ตอนที่ 325
คู่หมั้นของมู่ชิงเกอ
“เปลวไฟแห่งวิบากกรรม!”
ภายในห้องหลอมยุทธภัณฑ์หลังคาถูกทวนหลิงหลงแทงทะลุเป็นรู มู่ชิงเกอกับซือมั่วยืนอยู่ด้านใน ก็สามารถมองเห็นสถานการณ์ภายนอกได้ในตอนที่เปลวไฟแห่งวิบากกรรมสายหนึ่งตกลงมานั้น ในใจของมู่ชิงเกอก็รู้แล้วว่า ‘สำเร็จแล้ว!’
หากว่าไม่ได้หลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพก็จะไม่มีเปลวไฟแห่งวิบากกรรมตกลงมา
ที่เหลือก็เพียงแต่ดูว่าจะสามารถรับการชำระล้างจากเปลวไฟแห่งวิบากกรรมไหวและฟื้นตัวขึ้นมาจากเปลวไฟได้หรือไม่!
เปลวไฟแห่งวิบากกรรมโอบล้อมเผาไหม้แสงสีทอง
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นไป ภายในนัยน์ตาอันสดใส สะท้อนแสงเปลวไฟอันร้อนแรง นางมองเห็น ‘แสงสีทอง’ พยายามต่อต้านอยู่ท่ามกลางเปลวไฟ จึงอดไม่ได้ที่จะ ขมวดคิ้วขึ้นมา ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์” เพียงแต่ว่า นางเพิ่งจะขยับตัว ก็มีมือใหญ่ที่เต็มไปด้วยเรี่ยวแรงคว้าจับข้อมือของนางเอาไว้ ขัดขวางการเคลื่อนไหวของนาง
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองซือมั่ว นัยน์ตาเผยร่องรอยของความสงสัย
ซือมั่วค่อยๆ ส่ายหน้า ยิ้มแล้วเอ่ยออกมาว่า “ยังไม่ถึงเวลา นี่เพิ่งจะเป็นเปลวไฟแห่งวิบากกรรมสายที่หนึ่งเท่านั้น”
มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปาก เก็บเท้าที่ก้าวออกไปกลับมา
ซือมั่วพูดถูก นี่เป็นเพียงแค่เปลวไฟแห่งวิบากกรรมสายแรก หากว่านางพุ่งออกไปแล้วอีกสองสายด้านหลังล่ะจะทำอย่างไร?
เพียงแต่ว่า
‘ทวนหลิงหลงจะต้านทานได้หรือไม่?’ มู่ชิงเกอมองไปยัง ‘แสงสีทอง’ สายนั้น เกิดความเป็นความกังวลขึ้นมา
ทันใดนั้น ‘แสงสีทอง’ ก็สั่นไหวขึ้นมา เปลวไฟแห่งวิบากกรรมที่โอบล้อมตัวของมัน แข็งค้างไปในทันใด พริบตาเดียวก็ถูกมันกลืนลงไปทั้งหมด
“อา!”
ด้านนอก บรรดาศิษย์ของตระกูลซาง เมื่อมองเห็นฉากนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะไม่ส่งเสียงร้องตกตะลึงออกมา
แม้แต่พวกซางซุ่นหวางสามคนก็เผยร่องรอยของความตกตะลึงออกมาเช่นเดียวกัน
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ายุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพสามารถกลืนเปลวไฟแห่งวิบากกรรมได้!” ซางซุ่นหวางหลุดเสียงพูดออกไป
จากนั้น หลังจากที่เปลวไฟแห่งวิบากกรรมเพิ่งจะถูกกลืนลงไป พายุนํ้าวนบนท้องฟ้าก็ส่งเปลวไฟแห่งวิบากกรรมที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าสายก่อนลงมาอีกสายหนึ่ง แล้วก็โอบล้อม ‘แสงสีทอง’ เอาไว้
ครั้งนี้ เปลวไฟแห่งวิบากกรรมที่ตกลงมาใหม่นี้ดูเหมือนว่าคิดจะจบเรื่องทุกอย่างโดยเร็ว เพียงแค่มันปรากฎตัวก็แสดงพลังอันแข็งแกร่งออกมาประชันกับ ‘แสงสีทอง’
“เปลวไฟแห่งวิบากกรรมสายที่สองร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเคร่งเครียด
ซือมั่วกลับไม่ได้กังวลใจเลยสักนิด แต่กลับพูดปลอบนางว่า “ข้าดูแล้วทวนหลิงหลงยังคงไหวอยู่ เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้าอย่าลืมว่าจิตวิญญาณของอาวุธชิ้นนี้ของเจ้าไม่ใช่จิตวิญญาณธรรมดา”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววับ เม้มปากไม่พูดจา
จิตวิญญาณของอาวุธนั้นเป็นสติที่หยวนหยวนเหลือไว้ เป็นสติของพญาเพลิง แน่นอนว่าจิตวิญญาณธรรมดาไม่อาจจะเอามาเปรียบเทียบได้
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วมู่ชิงเกอก็ตั้งสติ มองไปยังการต่อสู้ระหว่างเปลวไฟแห่งวิบากกรรมและ ‘แสงสีทอง’
เปลวไฟแห่งวิบากกรรมสายที่สองนี้ต่อสู้กับ ‘แสงสีทอง’ อย่างยาวนาน เวลานี้ท้องฟ้ากลายเป็นมืดทึบไปทั้งผืน มีเสียงฟ้าร้อง สายฟ้าวาววาบ คนทั่วทั้งภาคตะวันตก ต่างพากันตกอยู่ในความไม่สงบ บรรดาตระกูลต่างๆ ต่างส่งคนออกมาสืบข่าวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เรื่องราวเหล่านี้นั้นตระกูลซางในเมืองฝูซาไม่รู้เลย ตอนนี้สายตาของพวกเขาล้วนแต่ถูกภาพเปลวไฟแห่งวิบากกรรมถูก ‘แสงสีทอง’ ดูดกลืนอยู่กลางอากาศตรึงเอาไว้ทุกคนต่างพากันกลั้นหายใจ ไม่กล้าพูดจาเหลว ไหล
ฟู่!
ทันใดนั้นแสงสีทองก็เปล่งแสงอันร้อนแรงออกมากลืนเปลวไฟแห่งวิบากกรรม
แสงสีทองที่แสบตานี้โอบล้อมเปลวไฟแห่งวิบากกรรมเอาไว้ แล้วก็ลากมันเข้าไปในร่างกายของตนเอง กลืนมันลงไป
“พลังแห่งการดูดกลืน! นี่เป็นความสามารถของหยวนหยวน…” มู่ชิงเกอมองฉากนี้อย่างตกตะลึง พึมพำออกไป ในแขนเสื้อของนาง นิ้วมือที่ซ่อนอยู่ภายในสั่นเบาๆ อย่างไม่รู้สึกตัว ความรู้สึกตื่นเต้นที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้นี้ ถูกนางพยายามกดข่มเอาไว้
ครืน!
ท้องฟ้าดูเหมือนว่าจะกำลังพิโรธ
ภายในส่วนลึกของพายุน้ำวนขนาดยักษ์นั้นพ่นเปลวไฟแห่งวิบากกรรมสายที่สามออกมา
เปลวไฟแห่งวิบากกรรมสายนี้หากเทียบกับการเอาสองสายก่อนหน้ามารวมกันแล้วก็ยังใหญ่กว่า! เพียงแค่มันปรากฎตัวออกมา ท้องฟ้าเหนือเมืองฝูซาก็เหมือนกับถูกเปลวไฟเผาไหม้ก็ไม่ปาน ดุจดั่งวันสิ้นสุดของโลก
“นี่…เปลวไฟแห่งวิบากกรรมสายที่สาม เหตุใดจึงร้ายกาจถึงขนาดนี้ได้? จะต้านทานได้หรือ!” ด้านนอก ผู้อาวุโสรองถูกภาพเปลวไฟเต็มท้องฟ้านั้นทำให้หวาดกลัว อดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำกับตัวเอง
แต่น่าเสียดายว่าไม่มีใครให้คำตอบแก่เขาได้ เปลวไฟแห่งวิบากกรรมคำรามกลายร่างเป็นรูปมังกรกลางอากาศ ส่งเสียงคำรามพุ่งไปยัง ‘แสงสีทอง’ พริบตานั้นก็โอบล้อม ‘แสงสีทอง’ ไว้ภายใน จนมองไม่เห็นอีก
ไม่เพียงแต่เท่านี้หลังจากมันได้พุ่งไปยัง ‘แสงสีทอง’ แล้วก็ไหลลงมายังรูบนหลังคา
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง เปลวไฟแห่งวิบากกรรมเปลี่ยนเป็นใหญ่ขึ้นตรงหน้าของนาง
พรึ่บ!
ร่างกายของมู่ชิงเกอถูกเปลวไฟแห่งวิบากกรรมโอบล้อมเช่นเดียวกัน ดูเหมือนมันคิดจะเผาทำลายนางไปพร้อมกับ ‘แสงสีทอง’
นัยน์ตาของซือมั่วหรี่เล็กลง ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ เพียงแต่พูดเสียงเข้มว่า “เปลวไฟแห่งวิบากกรรมล้างไขกระดูก”
สองมือของเขาค่อยๆ กำแน่นเป็นหมัด ใบหน้างดงามก็ดูตึงเครียด เขาส่งเสียงไปให้มู่ชิงเกอในใจ ‘เสี่ยวเกอเอ๋อร์ รับให้ได้นี่เป็นการพัฒนาของเจ้า!’
ไม่ใช่ว่าทุกการกำเนิดของยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพจะดึงดูดให้เปลวไฟแห่งวิบากกรรมมาล้างไขกระดูกให้อาจารย์หลอมศาสตราได้ โอกาสนี้หาได้ยากยิ่ง
“เกอเอ๋อร์!” ด้านนอก พวกซางซุ่นหวางล้วนแต่มองเห็นเปลวไฟแห่งวิบากกรรมพุ่งเข้าไปในห้องหลอมยุทธภัณฑ์ชั้วขณะนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป พุ่งเข้าไปยังห้องหลอมยุทธภัณฑ์
ซือมั่วที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงด้านนอก ก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น สะบัดมือขึ้นมา ขอบเขตสีดำโอบคลุมทั้งห้องหลอมยุทธภัณฑ์เอาไว้ ขัดขวางไม่ให้ใครเข้าใกล้
‘ร้อนมาก! เหมือนกับทั้งตัวจะกลายเป็นขี้เถ้าแล้ว’
มู่ชิงเกอเพียงแต่รู้สึกว่าร่างกายของตนเองร้อนมาก ผิวของนาง กระดูกของนาง เลือดของนาง เส้นเลือดของนาง รวมถึงพลังจิตและจิตวิญญาณของนางล้วนแต่ถูกเปลวไฟโอบล้อมเผาไหม้…
สิ่งสกปรกบางอย่างค่อยๆ ถูกขับออกจากร่างกายของนาง เมื่อสัมผัสโดนเปลวไฟแล้วก็ถูกเผาไหม้ไปจนสิ้นไม่เหลือไว้แม้แต่ร่องรอย
เลือดของนางก็เปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์มากขึ้น พลังจิตของนางก็เปลี่ยนเป็นสะอาดมากขึ้น แม้แต่จิตวิญญาณก็แข็งแกร่งมากขึ้น
แครก!
ทันใดนั้นกลางท้องฟ้าก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น
เปลวไฟแห่งวิบากกรรมที่เต็มท้องฟ้านั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ดูเหมือนกับถูกดูดกลับไปในพายุนํ้าวนเรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้าที่ดำมืดก็สว่างขึ้นในพริบตา ความมืดกระจายหายไป
เปลวไฟแห่งวิบากกรรมบนร่างของมู่ชิงเกอกับ ‘แสงสีทอง’ นั้นก็ล้วนแต่หายไปพร้อมกัน
ชั่วขณะนั้น ‘แสงสีทอง’ ทั่วทั้งท้องฟ้าก็ส่งแสงสีทองเปล่งประกายออกมา ดูศักดิ์สิทธิ์
มู่ชิงเกอตัวอ่อนล้มลงไป ได้ซือมั่วรับเอาไว้ เขาโอบนางเข้าไปในอ้อมอก นางเงยหน้าขึ้นมองทวนหลิงหลง ภายในนัยน์ตาสดใสก็ถูกแสงสีทองเข้าปกคลุม
“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เหตุใดอยู่ดีๆ เปลวไฟแห่งวิบากกรรมก็หายไปในพริบตาได้?” ผู้อาวุโสสามเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
ซางซุ่นหวางหยุดทุบประตู มองไปยังแสงสีทองระยิบระยับบนท้องฟ้า
ทันใดนั้น ก็ราวกับว่ามีท่วงทำนองดนตรีเซียนดังออกมาจากพายุนํ้าวนที่ค่อยๆ จางหายไป ก้อนเมฆก็เปลี่ยนเป็นสีเจ็ดสีสวยงามมาก
“ดูแล้วยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพคงจะสำเร็จแล้ว เปลวไฟแห่งวิบากกรรมก็หมดหนทางดังนั้นถึงได้ถอยออกไป”
ซางซุ่นหวางคาดเดา
จากนั้นแสงสีทองก็ค่อยๆ จางหายไป แสงสีทองที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าก็ปรากฎร่างที่แท้จริงของมันออกมา แสงสว่างถูกเก็บเข้าไปอย่างสมบูรณ์ทวนหลิงหลงเผย ร่างอันองอาจเหยียดตรงของมันออกมา สีเงินตลอดตัวทวน บนตัวสลักลวดลายอักษรสีทองงดงาม ปลายทวนแหลมคม ชี้ตรงไปยังก้อนเมฆ ดูเหมือนจะแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อ
“นั้นไม่ใช่ว่าเป็นอาวุธของมู่ชิงเกอมิใช่หรือ?”
ภายในบรรดาศิษย์ของตระกูลซาง ไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียวที่จดจำที่มาของยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพชิ้นนั้นได้ เวลานี้พวกเขาถึงได้รู้ว่า มู่ชิงเกอกำลังหลอมอาวุธของตนเองขึ้นใหม่ อีกทั้งยังประสบผลสำเร็จในการเพิ่มระดับจากชั้นเทวะขึ้นสู่ชั้นมหาเทพ
“งดงามจริง!”
“ดูอหังการมาก!”
“ถ้าหากว่าเป็นข้าคงจะดีไม่น้อย!”
เสียงร้องอย่างตกตะลึงดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่ทวนหลิงหลงที่ถูกหลอมขึ้นใหม่ก็ส่งเสียงดังกังวานขึ้นมา เมื่อเสียงนี้ดังออกมาทั่วทั้งตระกูลซางก็สั่นไหวขึ้นมา ยุทธภัณฑ์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นที่พวกเขาพกอยู่ ยังมีที่ซ่อนอยู่ภายในคลังเก็บอาวุธ ต่างพากันลอยออกมา
หลุดออกจากการควบคุม พุ่งมาทางด้านนี้ ยุทธภัณฑ์นับพันนับหมื่น ต่างพากันเข้ามาโอบล้อมทวนหลิงหลงเป็นชั้นๆ เคารพเป็นราชา
ทวนหลิงหลงยืดตรงอยู่ตรงกลาง ดูภาคภูมิใจมาก!
คนของตระกูลซางล้วนแต่มองฉากนี้อย่างมึนงง ชั่วพริบตานี้พวกเขารู้สึกได้ว่าตนเองได้สูญเสียความสามารถในการสื่อสารกับอาวุธของตนเองไปแล้ว
มู่ชิงเกออยู่ในอ้อมอกของซือมั่ว เมื่อมองเห็นฉากนี้ ภายในนัยน์ตาสดใสก็ฉายแววซับซ้อนขึ้นมา ร้องออกไปว่า “ทวนหลิงหลง”
กลางอากาศ ทวนหลิงหลงซึ่งได้รับการเคารพจากยุทธภัณฑ์นับพันนับหมื่นชะงักขึ้นในทันใด ร่างกายของมันเกิดคลื่นอากาศออกมา พัดยุทธภัณฑ์ชิ้นอื่นๆ ให้ตกไป จากนั้นก็ลอยตัวเข้าไปหามู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอยกมือขึ้นกุมตัวทวน แสงสว่างวาบขึ้น ทวนหลิงหลงกลายเป็นปลอกนิ้วมือแล้วสวมเข้าไปบนนิ้วมือขวาของนาง
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ ต่อไปเจ้าเพียงแต่ต้องใช้พลังจิตเพาะเลี้ยงไปทุกวันไม่ช้าก็เร็วหยวนหยวนก็จะต้องฟื้นตื่นกลับมา” ซือมั่วกระซิบเบาๆ ข้างหูของนาง
มู่ชิงเกอพยักหน้า แล้วก็ฝืนความอ่อนล้าจากการล้างไขกระดูกไม่ไหว นางหลับลงในอ้อมอกของเขา
ทวนหลิงหลงจากไป ส่วนเหล่ายุทธภัณฑ์ชิ้นอื่นๆ ก็จากไปทางใครทางมัน กลับไปยังสถานที่ที่ตนเองสมควรไป
ในตอนที่ซางซุ่นหวางกำลังกังวลใจในตัวมู่ชิงเกออยู่นั้น ในที่สุดประตูห้องหลอมยุทธภัณฑ์ก็ถูกเปิดออก
ต่อหน้าสายตาของทุกคน พวกเขาเห็นเพียงแต่ชายหนุ่มชุดสีดำ ท่าทางดูไม่ธรรมดา รูปโฉมหล่อเหลาไร้ผู้ใดเปรียบเดินออกมา ส่วนในอ้อมอกของเขานั้นโอบกอดมู่ชิงเกอที่กำลังสลบอยู่ ชุดสีดำแดงเข้ากันได้เป็นอย่างดี ไร้ซึ่งที่ติ
“เกอเอ๋อร์นางเป็นอะไรไป?” ซางซุ่นหวางชะงักไปเล็กน้อย แล้วก็ได้สติกลับมาก่อนใครเพื่อน วิ่งเข้าไปถาม
ซือมั่วเอ่ยตอบด้วยเสียงที่เรียบเฉยว่า “ไม่มีอะไร แค่เหนื่อยล้าเกินไป”
พูดแล้ว เขาก็โอบมู่ชิงเกอ ก้าวยาวๆ ไปยังเรือนหลังเล็กที่มู่ชิงเกอพักอยู่
รอหลังจากที่เขาจากไปแล้ว บรรดาศิษย์ของตระกูลซาง ถึงได้เริ่มพูดคุยกัน
“นั่นเป็นใคร?”
“หล่อจริงๆ! ถูกเขามองสักแวบเดียว ให้ข้าตายข้าก็ยอม”
“บนโลกนี้มีชายหนุ่มที่หล่อเหลางดงามขนาดนี้อยู่ได้อย่างไรกัน? แทบจะเป็นคู่แข่งกับผู้หญิงทุกคนได้เลย!”
“เขามาปรากฎตัวอยู่ในตระกูลซางได้อย่างไร? หรือว่าเป็นแขกคนสำคัญของตระกูลงั้นหรือ?”
“เขากลับอยู่กับมู่ชิงเกองั้นหรือ? พวกเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน?”
เสียงพูดคุยกันทำให้ในใจของซางซุ่นหวางหวั่นไหว เขาพูดกับผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสาม “เจ้าสอง เจ้าสาม พวกเจ้าจัดการเรื่องหลังจากนี้ที”
หลังจากมอบภารกิจเสร็จแล้ว เขาก็รีบก้าวเท้าไปยังที่พักของมู่ชิงเกอ
ตอนนี้ถือเป็นโอกาสที่ไม่เลว เขาจะต้องไปถามชายคนนั้นว่ามีสถานะอย่างไรกันแน่!
มาถึงเรือนหลังเล็กของมู่ชิงเกอ ซางซุ่นหวางมองเห็นแค่เพียงโย่วเหอและเสวี่ยหยา
เขาไม่สนใจการห้ามของทั้งสองนาง มุ่งตรงไปยังหน้าห้องของมู่ชิงเกอ พอดีกับที่ซือมั่วเดินออกมา จึงเผชิญหน้ากันกับเขา
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” นัยน์ตาของซางซุ่นหวางฉายแววหวาดระแวงเอ่ยถามออกไป
แต่เดิมเขาคิดที่จะสอบถามความเป็นมาของซือมั่ว แต่ว่าคำตอบของซือมั่วกลับทำให้มุมปากของเขากระตุกอย่างรุนแรง
“ข้างั้นหรือ? แน่นอนว่าเป็นคู่หมั้นของเสี่ยวเกอเอ๋อร์น่ะสิ” ท่าทางเช่นนี้ ดูสุขุมและเรียบสงบ หรือจะพูดว่า เป็นท่าทีที่ดูเหมือนพูดเรื่องที่มีเหตุผลในตัวมันเองอยู่แล้วออกมา