ่ยกับพวกเขาทั้งสองคนว่า “เดินทางมาไกล ลำบากแล้ว คืนนี้พักผ่อนสักคืน พรุ่งนี้พวกเราก็จะออกเดินทาง เมื่อถึงจุดหมายแล้ว ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องพึ่งพวกเจ้า”

“นายน้อยกล่าวหนักไปแล้ว” มู่เฉินเอ่ย

มู่ชิงเกอลุกขึ้นมาจากเก้าอี้โยก พึมพำเสียงเบาไปประโยคหนึ่งว่า “พรุ่งนี้ก็ต้องไปอีกแล้ว ดูท่ายังคงต้องไปทักทายเสียหน่อย”

เห็นมู่ชิงเกอมาหาตนเองอีกครั้ง ทำให้ใบหน้าของซางซุ่นหวางเผยร่องรอยของความแปลกใจออกมา

“เกอเอ๋อร์เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ซางซุ่นหวางเอ่ยถาม

มู่ชิงเกอเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทางไกล เวลากลับยังไม่ได้กำหนด”

ยังไม่กำหนดเวลากลับงั้นหรือ?

ซางซุ่นหวางขมวดคิ้วขึ้น เอ่ยถามว่า “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่? หากว่าต้องการคนช่วย ขอให้เจ้าเอ่ยปากออกมาได้เลย ถึงแม้ว่าตระกูลซางในตอนนี้จะตกตํ่าแต่ก็ยังพอสามารถส่งคนไปคุ้มครองเจ้าได้อยู่”

“ไม่จำเป็น” มู่ชิงเกอส่ายหน้าปฏิเสธไป “เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของข้า ข้าจะจัดการด้วยตนเอง สาวใช้ในเรือนข้ายังคงอยู่ต่อ ขอให้ประมุขตระกูลช่วยดูแลพวกนางให้ข้าด้วย”

“เจ้าเด็กคนนี้ เมื่อไหร่กันเจ้าถึงจะยอมเรียกข้าว่าตาสักที?” ซางซุ่นหวางเอ่ยอย่างหมดหนทาง

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุกเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ซางซุ่นหวางเดินไปถึงตรงหน้าของนาง มือใหญ่โบกผ่านไป ชั่วขณะนั้นในมือของเขาก็มีเกราะสีเงินชิ้นหนึ่งปรากฎออกมา “นี่เป็นเกราะระดับเทวะที่ข้าหลอมออกมาเมื่อหลายปีมาแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่ยอมที่จะพาคนไปด้วย เช่นนั้นก็นำมันไปด้วยเถอะ สวมเอาไว้ เกราะนี้สามารถป้องกันการโจมตีของพลังระดับสีทองชั้นสามลงไปได้ แม้ว่าจะเป็นระดับพลังสีทองชั้นสามขึ้นไปก็สามารถป้องกันได้สามกระบวนท่า เจ้าสวมมันไว้ ข้าก็จะได้วางใจลงได้หน่อย”

“นี่…” มู่ชิงเกอรู้สึกลังเล

แต่ซางซุ่นหวางกลับผลักเอาเกราะเข้าสู่อ้อมอกของนาง แล้วเอ่ยกับนางว่า “อย่าปฏิเสธเลย ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่หลานสาวของข้า ข้าก็ต้องคิดถึงเรื่องที่เจ้าแบกรับสายเลือดของเทพบรรพบุรุษ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องคิดว่าจะติดค้างอะไรข้า”

คำพูดก็ได้พูดมาจนถึงระดับนี้แล้ว มู่ชิงเกอจึงพยักหน้า แล้วก็เก็บเกราะกลับไป

จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “เรื่องที่ข้าเคยรับปากกับตระกูลซางเอาไว้ก็จะไม่คืนคำเป็นอันขาด หากว่ามีสักวันที่ข้าสามารถเข้าไปในสุสานแห่งเทพมารและหาสิทธิ์ แห่งเทพเจอ ก็จะต้องกระตุ้นสายเลือดตระกูลซางให้ตื่นขึ้นอีกครั้งแน่นอน”

“ตาเชื่อใจเจ้า แต่เจ้าก็อย่าได้กดดันตัวเองจนเกินไป เจ้าอายุยังน้อย ไม่จำเป็นต้องกังวลเร็วเกินไป” ซางซุ่นหวางพยักหน้าเอ่ยออกมา

เมื่อออกมาจากทางซางซุ่นหวางแล้ว มู่ชิงเกอก็เดินไปจนถึงเรือนที่ซางหลันรั่วและมู่เสวี่ยอู่อยู่อย่างไม่รู้สึกตัว

นางยืนอยู่นอกประตูไม่ได้เข้าไปข้างใน เพียงแต่มองเห็นแสงเปลวเทียนที่สว่างลอดออกมาจากภายในห้อง

“ลูกพี่!” ทันใดนั้นก็มีเสียงที่ดูแปลกใจดังขึ้นมา

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ มองไปยังมู่เสวี่ยอู่ที่เดินพุ่งมาหานางอย่างรวดเร็ว

“ลูกพี่ ท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่? รีบเข้าห้องเถอะ” มู่สวี่ยอู่มองเห็นมู่ชิงเกอยืนอยู่นอกเรือนในใจก็เกิดความยินดีขึ้น คิดว่าในที่สุดวันเวลาที่มารดารอคอยก็มาถึงแล้ว

มู่ชิงเกอครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วก็เข้าไปในห้องภายในเรือน

“เสวี่ยอู่ เป็นใครมากัน?”

ภายในห้องดูเหมือนว่าจะกำลังทานข้าว บนโต๊ะมีอาหารวางอยู่สามสี่อย่าง แล้วก็ยังมีถ้วยข้าวสองถ้วย

ในตอนนี้ซางหลันรั่วกำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ในมือถือถ้วยและตะเกียบ

เมื่อมองเห็นมู่ชิงเกอเดินตามมู่เสวี่ยอู่เข้ามา นางก็รีบวางถ้วยและตะเกียบลง ยืนขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เกอเอ๋อร์ เจ้ามาแล้วหรือ?”

พูดจบแล้ว นางก็รู้สึกมึนงง ทักทายอย่างวุ่นวายว่า “เร็ว รีบนั่งลง เจ้าคงยังไม่ทานข้าวใช่ไหม ไม่สู้มาทานกับพวกเราที่นี่เถอะ ดีหรือไม่?”

“เสวี่ยอู่รีบเตรียมถ้วยกับตะเกียบให้พี่สาวของเจ้าเร็ว” นางพูดกับมู่เสวี่ยอู่

มู่เสวี่ยอู่พยักหน้าแล้วหันกายออกไป

มู่ชิงเกอไม่ได้ปฏิเสธ เดินไปข้างโต๊ะแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่าง

ไม่นาน มู่เสวี่ยอู่ก็ถือเอาถ้วยที่ใส่ข้าวไว้แล้วกับตะเกียบ เดินเข้ามาวางลงตรงหน้าของมู่ชิงเกอ ทั้งสามคนนั่งล้อมโต๊ะกลม กลับมาจากหลินชวนในครั้งนี้ มู่ชิงเกอพูดคุยกับมู่ซงมากมาย แต่สำหรับซางหลันรั่วกลับมีความรู้สึกแปลกหน้า ความรู้สึกแปลกหน้านี้ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะเรื่องอะไร แต่เพียงเป็นเพราะว่าพวกนางทั้งสองเป็นคนที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย หากไม่ใช่เพราะว่านางได้รับร่างกายของมู่ชิงเกอมา เกรงว่าก็คงจะไม่ได้รู้จักกับซางหลันรั่วเลย

การทานอาหารเย็นที่มีมู่ชิงเกอเข้าร่วม เป็นการทานกันอย่างเงียบเชียบ

มู่ชิงเกอเคยเป็นทหารในการกินข้าวนี้สามารถกินได้อย่างรวดเร็วโดยไม่กระทบต่อการศึกสงคราม รอจนนางกินข้าวในถ้วยหมดและวางตะเกียบลงแล้ว ซางหลันรั่วและมู่เสวี่ยอู่เพิ่งกินได้แค่ครึ่งเดียว แต่อาหารบนโต๊ะก็ยังเหลืออยู่อีกมาก

เมื่อเห็นนางวางถ้วยและตะเกียบในมือลง ซางหลันรั่วกับมู่เสวี่ยอู่ก็วางถ้วยและตะเกียบในมือของตัวเองลงอย่างไม่รู้สึกตัว

ซางหลันรั่วเอ่ยกับมู่เสวี่ยอู่ว่า “เสวี่ยอู่ไปเติมข้าวให้พี่สาวของเจ้าหน่อย”

“พอแล้ว” มู่เสวี่ยอู่เพิ่งจะขยับ มู่ชิงเกอก็ห้ามไว้

นางเม้มริมฝีปาก มองซางหลันรั่วด้วยสายตาที่เรียบสงบ แล้วค่อยๆ พูดขึ้นว่า “คืนนี้ที่ข้ามาก็เพราะอยากจะบอกว่า พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไกล ทั้งยังไม่ได้กำหนดว่าจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ ท่านพ่ออยู่กับข้าก็ปลอดภัยดีมาก ให้ท่านวางใจได้ ยังมีอีก อี้เฉินอยู่ในหลินชวนก็มีคนมากมายคอยคุ้มครอง ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเขา” พูดจบแล้วนางก็ยืนขึ้นคิดจะจากไป

“เกอเอ๋อร์!” ซางหลันรั่วยืนตาม พร้อมร้องเรียกมู่ชิงเกอเอาไว้

มู่ชิงเกอหยุดฝึเท้าลงแต่ไม่ได้หันกลับไปมอง

ซางหลันรั่วอึกอักเล็กน้อยเอ่ยขึ้นว่า “เดินทางก็ระมัดระวังตัวด้วย ขอให้กลับมาอย่างปลอดภัย”

มู่ชิงเกอหลุบตาลง พยักหน้า แล้วก็ก้าวยาวออกไปจากห้อง แล้วก็เดินออกไปจากเรือนเล็ก

“ท่านแม่ พี่สาวค่อยๆ ที่จะยอมรับท่านแล้ว ท่านก็อย่าได้ปวดใจมากจนเกินไป” หลังจากมู่ชิงเกอไปแล้ว มู่เสวี่ยอู่ก็เดินมาที่ข้างกายซางหลันรั่วแล้วก็พยุงนางให้นั่งลง

ซางหลันรั่วกลับค่อยๆ ส่ายหน้า พูดอย่างเป็นห่วงว่า “นางยอมรับหรือไม่ยอมรับข้านั้น ข้าไม่สนใจ ข้าเพียงแต่เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของนาง หลังจากที่เจ้า เล่าเรื่องของนางในหลินชวนให้ข้าฟัง ข้าก็รู้แล้วว่าในตอนนี้เด็กคนนี้ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา แต่ว่ายิ่งไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาก็จะยิ่งต้องทุกข์ทรมานมากกว่าคนอื่นๆ ข้าก็เพียงแต่เป็นห่วงนาง สงสารนาง…”

“ท่านแม่ ข้าจะพยายามให้มาก ต่อไปจะต้องช่วยแบ่งเบาภาระให้พี่สาว ไม่ให้นางต้องแบกรับความลำบากแต่เพียงคนเดียว” มู่เสวี่ยอู่ตอบไปด้วยนํ้าเสียงที่อึกอัก

“เด็กดี เด็กดี พวกเจ้าล้วนแต่เป็นเด็กดีของแม่” ซางหลันรั่วโอบกอดมู่เสวี่ยอู่ ให้นางพิงบนไหล่ของตนเอง ลูบเบาๆ

มู่ชิงเกอออกจากเรือนเล็กของซางหลันรั่ว เมื่อเดินไปไกลแล้ว ค่อยผ่อนลมหายใจยาวออกมา

ใกล้ชิดกับซางหลันรั่ว…

มู่ชิงเกอยิ้มแล้วส่ายหน้า “ปล่อยเป็นตามธรรมชาติเถอะ”

สะบัดชายเสื้อแล้วนางก็เดินมุ่งหน้าไปยังเรือนเล็กที่ตนเองพัก

เช้าตรู่วันที่สอง มู่ชิงเกอก็นำคนออกเดินทาง

เดินทางตามการนำของราชครู นอกจากเขาแล้ว มู่ชิงเกอยังนำมู่เฉิน มู่เผิง เจียงหลีกับหยวนหยวนไปด้วย ทั้งกลุ่ม เดินทางกันมีหกคน ถือเป็นการเน้นคุณภาพไม่ เน้นจำนวนของจริง

“หานชุ่นอยู่ที่ไหนกันแน่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามออกมาตามทาง

“อยู่อีกช่องว่างหนึ่ง” ราชครูตอบนางเช่นนี้

“นายน้อย ข้าจะต้องเปิดช่องทางระหว่างโลกแห่งยุค

กลางและหานชุ่น อีกทั้งยังต้องรักษาไม่ให้ช่องทางปิด ดังนั้นข้าจึงไม่อาจจะเดินทางเข้าไปในหานชุ่นกับพวกท่านได้ เมื่อถึงข้างในนั้น ก็ต้องอาศัยตัวพวกท่านเองแล้ว! ”

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเคร่งขรึมขึ้น พยักหน้าแล้วก็เอ่ยเสียงเข้มว่า “พูดเช่นนี้ก็แสดงว่า หากศิษย์พี่ของเจ้าคนนั้นหาร่องรอยของหานชุ่นพบ เขาก็จะต้องเปิดช่องทางระหว่างแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารกับหานชุ่นเช่นเดียวกัน และก็ไม่สามารถเข้าไปได้เช่นเดียวกันอย่างนั้นหรือ?”

“ไม่ผิด!” ราชครูพยักหน้า

ทุกคนล้วนแต่มองไปที่เขา เขาจึงอธิบายเพิ่มว่า “หานชุ่น เป็นช่องว่างที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษไม่ได้เป็นของโลกแห่งยุคกลาง และก็ไม่ได้เป็นของแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร ดังนั้น เส้นทางปกติก็เดินทางไปไม่ได้ ข้ากับศิษย์พี่ของข้าสามารถคำนวณหาตำแหน่งของมันออกมาได้ จากนั้นก็ต้องใช้วิธีที่พิเศษเพื่อเปิดการเชื่อมต่อระหว่างสองโลก เมื่อทำเช่นนี้ก็จะสามารถส่งพวกท่านเข้าไปได้ แต่ทว่า…”

เขาลังเลเล็กน้อย

มู่เผิงเอ่ยถามว่า “แต่ทว่าอะไร?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version