Skip to content

พลิกปฐพี 322

ตอนที่ 322

บาดแผลในใจ มีเจ้าอยู่นั้นดีจริงๆ!

ภายในเรือนมีขวดเปล่าหลายขวดถูกทิ้งระเกะระกะอยู่บนพื้น

กลิ่นหอมของสุราคลุ้งไปทั่วทั้งเรือนหลังเล็ก

นอกเรือนหลังเล็ก มีหมอกสีดำโปร่งใสชั้นบางๆ ปิดกั้นการมองเห็นจากโลกภายนอก แล้วก็ป้องกันไม่ให้มีเสียงหลุดลอดออกไป เพื่อเว้นช่องว่างให้มู่ชิงเกอได้ปล่อยตัวอย่างสบายใจ

ใต้หลังคาไม่ไกลจากต้นไม้ใหญ่ บนนั้นมีคนนั่งอยู่สองคน

หลังของซือมั่วพิงกับเสาใต้หลังคา ส่วนมู่ชิงเกอก็พิงอยู่กับอกของเขา มือเขย่าขวดสุรา ภายในนั้นมีเสียงนํ้าสุราไหวกระเพื่อมดังออกมา ในมือของซือมั่ว ก็ถือขวดสุราขวดหนึ่งเช่นเดียวกัน เพียงแต่เขากลับดื่มน้อยมาก มู่ชิงเกอที่อยู่ภายในอ้อมอกดูเงียบลงหน่อยแล้ว นางพิงอกซือมั่ว เกิดความรู้สึกสบายใจขึ้นมา

แขนอันไร้เรี่ยวแรงยกขวดสุราขึ้น เทสุราสีใสลงมา รสชาติร้อนแรงของสุราไหลลงมาในปากของนาง

มู่ชิงเกอเงยหน้า อ้าปากรับนํ้าสุราที่เผ็ดร้อน ดูเหมือนว่าสุราเหล่านี้ได้เผาไหม้ร่างกายและจิตวิญญาณของนางไป แต่กลับไม่อาจจะเติมเต็มบาดแผลในใจของนางได้

นางหลับตาลง นํ้าตาที่อดกลั้นไม่อยู่ไหลออกมาจากหางตาผสมไปกับนํ้าสุรา ทำให้ชุดของนางเปียกปอน

จนถึงกระทั่งขวดสุราไม่มีนํ้าสุราไหลออกมาแล้ว นางถึงได้โยนขวดเปล่าไปกลางเรือน เกิดเสียงของตกดังขึ้นมา

จากนั้น นางก็หยิบขวดสุราที่ยังไม่ทันได้เปิดมาจากชั้นวาง เปิดจุกด้านบนออก ใช้สองมือโอบมันส่งมายังริมฝีปาก ลิ้มรสชาติต่อไป

ซือมั่วนั่งเงียบๆ จับตามองดูนาง ไม่ได้รบกวน และก็ไม่ได้ห้ามปราม ปล่อยให้นางทำตามใจ

เพล้ง!

ดื่มสุราหมดไปอีกขวด ขวดสุราที่ถูกโยนตกลงไปบนขวดสุราที่ตกอยู่บนพื้นก่อนหน้า ทำให้แตกกระจายเต็มพื้น

นอกเรือนหลังเล็ก โย่วเหอเฝ้าอยู่ทางเข้าอย่างเป็นกังวล นางมองไม่เห็นสถานการณ์ภายใน ทำได้เพียงแต่ปลอบใจตนเอง ว่ามีนายท่านมั่วอยู่ คุณชายจะไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน

นางเช็ดนํ้าตาที่หางตา ปวดใจแทนคุณชาย

เมื่อวาน คุณชายกลับมาทั้งอย่างนั้น นางไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าไป

วันนี้นางทำได้เพียงแต่เตรียมอาหารคาวหวานมาให้ แต่คุณชายก็ไม่รู้สึกอยากอาหาร

ฮ่องเต้หญิงเจียงไม่ได้กลับมาด้วย หยวนหยวนก็ไม่ได้กลับมา ถึงแม้ว่าคุณชายจะไม่ได้พูดอะไร แต่นางก็พอจะเดาอะไรออกได้บ้างแล้ว ยังมีอีกอย่างคือปลอกนิ้วที่เคยอยู่บนนิ้วขวาของคุณชายก็ไม่มีแล้ว

โย่วเหอพนมมือเข้าหากัน วางไว้ตรงด้านหน้าหน้าอก เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ขอพรเงียบๆ ว่า “สวรรค์ ขอร้องท่านอย่าได้ทรมานคุณชายเลย นางได้รับความเจ็บ ปวดมามากพอแล้ว หากว่าท่านคิดอยากจะทรมานใครจริงๆ ก็ทรมานข้าเถอะ…”

มู่ชิงเกอทิ้งขวดสุราลงไปอีกขวด ครั้งนี้นางไม่ได้หยิบขวดสุราขึ้นมาอีก เพียงแต่พิงไปกับอ้อมอกของซือมั่ว ปวดใจอย่างเงียบๆ

“ซือมั่ว ข้าคงจะไม่อาจลืมไปได้ตลอดชีวิต พริบตาที่หยวนหยวนมาบังอยู่ด้านหน้าของข้านั้น เขาบอกว่าจะปกป้องข้า ไม่เพียงแต่พูดแค่ครั้งเดียว แต่ว่าทุกๆ ครั้งเขาก็ล้วนแต่พูดเช่นนี้ ข้าคิดเพียงแต่ว่าเขาล้อเล่นเท่านั้น แต่ว่า…,” มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปาก ในใจรู้สึกเจ็บปวด ทำให้นางพูดต่อไปไม่ไหว

เกรงว่าคงไม่มีใครที่จะสามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ปรากฎขึ้นในนัยน์ตานางในตอนที่หยวนหยวนเข้าขวาง เพื่อปกป้องนางและสุดท้ายก็ได้พุ่งเข้ามาในอ้อมอกนางและกลายเป็นชุดเกราะได้ ความโกรธเกรี้ยวนั้นดุจดั่งจะส่งความอาฆาตไอสังหารพุ่งขึ้นไปสู่ฟากฟ้า

ราชครูบอกว่านี่เป็นเคราะห์ครั้งใหญ่ของนาง

ทว่า จากที่สมควรจะเป็นนางที่ต้องตาย กลับกลายเป็นหยวนหยวนและเจียงหลีที่ช่วยนางขวางไว้

นางเสียใจ เสียใจที่ไม่ห้ามปรามความดื้อดึงของเจียงหลีจนยอมพานางไปด้วย จนตอนนี้ทำให้นางหายสาบสูญ ไม่รู้ว่าตกไปอยู่ยังโลกใบไหน

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ การปกป้องเจ้านั้นเป็นความปรารถนาสูงสุดในใจของหยวนหยวน ตอนนี้เขาก็ได้สมปรารถนาแล้ว ทั้งเขาก็คงไม่คาดหวังให้เจ้าโทษตัวเอง รวมถึงเจียงหลี ภายภาคหน้าเมื่อมีโอกาส ข้าจะไปหานางเป็นเพื่อนเจ้า แม้ว่าจะต้องเดินทางไปทั่วโลกทั้งสามพันใบ ข้าก็รับรองว่าจะช่วยเจ้าหาให้พบ ดีหรือไม่?” ซือมั่วปลอบโยนเบาๆ

เขาไม่ค่อยรู้จักการปลอบใจคนมากเท่าไหร่นัก แต่กลับรู้ว่าในเวลานี้เขาต้องพูดอะไรสักอย่างออกไป

ท่าทางนี้ของมู่ชิงเกอทำให้เขาปวดใจเช่นเดียวกัน

ภาระที่มู่ชิงเกอแบกเอาไว้บนบ่าทำให้นางลืมวิธีการที่จะระบายความอ่อนแอในหัวใจออกมา ทำให้นางไม่อาจทำดั่งเช่นผู้หญิงทั่วๆ ไปที่ร้องไห้ฟูมฟายระบายความเศร้าโศกจากภายใน

แต่กลับเป็นเพราะเช่นนี้ถึงได้ทำให้คนรู้สึกปวดใจสงสาร เจ็บปวดจนอยากจะตามไปจับทุกๆ คนที่ทำร้ายนางมาทรมาน ให้พวกเขาทุกคนล้วนแต่จะอยู่ก็ไม่ได้จะตายก็ไม่ได้!

ในนัยน์ตาสีอำพันของซือมั่ว เผยร่องรอยของไอสังหารอันเข้มข้นออกมาสายหนึ่ง เขารู้สึกเสียใจแล้ว เสียใจที่ไม่น่าปล่อยมู่เทียนอินไปง่ายๆ เช่นนั้น น่าจะทรมานเขาสักหน่อย

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมอกของซือมั่ว เอ่ยกับเขาว่า “อามั่ว ช่วยข้าสักเรื่องหนึ่งสิ”

ซือมั่วไม่แม้แต่จะครุ่นคิด พยักหน้าไป “ได้สิ”

เพียงแต่มู่ชิงเกอพูด อย่าว่าแต่เรื่องเดียวเลย แม้ว่าจะ เป็นสิบเรื่อง ร้อยเรื่อง พันเรื่อง เขาก็ล้วนแต่จะตกลงโดยไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วเลยสักเรื่อง

มู่ชิงเกอมองดูเขา นัยน์ตาสดใสสะท้อนภาพเงาร่างของเขา “ข้ารู้ว่าเจ้าก็อยู่ในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร ดังนั้น ช่วยข้าจับตาดูมู่เทียนอินที หาร่องรอยของเขา อย่าให้เขาตายในเงื้อมมือของคนอื่นได้”

ชีวิตของมู่เทียนอิน นางจะไปเอามาด้วยตนเอง!

“ได้!” ซือมั่วพยักหน้าตอบตกลง

“ขอบคุณมาก” มู่ชิงเกอเข้าไปแอบอิงกับอ้อมอกของเขาอีกครั้งพร้อมพูดออกมา

ปลายนิ้วมือเรียวยาวของซือมั่วม้วนเล่นไปบนผมของนาง กระซิบพูดกับนางว่า “ระหว่างข้ากับเจ้านั้นไม่ต้องเอ่ยคำว่าขอบคุณ”

มู่ชิงเกอค่อยๆ หลับตาลง พยักหน้า

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่สู้ให้ข้าส่งกู่หยาและกู่เย่มาคุ้มครองเจ้าดีไหม?” เรื่องในครั้งนี้ทำให้เขาตกใจมาก เขาแทบจะไม่กล้าคิดเลยว่า หากเขามาช้าไปหนึ่งก้าวแล้วมู่ชิงเกอจะเป็นอย่างไร ดังนั้นวางคนสนิทไว้ข้างกายนาง เขาถึงจะสามารถวางใจลงได้

ด้วยกลัวว่ามู่ชิงเกอจะปฏิเสธ เขาก็พูดขึ้นมาอีกว่า “หากไม่ชอบให้พวกเขาอยู่ข้างกาย งั้นเจ้าก็ไปกับข้า ให้ข้าปกป้องเจ้าเอง”

เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขา ให้เขาปกป้องเองถึงจะสบายใจมากที่สุด

แต่ว่ามู่ชิงเกอกลับฉีกยิ้มออกมา ส่ายหน้าปฏิเสธ “หากว่าปกป้องข้าดีเกินไปแล้วข้าจะมีการพัฒนาได้อย่างไร? วางใจเถอะ เรื่องแบบนี้จะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว” นางจะไม่ยอมให้ใครต้องมาเสียสละเพื่อนางอีกแล้ว นางจะเพิ่มพูนพลังเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม!

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์”…” ซือมั่วขมวดคิ้วยังคิดที่จะพูดโน้มน้าวใจ

แต่ว่ามู่ชิงเกอกลับยืดตัวออกมาจากอ้อมอกของเขา ยืนขึ้นแล้วเดินไปกลางเรือน

แสงสีแดงสว่างวาบขึ้นบนตัวของนาง ชุดเกราะสีแดงงดงามอันหนึ่งปรากฎขึ้นบนร่างของนาง ชุดเกราะอันนี้ดูเหมือนว่าเกิดมาเพื่อมู่ชิงเกอ มีเพียงแต่นางเท่านั้นที่จะสวมมันได้ดูดีขนาดนี้

ซือมั่วมองไปยังชุดเกราะบนตัวของนาง ดวงตาหรี่เล็กลง ไม่ได้พูดอะไรอีก

มู่ชิงเกอกางแขนทั้งสองข้างออก เอ่ยกับซือมั่วว่า “นี่เป็นชุดเกราะที่หยวนหยวนมอบให้ข้าเป็นครั้งสุดท้าย งดงามเหมือนดั่งตัวเขา อีกอย่างในตอนนี้ข้าพบว่าพญาเพลิงที่ถูกหยวนหยวนกลืนลงไปนั้น ข้าล้วนแต่สามารถควบคุมได้”

ซือมั่วก็ยืนขึ้นมาด้วย เดินไปข้างกายของมู่ชิงเกอเงียบๆ ไม่พูดจา

ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาไปถึงนั้น ชุดเกราะนี้ได้ถูกเก็บเอาไว้ในร่างกายของมู่ชิงเกอแล้ว เขาจึงมองไม่เห็น มาตอนนี้ได้ชมดู ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่

เขายืนอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ ยื่นปลายนิ้วออกไปสัมผัสกับหว่างคิ้วของนาง

การสัมผัสของซือมั่วนั้นมู่ชิงเกอไม่ได้ขัดขืน

ทันใดนั้น ซือมั่วก็ถอนมือกลับ มองไปยังมู่ชิงเกอ นัยน์ตาสีอำพันฉายแวววาววาบ

“เป็นอะไรไป?” สีหน้าของมู่ชิงเกอดูขรึมขึ้น ในใจรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ

ทันใดนั้นซือมั่วก็หัวเราะขึ้นมา เขาพูดกับมู่ชิงเกอว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ข้ามีข่าวสองเรื่องจะบอกเจ้า เรื่องแรกก็คือเพราะครั้งนี้เจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงจนเกิดราก วิญญาณเพลิงขึ้น และก็เพราะเป็นเช่นนี้เจ้าถึงได้สามารถควบคุมพญาเพลิงต่อได้”

รากวิญญาณเพลิง!

มู่ชิงเกอเบิกดวงตากว้างขึ้น

“ส่วนอย่างที่สอง…ที่ข้าจะบอกเจ้าก็คือ บางทีอาจจะมีทางช่วยหยวนหยวนได้” ซือมั่วพูดข่าวคราวที่ทำให้มู่ชิงเกอตกตะลึงออกมา

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ? ยังมีทางช่วยหยวนหยวนได้อย่างนั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเสียกิริยาคว้าจับแขนของซือมั่วออกแรงเขย่า

ถ้าหากว่ายังมีหนทางที่จะช่วยหยวนหยวนได้ ไม่ว่าจะต้องแลกเปลี่ยนกับอะไร นางก็จะต้องช่วยเขากลับมาให้ได้!

“ไม่ผิด” ซือมั่วพยักหน้า เขาพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ข้าเพิ่งจะสำรวจดู พบว่าหยวนหยวนยังมีสติที่ยังไม่สลายไปอยู่สายหนึ่ง ซ่อนอยู่ในจิตสำนึกของเจ้า เพียงเพราะว่าได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงจนเกินไป จึงตกอยู่ในภาวะหลับลึก ถ้าหากว่าสามารถมอบร่างกายใหม่ให้เขาได้ แล้วก็ใช้พลังจิตคอยเพาะเลี้ยงทุกวันทุกคืน บางทีอาจจะมีสักวันที่เขาสามารถขึ้นตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง”

“ร่างกายใหม่งั้นหรือ?” เมื่อได้ยินว่าหยวนหยวนยังมีสติเหลืออยู่ มู่ชิงเกอก็จมเข้าไปในความคิดที่จะช่วยเหลือเขาในทันที

ซือมั่วเอ่ยเตือนว่า “ทวนหลิงหลงของเจ้าไม่ใช่ว่าหักแล้วมิใช่หรือ? มันเป็นยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะมาตั้งนาน ก็สมควรที่จะเลื่อนระดับขึ้นแล้ว”

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกายขึ้น ชั่วขณะนั้นก็เข้าใจในความหมายของซือมั่ว

บนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร มู่เทียนอินถูกแบกมาที่ค่ายใหญ่ที่เหลืออยู่ของตระกูลมู่ มีอาจารย์ปรุงยาหลายคนกำลังคอยรักษาบาดแผลให้เขา

วุ่นวายกันอยู่นาน อาจารย์ปรุงยาถึงได้เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เดินไปข้างกายของคนชราคนหนึ่งแล้วก็เอ่ยด้วย ความเคารพว่า “ผู้เฝ้ามอง นายน้อยได้รับบาดเจ็บไม่

เบา เกรงว่าภายในระยะยาวนี้จะไม่อาจฝึกปรือได้อีก’’

ประโยคนี้ทำให้คนชราคนนั้นขมวดคิ้วแน่นขึ้น

อาจารย์ปรุงยาพูดต่อไปอีกว่า “ยังมี แขนที่ขาดไปของนายน้อย พวกเราได้หาของทดแทนมาต่อแล้ว เพียงแต่ว่า ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ของตนเอง เกรงว่าในตอนที่ใช้งานขึ้นมาก็จะไม่คล่องสักเท่าไหร่ เพียงแต่รอหลังจากนายน้อยตื่นขึ้นมาแล้ว ใช้พลังจิตเพาะเลี้ยงทุกวัน ถึงจะค่อยๆ ผสาน”

พูดมาจนถึงตรงนี้ เขาก็ลอบมองดูสีหน้าของคนชราคนนั้น เห็นเขานิ่งเงียบไม่พูดจา และก็ไม่ได้เกิดความโมโหขึ้น ก็ค่อยพูดต่อไปว่า “พวกเรายังพบว่า ภายในร่างกายของนายน้อยนั้นมีกลิ่นอายของมารหลงเหลืออยู่ ไม่รู้ว่าเขาได้ไปพบเจอคนของเผ่ามารมาหรือไม่”

“กลิ่นอายของมารงั้นหรือ?” ในที่สุดคนชราคนนั้นก็เอ่ยปากออกมา

“ใช่แล้ว เป็นกลิ่นอายของมาร กลิ่นอายของมารเหล่านั้นคอยทำร้ายร่างกายของนายน้อยไม่หยุด ขัดขวางชีพจรของเขา และก็เป็นเพราะเหตุนี้เขาถึงฝึกปรือต่อไม่ ได้ อีกอย่างก่อนหน้านี้นายน้อยได้ใช้ยาเพิ่มพลังฝึกปรือ และดูเหมือนว่าจะใช้อาคมไปด้วย ดังนั้นพลังสะท้อนกลับหลายอย่างจึงทบเข้าด้วยกัน เกรงว่า…” อาจารย์ปรุงยาพูดอย่างลังเล

“เกรงว่าอะไร?” คนชราคนนั้นเอ่ยปากซักไซ้

อาจารย์ปรุงยากัดฟันแล้วถึงได้ตอบว่า “เกรงว่าหลังจากที่นายน้อยฟื้นคืนเป็นปกติแล้ว พรสวรรค์ของเขาจะได้รับผลกระทบ”

นัยน์ตาของคนชราคนนั้นดูหนักอึ้งขึ้น ท่าทางที่ดูครุ่นคิดนั้น ทำให้คนมองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

ครู่หนึ่ง เขาถึงได้เอ่ยว่า “พวกเจ้าถอยออกไปเถอะ”

“ขอรับ ผู้เฝ้ามอง” อาจารย์ปรุงยาโค้งกายถอยหลังออกไป

ไม่นาน ทุกคนที่อยู่ล้อมร่างกายของมู่เทียนอินก็ทยอยถอยออกไปหมด ไม่เหลือสักคน

ผู้เฝ้ามองถึงได้ค่อยๆ เดินมาถึงตรงหน้าของเขา ก้มลงมองมู่เทียนอินที่กำลังสลบอยู่บนเตียง เส้นแสงตกลงบนตัวของผู้เฝ้ามอง ทำให้ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสว่างจ้าขึ้นมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version