ตอนที่ 324
ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพ จิตวิญญาณแห่งทวน!
ในห้องหลอมศาสตรา แววตาของมู่ชิงเกอกลายเป็นเคร่งเครียดขึ้น สายตาจ้องเขม็งไปยังทวนหลิงหลงที่ถูกพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดห้อมล้อมไว้
ตอนนี้ไม่อาจเรียกมันว่าทวนหลิงหลงได้อีกแล้ว
เพราะว่ามันได้กลายเป็นของมวลของเหลวสีทองกองหนึ่งไปแล้ว จะต้องขึ้นรูป หลอมตีและฉลุลายขึ้นใหม่!
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์นี่เป็นอาวุธของเจ้า ต่อจากนี้จะต้องติดตามเจ้าออกศึก ฉะนั้นเจ้าสามารถอาศัยโอกาสนี้นำพลังแห่งสายฟ้า พลังแห่งช่องว่างและพลังแห่งราก วิญญาณเพลิงหลอมรวมเข้าไปได้ เสริมให้มันเหมาะมือมากยิ่งขึ้น แล้วอีกอย่าง ที่เจ้าสามารถหลอมโอสถและหลอมศาสตราได้ นั้นก็แสดงว่าในกายของเจ้ายังมีรากวิญญาณธาตุไม้และรากวิญญาณธาตุทองสถิตอยู่ ในตอนที่เจ้าหลอมศาสตราก็สามารถลองดึงพวกมันออกมาได้” เสียงของซือมั่วดังขึ้น
‘ใช้พลังแห่งสายฟ้าพลังแห่งช่องว่างและพลังแห่งรากวิญญาณเพลิงหลอมศาสตรา? ยังมีรากวิญญาณธาตุไม้กับธาตุทองอีก?’ มู่ชิงเกอรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เสียสมาธิ นางเชื่อว่าซือมั่วไม่ได้หลอกลวงนาง ดังนั้นนางจึงได้ค่อยๆ หลับตาลง ตั้งใจสัมผัสค้นหา
“เจ้าที่สามารถหลอมโอสถและหลอมศาสตราได้นั้น เป็นการบอกอย่างชัดเจนว่ารากวิญญาณธาตุไม้และธาตุทองในตัวของเจ้าได้ตื่นขึ้นแล้ว เพียงแต่มันยังซ่อน เร้นอยู่ ซึ่งเจ้ายังไม่เคยไปคิดถึงสิ่งเหล่านี้ดังนั้นเลยไม่รู้สึกตัว” ซือมั่วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
ปัญญาแห่งการหยั่งรู้ของมู่ชิงเกอนำพานางไปยังสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง
นางไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน แต่สามารถยืนยันได้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายนาง
ท่ามกลางทะเลแห่งดวงดาว นางมองเห็นประกายสายฟ้าสายหนึ่งวาบผ่าน เมื่อมุ่งตามไป นางก็พบก้อนสายฟ้าก้อนหนึ่งที่หมุนวนไปมาอย่างต่อเนื่อง รอบด้านเต็ม ไปด้วยพลังแห่งสายฟ้า
‘นี่ก็เป็นพลังธาตุสายฟ้าของข้า!’ มู่ชิงเกอรู้ได้ในทันที ต่อจากนั้น นางก็มองเห็นก้อนสีขาวอีกก้อนหนึ่งอยู่ด้านข้างก้อนสายฟ้า ในก้อนกลมๆ นั้นแฝงไว้ซึ่งพลังแห่งช่องว่างที่มู่ชิงเกอคุ้นเคย ตรงจุดที่ห่างออกไปค่อนข้างไกลจากก้อนวงกลมสีขาว มีก้อนเปลวเพลิงเจ็ดสีที่หมุนวนไปมาไม่หยุดนิ่งอยู่
‘นี่เป็นรากวิญญาณเพลิงที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่ข้าเกิดเรื่องงั้นหรือ?’ มู่ชิงเกอเดินไปยังด้านข้างของก้อนเปลวเพลิง มองไปยังก้อนเปลวเพลิงเจ็ดสีดวงนั้น ด้านในของ มันเหมือนกับมีพลังแห่งเปลวเพลิงหลากหลายชนิดผสมปนเปกันอยู่
“หยวนหยวน…” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
พอเห็นก้อนเปลวเพลิงนี้แล้ว นางก็นึกไปถึงฉากที่หยวนหยวนพุ่งตัวเข้ามาช่วยนาง
เก็บกดความรู้สึกในใจเอาไว้แล้ว มู่ชิงเกอก็ถอยออกมาจากก้อนเปลวเพลิง ทำการค้นหาต่อไป
ซือมั่วพูดแล้วว่านางยังมีรากวิญญาณธาตุทองและธาตุไม้ เช่นนั้นน่าจะมีก้อนพลังอีกสองดวงถึงจะถูก!
มู่ชิงเกอตั้งใจหาไปรอบหนึ่ง ในที่สุด ตรงจุดที่ค่อนข้างห่างไกล ก็ได้พบกับก้อนพลังสองดวงที่หมุนวนรอบกันและกันอยู่
หนึ่งดวงเป็นสีเขียว อีกหนึ่งดวงเป็นสีทอง ก้อนพลังเล็กๆ สองก้อนนี้ต่างปล่อยกลิ่นอายอันบริสุทธิ์ ของธาตุไม้และธาตุทองออกมา
‘หาเจอแล้ว!’ มู่ชิงเกอเกิดความยินดีขึ้นในใจ
พอหารากวิญญาณธาตุไม้และธาตุทองพบ มู่ชิงเกอก็ถอยกลับออกมาในทันใด นางลืมตาขึ้น มองไปทางซือมั่วด้วยแววตายินดี
“หาเจอแล้ว?” ซือมั่วยิ้มเอ่ยขึ้น
มู่ชิงเกอพยักหน้า
ซือมั่วเอ่ย “ในระหว่างการหลอมให้เจ้านำพลังจากรากวิญญาณชนิดต่างๆ ใส่รวมเข้าไปด้วย หลอมพวกมันไปพร้อมกัน พอทำเช่นนี้แล้ว หลังจากนี้ไปเจ้าจะสามารถใช้พลังรากวิญญาณผ่านทางทวนหลิงหลงได้ และตัวทวนหลิงหลงเองก็จะพรั่งพร้อมไปด้วยพลังของธาตุเหล่านี้ ในภายภาคหน้ามันจะสามารถเพิ่มระดับไปถึงยุทธภัณฑ์ชั้นจอมเทพได้ด้วยตัวเอง”
“เยี่ยม!” ชั่วขณะนั้นมู่ชิงเกอกลายเป็นมีความมั่นใจขึ้นเป็นร้อยเท่า
นางยื่นมือออกไป นิ้วมือทั้งห้าเล็งไปทางพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด บนนิ้วทั้งห้าของนางต่างปรากฎเส้นแสงที่มีสีสันแตกต่างกันพุ่งออกมา
สีนํ้าเงิน!
สีขาว!
สีแดง!
สีเขียว!
สีทอง!
สีทั้งห้าสายพุ่งทะยานเข้าไปในพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด โอบล้อมรอบมวลของเหลวที่หลอมละลายมาจากทวนหลิงหลง หลอมรวมเข้าไปด้านในอย่างต่อเนื่อง
ระยะเวลาในการหลอมนั้นยาวนานมาก แต่ยิ่งหลอมนาน คุณภาพของอาวุธก็ยิ่งจะดีมากขึ้น
มู่ชิงเกอใช้พลังจิตของตัวเองเป็นเชื้อเพลิงดำเนินการหลอม เลยจำเป็นต้องกินโอสถฟื้นพลังเป็นระยะๆ เวลา ตลอดทั้งช่วงเช้าผ่านไป พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดได้ หลอมละลายวัตถุดิบอื่นๆ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในที่สุดมู่ชิงเกอก็สามารถดึงเอาพลังของรากวิญญาณที่ส่งออกไปกลับมาได้
นางกลืนโอสถลงไปเม็ดหนึ่งด้วยสีหน้าซีดขาว ก่อนจะมองไปทางซือมั่วพร้อมเอ่ยขึ้นกับเขาว่า “ช่วยข้าสกัดแร่สะเก็ดดาวสักเสี้ยวหนึ่งที”
ด้วยระดับพลังของนางในตอนนี้ เกรงว่าคงจะสกัดไม่ไหว
ซือมั่วพยักหน้า และก็ไม่ได้รู้สึกไม่ชอบใจที่ถูกใช้งาน ปลายนิ้วของเขาปรากฎแสงออกมาสายหนึ่ง วูบผ่านแร่สะเก็ดดาวอย่างรวดเร็ว เสี้ยวเล็กๆ ของแร่สะเก็ดดาวขนาดเท่านิ้วโป้งร่วงตกลงมา
“แค่นี้ก็น่าจะพอ” ซือมั่วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอพยักหน้า นำเสี้ยวแร่สะเก็ดดาวที่สกัดออกมาโยนลงไปในพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดเป็นพญาเพลิงที่มีอุณภูมิความร้อนสูงที่สุด ถึงแม้จะเป็นแร่สะเก็ดดาวที่แข็งและทนทานขนาดไหนก็ยังถูกมันหลอมละลายได้อยู่ดี
มู่ชิงเกอกลืนโอสถลงไปอีกหนึ่งเม็ด คงสภาพการเผาไหม้ของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดเอาไว้ หลังจากหลอมละลายแร่สะเก็ดดาวแล้ว จึงค่อยๆ นำมันรวมกับ
มวลของเหลวที่หลอมละลายมาจากทวนหลิงหลง
ขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาอีกหนึ่งวันหนึ่งคืน
สุดท้าย มวลของเหลวที่ผ่านการผสมรวมกันนั้นได้กลายเป็นของเหลวโปร่งแสงเปล่งประกายระยิบระยับกองหนึ่ง ทั้งยังมีแสงเจ็ดสีแฝงอยู่รางๆ
มู่ชิงเกอถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา มองไปทางซือมั่ว “ต่อจากนี้ก็จะเป็นการขึ้นรูปแล้ว”
ซือมั่วพยักหน้า มองไปทางมู่ชิงเกอที่มีสีหน้าซีดขาวอย่างปวดใจ
น่าเสียดายที่การหลอมศาสตราไม่สามารถทำแทนกันได้ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีทางยอมให้มู่ชิงเกอต้องมาเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้เป็นแน่
ในหัวของมู่ชิงเกอปรากฎโครงร่างของทวนหลิงหลงขึ้น
ทวนหลิงหลงอยู่กับนางมานานหลายปี แน่นอนว่านางจำได้อย่างชัดเจนถึงโครงสร้างทุกสัดส่วนและรายละเอียดทุกจุดของมัน
นางใช้พลังจิตชักนำมวลของของเหลวโปร่งแสงกองนั้นขึ้นรูปตามลักษณะของทวนหลิงหลงอย่างช้าๆ นางค่อยๆ ขึ้นรูปอย่างละเอียด ไม่ต้องการให้ตกหล่นแม้แต่เสี้ยวเดียว นางใช้เวลาทั้งคืนถึงขึ้นรูปทวนหลิงหลงได้เสร็จ
เมื่อมองไปยังทวนหลิงหลงที่ถูกเปลวเพลิงปกคลุมอยู่แล้ว มู่ชิงเกอก็รู้สึกเหมือนกับว่าตนเองกำลังล่องลอยไปอยู่อีกโลกใบหนึ่ง “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ต่อไปเป็นจิตวิญญาณแห่งอาวุธแล้ว” ซือมั่วเอ่ยเตือนขึ้น
มู่ชิงเกอมองไปทางเขา พยักหน้าอย่างจริงจัง
นางหลับตาลง เอ่ยขึ้นในใจว่า ‘หยวนหยวน หลังจากนี้เจ้าจะเป็นจิตวิญญาณแห่งอาวุธประจำทวนหลิงหลงแล้ว ไม่ว่าจะใช้เวลานานสักเพียงใด ข้าก็จะเพาะเลี้ยง เจ้า ให้เจ้าได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง กลายเป็นจิตวิญญาณแห่งอาวุธ กลับมาอยู่ข้างกายของข้าใหม่อีกครั้ง’ นางค้นหาจิตวิญญาณเสี้ยวหนึ่งของหยวนหยวนในห้วง ทะเลจิตวิญญาณของตนเอง ทำการห่อหุ้มมันอย่างทะนุถนอม ก่อนจะชักนำออกมานอกร่างกาย จิตวิญญาณเสี้ยวนั้นดูเหมือนกับเส้นสายทองก็ไม่ปาน เปล่งแสงสีทองจางๆ ออกมา
จิตวิญญาณขยับไปใกล้พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดอย่างช้าๆ
เปลวเพลิงร้อนแรงนี้ไม่ได้ทำให้มันถอยหนี กลับกันกลับทำให้มันรู้สึกคุ้นชิน พุ่งเข้าไปในเปลวเพลิงโดยตรง ไปทางทวนหลิงหลง
หลังจากที่เสี้ยวจิตวิญญาณสายนั้นเข้าไปในทวนหลิงหลงแล้ว ทวนหลิงหลงก็เปล่งแสงสีทองเจิดจ้าออกมา ก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย มองไม่เห็นอีกเลย
มู่ชิงเกอหลอมศาสตราอยู่ในห้องหลอมยุทธภัณฑ์มาห้าวัน ในช่วงเวลานี้ ซางซุ่นหวางก็มักมายืนอยู่ด้านนอกห้องหลอมยุทธภัณฑ์ทุกวัน
วันนี้ เขาก็มาที่นี่อีกครั้ง แต่จู่ๆ กลับปรากฎสายลมกรรโชกแรงขึ้น
แต่เดิมพายุทรายในเมืองฝูซาก็รุนแรงอยู่แล้ว ซางซุ่นหวางสะบัดแขนเสื้อปัดลมพายุทราย เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ทันใดนั้นค้นพบว่าด้านบนท้องฟ้าของห้อง หลอมยุทธภัณฑ์ได้ปรากฎพายุนํ้าวนขนาดยักษ์ขึ้น
นํ้าวนนั้นดูเหมือนจะเกิดขึ้นจากลมพายุอันบ้าคลั่งและดูรุนแรงผิดปกตินี้
นัยน์ตาทั้งสองข้างของซางซุ่นหวางหดเล็กลง ในแววตาแฝงร่องรอยของความตกตะลึง
เพียงครู่เดียวเขาก็สัมผัสได้ว่าทั่วทั้งเมืองฝูซา ไปจนถึงท้องฟ้าทั่วทั้งเขตภาคตะวันตกล้วนแต่ค่อยๆ มืดมิดลง
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ทำไมอยู่ๆ ฟ้าถึงมืดได้!”
คนอื่นๆ ของตระกูลซางต่างถูกทำให้ตกใจ เดินออกมาจากห้องของตน แม้กระทั้งชาวเมืองในเมืองฝูซา ไปจนถึงคนทั้งหมดของเขตภาคตะวันตก ก็ล้วนแต่ถูกทำให้ตกใจ
“ท่านประมุข! เกิดอะไรขึ้น?”
ผู้อาวุโสรองกับผู้อาวุโสสามนำศิษย์จำนวนหนึ่งรุดหน้า มาทางฝั่งนี้ เอ่ยถามกับซางซุ่นหวาง
พวกเขาที่มาที่นี่ต่างเป็นเพราะเห็นความผิดปกติจากด้านบนห้องหลอมยุทธภัณฑ์!
“เกอเอ๋อร์กำลังหลอมศาสตรา” ซางซุ่นหวางขมวดคิ้วแน่น อธิบายออกไปแค่เพียงประโยคเดียว
“หลอมศาสตรา? ทำไมถึงได้เกิดปรากฏการณ์ใหญ่โตเช่นนี้ได้?” ผู้อาวุโสรองเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ ผู้อาวุโสสามมองไปยังท้องฟ้าที่กำลังแปรปรวน ทอดถอนใจเอ่ยขึ้นว่า “ปรากฏการณ์นี้ใหญ่โตกว่าตอนหลอมศาสตราครั้งก่อนมากนัก!”
คำพูดที่ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจนี้ของเขากลับทำให้ดวงตาคู่นั้นของซางซุ่นหวางเบิกกว้างขึ้น ในใจปรากฎการคาดเดาที่ยากจะเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา
ทันใดนั้นเอง พายุนํ้าวนบนท้องฟ้าก็พลันปรากฎสายฟ้าขนาดยักษ์สายหนึ่งออกมา พุ่งตรงไปยังหลังคาของห้องหลอมยุทธภัณฑ์ ชั่วขณะนั้นทั่วทั้งท้องฟ้าต่างก็ถูกปกคลุมไว้ด้วยตาข่ายสายฟ้าละเอียดถี่ ราวกับว่าวันสิ้นโลกได้มาถึงแล้ว
อา!
สายฟ้าที่ฟาดลงมาอย่างกะทันหันนำพามาซึ่งเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกของผู้คน
แต่ว่าในตอนที่สายฟ้าร่วงตกไปบนหลังคานั้น กลับมีแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งสวนออกมา ประจัญหน้ากับสายฟ้า
ครืน!
เสียงสะท้านกังวานสายหนึ่งดังขึ้น สายฟ้าที่พุ่งปะทะกับแสงสีทอง หลังจากแล่นไปมารอบตัวมันไปรอบหนึ่งแล้ว ก็ถูกมันกลืนกินลงไป แสงสีทองสั่นไหวไปมาอย่างต่อเนื่องราวกับว่ายังไม่รู้สึกอิ่มกับสายฟ้าสายนี้
ต่อจากนั้นก็ยังมีสายฟ้าอีกสามสายฟาดลงมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดต่างถูกแสงสีทองกลืนกิน
ส่วนลึกของตระกูลซาง
ผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งหกกำลังยืนอยู่หน้าปากถํ้าที่ใช้เก็บตัวฝึกพลัง มองไปยังทิศทางของสายฟ้า บนใบหน้าของทุกคนต่างมีสีหน้าที่เคร่งขรึมจริงจัง
“พี่ใหญ่ มีคนกำลังหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพงั้นหรือ?” ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับสามเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงที่สั่นระริก
กี่ปีแล้ว? กี่ปีมาแล้วที่ตระกูลซางไร้ซึ่งอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพ?
ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับหนึ่งพยักหน้าอย่างช้าๆ
นี่ทำเอาผู้อาวุโสไท่ซ่างคนอื่นๆ พากันตื่นเต้นขึ้นมา
“คงเป็นมู่ชิงเกอเด็กสาวนางนั้นอย่างแน่นอน นอกจากนางแล้ว ในตระกูลซางตอนนี้ไม่มีใครมีพรสวรรค์เช่นนี้ได้อีกแล้ว” ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับสามเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น
ตอนนั้นเอง บนท้องฟ้าตระกูลซาง ก็ได้มีสายฟ้าฟาดลงไปถึง 16 สายแล้ว แต่กลับถูกแสงสีทองสายนั้นกลืนกินจนหมดสิ้น
ไม่รู้ว่าหูฝาดไปหรือไม่ เหล่าศิษย์ตระกูลซางที่ยืนแหงนหน้ามองท้องฟ้าอยู่บนพื้นคล้ายกับจะได้เสียงเรอออกมาจากแสงสีทองสายนั้น
ทันใดนั้น สายฟ้าก็สลายหายไป
แทนที่ด้วยเปลวเพลิงร้อนแรงสายหนึ่ง มันพุ่งออกมาจากส่วนลึกของพายุนํ้าวน พุ่งเข้าปะทะกับแสงสีทองสายนั้น
“นั้นมันอะไร! ทำไมถึงมีเปลวเพลิงเกิดขึ้นได้?” ผู้อาวุโสรองเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง
ซางซุ่นหวางกลับพยายามข่มกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ เอ่ยขึ้นเสียงขรึมว่า “ในบันทึกของบรรพชนมีบันทึกเอาไว้ว่าถ้าหากหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพออกมาได้ นอกจากทัณฑ์สายฟ้าแล้ว ยังจะมีเปลวไฟแห่งวิบากกรรมสามสาย ลงมาชำระล้างความชั่วร้าย ขัดขวางการฆ่าล้างที่ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพจะนำพามาสู่โลก”
พอผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามได้ฟังคำกล่าวนี้แล้ว ต่างอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไป ความหมายในประโยคนี้ก็คือ…มู่ชิงเกอไม่ได้กำลังหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะอย่างที่พวกเขาคาดเดาเอาไว้ แต่เป็นยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพ!
สวรรค์! นางเพิ่งจะเข้าสู่ขอบเขตของอาจารย์หลอมศาสตราระดับเทวะนานเท่าไหร่กันเชียว?
ตอนนี้ยังจะหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพออกมาอีก ดูจากสถานการณ์แล้ว น่าจะอยู่ในช่วงสำคัญช่วงสุดท้ายแล้ว
ถ้าหากหลอมสำเร็จ นางจะกลายเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพเพียงหนึ่งเดียวในโลกแห่งยุคกลางแห่งนี้ นี่ยังจะให้พวกเขาเหล่าผู้เฒ่าที่หลอม ศาสตรามาชั่วซีวิตเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
พอคิดถึงจุดนี้ ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามต่างอดไม่ได้ที่จะส่งสายตาเกรี้ยวกราดไปยังเหล่าศิษย์ไม่ได้ความที่อยู่ด้านหลัง
ดูคนอื่นเขา แล้วหันกลับมาดูเจ้าเด็กที่ไม่ได้ความพวกนี้!
ตอนนี้ พวกเขาทั้งสองคนต่างพากันอิจฉาซางซุ่นหวางอย่างถึงที่สุด!