Skip to content

พลิกปฐพี 321

ตอนที่ 321

ข้าก็คืออาจารย์ปรุงยาระดับเทวะ

ซางซุ่นหวางรับเอาขวดโอสถจากมือของซางหลันรั่วมาเปิดออกดู แล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึงเอ่ยว่า “ล้วนแต่เป็นโอสถระดับเทวะ!”

ล้วนแต่เป็นโอสถระดับเทวะ!

คำพูดประโยคนี้ของซางซุ่นหวางไม่เพียงทำให้ซางหลันรั่วตกตะลึง ยังทำให้มู่เสวี่ยอู่ตกตะลึงตามไปด้วย

โอสถระดับเทวะ! นี่ไม่ใช่สิ่งของที่มีขายตามตลาดทั่วไป

ที่ภาคตะวันตก หากนำโอสถระดับเทวะเม็ดหนึ่งไปประมูล อย่างน้อยก็น่าจะประมูลได้มากกว่าหมื่นศิลาวิญญาณระดับกลาง ที่สำคัญที่สุดก็คือยังเกิด เหตุการณ์ขาดสินค้าอยู่เป็นประจำ

แต่มู่ชิงเกอนั้นเอาออกมาได้อย่างไรกัน?

เม็ดที่ให้ซางหลันรั่วกินในตอนก่อนหน้านั้น ก็นับว่านางโชคดีมากแล้วที่ได้รับโอสถระดับเทวะเม็ดนั้นมา แล้วหนึ่งขวดนี้ล่ะ?

หนึ่งขวดนี้จะอธิบายอย่างไร?

หรือว่านางโชคดีถึงขนาดที่ว่าแค่ยกมือส่งๆ ก็ได้โอสถระดับเทวะมาขวดหนึ่งงั้นหรือ?

โดยเฉพาะอย่างยิ่งซางหลันรั่ว เม็ดเมื่อครู่ที่กินลงไปก็ทำให้นางเสียดายมากแล้ว ตอนนี้พอได้เห็นเป็นขวดเช่นนี้ ทั้งยังให้กินวันละเม็ดอีก…

ให้กินโอสถระดับเทวะทุกวันเหมือนกับกินข้าวงั้นหรือ

แค่คิดนางก็รู้สึกหัวใจบีบรัดและเสียดายนัก!

ซางซุ่นหวางยกขวดโอสถขึ้นมาตรงจมูกและดมดู พินิจพิเคราะห์ดูรอบหนึ่ง ก่อนจะยืนยันขึ้นอีกครั้งว่า “ไม่ผิด! เป็นโอสถระดับเทวะ กลิ่นของยาเข้มข้นถึงขนาดนี้ ข้าไม่มีทางมองผิดแน่”

“เป็นโอสถระดับเทวะจริงๆ” มู่ชิงเกอเปิดปากในที่สุด ทั้งยังยืนยันระดับชั้นของยาออกมา

ซางหลันรั่วฟื้นคืนอายุขัยมา 30 ปี แต่รูปร่างหน้าตากลับยังเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก

30 ปีที่เพิ่มเข้าไปนี้เมื่อเปรียบเทียบกับ 1,300 ปีที่นางสูญเสียไปแล้วนั้น ก็ถือว่าน้อยกว่ากันมาก

จริงๆ เหมือนกับเอานํ้าแก้วหนึ่งไปดับเปลวไฟ เพียงแต่ มู่ชิงเกอยังไม่เคยลองปรุงยาที่ใช้เฉพาะการฟื้นคืนอายุขัย ดังนั้นจึงไม่สามารถฟื้นคืนอายุขัยให้นาง มากกว่านี้ได้ ทำได้เพียงแต่ใช้โอสถระดับเทวะแก้ขัดไปก่อน รอหลังจากปรุงยาที่ใช้ฟื้นคืนอายุขัยโดยเฉพาะได้ แล้วค่อยให้นางทีหลัง

“ไม่ได้” ซางหลันรั่วได้สติขึ้นมาจากความตกตะลึง ใช้มืออันสั่นเทาของนางคว้าเอาขวดโอสถจากมือของซางซุ่นหวางมา ก่อนจะยัดมันไปในอกมู่ชิงเกอ ใช้น้ำเสียงที่เหนื่อยอ่อนและแหบพร่าเอ่ยขึ้น “โอสถระดับเทวะพวกนี้มีค่าสูงเกินไป ไม่อาจจะเอามาสิ้นเปลืองที่ตัวข้าได้ เจ้าเก็บเอาไว้ใช้ยามจำเป็นเถอะ”

นางไม่ได้ลืมเรื่องที่อายุขัยของมู่ชิงเกอก็เหลือไม่มากเช่นเดียวกัน

มู่ชิงเกอมองออกถึงความห่วงใยในแววตาของนาง แล้วจึงค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าถือได้ว่าได้โชคหลังคราวเคราะห์ ตอนนี้อายุขัยของข้าฟื้นคืนกลับมาหมดแล้ว พวกนี้ก็เป็นแค่โอสถระดับเทวะธรรมดาๆ เท่านั้น รอข้าปรุงยาเฉพาะที่ใช้ฟื้นฟูอายุขัยได้ก่อน แล้วค่อยเอามาให้ท่านกินทีหลัง”

“เดี๋ยวก่อน! เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” อยู่ๆ ซางซุ่นหวางก็ขัดคำพูดของมู่ชิงเกอขึ้น

มู่ชิงเกอปรายตามองไปที่เขา กำลังจะตอบกลับ ทว่ากลับถูกอาการตื่นเต้นของซางหลันรั่วขัดขึ้นสียก่อน “เกอเอ๋อร์ เจ้าบอกว่าตอนนี้เจ้าหายดีแล้วงั้นหรือ?”

สายตาของมู่ชิงเกอเบนกลับไปที่ตัวของซางหลันรั่วแล้วก็พยักหน้า

หลังจากนั้นถึงค่อยมองไปทางซางซุ่นหวาง แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าพูดว่าพวกนี้เป็นแค่โอสถระดับเทวะธรรมดาๆ รอข้าหลอมโอสถระดับเทวะสำหรับฟื้นฟูอายุขัยโดยเฉพาะได้ก่อน ค่อยส่งมาให้ทีหลัง”

“เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าเป็น…,” ซางซุ่นหวางตื่นเต้นจนพูดจาติดๆ ขัดๆ

เข้าใจว่าเขากำลังตื่นเต้นอะไร สุดท้ายมู่ชิงเกอก็พยักหน้า “ไม่ผิด ข้าเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับเทวะ”

ปัง!

ถึงแม้จะคาดเดาได้รางๆ แต่พอได้ฟังคำยอมรับจากปากของมู่ชิงเกอเองแล้ว ก็ยังทำให้คนทั้งสามคนที่อยู่ในห้องนิ่งอึ้งไปอยู่ดี

มู่เสวี่ยอู่มองไปทางมู่ชิงเกอ ในใจไม่อาจสรรหาคำใดมาเปรียบเปรยพี่สาวคนนี้ได้อีก ไม่เพียงแค่มีพรสวรรค์สูงลํ้า แต่ยังเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับเทวะกับอาจารย์หลอมโอสถระดับเทวะอีกด้วย!

อยู่ต่อหน้าพี่สาวนางนี้ รัศมีเจิดจ้าที่นางเคยมีทั้งหมดก่อนหน้าราวกับว่าจะจืดจางลงไป

แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ไม่ได้รู้สึกแย่เพราะเหตุนี้ กลับกัน นางกลับรู้สึกภาคภูมิใจมากที่มู่ชิงเกอเก่งกาจเช่นนี้!

ซางหลันรั่วมองไปทางมู่ชิงเกออย่างภาคภูมิใจเช่นเดียวกัน นางพลาดช่วงเวลาแห่งเจริญเติบโตของบุตรสาวคนนี้ไปมากมาย เลยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับนางน้อยมาก นี่ก็ถือเป็นปมในใจของนางที่ยากจะวางลงได้ แต่มาตอนนี้ บุตรสาวของนางเก่งกาจเช่นนี้ เหตุใดนางจะไม่ดีใจเล่า

ซางซุ่นหวางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆ พยักหน้าเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเด็กคนนี้! มักนำพาเรื่องราวมาให้ผู้คนตกใจได้อยู่เสมอ และยังนำพามาซึ่งความปีติยินดีแก่ผู้คนอีกด้วย”

ตกใจที่เขาหมายถึงก็คือมู่ชิงเกอที่ถูกอุ้มกลับมาด้วยสภาพสลบไสลผมทั้งศีรษะกลายเป็นสีขาว ปีติยินดี หมายถึงความอัศจรรย์ใจที่นางนำมา

มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ เอ่ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงเรียบนิ่ง “ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีโอสถระดับเทวะอีก” นางนำขวดยาในมือยัดกลับไป

ในตอนนี้เองมู่เสวี่ยอู่ก็พลันคิดขึ้นได้ว่าเพราะเหตุใดมู่ชิงเกอถึงไม่ให้เหมยจื่อจ้งเตรียมยาให้ใช้ตอนเข้าแข่งขัน นั้นก็เป็นเพราะว่าจริงๆ แล้วนางแล้วเป็นอาจารย์ปรุงยา อีกทั้งระดับยังสูงกว่าเหมยจื่อจ้งอีก

“ในเมื่อบุตรสาวของเจ้าต้องการแสดงความกตัญญู เจ้าก็รับไว้เถอะ” ซางซุ่นหวางยิ้มเอ่ยกับซางหลันรั่ว

ซางหลันรั่วกุมขวดยาในมือ หยาดนํ้าตาไหลเอ่อออกมาจากขอบตา หลังจากนางรู้ว่ามู่ชิงเกอเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับเทวะแล้ว ในใจของนางก็มีความคิดและความรู้สึกจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกมา

ที่คิดได้เป็นอันดับแรกก็คือคำพูดประโยคนั้นที่มู่ชิงเกอเคยกล่าวไว้ว่า ‘นางช่วยให้มู่เหลียนเฉิงฟื้นได้!’ แต่ว่าหลังจากมู่เหลียนเฉิงตื่นขึ้นมาแล้ว นาง…

ซางหลันรั่วยกมือขึ้น ลูบคลำไปบนใบหน้าของตน สัมผัสกับผิวที่เหี่ยวย่นไร้ความเต่งตึงของตน เมื่อนางมีสภาพเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะไปพบหน้ามู่เหลียนเฉิงได้อย่างไร

“ถึงแม้ว่ายาจะสามารถฟื้นคืนอายุขัยได้ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือการเพิ่มระดับฝึกปรือของตนเพื่อให้อายุขัยเพิ่มมากขึ้น ทว่า…” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ พอพูดได้ครึ่งหนึ่งกลับหยุดลง

“ทว่าอะไร?” ซางซุ่นหวางเอ่ยถาม

ซางหลันรั่วเงยหน้าขึ้นมองนางเช่นกัน ตามจริงแล้วถึง แม้ว่าในใจของนางจะรู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถพบหน้ากับมู่เหลียนเฉิงด้วยรูปลักษณ์ก่อนหน้า แต่นางกลับไม่รู้สึกเสียใจ เพราะว่าได้เห็นบุตรสาวของตนยังยืนตรงหน้าอย่างสบายดี ไม่ว่าจะต้องสูญเสียสิ่งใดนางล้วนแต่ยินยอม

“ทว่า…” สายตาของมู่ชิงเกอร่วงตกไปที่เส้นผมสีขาวของซางหลันรั่ว “ครั้งนี้สูญเสียอายุขัยไปมากเกินไป กัดกร่อนลึกถึงจนราก ต่อให้สามารถฟื้นคืนอายุขัยและยืดมันออก ฟื้นคืนใบหน้าให้กลับเป็นเยาว์วัยได้ แต่สีผมคงไม่อาจแปรเปลี่ยนได้”

พอกล่าวจบ มู่ชิงเกอลอบรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาในใจหลายส่วน

ร่างกายของนางนั้นนับว่าได้ถูกหลอมขึ้นมาใหม่ เส้นผมถึงได้ฟื้นคืนกลับมาได้ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วนางก็คงเหมือนซางหลันรั่วที่มีเส้นผมขาวโพลนไปชั่วชีวิต

“ท่านวางใจได้ ข้าจะคิดหาวิธี ถ้าหากมีวิธีที่สามารถฟื้นคืนสีผมได้ ข้าจะหามาให้ท่านเอง” มู่ชิงเกอเอ่ย รับรองกับซางหลันรั่ว

ซางหลันรั่วกลับยิ้มแล้วส่ายหน้าอย่างปล่อยวาง “ไม่ต้องแล้ว นี่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรไม่ดี ภาระหน้าที่บนตัวเจ้านั้นหนักหนาเกินไป เรื่องราวที่ไม่สำคัญพวกนี้ไม่ต้องใส่ใจจะดีกว่า”

มู่ชิงเกอหลุบตาลง เม้มริมฝีปาก ที่ควรพูดนางล้วนแต่พูดไปจนหมดแล้ว

นางยืนขึ้นมา ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นกับซางหลันรั่วว่า “ไม่ว่า จะอย่างไรข้าก็จะลองหาวิธีดู”

กล่าวจบแล้ว นางก็หันกายจากไป

“เกอเอ๋อร์” ซางหลันรั่วมองนางอย่างอาลัยอาวรณ์

มารดาและบุตรสองคนนี้สามารถพูดคุยกันด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขเช่นนี้ได้ ช่างหาดูได้ยากนัก ถึงแม้ว่าตอนนี้มู่ชิงเกอจะยังไม่ได้เรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ ก็ตาม

มู่ชิงเกอถูกเรียกหยุดเอาไว้ หยุดยืนอยู่ที่ริมประตู แต่ไม่ได้หันหน้ากลับ บรรยากาศในห้องกลายเป็นเงียบงันขึ้นมา ผ่านไปชั่วอึดใจมู่ชิงเกอถึงค่อยเปิดปากขึ้นมาว่า “ขอบคุณ ท่านแม่”

พูดจบแล้วนางก็เดินออกไปจากห้อง หายไปจากตรงหน้าของคนทั้งสาม สามคนในห้องนิ่งตกตะลึง

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซางหลันรั่วถึงได้เอ่ยกระซิบกระซาบขึ้น อย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “เกอเอ๋อร์นาง…นางเรียกข้าว่าอะไรนะ?”

มู่เสวี่ยอู่ที่ภายในดวงตาเต็มไปด้วยหยาดนํ้าตา เอ่ยขึ้นกับซางหลันรั่วว่า “ท่านแม่ พี่สาวเรียกท่านว่าท่านแม่”

ซางซุ่นหวังก็เอ่ยทอดถอนใจพร้อมทั้งดวงตาที่เปียกชื้น “หลันรั่วเจ้านับว่ารอคอยจนสมหวังแล้ว”

คำกล่าวของทั้งสองคนทำเอาหัวใจของซางหลันรั่วรู้สึกตื้นตันขึ้นมา นางกอดผ้าห่มร้องไห้ ดีใจจนหลั่งนํ้าตา ขอเพียงบุตรสาวคนโตของนางสามารถเรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ ได้ ถึงแม้ว่านางจะต้องมอบชีวิตออกไปนางก็ยินยอม

รอหลังจากอารมณ์ของซางหลันรั่วสงบลงแล้ว นางถึงค่อยคิดอะไรขึ้นมาได้ “ข้ากลับนึกไม่ออกว่าคุณชายรูปงามที่ปรากฎตัวอย่างกะทันหันผู้นั้นเป็นใคร”

ซางซุ่นหวางก็ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “ข้าก็ลืมไปแล้วเช่นกันว่าจริงๆ แล้วนางไปเจออะไรมากันแน่ถึงได้กลับมาด้วยสภาพสะบักสะบอมเช่นนั้นได้”

“เอ๊ะ!” พอมู่เสวี่ยอู่ได้ยินคำพูดของทั้งสองคน ก็ร้องขึ้นมาเสียงหนึ่งก่อนจะหยุดลง

แต่ท่าทางของนางยังดึงดูดความสนใจของซางหลันรั่ว และซางซุ่นหวางได้อยู่ดี “เสวี่ยอู่ เจ้าคิดจะพูดอะไรหรือ?” ซางซุ่นหวางเอ่ยถามออกไปตรงๆ

มู่เสวี่ยอู่เอ่ยขึ้นอย่างลังเล “ตอนอยู่ที่จวนในหลินชวน ข้าก็เพิ่งได้รู้ว่าท่านปู่ได้จัดการงานหมั้นให้กับพี่สาวแล้ว พี่สาวได้หมั้นหมายกับบุคคลสำคัญที่ไม่ธรรมดาผู้หนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าจะใช่ท่านที่ปรากฎตัวผู้นั้นหรือไม่”

“หมั้นหมาย!” ซางหลันรั่วเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง

ก่อนหน้านี้นางก็เคยได้ยินเรื่องราวของมู่ชิงเกอจากมู่เสวี่ยอู่ไม่น้อย แต่กลับไม่มีเรื่องๆ นี้

ซางซุ่นหวางครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า “ถ้าหากเป็นคู่หมั้นของเกอเอ๋อร์จริงๆ เช่นนั้นพวกเราก็ไม่อาจจะเสียมารยาทได้”

“ใต้เท้าท่านนั้นเป็นคู่หมั้นของเกอเอ๋อร์จริงๆ น่ะหรือ?” ซางหลันรั่วเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ใช่หรือไม่ใช่แค่ถามพี่สาวก็ได้แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ” มู่เสวี่ยอู่เอ่ยอย่างจนปัญญา

“เรื่องนี้เอาไว้ให้ผ่านไปสักหลายวันก่อนแล้วค่อยถามเถอะ เกอเอ๋อร์เพิ่งจะกลับมา ทั้งยังได้รับบาดเจ็บเช่นนั้นอีก ถึงแม้ว่านางจะแสดงท่าทางเหมือนเป็นปกติ แต่สภาพจิตใจของนางนั้นยํ่าแย่มาก รอให้นางพักก่อนสักหลายวันก่อน แล้วพวกเราค่อยไปถามให้ชัด” หลังจากครุ่นคิดแล้วซางซุ่นหวางถึงค่อยเอ่ยขึ้นมา

พอเอ่ยจบ นัยน์ตาของเขาก็สว่างวาบ ส่องประกายแวววับแหลมคม “ข้าก็อยากจะรู้จริงๆ ว่าใครกันที่ทำร้ายหลานสาวของข้าจนมีสภาพเป็นเช่นนี้ได้”

พอกลับมาถึงที่เรือนพักของตน ด้านในนั้นกลับเงียบสงบ

หรือบางที กลุ่มคนล้วนแต่รู้ว่าตอนนี้มู่ชิงเกอไม่อยากให้ใครมารบกวน ดังนั้นแต่ละคนเลยพากันหลบเร้นหนีหายไป

มู่ชิงเกอเดินไปใต้ต้นไม้ พอเห็นเก้าโยกที่โยกเบาๆ ไปมาตามสายลมสองตัวนั้น ก็กระอักเลือดออกมาในทันที เลือดสีแดงสดสาดกระจายไปบนพื้น ดูสะดุดตายิ่งนัก

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้าจะทำให้ข้าขาดใจตายหรืออย่างไร?” ซือมั่วปรากฎตัวขึ้นที่ข้างกายนางในทันที ดึงนางมากอดไว้ในอ้อมอก

ภายในนัยน์ตาสีอำพันแฝงแววกังวลและเจ็บปวดใจ

มู่ชิงเกอเอนเข้าไปซบในอกของเขา ดวงตาทั้งสองแดงระเรื่อ กลั้นนํ้าตาเอาไว้

บนริมฝีปากยังหลงเหลือคราบเลือดติดอยู่

นางเอ่ยกับซือมั่วด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า “ซือมั่ว หัวใจของข้าเจ็บปวดยิ่งนัก เจ็บปวดเหลือเกิน”

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ขอโทษ ขอโทษด้วย เป็นข้าที่มาช้าไป” ซือมั่วกอดนางแน่น สัมผัสถึงความเจ็บปวดที่พรั่งพรูมาจากในใจของนาง เกลียดตัวเองที่ทำไมถึงไม่รู้สึกตัวให้เร็วกว่านี้ ไม่รุดไปให้ไวกว่านี้ หากเป็นเช่นนั้น เสี่ยวเกอเอ๋อรของเขาก็คงไม่ต้องมารับความทรมานแสนสาหัสเช่นนี้ และก็ยิ่งไม่ต้องเจ็บปวดหัวใจเช่นนี้

มู่ชิงเกอส่ายหน้าช้าๆ ข่มกลั้นนํ้าตาไว้ พอควบคุมกล้ามเนื้อที่ดวงตาทั้งสองของตนได้แล้ว รอบดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงกํ่า

นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยขึ้นกับซือมั่วว่า “ซือมั่ว ข้าอยากดื่มสุรา เจ้าดื่มเป็นเพื่อนข้าที”

นางไม่อยากร้องไห้ และก็ไม่สามารถร้องไห้ได้ ไม่อยากให้ศัตรูเห็นถึงความอ่อนแอของนาง นางทำได้เพียงแต่ใช้สุราร้อนแรงกรอกตัวเองกลืนนํ้าตาและสุราร้อนแรงลงไป

หลังจากนั้น…แก้แค้น!

ในแววตาแดงกํ่าของมู่ชิงเกอส่องประกายอาฆาตออกมาอย่างดุดัน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version