Skip to content

พลิกปฐพี 326

ตอนที่ 326

ชื่อเสียงโด่งดังก้องโลก

ปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดของภาคตะวันตก ดึงดูดความสนใจของตระกูลต่างๆ นับไม่ถ้วน

ผ่านไปหนึ่งวัน ตระกูลต่างๆ นับไม่ถ้วนต่างพากันลอบเคลื่อนไหวขึ้นมา คิดจะสืบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ที่ดึงดูดให้เมฆลมในทั่วทั้งภาคตะวันตกเปลี่ยนสีได้ ภาพเหตุการณ์ที่ไม่เหมือนกับวันปกตินั้นปรากฎขึ้นในใจของพวกเขา

ตระกูลอิ๋ง ภาคตะวันตก

ภายในห้องโถงใหญ่ที่ดุจดั่งท้องพระโรงในพระราชวัง มีเงาร่างของคนสายหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของอิ๋งเจ๋อ

หลังจากที่เงาร่างคนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นได้นำเอาเรื่องที่ไปสืบกลับมารายงานเสร็จแล้ว อิ๋งเจ๋อก็พูดออกมา “ตระกูลซาง เมืองฝูซา”

“ใช่แล้วขอรับ นายน้อย” คนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นเอ่ยขึ้น

“อาอา อา อาอาอาอา” อิ๋งเจ๋อยังไม่ทันได้พูดต่อ ด้านข้างก็มีเสียงที่แปลกประหลาดดังขึ้นมา

คนที่กำลังคุกเข่าอยู่เงยหน้าขึ้นไป กวาดตามองไปยังชายที่ยืนอยู่ข้างนายน้อยอย่างรวดเร็ว แล้วก็หลุบศีรษะลง

อิ๋งเจ๋อหันไปมองอิ๋งชวนที่ถูกมู่ชิงเกอตัดลิ้นไป พูดด้วยท่าทางเรียบเฉยว่า “เจ้ายังคิดจะแต่งงานกับซางเสวี่ยอู่อยู่อีกหรือ?”

อิ๋งชวนออกแรงพยักหน้า แต่ในแววตากลับไม่ได้มีความรักใคร่เหมือนเมื่อก่อน แต่กลับเป็นความแค้น

เขาคิดอยากจะแต่งงานกับซางเสวี่ยอู่ แต่ไม่ได้เป็นเพราะรูปโฉมของนางอีกต่อไป แต่เป็นเพราะความแค้น เขาจะต้องทรมานนางให้จงหนัก ทรมานผู้หญิงที่ทำให้เขาต้องสูญเสียลิ้นจนพูดไม่ได้ตลอดชีวิต ใช่แล้ว! ยังมีผู้ชายที่ชื่อมู่ชิงเกออยู่อีกคน! เขาก็จะไม่ยอมปล่อยไปเช่นเดียวกัน มองเห็นความเคียดแค้นในดวงตาของเขาแล้ว แต่อิ๋งเจ๋อ กลับเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้าเคยพูดแล้วว่าเรื่องนี้ได้จบลงไปแล้ว ถ้าหากเจ้าคิดจะฝ่าฝืนคำสั่งของข้า ก็น่าจะรู้ผลลัพธ์ดีว่าจะเป็นอย่างไร”

อิ๋งชวนหนังหัวชา รีบหุบปากแน่น นัยน์ตาเผยความหวาดกลัวออกมา

คนนอกรู้เพียงว่าเขาเป็นน้องชายของอิ๋งเจ๋อ เป็นคนเสเพลของตระกูลอิ๋ง เป็นคนที่ได้รับความรักมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงนั้น คนนอกกลับไม่รู้ว่า ที่เขากลัว มากที่สุดก็คือพี่ชายที่เลือดเย็นคนนี้ของเขา คำพูดของบิดามารดา เขายังกล้าทำเป็นฟังหูซ้ายทะลุหูขวาไปได้ แต่คำพูดของอิ๋งเจ๋อ เขากลับไม่กล้าไม่เชื่อฟัง เพียงแต่ว่า จะให้เขาลืมความแค้นที่ถูกตัดลิ้นไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?

เขาทำไม่ได้!

อิ๋งชวนหลุบตาลง เก็บงำความคิดภายในดวงตา มือที่เก็บซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำหมัดแน่นจนขาวซีด

“สืบต่อไป ข้าต้องการรู้ว่าช่วงระยะนี้ตระกูลซางมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นบ้าง” อิ๋งเจ๋อสั่งการสายสืบที่คุกเข่าอยู่บนพื้น

สายสืบรีบโค้งกายถอยออกไปทันที

ภายในเมืองฝูซา เรื่องราวอันแปลกประหลาดเมื่อวานได้ถูกพูดถึงไปทั่วทั้งเมือง สายสืบของตระกูลต่างๆ ต่างก็เข้ามาในเมืองฝูซาเพื่อสืบข่าว

จุดสำคัญของพวกเขาทั้งหมดล้วนแต่เป็นตระกูลซาง แห่งเมืองฝูซา

เพราะว่า นี่เป็นตระกูลที่มีสายเลือดอาจารย์หลอมศาสตราเพียงแค่ตระกูลเดียว แม้ว่าพวกเขาจะตกต่ำแล้ว ก็ไม่อาจดูแคลนได้!

ภายในเรือนหลังเล็กของมู่ชิงเกอ นางให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกไป เหลือไว้แต่โย่วเหอคอยรับใช้

ภายในห้อง มีคนนั่งอยู่ห้าคน แบ่งเป็นมู่ชิงเกอ ซือมั่วที่พักผ่อนมาเป็นอย่างดี ยังมีซางซุ่นหวาง ซางหลันรั่วและมู่เสวี่ยอู่ พักผ่อนมาหลายวันทำให้สีหน้าของซางหลันรั่วดูดีขึ้นหน่อย ไม่ได้ดูอ่อนแอเช่นก่อนหน้านี้ วันนี้พวกเขามาเพื่อสอบถามเรื่องราวให้ชัดเจน!

เมื่อวาน ซางซุ่นหวางถามถึงที่มาของซือมั่วไปตรงๆ แต่เขากลับให้คำตอบเพียงคำตอบเดียวก็คือ เขาเป็นคู่หมั้นของมู่ชิงเกอ จากนั้นก็หันกายกลับเข้าห้อง ทำให้ซางซุ่นหวางตกตะลึงไป

วันนี้เมื่อรู้ว่ามู่ชิงเกอฟื้นแล้ว เขาถึงได้เรียกซางหลันรั่วแล้วก็ยังมีมู่เสวี่ยอู่มาด้วยกัน

“แค่ก พวกท่านอยากจะรู้อะไรหรือ?” มู่ชิงเกอไอออกมา เอ่ยอย่างกระดากอาย

ทั้งสามคนมากันตั้งแต่เช้า จากนั้นทั้งห้าก็นั่งกันเงียบๆ อยู่เนิ่นนาน สายตาเหล่านั้นคอยจ้องมองนางกับซือมั่วอยู่ตลอด ส่วนซือมั่ว ท่าทางที่ดูไม่ได้ทุกข์ร้อนนั้น ดูเหมือนไม่คิดที่จะเอ่ยปากพูดอะไร คิดไปคิดมาก็คงมีแต่เพียงตนเองที่ต้องทำลายความเงียบนี้ลงไป

ซางหลันรั่วไม่รู้จะพูดอย่างไรดี สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นซางซุ่นหวางที่ถามออกไปประโยคหนึ่ง “เกอเอ๋อร์ ท่านนี้…”

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไปยังซือมั่วที่ยิ้มบางๆ แวบหนึ่ง แล้วจึงแนะนำว่า “เขาชื่อว่าซือมั่ว ใช่แล้ว ในตอนที่อยู่หลินชวน พวกเราได้หมั้นหมายกันแล้ว”

มู่ชิงเกอยอมรับด้วยตนเอง ทำให้ทั้งสามคนล้วนแต่สูดหายใจเอาลมเย็นเยียบเข้าไป

มู่เสวี่ยอู่ก็พิจารณาพี่เขยอย่างสนใจ

นางเคยคิดมาก่อนว่า ผู้หญิงที่งดงามโดดเด่นเช่นพี่สาวของนางนั้น เกรงว่าบนโลกนี้คงจะหาผู้ชายคนไหนที่คู่ควรด้วยยาก แต่ไม่คิดว่า ปัญหานี้พี่สาวของนางได้แก้ไขไปแล้ว

อีกทั้ง วันนี้เมื่อมองดูพี่เขยในอนาคต นางก็รู้สึกว่า เขากับพี่สาวไม่ใช่เหมาะสมกันอย่างธรรมดา

บางที บนโลกนี้นอกจากเขาแล้ว ก็คงจะหาผู้ชายที่คู่ควรกับพี่สาวไม่ได้อีก!

“ซือ…ไม่ทราบว่าใต้เท้าเป็นคนที่ไหน ซางหลันรั่วที่แต่เดิมคิดจะเรียกซือมั่วว่า ‘คุณชาย’ แต่ก็รู้สึกว่าคำเรียกว่า คุณชายไม่เหมาะสมกับกลิ่นอายของเขา ในที่สุดก็ใช้คำว่า ‘ใต้เท้า’ มาเรียกแทน

แม่ยายเรียกว่าที่ลูกเขยว่า ‘ใต้เท้า’ ทำไมฟังดูแล้วมันแปลกๆ

มู่ชิงเกอปวดหัวกับเรื่องเช่นนี้มากที่สุด ทำได้เพียงแต่มองไปยังซือมั่วอย่างเว้าวอน

ได้รับสายตาขอร้องจากนาง ซือมั่วยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ยายไม่จำเป็นต้องเรียกเช่นนี้ เรียกข้าว่าซือมั่วก็ได้”

“ได้ เช่นนั้นต่อไปข้าจะเรียกเจ้าว่าซือมั่ว” ซางหลันรั่วเออออไปตามนํ้า ไม่ได้ดื้อดึงต่อไป

ทั้งสามคนล้วนแต่รอคำพูดของซือมั่ว ซือมั่วเงยหน้าขึ้น ถึงได้เอ่ยว่า “ข้ากับเสี่ยวเกอเอ๋อร์นั้นรู้จักกันที่หลินชวน และตกลงกันว่าจะอยู่ด้วยกันไปทุกภพทุกชาติ ส่วนข้านั้น บิดามารดาได้ตายจากไปนานแล้ว ภายในบ้านไม่มีพี่น้อง มีเพียงกิจการของครอบครัวส่วนหนึ่งที่จำเป็นต้องดูแลจัดการ ดังนั้นจึงไม่อาจจะอยู่ข้างกายเสี่ยวเกอเอ๋อร์ตลอดเวลาได้ ตอนนี้ข้าก็เพียงรอให้เสี่ยวเกอเอ๋อร์รีบพยักหน้าตกลงใจ ข้าจะได้แต่งนางเข้าบ้านโดยเร็ว”

“แค่ก แค่ก” สองแก้มของมู่ชิงเกอถูกสายตาคาดหวังลึกลํ้าจากซือมั่วในท่อนสุดท้ายทำให้แดงกํ่าจนเหมือนถูกไฟเผา

“เช่นนั้นซือมั่ว บ้านของเจ้าอยู่ที่ใดรึ?” ซางซุ่นหวางเอ่ยถาม

รอยยิ้มภายในดวงตาและมุมปากของซือมั่วไม่ได้เปลี่ยนไป “ข้าไม่ใช่ทั้งคนของหลินชวนและโลกแห่งยุคกลาง”

ไม่ใช่ทั้งคนของหลินชวน? และก็ไม่ใช่คนของโลกแห่งยุคกลาง?

คำตอบนี้ทำให้ซางซุ่นหวางขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาของซางหลันรั่วและมู่เสวี่ยอู่ก็ฉายแววสงสัย

ทันใดนั้น ซางซุ่นหวางก็เบิกตากว้างขึ้น จ้องมองไปยังซือมั่วแล้วเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “เจ้า…เจ้าคือ…”

ซือมั่วยิ้ม

คำตอบนั้นไม่ต้องบอกก็รู้แล้ว

“คืออะไร?” ซางหลันรั่วหันไปมองบิดาของตนเอง

แต่ซางซุ่นหวางกลับกลั้นหายใจ ค่อยๆ ส่ายหน้า แล้วพูดกับซางหลันรั่วว่า “ไม่มีอะไร”

แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร! แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร! สายตาที่ซางซุ่นหวางม องซือมั่วเปลี่ยนไป ภายในส่วนลึกแฝงเอาไว้ด้วยความเคารพนับถือ

จากนั้นเขาก็มองไปทางมู่ชิงเกออย่างเป็นกังวล ดูเหมือนจะกังวลว่าระยะห่างระหว่างทั้งสองคน จะทำให้มู่ชิงเกอลำบาก

มู่ชิงเกอรับรู้ถึงความหมายในดวงตาของเขา จึงเอ่ยปากขึ้นว่า “ที่มาของซือมั่วนั้น ข้ารู้ดี แต่ในเมื่อเลือกที่จะอยู่กับเขาแล้ว ข้าก็ได้เตรียมใจไว้ดีแล้ว และสามารถรับได้ทุกอย่าง ดังนั้นพวกท่านสบายใจได้”

ซางซุ่นหวางสบตากับซางหลันรั่วแวบหนึ่ง ในใจล้วนแต่ตัดสินใจแล้ว

ในเมื่อมู่ชิงเกอพูดเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่านางได้ตัดสินใจเลือกคนผู้นี้แล้ว และจะไม่เปลี่ยนแปลง

“เกอเอ๋อร์เจ้าตามข้ามาสักครู่” ซางหลันรั่วยืนขึ้น แล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

มู่เสวี่ยอู่รีบส่งไม้เท้าอันหนึ่งให้แก่นาง หลังจากซางหลันรั่วรับมาแล้วก็เดินออกไปจากห้อง

มู่ชิงเกอยืนขึ้น คิดครู่หนึ่งแล้วก็เดินออกไป

ทั้งสองคนเดินไปไกลแล้ว ซางหลันรั่วถึงได้เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่ดูแปลกประหลาดว่า “เกอเอ๋อร์ มารดารู้ว่าพวกเจ้าได้หมั้นหมายกันแล้ว ถือว่ามีสถานะแล้ว แต่ว่าในตอนนี้ยังไม่ทันได้แต่งงาน เจ้าจะต้องดูแลตนเองให้ดีๆ”

หือ?

มู่ชิงเกอกะพริบตา ชั่วขณะนั้นไม่เข้าใจในความหมายของซางหลันรั่ว

เห็นสีหน้าท่าทางที่ดูมึนงงของนางแล้ว ซางหลันรั่วถึงได้เอ่ยออกมาอย่างกระดากใจว่า “ความหมายของข้าก็คือ ไม่กี่วันมานี้ซือมั่วเฝ้าอยู่ข้างกายของเจ้า ไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว สิ่งนี้ทำให้คนซาบซึ้งจริงๆ แต่ว่าพวกเราเป็นผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว อย่าให้คนมาเอาเปรียบได้”

มู่ชิงเกอเข้าใจแล้ว

คำพูดได้มาถึงตรงนี้แล้ว หากนางไม่เข้าใจก็ไม่ใช่ว่าจะไร้เดียงสาเกินไปแล้ว?

ซางหลันรั่วกังวลว่านางยังไม่ทันได้แต่งงานก็จะชิงสุกก่อนห่าม หรือไม่ก็ท้องก่อนแต่ง ทำให้เผชิญกับความลำบาก สรุปแล้วก็คือกลัวนางจะเสียเปรียบแล้วโดนทำร้ายให้เสียใจ

แต่ว่าการตักเตือนนี้มาช้าไปเสียหน่อย

“แค่ก ข้ารู้แล้ว” มู่ชิงเกอหลบเลียงสายตาของซางหลันรั่ว ไอออกมาเบาๆ

“เจ้าจดจำไว้ก็ดีแล้ว” ซางหลันรั่วไม่ทันได้สังเกตถึงร่องรอยความรู้สึกผิดในสายตาของนาง จึงบอกออกไป

ต่อไปนางก็เอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองคนต้องตาต้องใจกันแล้ว เหตุใดจึงไม่แต่งงานกันอีก? หากว่าเจ้ายินดี แม่จะช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้ให้เป็นอย่างไร?” หา! แต่งงาน?

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยกับซางหลันรั่วว่า “ไม่ ตอนนี้ยังไม่ต้อง ตอนนี้ข้าถือเอาเรื่องฝึกปรือพลังเป็นหลัก รอให้ระดับพลังของข้าสูงแล้ว ย่อมจะไปสู่ขอถึงบ้านเอง”

ซางหลันรั่วขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “อะไรคือไปสู่ขอถึงบ้าน? หากจะแต่งงานก็ต้องให้เขาจัดหาเกี้ยวแปดคนหาม ให้สัตว์อสูรวิญญาณเบิกทางมาแต่งเจ้าเข้าบ้านถึงจะถูก”

มู่ชิงเกอฉีกยิ้ม ไม่ได้อธิบาย

นี่เป็นครั้งแรกที่สองแม่ลูกได้พูดคุยเรื่องส่วนตัวด้วยกันอย่างใกล้ชิดขนาดนี้ที่จริงแล้วก็ไม่ได้ยากลำบากฝืนใจ อย่างที่มู่ชิงเกอคิดเอาไว้

เมื่อชัดเจนถึงสถานะของซือมั่วแล้ว พวกซางซุ่นหวางสามคนก็เดินจากไปอย่างสบายใจ

ในตอนที่มู่ชิงเกอย้อนกลับเข้าไปในห้องนั้น ก็พบกับสายตาหรี่เล็กลงของซือมั่ว

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ตอนนี้ท่านแม่ยายกับท่านตาก็ได้ยอมรับเขยอย่างข้าแล้ว ร่างกายของเจ้าก็ถือว่าพักฟื้นดีแล้ว พวกเราไม่ใช่ว่าสมควรจะมาทำเรื่องอะไรที่มีความ หมายกันบ้าง?”

ซือมั่วเดินไปยังข้างกายของมู่ชิงเกอ โอบนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน มือใหญ่ที่อยู่บนเอวของนางเริ่มซุกซนขึ้นมา

แต่มู่ชิงเกอกลับยิ้มขึ้นมา ปัดมือรุ่มร่ามของเขาทิ้งไป “เมื่อครู่ท่านแม่เพิ่งบอกข้าว่าก่อนจะแต่งงานให้รักนวลสงวนตัวหน่อย ซึ่งข้าก็คิดว่ามีเหตุผล ดังนั้น ขอให้เจ้ากับข้ารักษาระยะห่างกันหน่อย”

พูดจบแล้วนางก็ขืนตัวออกมาจากอ้อมอกของซือมั่ว

ซือมั่วหน้าดำทะมึนขึ้นมาเอ่ยว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าความหวังดีนี้มาสายเกินไปหน่อย? หรือเสี่ยวเกอเอ๋อร์กำลังลอบบอกข้าว่าให้รีบแต่งเจ้าเข้าบ้านอย่างนั้นหรือ?”

จากนั้น ซือมั่วก็สะบัดมือ ปิดผนึกห้อง แล้วก็ก้าวยาวเข้าไปหามู่ชิงเกอ…

ตระกูลซาง หลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพออกมาได้!

ในตอนที่ข่าวสารที่กระจายออกมานั้น ทั่วทั้งภาคตะวันตกไปจนถึงทั่วทั้งโลกแห่งยุคกลางก็สั่นสะเทือนขึ้นมา

ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพ!

นานกี่ปีมาแล้วที่ไม่มียุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพชิ้นใหม่โผล่ออกมา ตระกูลซางที่ตกต่ำนี้ต้องการที่จะรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่งั้นหรือ?

คนที่หลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพออกมาในตระกูลซางกลับเป็นหลานนอกแซ่ที่ชื่อว่ามู่ชิงเกอ!

มู่ชิงเกอ?!

ในตอนที่ข่าวสารนี้กระจายของไปพร้อมกันนั้น ทุกคนที่เคยได้ยินชื่อของมู่ชิงเกอก็ล้วนแต่ชะงักไป

มู่ชิงเกอ? ไม่ใช่ว่าเป็นเจ้านายของเขี้ยวมังกรที่เป็นหัวหอกในงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่? ทั้งคนผู้นั้นยังสามารถประลองเสมอกันกับอัจฉริยะห้าลำดับแรกของทำเนียบชิงอิงได้มิใช่หรือ?

เขากลับยังสามารถหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพออกมาได้! อีกทั้งยังเป็นหลานนอกแซ่ของตระกูลซางอีกงั้นหรือ?

มิน่า เขาถึงได้ออกหน้าแทนซางเสวี่ยอู่!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version