Skip to content

พลิกปฐพี 330

ตอนที่ 330

ลั่วซิงเฉิงในวันนี้

ภายในลั่วซิงเฉิงไม่ได้เป็นดินแดนรกร้างอีกต่อไปแล้ว ถนนของเมืองที่ถูกต้นไม้ใบหญ้าปกคลุม ได้ถูกทำความสะอาดออกไป ทำให้เห็นถึงความกว้างใหญ่ดังเดิม

มู่ชิงเกอเดินไปบนถนนมุ่งไปยังลั่วซิงเฉิงกวาดตามองบรรยากาศรอบด้าน เทียบกับครั้งแรกที่นางมานั้น ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว โครงสร้างของเมืองอันทรงพลังเผยให้เห็นเสาอสูรรักษาเหล่านั้นไกลออกไป นอกและในกำแพงเมือง มีคนจำนวนไม่น้อยกำลังวุ่นวายทำหน้าที่ของตนเอง

“นายน้อย เพื่อซ่อมแซมลั่วซิงเฉิง มั่วหยางได้รับสมัครช่างฝีมือมากมาย ยังมีช่างจิปาถะอีก มิเช่นนั้นอาศัยเพียงแค่พวกเราองครักษ์เขียวมังกร เกรงว่าภายในเวลา อันสั้นขนาดนี้ ก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะใช้ให้คนพักอาศัยได้หรือไม่” โย่วเหอเดินอยู่ข้างมู่ชิงเกอ พูดเสียงเบา

มู่ชิงเกอพยักหน้า เอ่ยว่า “ยังคงเป็นที่ของตนเองที่ทำให้รู้สึกมีความสุขจริงๆ”

ต่อมานางก็เอ่ยกับสองนางว่า “พวกเราเข้าไปกันเถอะ อย่าทำให้คนแตกตื่น”

พูดแล้ว นางก็หิ้วโย่วเหอและเสวี่ยหยาพริบตาเดียวก็หายตัวไปจากถนน เมื่อปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง ก็เข้าไปอยู่ในปราสาทภายในลั่วซิงเฉิงแล้ว

เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย หยินเฉินก็เงยหน้าขึ้น มาจากกองภาพหันไปมองเงาร่างที่คุ้นเคยที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา

“ชิงเกอ!” ภายในนัยน์ตาสีแดงเลือดของหยินเฉินฉายแววยินดี เขารีบเดินลงไปคว้าแขนของมู่ชิงเกอ “ข้าคิดว่าอีกหลายวันเจ้าถึงจะมาถึง”

มู่ชิงเกอยิ้มๆ เอ่ยกับเขาว่า “หยินเฉิน ช่วงนี้ลำบากเจ้าแล้ว”

“ไม่ลำบาก” หยินเฉินส่ายหน้าเอ่ยขึ้น

เขาไม่ได้เจอมู่ชิงเกอมานานแล้ว วันนี้ได้พบเมื่อเขาสังเกตดูกลับพบว่าภายในดวงตาของนางปรากฎร่องรอยของความโศกเศร้าจางๆ ซ่อนอยู่

“ชิงเกอ เจ้าเป็นอะไรไปหรือ?” หยินเฉินอดถามไม่ได้

มู่ชิงเกอยิ้มๆ แล้วส่ายหน้า

นางเดินไปตรงหน้ากองภาพ หยิบติดมือขึ้นมาหนึ่งแผ่น แล้วตรวจดู “เหล่านี้ล้วนแต่เป็นแผนภาพซ่อมแซมเมืองงั้นหรือ?”

เห็นนางไม่ยอมพูด หยินเฉินก็ได้แต่วางความกังวลใจลงชั่วคราว เดินเข้าไปเอ่ยกับนางว่า “ไม่ผิด ล้วนแต่ทำตามที่เจ้าวางแผนเอาไว้ห่างจากวันบนเทียบเชิญอีกหนึ่งเดือน ช่วงเวลานี้ มั่วหยางวุ่นวายเรื่องรับสมัครหลิวเค่อ เรื่องเก็บตกงานการซ่อมแซมเมืองมอบให้ข้ารับผิดชอบ ใช่แล้วเหมยจื่อจ้งทำตามคำแนะนำของเจ้า สร้างร้านยาแล้วก็ยังมีโรงหมอขึ้นภายในเมือง ร้านยาผลิตยาออกมาก็สามารถขายให้หลิวเค่อได้ โรงหมอก็รับสมัครพวกที่มีพรสวรรค์เรียนด้านยามาเล็กน้อย แล้วก็ยังมีศิษย์ที่มีพรสวรรค์ต้านการหลอมยา เล่าเรียนไปด้วยและเพื่อให้ในอนาคตสามารถช่วยรักษาให้ประชาชนในเมืองได้ เซวี่ยนหย่ารับผิดชอบกิจการภายในของเมือง ซึ่งก็จัดการได้เป็นอย่างดี ฮวาเยวี่ยรับผิดชอบกิจการข่าวกรอง

สำหรับงูจอมตะกละ…

เมื่อพูดถึงไป๋สี่ หยินเฉินก็ขมวดคิ้วขึ้น เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ยั้งเอาไว้

มู่ชิงเกอวางภาพกระดาษในมือลง หันมองเขาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไป๋สี่เป็นอะไร?”

ท่าทางของหยินเฉินดูแปลกประหลาดขึ้นมา เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ก็ไม่มีอะไร เพียงแต่หลังจากนางมาแล้วก็เหมือนว่าจะกินสัตว์อสูรวิญญาณในละแวกใกล้เคียงไปจนหมดแล้ว”

มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก หัวเราะเอ่ยว่า “ไม่ก่อเรื่องก็ดีแล้ว”

หยินเฉินพยักหน้า

“บรรดาคนที่มู่เฉินนำมาเหล่านั้น พวกเจ้าจัดการอย่างไร?” มู่ชิงเกอคิดเล็กน้อยแล้วก็พูดออกไป

มู่เฉินและมู่เผิงถูกนางส่งไปหาตระกูลมู่ของโลกแห่งยุคกลาง ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในเมือง ส่วนตอนนี้ที่อยู่ตระกูลซางก็มีเพียงแค่ราชครูคนเดียว เมื่อถึงเวลาเขาก็จะตามพวกซางซุ่นหวางมาพร้อมกัน จากนั้นก็จะอยู่ในลั่วซิงเฉิง

หยินเฉินเอ่ยว่า “พวกเขา…เพราะว่าเจ้าไม่อยู่ พวกข้าก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี ตอนนี้จึงจัดที่พักให้พวกเขาอยู่ชั่วคราว จากนั้นก็ให้ไปทำเรื่องซ่อมแซมเมืองร่วมกันกับองครักษ์เขี้ยวมังกร”

“พวกเขาไม่ได้มีอะไรไม่พอใจใช่ไหม” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

หยินเฉินครุ่นคิดเล็กน้อยถึงได้เอ่ยว่า “ไม่มี”

มู่ชิงเกอพยักหน้า แล้วถึงเอ่ยกับเขาว่า “ช่วงเวลานี้ให้เจ้าจัดการเรื่องซ่อมแซมลั่วซิงเฉิงไป เกรงว่าคงจะถ่วงเวลาในการฝึกปรือของเจ้า รอช่วงเวลานี้ผ่านไปแล้ว เจ้าก็ค่อยตั้งใจฝึกฝน”

“ได้” หยินเฉินไม่ได้ปฏิเสธ เพราะว่าเขารู้ว่าเพียงต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น ถึง จะสามารถปกป้องมู่ชิงเกอ คุ้มครองนางให้ปลอดภัยได้

“เรื่องกองทัพมังกรซ่อนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

หยินเฉินส่ายหน้า “เรื่องกองทัพมังกรซ่อนมีมั่วหยางรับผิดชอบเป็นหลัก ข้าก็ไม่ค่อยชัดเจน แต่ว่ากองทัพมังกรซ่อนของพวกเรามีกฎที่เคร่งครัด ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมรับสมัครมาจนถึงวันนี้แต่มีเพียงหนึ่งพันคนเท่านั้นที่มาสมัคร”

“ไม่รีบ วันต่อๆ ไปจะมีคนมามากกว่านี้” มู่ชิงเกอไม่ได้ กังวลใจเลยแม้แต่น้อย

หลังจากถามเรื่องราวสถานการณ์คร่าวๆ เสร็จแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้พูดกับหยินเฉินว่า “แจ้งคนอื่นๆ ทีว่าจะเปิดประชุม”

“ได้” หยินเฉินรับคำสั่งแล้วถอยออกไป

เดินออกไปนอกตำหนัก เขาก็ยังไม่วางใจเกี่ยวกับเรื่องที่หว่างคิ้วของมู่ชิงเกอเผยร่องรอยโศกเศร้าจางๆ ออกมา

ข่าวที่มู่ชิงเกอเข้ามาในเมืองกระจายเข้าสู่หูของบรรดาลูกน้องของนางอย่างรวดเร็ว

พวกเขาทยอยพากันวางงานในมือรีบกลับมายังห้องโถงใหญ่ในปราสาท ก็มองเห็นมู่ชิงเกอยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะประธานกำลังชมดูแผนที่ของลั่วซิงเฉิงอยู่

“คุณชาย!”

“ชิงเกอ!”

“นายน้อย!”

“ครูฝึก!”

กว่าสิบคนทยอยพากันเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ ยืนอยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาที่สดใสกวาดมองไปยังทุกคน ในจำนวนนั้นมีอยู่สามคนที่แปลกหน้าไปบ้าง แต่ก็มีความทรงจำอยู่ มู่ชิงเกอครุ่นคิด หารายชื่อสถานะ

สามคนนี้เป็นคนที่ติดตามอยู่ข้างกายของมู่เฉิน

มู่เฉินไม่อยู่ มู่ชิงเกอเปิดประชุม พวกเขาแน่นอนว่าต้องมาแทน

นอกจาก…หยินเฉิน ไป๋สี่ มั่วหยาง โย่วเหอ ฮวาเยวี่ย เสวี่ยหยา เซวี่ยนหย่า เหมยจื่อจ้ง จิงไห่ เซวี่ยนขุย ล้วนแต่อยู่ไม่ขาดใครสักคน

มู่ชิงเกอพยักหน้า “ดีมาก มาครบกันแล้ว”

นางชี้มือไปที่แถวเก้าอี้สองแถวซ้ายขวา เอ่ยกับทุกคนว่า “นั่งเถอะ”

ทุกคนนั่งลงตามคำสั่ง แต่จิงไห่หลังจากนั่งแล้วก็ยืนขึ้นมาอีก เอ่ยถามมู่ชิงเกอว่า “ครูฝึก อาจารย์อาเล็กละ? เขาไม่ได้กลับมาพร้อมท่านหรือ?”

พูดถึงหยวนหยวน ท่าทางของมู่ชิงเกอก็แข็งค้างไป ตรงหน้าดูเหมือนจะปรากฎภาพฉากที่หยวนหยวนเข้ามาขวางที่ตรงหน้าของนางขึ้นมา

ท่าทางที่ดูแปลกประหลาดไปของนาง ดึงดูดความสนใจของทุกคนไว้ในทันที

คนที่นั่งอยู่ทยอยพากันลุกขึ้นมา มองไปที่นางด้วยท่าทีที่ดูเคร่งเครียด

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ สายตามองไปที่ปลอกนิ้วบนนิ้วมือข้างขวาของตนเอง แสงสีทองสว่างวาบ ทวนหลิงหลงที่ถูกหลอมขึ้นใหม่ปรากฎตัวอยู่ข้างกายของนาง ลอยตัวกลางอากาศ แผ่กระจายไอพลังออกมา

ไป๋สี่สูดจมูกดมๆ หลุดสียงเอ่ยออกมาว่า “ในนี้มีกลิ่นอายของหยวนหยวน”

“หยวนหยวน…ตอนนี้ได้กลายเป็นจิตวิญญาณของทวนหลิงหลงแล้ว ยังอยู่ในสภาวะหลับลึก เจียงหลี…หายสาบสูญไป” มู่ชิงเกอพูดประโยคนี้ออกมาอย่างยากลำบาก

ประโยคนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงหน้าถอดสี พวกเขาไม่รู้ว่าระยะเวลาก่อนหน้านี้มู่ชิงเกอได้ผ่านประสบการณ์อะไรมากันแน่

จากนั้น มู่ชิงเกอถึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหานชุ่นให้ทุกคนฟังรอบหนึ่ง

นางไม่ได้พูดอย่างละเอียดมาก แต่กลับทำให้คนที่คุ้นเคยดีกับนาง สัมผัสได้ถึงความยากลำบากในการต่อสู้ในครั้งนั้น!

พริบตานั้นไป๋สี่ก็มาปรากฎไปอยู่ที่ข้างกายของมู่ชิงเกอ โอบกอดนางและเอ่ยกับนางว่า “ต่อไปข้าจะไม่จากไปแล้ว ข้าจะเฝ้าอยู่กับเจ้า คุ้มครองเจ้าให้ดี!”

นางรู้สึกเสียใจ เหตุใดไม่ทำเรื่องราวให้เสร็จแล้วย้อนกลับไปยังตระกูลซาง? เพราะว่ามู่ชิงเกอให้นางอยู่ที่นี่ นางก็อยู่ที่นี่ ทำเรื่องไร้สาระอยู่ตั้งนาน แต่กลับไม่รู้ว่ามู่ชิงเกอเกือบจะสิ้นชีพไปแล้ว

“ไป๋สี่ ข้าไม่เป็นไร ตอนนี้ผลลัพธ์ก็ไม่ได้ถือว่าเลวร้ายมาก อย่างน้อย หยวนหยวนก็ยังมีโอกาสที่จะกลับคืนมา เจียงหลีก็ยังมีโอกาสที่จะหาตัวพบ สำหรับชีวิตของมู่เทียนอินนั้น ข้าจะต้องไปเอามาให้ได้!” มู่ชิงเกอดึงแขนของไป๋สี่ลงมาแล้วพูดกับนาง

“ชิงเกอ…”

“คุณชาย…”

“ครูฝึก…ฮือ ฮือ ฮือ…อาจารย์อาเล็ก…” จิงไห่อายุยังน้อย ชั่วขณะนั้นจึงควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ร้องไห้วิ่งออกไป เขาเองก็เจ็บปวดใจที่ตนเองไม่มีประโยชน์ไม่ สามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับมู่ชิงเกอได้ไม่สามารถเป็นดั่งเช่นหยวนหยวนที่ปกป้องมู่ชิงเกอ

คนที่ยืนอยู่ในห้องโถง นอกจากคนสามคนของมู่เฉินแล้ว ที่เหลือก็ล้วนแต่เป็นคนที่มีความรู้สึกลึกลํ้ากับมู่ชิงเกอ

ในที่สุดหยินเฉินก็รู้สาเหตุที่หว่างคิ้วของมู่ชิงเกอมีร่องรอยของความเจ็บปวดว่ามาจากไหน

เหมยจื่อจ้งมองนางอย่างปวดใจ

ร่างกายของมั่วหยางแข็งทื่อกำหมัดแน่น ดูเหมือนว่าจะเสียใจที่ไม่ได้คอยเฝ้าอยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอ ทำให้นางต้องแบกรับคนเดียวมากมายขนาดนี้

“เอาละ ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว” มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยกับทุกคนว่า “ที่เรียกพวกเจ้ามาในวันนี้ที่สำคัญก็คือ อยากจะรับรู้เรื่องความคืบหน้าในด้านต่างๆ ห่างจากวันที่ลั่วซิงเฉิงจะเป็นที่รู้จักไปทั่วใต้หล้าอีกหนึ่งเดือน ต้องลำบากทุกคนหน่อย ทำให้ทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ยังมี…”

นางมองไปยังคนสามคนที่มู่เฉินนำมา

เห็นสายตาของมู่ชิงเกอมองมา ทั้งสามคนก็รีบทำความเคารพทันที พูดขึ้นพร้อมกันว่า “นายน้อย!”

มู่ชิงเกอเดินลงมาจากแท่นสูง มายืนไม่ห่างจากพวกเขา เอ่ยกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าสามร้อยคน ต่อไปก็เรียกว่าองครักษ์ปีกมังกรให้เป็นเหมือนกับองครักษ์เขี้ยวมังกร เป็นแขนซ้ายแขนขวาของข้า ยังคงฟังคำสั่งจากมู่เฉิน และมู่เผิงดังเดิม แต่พวกเจ้าต้องจดจำเอาไว้ว่าข้าถึงเป็นนายของพวกเจ้า สำหรับเรื่องอื่นๆ สิ่งที่องครักษ์เขี้ยวมังกรมี พวกเจ้าก็จะมี ข้าไม่ลำเอียง วันปกติฝึกฝน พวกเจ้าก็ร่วมกันกับองครักษ์เขี้ยวมังกร นอกจากนั้นพวกเจ้าก็สามารถเข้าร่วมทำภารกิจของหลิวเค่อกับเขี้ยวมังกร เป็นเหมือนกันกับเขี้ยวมังกร หากว่าไม่มีภารกิจก็รักษาความสงบเรียบร้อยภายในเมือง”

นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางดีเอ็นเอแล้ว มู่ชิงเกอสามารถแบ่งปันให้กับลูกน้องอย่างเท่าเทียมกันได้ไม่ว่าจะเป็นชุดเกราะป้องกัน ยา หรืออสูรเวหา นางก็ล้วน แต่จะจัดเตรียมให้กับพวกเขา เป็นเพียงแค่เรื่องช้าเร็วก็เท่านั้นที่ไม่เท่ากัน

“ขอรับ! นายน้อย!”

“องครักษ์ปีกมังกรคำนับนายน้อย!”

สามคนนั้นชันเข่าเดียวลงกับพื้น น้อมรับการจัดการจากมู่ชิงเกอ

สายตาของมู่ชิงเกอย้ายจากร่างของพวกเขาผ่านไปทางมั่วหยาง แล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า “พวกเจ้าเร่งรีบฝึกปรือ จดจำไว้ว่าจุดมุ่งหมายของข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่เป็นแผ่นดินที่กว้างกว่านี้ แข็งแกร่งกว่านี้”

“ขอรับ นายน้อย!”

“ขอรับ คุณชาย!”

ทุกคนประสานเสียง

ทุกคนทยอยแยกตัวออกจากห้องโถงใหญ่

“ศิษย์พี่เหมย ยังมีเรื่องอะไรหรือไม่?” มู่ชิงเกอมองไปที่เขาแล้วเอ่ยถาม

เหมยจื่อจ้งค่อยๆ ส่ายหน้าเอ่ยกับนางว่า “ข้าเพียงแต่อยากจะแน่ใจว่าเจ้าจะไม่เป็นไรจริงหรือไม่ หากว่าเจ้ารู้สึกอึดอัด…”

เขาเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ได้พูดต่อ

มู่ชิงเกอเพียงแค่ฟังก็รู้แล้วว่าเขาหมายถึงเจียงหลี

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างเศร้าสร้อย นัยน์ตามีร่องรอยของความเจ็บปวดวาบผ่าน เพียงแต่นางซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ได้ดีมาก นางเอ่ยกับเหมยจื่อจ้งว่า “หากข้าพูดว่าไม่เป็นอะไร ท่านก็คงจะไม่เชื่อ แต่ว่าเรื่องก็ได้ดำเนินมาถึงตรงนี้แล้วข้าแอบซ่อนตัวพักจิตใจไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ยังไม่สู้เพิ่มพูนกำลังของตนเอง ไม่ยอมให้เรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นได้อีก จะได้สามารถไปตามหาเจียงหลีได้เร็วมากขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็จะต้องหานางให้พบให้ได้!”

“ข้าเชื่อเจ้า” นัยน์ตาของนางฉายแววแน่วแน่ เหมยจื่อจ้งพยักหน้ารับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version