ตอนที่ 329
กระจายเทียบเชิญผู้กล้า
ลั่วซิงเฉิง!
คืออะไร?
เกรงว่าก่อนที่จะได้รับเทียบเชิญจากตระกูลซางกับเขี้ยวมังกรนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรู้จักเมืองที่ชื่อลั่วซิงเฉิงเลย ไม่รู้และก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน
แม้ว่าจะเป็นคนที่เคยมีความทรงจำเกี่ยวกับมันอยู่บ้าง ก็คือคนที่อยู่มาเป็นหมื่นกว่าปีและตอนนี้ในโลกแห่งยุคกลาง คนที่อายุถึงขั้นนั้นส่วนมากล้วนแต่เก็บตัว ไม่ออกมายุ่งโลกภายนอก
ดังนั้นในตอนที่ชื่อเมืองที่ไม่เคยมีใครได้ยินหรือได้เห็นอย่างลั่วซิงเฉิงถูกกระจายออกไป สองเดือนหลังจากนั้น ก็มีเรื่องใหญ่สองเรื่องเกิดขึ้นพร้อมกัน เรื่องแรกก็คือ เขี้ยวมังกรที่เป็นหลิวเค่อระดับนภา อยู่ดีๆ กลับมีเมืองในการครอบครองขึ้นมา มีชื่อเรียกว่าลั่วซิงเฉิง
เขี้ยวมังกรกระจายเทียบเชิญผู้กล้า เชิญกองกำลังหลิวเค่อไม่น้อย ทั้งยังมีเหล่าตระกูลที่ร่วมมือกัน ให้มารวมตัวกันที่ลั่วซิงเฉิง
เรื่องที่สองก็คือ ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพที่ทำเอาลมเมฆทั่วทั้งภาคตะวันตกเปลี่ยนสีก็จะจัดงานเลี้ยงชื่นชมผลงานและสถานที่ที่จัดงานก็อยู่ที่ลั่วซิงเฉิง
นี่เป็นการเผยข้อมูลอะไรออกมาหรือเปล่า?
เขี้ยวมังกรกับตระกูลซางร่วมมือกัน? ทั้งสองจับมือกันแล้ว?
สืบความอย่างละเอียดอีกรอบ ก็สามารถได้ยินชื่อของมู่ชิงเกอออกมาอย่างง่ายดาย
ชั่วขณะนั้น คนไม่น้อยก็ล้วนแต่ตกตะลึงไป!
มู่ชิงเกอเป็นเจ้านายของเขี้ยวมังกร และก็ยังเป็นหลานนอกแซ่ของตระกูลซาง ทั้งยังเป็นคนที่หลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพออกมา หากมีความเกี่ยวพันเช่นนี้อยู่ภายในแล้ว เรื่องที่เขี้ยวมังกรร่วมมือกับตระกูลซางก็ไม่ได้มีอะไรน่าแปลกอีกแล้ว
นี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยที่ไล่ตามสืบที่มาของมู่ชิงเกอต้องถอยหลังในพริบตา
ใครก็ล้วนแต่คิดไม่ถึงว่าอัจฉริยะที่โผล่มาอย่างกะทันหัน ผู้นี้จะมีความสัมพันธ์อีกชั้นกับตระกูลซาง ชั่วเวลานั้น ความสงสัยมากเกินไป พลังดึงดูดมากเกินไป ทำให้สายสืบทั่วทั้งโลกแห่งยุคกลางล้วนแต่มุ่งหน้าไปยังสถานที่อันลึกลับแห่งภาคตะวันตก ลั่วซิงเฉิง!
และเมื่อเข้าไปในลั่วซิงเฉิงแล้ว เทียบเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงทั้งสองก็กลายเป็นที่แย่งชิงกันขึ้นมา
ระดับการแย่งชิงนั้นได้ไปถึงระดับที่ราคาสูงลิบแต่ไม่มีของแล้ว
“ข้าเสนอศิลาวิญญาณระดับกลาง 1,000 ! เทียบเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงในเมืองลั่วซิงเฉิงนี้ข้าจองแล้ว ใครก็อย่าได้มาแย่งกับข้าเชียว”
บนลานประมูลของหอสรรพสิ่ง มีเทียบเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงในเมืองลั่วซิงเฉิงออกมาประมูลสามฉบับ เมื่อข่าวสารนี้แผ่กระจายออกไป ก็เกิดความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในทันที บรรดาตระกูลนับไม่ถ้วนที่ไม่ได้รับเทียบเชิญ ต่างพากันเค้นสมองหาวิธีที่จะเข้ามาในลานประมูลของหอสรรพสิ่ง คิดจะประมูลเอาเทียบเชิญ เทียบเชิญฉบับแรกเพิ่งจะโผล่ออกมา ก็ประมูลไปสูงถึงระดับศิลาวิญญาณระดับกลาง 1,000 ก้อนแล้ว นี่ทำให้ในใจของคนที่จัดงานประมูลตื่นเต้นขึ้นมา
“แค่ศิลาวิญญาณระดับกลาง 1,000 ก้อนก็คิดจะเอาเทียบเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงในเมืองลั่วชิงเฉิงงั้นหรือ? ข้าเสนอศิลาวิญญาณระดับกลาง 1,500 ก้อน!”
“ข้าเสนอ 1,700 !”
“1,800 !”
“1,900 !”
“2,000 !”
เสียงเสนอราคายังคงดังขึ้นต่อไป เทียบกับความคึกคักที่ห้องโถงประมูลด้านนอกแล้ว ภายในห้องรับรองส่วนตัวบนชั้นสองบางห้องกลับดูเงียบสงบไปมาก
มู่ชิงเกอนั่งอยู่บนเก้าอี้ยกขาขึ้นไขว่ห้าง มุมปากมีรอยยิ้มมองไปยังบรรยากาศอันคึกคักด้านนอก
มือขวาของนาง เคาะที่วางแขนเก้าอี้เรื่อยๆ บนนิ้วเรียวมีปลอกนิ้วงดงามแฝงความแหลมคมและกลิ่นอายพลังจิต
ด้านหลังของนาง มีโย่วเหอกับเสวี่ยหยายืนอยู่
“นายน้อย คนเหล่านี้ช่างบ้าคลั่งเกินไปแล้ว เป็นเพียงแค่เทียบเชิญฉบับหนึ่งเท่านั้นแท้ๆ” โย่วเหอมองไปยังภาพการแย่งชิงอันดุเดือดภายนอกแล้วก็อดตกตะลึงไม่ได้
เพิ่งจะพูดไปสองประโยค ราคาด้านนอกก็พุ่งไปอยู่ที่ ศิลาวิญญาณระดับกลาง 3,800 ก้อนแล้ว
รอยยิ้มที่มุมปากของมู่ชิงเกอกว้างขึ้น เอ่ยกับนางว่า “ขอเพียงแค่มีจุดขายมากพอ ถึงแม้จะเป็นกระดาษไร้ประโยชน์แผ่นหนึ่ง ก็สามารถประมูลให้ราคาสูงได้” บัญชีรายชื่อที่เชิญเข้ามาร่วมงานในครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นทางฝังเขี้ยวมังกรหรือว่าฝังทางตระกูลซาง นางก็ล้วนแต่ไม่ได้เข้าร่วม
กลับคิดไม่ถึงเลยว่าหานฉายไฉ่จะส่งคนมาบอกนางว่า ให้นางเอาเทียบเชิญว่างเปล่าสามฉบับออกมาให้หอสรรพสิ่งประมูล ราคาที่ประมูลได้ เขาจะรับไปเพียงสามส่วน อีกเจ็ดส่วนเป็นของนาง
แต่เดิม มู่ชิงเกอก็ไม่คิดจะสนใจเขา
แต่ก็รู้สึกว่าหากไม่หาเงินก็คือคนโง่ ดังนั้นถึงได้ฝืนตกลงไป ถึงอย่างไรการทำเช่นนี้นางก็ไม่ได้เสียอะไร ไม่เพียงแต่ได้เงิน แต่ยังช่วยสร้างชื่อให้ลั่วซิงเฉิงอีก
“ประมุขน้อยหานผู้นี้เป็นผู้มีพรสวรรค์จริงๆ รู้ว่าทุกคนต่างอยากได้บัตรเชิญของลั่วซิงเฉิง ถึงได้มาขอเทียบเชิญว่างเปล่าสามฉบับจากนายน้อย แต่ทว่า เสวี่ยหยา ไม่เข้าใจว่าทำเช่นนี้แล้ว นอกจากจะทำให้ลั่วซิงเฉิงเป็นที่รู้จักของคนมากขึ้นแล้ว เขาลงแรงลงความคิดทำขนาดนี้กลับได้เพียงแค่กำไรสามส่วน นี่ไม่ใช่เป็นการเสียเปรียบงั้นหรือ?” นัยน์ตาสดใสเปล่งประกายแสงคู่นั้นของเสวี่ยหยาจับจ้องมองมู่ชิงเกอ ในใจอยากจะขอคำชี้แนะ
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว หัวเราะเอ่ยว่า “หากดูแค่ผิวเผิน ที่ได้เปรียบนั้นล้วนแต่เป็นข้าได้รับไป แต่ว่าหานฉายไฉ่นั้น เป็นคนที่หากไม่มีผลประโยชน์จะไม่ยอมตื่นเช้า การค้าขายที่ขาดทุนนั้นเขาไม่มีทางทำอย่างเด็ดขาด เสวี่ยหยา เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า หลังจากงานประมูลครั้งนี้จบลงแล้ว ระดับชื่อเสียงของหอสรรพสิ่งคงจะสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนไปมากโข”
“ระดับชื่อเสียง?” เสวี่ยหยาขมวดคิ้ว ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
เรื่องเกี่ยวกับการค้าขายเช่นนี้นางไม่รู้จริงๆ นางไม่เข้าใจ แต่โย่วเหอกลับเข้าใจแล้ว
“ประมุขน้อยหานผู้นี้มีความคิดดุจดั่งจิ้งจอกจริงๆ เกรงว่าคงมีแต่เฉพาะคุณชายเท่านั้นที่มองออก ตอนนี้นั้น เทียบเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงของเมืองลั่วซิงเฉิงนั้นหาได้ยาก แต่หอสรรพสิ่งกลับได้มาประมูลอย่างง่ายดายถึงสามฉบับ นี้ไม่ใช่ว่าเป็นการประกาศถึงกำลังของพวกเขาหอสรรพสิ่งหรือ? และยังแอบซ่อนความหมายลึกๆ ไว้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขากับลั่วซิงเฉิงของพวกเรา นั้นไม่ธรรมดา” โย่วเหอหัวเราะเอ่ยออกมา
“ก็คือความหมายนี้” มู่ชิงเกอพยักหน้า กวาดตามองไปยังโย่วเหอแวบหนึ่ง ส่งสายตาชื่นชมไปให้นาง
“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง!” ได้โย่วเหออธิบาย ชั่วขณะนั้นเสวี่ยหยาก็เข้าใจขึ้นมา
เมื่อเข้าใจแล้ว ในใจของนางก็รู้สึกนับถือมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่นับถือหานฉายไฉ่ แต่กลับยิ่งนับถือมู่ชิงเกอ
ฝ่ายหน้าวางแผนการเอาไว้ แต่นายน้อยของพวกนางกลับสามารถมองออกได้อย่างชัดเจน นี่ไม่ใช่หมายถึงสติปัญญาของนายน้อยเหนือกว่าประมุขน้อยหาน หรือ
คิดมาถึงตรงนี้ในใจของเสวี่ยหยาก็เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา
“แต่ว่าโย่วเหอก็ไม่เข้าใจแล้วว่าในเมื่อคุณชายเข้าใจทั้งหมด แล้วเหตุใดยังให้หอสรรพสิ่งได้ประโยชน์นี้ไปด้วย?” โย่วเหอขมวดคิ้วเอ่ย
มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ปล่อยออกมา พลางพูดไปว่า “หากปฏิเสธไปแล้ว เขาก็จะคิดว่าข้าร้อนตัวน่ะสิ”
ร้อนตัว?
โย่วเหอและเสวี่ยหยาสบตากันแวบหนึ่งล้วนแต่ไม่เข้าใจ
ส่วนมู่ชิงเกอก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้คิดจะอธิบาย เวลานี้ เทียบเชิญฉบับแรกได้ถูกประมูลไปแล้ว ราคาที่ถูกประมูลไปก็คือศิลาวิญญาณระดับกลาง 5,200 ก้อน นี่เป็นเพียงแค่ฉบับแรกเท่านั้น อีกสองฉบับหลังไม่รู้ว่าจะประมูลไปถึงระดับไหน
ศิลาวิญญาณระดับกลาง 5,200 ก้อนก็คือศิลาวิญญาณระดับตํ่า 520,000 ก้อน!
นี่หมายความว่าอย่างไร? ศิลาวิญญาณระดับตํ่า 520,000 ก้อน นี่เท่ากับรายจ่ายสิบปีของตระกูลระดับกลางตระกูลหนึ่งแล้ว ไม่นาน เทียบเชิญอีกสองฉบับก็ถูกประมูลไปในราคาสูงลิ่ว
ฉบับหนึ่งประมูลได้ศิลาวิญญาณระดับกลาง 10,100 ก้อน ส่วนฉบับสุดท้าย ราคาสูงมาก ประมูลได้ศิลาวิญญาณระดับกลาง 80,000 ก้อน
เทียบ เชิญทั้งสามฉบับบนี้ มอบศิลาวิญญาณระดับกลางเข้ากระเป๋ามู่ชิงเกอทั้งหมดเกือบเจ็ดหมื่นก้อน
การประมูลเทียบเชิญทั้งสามฉบับเสร็จสิ้นลง แต่การประมูลยังคงมีต่อไป เพียงแต่คนที่เข้าร่วมก็น้อยลงไปหลายส่วน ดูเหมือนว่าความคึกคักของพวกเขาจะอยู่ที่เทียบเชิญของลั่วซิงเฉิงสามฉบับนี้เท่านั้น
ทันใดนั้น ห้องรับรองส่วนตัวก็มีเสียงเคาะประตูดังเข้ามา
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไป หลังจากส่งสัญญาณให้เสวี่ยหยาแล้ว ฝ่ายหลังถึงได้เดินไปเปิดประตู
คนที่เข้ามานั้นคือหานฉายไฉ่ ในมือของเขาถือกระเป๋าจัดเก็บอันหนึ่ง ที่บรรจุอยู่ด้านในนั้นน่าจะเป็นเงินส่วนที่เป็นของมู่ชิงเกอ
เขายังคงสวมชุดลายดอกไม้ที่ดูเย้ายวนใจ เมื่อรวมกับใบหน้าที่งดงามก็ดุจดังปีศาจท่ามกลางดอกไม้ก็ไม่ปาน
สาบเสื้อที่คลายออก เผยให้เห็นแนวกระดูกไหปลาร้าที่แฝงไปด้วยเสน่ห์ยั่วยวนตามจังหวะการก้าวเดินของเขา เขาเดินตรงมานั่งลงที่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ ยื่นกระเป๋าจัดเก็บในมือให้แก่นาง
มู่ชิงเกอสะบัดมือ กระเป๋าจัดเก็บก็ลอยออกมาจากมือของหานฉายไฉ่ ตกเข้าไปในมือของนาง
นางใช้จิตวิญญาณลงไปสำรวจ ด้านในนั้นล้วนแต่เป็นศิลาวิญญาณระดับกลางที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายพลังจิต หลังจากนับจำนวนแล้ว นางก็เก็บจิตวิญญาณออกมา ส่งกระเป๋าจัดเก็บให้เสวี่ยหยาเก็บไว้
“ข้ายังคิดว่าเจ้าจะไม่ยอมพบข้าอีกแล้ว” เมื่อทำเรื่องหลักเสร็จแล้ว หานฉายไฉ่ถึงได้มองมาที่มู่ชิงเกอ ดวงตาเรียวยาวฉายแววขมขื่น
มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ “หากว่าคุยเรื่องเป็นการเป็นงาน ก็เชิญพูด หากจะพูดเรื่องส่วนตัว เจ้ากับข้าไม่มีเรื่องส่วนตัวอะไรต้องพูดกัน”
“เจ้าจะตัดรอนความสัมพันธ์กับข้าไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ? ข้าก็เคยขอโทษเจ้าไปแล้วนี่” หานฉายไฉ่พูดอย่างหมดหนทาง
มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้า “หากว่าเจ้าสามารถปล่อยวางได้จริง พวกเราก็สามารถกินดื่มด้วยกันเหมือนเช่นแต่ก่อนได้ เพียงแต่เจ้าดื้อดึงเกินไป ไม่ยอมปล่อย ข้าก็ทำได้เพียงแต่หลีกเลี่ยงแล้ว ข้าไม่ได้อยากจะสร้างความเข้าใจผิดอะไรให้กับเจ้าอีก”
“เจ้ายังคงเป็นคนไร้หัวใจจริงๆ” หานฉายไฉ่กัดฟันเอ่ยออกไป
ความรู้สึกที่เขามีให้กับมู่ชิงเกอในตอนนี้นั้นวุ่นวายสับสนมาก ใช้คำว่ารักปนแค้นมาอธิบายคงจะเหมาะสมที่สุด ผู้หญิงคนนี้ไม่มีใจให้เขา แต่เขาก็ยังพยายามหาข้ออ้างต่างๆ นานา เพื่อที่จะมาพบนางอีก
ทุกๆ ครั้ง เขาก็ล้วนบอกตัวเองว่า ขอแค่ได้พบหน้าสักครั้ง พูดคุยด้วยสักหลายประโยคก็ดีมากแล้ว
แต่ทุกๆ ครั้งที่พบหน้าแล้ว เขากลับพบว่าเขาต้องการมากกว่านั้น
“ขอบคุณที่ชม สำหรับใครหลายคนแล้ว ข้านั้นเลือดเย็นไร้หัวใจจริงๆ” มู่ชิงเกอพูดอย่างเรียบเฉย ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเพราะคำพูดของหานฉายไฉ่เลย การพูดคุยกันระหว่างทั้งสองคน ทำให้เสวี่ยหยารู้สึกมึนงงและไม่เข้าใจ
แต่ว่า นางกลับสามารถสัมผัสได้ว่าประมุขน้อยหานผู้นี้มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับนายน้อยของตนเอง เป็นความรู้สึกที่ไม่ปกติ การค้นพบนี้ ทำให้นางตกใจไป มองไปยังโย่วเหอโดยไม่รู้ตัว
โย่วเหอกลับสงบมาก ไม่ได้แสดงท่าทีแปลกประหลาดใจ นี่ทำให้เสวี่ยหยาหงุดหงิดเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะตนเองรู้สึกพลาดไป หรือว่าโย่วเหอสัมผัสได้ไม่เหมือนกันกันแน่
‘ประมุขน้อยหานนี่คือ…นายน้อยชอบผู้ชายอย่างนั้นหรือ? หรือว่าชอบผู้หญิง?’ ปัญหานี้ทำให้เสวี่ยหยาสับสน
“เจ้าคิดจะไปที่ไหนต่อ?” หานฉายไฉ่ปล่อยคำตอบของปัญหาที่ไม่สามารถได้รับคำตอบจากมู่ชิงเกอไปและเปลี่ยนคำถาม
แต่ว่ามู่ชิงเกอก็ยังคงไม่ให้ความร่วมมือ เพียงแต่เอ่ยว่า “ข้าจะไปไหน ไม่รบกวนให้ประมุขน้อยหานเป็นห่วง ใช่แล้ว พอดีได้บอกประมุขน้อยหานเรื่องหนึ่ง สัญญาความร่วมมือเรื่องยาระหว่างพวกเราเมื่อครั้งก่อน ต่อไปจะมอบให้เป็นหน้าที่ของเสวี่ยหยา นางจะส่งยาไปตามวันเวลา รายได้เจ้าก็มอบให้นางได้เลย”
พูดจบแล้ว เสวี่ยหยาก็ยอบกายให้หานฉายไฉ่
ท่าทีที่มู่ชิงเกอหลบเลี่ยงเขา ไม่ยอมมอบโอกาสให้เขาได้พบหน้าอีกครั้ง การรับรู้เช่นนี้ทำให้ในใจของหานฉายไฉ่ เจ็บปวดขึ้นมา แทบคิดอยากจะบีบคอผู้หญิงใจเหี้ยมผู้นี้เสีย แต่สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงลุกขึ้นยืนจากไปด้วยความโกรธ
หลังจากเขาจากไปแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้หรี่ดวงตาทั้งคู่ลง พร้อมยิ้มอย่างเย็นชา พูดกับทั้งสองนางว่า “ไปเถอะ ควรที่จะกลับลั่วซิงเฉิงแล้ว”