Skip to content

พลิกปฐพี 306

ตอนที่ 306

ด่านอารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหก

“เฮ้อ น่าเสียดายแล้ว! หากว่าเจ้าเป็นผู้ชาย เช่นนั้นก็คงเป็นตัวเลือกที่ดีตัวเลือกหนึ่งทีเดียว!” เสียงนั้นเอ่ยขึ้นอย่างเสียดาย

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววหนักอึ้งขมวดคิ้วและอดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่า “ผู้ชายแล้วเป็นอย่างไร ผู้หญิงแล้วเป็นอย่างไร ในโลกนี้ชอบดูถูกผู้หญิง แต่กลับไม่รู้ว่าผู้หญิงก็สามารถแบกรับเรื่องราวต่างๆ ได้เทียบเท่ากับผู้ชายเช่นเดียวกัน เจ้าเกิดมาไม่รู้ได้กี่ปีแล้วแต่กลับยังพูดเช่นนี้ออกมาได้อีก”

ความอดทนของมู่ชิงเกอหมดไปแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายคอยสร้างความลำบากใจให้นางอยู่ตลอดเวลา แม้แต่โอกาสที่จะให้นางทดลองก็ยังไม่ยอมให้ แล้วเหตุใดนางยังต้องเกรงใจด้วย? ดังนั้นเมื่อในใจคิดอยากจะพูดอะไร คิดอยากจะด่าอะไรก็ด่าออกไปเลย

“เจ้าโกรธแล้วอย่างนั้นหรือ?” นางนั้นโกรธมาก แต่เสียงนั้นกลับไม่ได้ถูกยั่วให้โกรธจากการที่นางพูดจาไม่เคารพเลย

“โกรธงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอยิ้มเย็นแล้วเอ่ยอย่างยั่วยุว่า “บางทีเจ้าอาจจะใช้คำว่าโกรธมาอธิบายข้า ก็จะดีกว่าหน่อย”

“เจ้าช่างไม่เหมือนกับคนทั่วไปยิ่งนัก หากว่าเป็นผู้หญิงคนอื่นเป็นอย่างเจ้าเช่นนี้ อาศัยจุดเด่นของผู้หญิงมาขอร้องข้า ให้ข้าดีใจแล้วทำให้เจ้าได้สมปรารถนา แต่ดูเจ้าสิ ด่าว่าข้าไม่หยุด” นํ้าเสียงนั้นพูดดูแคลน

มู่ชิงเกอยิ้มเย็น “หากว่าเจ้าชอบผู้หญิงเจ้ามารยา ข้าก็พูดได้แต่เพียงว่าขอโทษแล้ว”

“เจ้าเด็กน้อย เจ้าก็อย่าได้โกรธเลย ข้าขอถามเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นประมุขตระกูลมู่นั้นจะต้องเผชิญหน้ากับอะไรบ้าง? ข้าเสียดายที่เจ้าเป็นผู้หญิงไม่ใช่เป็นเพราะว่าดูแคลนผู้หญิง แต่เป็นเพราะว่าความรับผิดชอบของตระกูลมู่นั้นหนักหนามาก เจ้าที่เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งคิดจะแบกรับนั้นไม่ง่ายเลย อีกอย่างภาระหนักอึ้งนี้เพียงแค่แบกรับเอาไว้แล้ว เจ้าก็ไม่สามารถวางลงได้อีก หากว่าเจ้าคิดดีแล้ว ข้าก็สามารถให้เจ้าลองดูได้” เสียงอันแก่ชรานั้นค่อยๆ เอ่ยขึ้น

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ เอ่ยว่า “พูดความจริงแล้ว ตระกูลมู่สำหรับข้านั้นเป็นเพียงแค่ความไม่ชัดเจนอันหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่าหากเดินต่อไปเรื่อยๆ แล้วจะเจอกับอะไร แต่สิ่งที่ข้าสามารถแน่ใจได้ก็คือในเมื่อเป็นเส้นทางที่ข้าเลือกแล้ว ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหนข้าก็จะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ อย่างเด็ดขาด แม้จะเป็นเทพหรือมารมาขวางทาง ข้าก็จะฆ่าไม่เว้น!”

“ดี! แค่ความกล้านี้ก็เหนือกว่าผู้ชายทั่วๆ ไปแล้ว เอาเถอะ ข้าจะให้เจ้าลองดูสักตั้ง สามารถนำเอาเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางมาได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ตัวเจ้าเองแล้ว” ใน ที่สุดเสียงนั้นก็ยินยอม

นี่ทำให้นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเผยร่องรอยดีใจออกมา

“เด็กน้อย เจ้ามองเห็นเปลวไฟที่โอบล้อมอยู่รอบตัวเจ้าแล้วหรือไม่? นั่นเรียกว่าเปลวไฟทดสอบใจ จะใช้ทดสอบจิตใจของคน สิ่งสำคัญของเคล็ดวิชาเทวะส่วน กลางก็คือจิตใจแห่งเทพ ดังนั้นหากต้องการเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง เจ้าก็จะต้องผ่านการทดสอบถูกเผาจากเปลวไฟทดสอบใจ ข้าขอเตือนเจ้าไว้หนึ่งประโยคว่า เปลวไฟทดสอบใจนั้นไม่ใช่เปลวไฟธรรมดา ที่มันเผาผลาญไม่ใช่ร่างกายของคนแต่เป็นหัวใจของคน หากว่าเจ้าต้านทานไม่ไหว จุดจบก็คือธาตุไฟเข้าแทรก วิญญาณแตกสลาย เจ้าต้องคิดให้ดีๆ ว่าจะลองหรือไม่ลอง?” เสียงนั้นเอ่ยออกมา

มู่ชิงเกอหันสายตากวาดมองไปยังเปลวไฟที่โอบล้อมรอบกายของตนเอง มุมปากเผยเป็นรอยยิ้มที่แน่ใจออกมา “ไม่จำเป็นต้องคิดแล้ว มาเถอะ”

“ดี ในเมื่อนี่เป็นทางเลือกของเจ้า ข้าก็จะให้เจ้าได้สมปรารถนา”

เมื่อเสียงนั้นพูดจบ มู่ชิงเกอก็รู้สึกในทันทีว่ารอบด้านเปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าตนเองนั้นได้เข้าไปสู่ช่องว่างอีกช่องว่างหนึ่ง รอบด้านเปลวไฟที่เผาไหม้ยังคงเป็นเปลวไฟทดสอบใจสีนํ้าเงินที่ส่องแสงสีทองออกมาไม่หยุด

มู่ชิงเกอยืนอยู่ที่เดิมแล้วก็มองไปรอบด้าน

ในตอนนี้ เสียงนั้นก็ดังลงมาจากฟ้า เอ่ยกับนางว่า “เริ่มต้น ณ บัดนี้ สิ่งที่เจ้าจะต้องเผชิญหน้าก็คือมารในใจของเจ้า อารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหก หากว่าเจ้า สามารถจัดการได้ทั้งหมดก็จะสามารถนำเอาเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางไปได้”

เสียงนี้ค่อยๆ กระจายไปในอากาศ ส่วนตรงหน้าของมู่ชิงเกอก็ปรากฎร่างของตัวเองขึ้นมาหลายร่าง ร่างเหล่านี้ล้วนแต่มีอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไปโอบล้อมนางเอาไว้…

เสียงร้องไห้ เสียงหัวเราะ ตื่นตระหนก ความโกรธ กังวล คิดถึง ความเศร้า อารมณ์ต่างๆ พุ่งออกมาจากร่างกายของนางเข้ามาผสมผสานกับจิตวิญญาณของนางทำให้อารมณ์ของตัวนางเองตกอยู่ท่ามกลางพายุของอารมณ์ทั้งเจ็ด

ในวินาทีนี้เอง หัวใจของมู่ชิงเกอก็รู้สึกเจ็บปวดจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ท่ามกลางอารมณ์ทั้งเจ็ดที่วนเวียนกลับไปกลับมา บางครั้งก็ยินดีจนแทบบ้า บางครั้งก็ปวดใจ บางครั้งก็โมโหคิดอยากจะฆ่าคนทั้งโลกทิ้ง และก็ยังมี ความรู้สึกคิดถึงอารมณ์ต่างๆ สับสนปนเปกันไปมายากที่จะควบคุม

ภายในถํ้านํ้าแข็ง ใบหน้าของมู่ชิงเกอเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว เปลวไฟทดสอบใจที่โอบล้อมรอบกายของนางก็แผดเผาเร่าร้อนมากยิ่งขึ้น

ตรงด้านหน้าของนางไม่ไกล ควันสายหนึ่งพัวพันกันออกมากลายเป็นเงาร่างที่โปร่งใสร่างหนึ่ง

เงาร่างนี้ดูองอาจกล้าหาญหว่างคิ้วก็แฝงด้วยอารมณ์ที่เร่าร้อน

“เปลวไฟทดสอบใจนี้ไม่ใช่อะไรที่จะรับได้ง่ายๆ บาดแผลภายนอกจะสู้บาดแผลภายในใจได้อย่างไร?” เงาร่างนั้นมองเห็นท่าทางที่ดูเจ็บปวดของมู่ชิงเกอแล้วก็ ค่อยๆ เอ่ยปากออกมา ที่แท้ก็เป็นเจ้าของของเสียงแก่ชรานั้นเอง

เพียงแต่ว่าเสียงแก่ชรานั้นดูเหมือนว่าจะไม่เข้ากลับร่างกายของเขาในตอนนี้

การปรากฎตัวของเขานั้นมู่ชิงเกอไม่ได้รู้สึกถึงเลย

ในตอนนี้นางนั่งสมาธิอยู่ที่เดิม ดำดิ่งลึกเข้าไปในจิตใจ อารมณ์ทั้งเจ็ดที่โอบล้อมตัวนางคอยรบกวนไม่หยุด คิดจะทำลายการป้องกันในใจของนาง แล้วลากนางเข้าไปภายในอารมณ์ทั้งเจ็ดนั้น

‘จิตใจสงบอย่าหวั่นไหว’ มู่ชิงเกอท่องคำนี้ในใจ พยายามที่จะสงบอารมณ์ของตนเอง

ภายใต้การเผาของเปลวไฟทดสอบใจ อารมณ์ทั้งเจ็ดนั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทำได้เพียงแค่ต้องทำลาย การทำลายอารมณ์ทั้งเจ็ดก็คือไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ทั้งเจ็ดถึงจะสามารถทำสำเร็จได้

สีหน้าของมู่ชิงเกอค่อยๆ อ่อนลงมา เสียงของอารมณ์ทั้งเจ็ดก็ดุจดังสายลมพัดผ่านหูไป ไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้แม้แต่เพียงสักนิด อารมณ์ยินดี อารมณ์โกรธ อารมณ์เป็นห่วง อารมณ์คิดถึง อารมณ์เศร้า อารมณ์หวาดกลัว อารมณ์ตกตะลึงนั้นรบกวนคนทุกคนบนโลก ขอเพียงแค่เป็นคนล้วนแต่ต้องมีบางเวลาที่ถูกอารมณ์ทั้งเจ็ดนี้ควบคุม

ความสามารถในการควบคุมของตนเองของมู่ชิงเกอนั้นแข็งแกร่งมาก ในชีวิตก่อนนางเป็นทหารก็ต้องควบคุมจิตใจของตนเอง จะไม่เอาอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปในงานเป็นอันขาด

ในโลกนี้การฝึกฝนในแต่ละครั้งของนาง ในขณะที่เพิ่มพูนความสามารถของพลัง ก็ได้ฝึกฝนจิตใจไปด้วย

มู่ชิงเกอที่ถูกเปลวไฟโอบล้อมอยู่นั้น ท่าทางค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงบลง หว่างคิ้วก็กลับคืนสู่สภาพปกติ

เงาร่างที่โปร่งใสนั้น พูดอย่างแปลกใจว่า “ถึงกับผ่านด่านอารมณ์ทั้งเจ็ดไปได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้เลยงั้นหรือ? เจ้าเด็กคนนี้ถือว่าข้ามองเจ้าพลาดไป! ต่อไปคือ ด้านความปรารถนาทั้งหกหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวังเล่า”

ไม่ถูกรบกวนด้วยอารมณ์ทั้งเจ็ดและไม่ถูกอารมณ์ทั้งเจ็ดกักขังเอาไว้แล้ว ในตอนที่มู่ชิงเกอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งนั้น ก็มองไม่เห็นร่างตัวนางเองทั้งเจ็ดแล้ว

แต่นี่ยังไม่ใช่บทสรุป

อารมณ์ทั้งเจ็ดถอยไปแล้ว ความปรารถนาทั้งหกก็เริ่มต้นขึ้น

“ความปรารถนาทั้งหกของคนผ่านดวงตา หู จมูก ลิ้น ร่างกาย ความคิด พูดกันว่าเกี่ยวกับการมองเห็น การได้ ยิน การได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส การได้สัมผัสและความ ปรารถนา ของเหล่านี้จะทดสอบอย่างไรกัน?” มู่ชิงเกอพึมพำ

“เกอเอ๋อร์…”

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์…”

“ชิงเกอ…”

“คุณชาย…”

“นายน้อย…”

“ลูกพี่…”

“รีบมาเร็ว…”

เสียงที่ดูคุ้นเคยหลายสายดังขึ้นในหูของมู่ชิงเกอ นางหันหน้ามองไปตามเสียง ก็พบเห็นบรรยากาศด้านนอกไกลออกไป

ภายในโลกแห่งนั้นดูเหมือนจะมีพลังที่ทำให้นางปล่อยวาง ทำให้ความคิดถึงในใจของนางฟุ้งซ่านขึ้นมาอย่างไม่สิ้นสุด อีกอย่าง ในที่แห่งนั้น มีคนที่สำคัญที่สุดในใจของนางยืนอยู่ด้วย

“ท่านปู่ ท่านอา ซือมั่ว เจียงหลี หยวนหยวน…” แล้วก็ยังมีองครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งห้าร้อยนาย ทุกคนที่นางใส่ใจ ล้วนปรากฎตัวอยู่ที่นั้น ที่นั้นงดงามมาก งดงามจนทำให้คนยากที่จะอธิบาย เพียงแต่คิดที่จะเข้าไปในนั้นไม่อยากจะออกมาอีกเลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังมีกลิ่นหอมบางเบาที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจคน

“นี่เป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่?” มู่ชิงเกอถามตัวเอง

ทันใดนั้น นางก็พบว่าตัวเองไปปรากฎตัวอยู่ที่นั้นอย่าง ไม่รู้สึกตัวว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งในมือก็ยังถือกาเหล้าอยู่กาหนึ่ง

กลิ่นหอมของเหล้าค่อยๆ ลอยออกมา ทำให้คนมึนเมาไปแล้วสามส่วน

“เหล้าดี!” มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะพูดออกมา นางมองไปรอบด้าน ความเงียบสงบโดยรอบทำให้นาง รู้สึกสบายใจ

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เข้ามาสิ”

ทันใดนั้นเสียงของซือมั่วก็ลอยเข้ามา ทำให้แผ่นหลังของนางแข็งทื่อ เมื่อหันกายมองไป ก็เห็นว่าสุดที่รักของนางนั้นยืนอยู่ใกล้เพียงแค่ระยะหนึ่งนิ้วมือ บนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขามีรอยยิ้มบางเบาทำให้คนร้สึกอบอุ่นและคิดถึง

“อามั่ว?” มู่ชิงเกอร้องเรียกออกไปอย่างไม่กล้าที่จะเชื่อตัวเอง

ซือมั่วยื่นมือออกไปที่นาง “มา”

เสียงนี้ดูเหมือนว่าจะมีเสน่ห์ดึงดูด ทำให้นางเดินเข้าไปอย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้วางมือไว้บนฝ่ามือของเขา

ร้อน!

สัมผัสที่ดูเป็นจริงทำให้ในใจของมู่ชิงเกอยิ่งหลงใหลขึ้นเรื่อยๆ

ดูเหมือนว่านางจะลืมไปแล้วว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ในหัวนั้นมีเสียงหนึ่งที่คอยบอกนางอยู่ตลอดว่าทุกอย่าง ที่อยู่เบื้องหน้านั้นเป็นความจริง ทุกครั้งที่นางคิดหาเหตุผลว่าเหตุใดทุกสิ่งที่นางต้องการจึงมาปรากฎอยู่ที่นี่ ก็จะกลับกลายเป็นความคิดที่ว่าตัวเองนั้นควรอยู่ที่นี่ต่อไป

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้าคิดถึงข้าหรือไม่?” นิ้วมือเรียวยาวของซือมั่วปัดผ่านแก้มของนาง วาดผ่านคางซ้อนเอาใบหน้าของนางขึ้นมา

นางมองเขา หว่างคิ้วที่ชัดเจนนั้นดูเป็นจริงจนไร้วิธีที่จะต้านทาน

“คิดถึง” นางให้คำตอบออกไปอย่างซื่อสัตย์กับหัวใจของตัวเอง

ซือมั่วเผยรอยยิ้มที่ทำให้คนจิตใจหวั่นไหวออกมาแล้ว โอบกอดนางเข้ามาไว้ในอ้อมอก จากนั้นก็ใช้น้ำเสียงที่ดูอบอุ่นไร้ใดปานเอ่ยกับนางว่า “ข้าก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน คิดถึงมากๆ พวกเราไม่ต้องแยกจากกันไปอีกแล้วดีหรือไม่?”

“ดี” มู่ชิงเกอพยักหน้า

สามารถอยู่ร่วมกันกับซือมั่วไปตลอด นี่เป็นแรงผลักดันให้นางก้าวต่อไปข้างหน้าไม่หยุดมิใช่หรือ?

ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะได้ทำตามความปรารถนาของนางแล้ว ความรู้สึกสมปรารถนาเช่นนี้ทำให้นางไม่ยินยอมที่จะปฏิเสธ

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์…” ภายในดวงตาสีอำพันของซือมั่วเผยประกายที่ทำให้คนหวั่นใจ เขาค่อยๆ ก้มหน้าลงมา จุมพิตลงไปบนริมฝีปากของมู่ชิงเกอ

ภายในถํ้านํ้าแข็ง เงาร่างที่โปร่งแสงนั้นมองมู่ชิงเกอที่กำลังดูผ่อนคลายสบายใจแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น เขาพึมพำเอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้คงไม่ใช่ว่าถูกกักขังอยู่ในความปรารถนาทั้งหกจนออกมาไม่ได้แล้วใช่หรือไม่? เจ้าต้องรู้ว่าความปรารถนาทั้งหกนั้นหมายถึงความหวังของเจ้า ยิ่งในใจของเจ้าคิดอยากจะได้อะไรมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งถูกสิ่งนั้นกักขังเอาไว้ หากว่าเจ้ามองไม่ทะลุ เกรงว่าคงจะต้องติดอยู่ในที่นั้นไปตลอดชีวิตแล้ว”

เมื่อพูดจบแล้ว เขาก็ถอนหายใจเบาๆ

นัยน์ตาค่อยๆ เผยร่องรอยของความเจ็บปวดออกมา ดูเหมือนว่าจะกำลังคิดถึงเรื่องราวเก่าก่อน เขาพึมพำเอ่ยว่า “พูดเสียดี อารมณ์ทั้งเจ็ดและความปรารถนาทั้งหกนี้จะเอาชนะได้ง่ายๆ งั้นหรือ? มู่สวินเอ่ยมู่สวิน แม้แต่ตัวเจ้าเองก็ยังต้องจมอยู่ในนั้นอยู่ตลอดมิใช่หรือ? หากว่าสามารถฟื้นตื่นได้เร็วกว่านี้ก็คงจะไม่พลาดโอกาสที่จะได้ร่วมเป็นร่วมตายกับคนในตระกูลแล้ว ไม่ต้องมาอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายคอยเฝ้าอยู่ที่นี่มาถึงหมื่นปีหรอก”

ในดวงตาของเขาเผยความเจ็บปวดที่ไม่อาจจะลืมเลือนออกมา

ใครก็ไม่อาจรูได้ว่าเขานั้นต้องแบกความผิดบาปในหัวใจมากแค่ไหนมาคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ เพียงเพื่อรอคอยความหวังเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลมู่สายนั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version