Skip to content

พลิกปฐพี 331

ตอนที่ 331

ยอมจำนนหรือตาย!

เวลาหนึ่งเดือน พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วครึ่งหนึ่ง ภายในครึ่งเดือนที่ผ่านมาในที่สุดมู่ชิงเกอก็มีท่าทางดูเหมือนเจ้าเมืองขึ้นมาบ้าง เริ่มที่จะตามงานได้ทัน

การซ่อมแซมเมืองได้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว เริ่มต้นตั้งแต่หลายวันก่อน ภายในเมืองได้รับสมัครคนใช้ แล้วก็เริ่มจัดเตรียมงานต้อนรับแขก

มู่ชิงเกอไปดูอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าเซวี่ยนหย่าและเสวี่ยหยาร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี ไม่เพียงแต่ฝึกสอนมารยาท ทั้งยังจัดการทุกอย่างด้วยความเรียบร้อย

โย่วเหอและฮวาเยวี่ยก็จัดเตรียมที่พักอาศัยไว้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็จัดระเบียบข่าวสารที่ใหม่ที่สุดในโลกแห่งยุคกลางส่งมาที่นางทุกวัน

หยินเฉินทำภารกิจซ่อมแซมเมืองเรียบร้อยแล้วก็เปลี่ยนไปรับผิดชอบการสร้าง ‘ชั้นหนึ่ง’

ชั้นหนึ่ง เป็นสิ่งที่เจียงหลีเคยเสนอขึ้นมาอันนั้น หอประมูลพิเศษของลั่วซิงเฉิง ใช้ประมูลศาลตราชั้นยอด ของตระกูลซางแล้วก็ยังมีโอสถเป็นหลัก!

เหตุใดจึงเรียกว่า ‘ชั้นหนึ่ง’ งั้นหรือ?

นั้นก็เป็นเพราะว่าในตอนที่หยินเฉินมาหามู่ชิงเกอนั้น นางขี้เกียจที่จะขยับสมอง จึงพูดออกไปว่า ‘ชั้นหนึ่ง’ จากนั้นชั้นหนึ่งถึงได้กำเนิดขึ้น ความหมายก็คือหากต้องทำก็ต้องทำให้เป็นที่หนึ่ง

ช่วงเวลาของงานเลี้ยงทั้งสอง ชั้นหนึ่งจะจัดงานประมูล ดังนั้นจึงมีหลายเรื่องที่ต้องจัดเตรียม

“คุณชาย ที่ต่อแถวอยู่ด้านล่างก็คือหลิวเค่อที่มาเพียงลำพัง ตอนนี้กองทัพมังกรซ่อนก็ได้รับสมัครคนมาเจ็ดพันคนแล้ว ยังขาดอีกสามพันคน” ภายในหอคอยบน กำแพงเมือง มั่วหยางมองดูคนต่อแถวยาวด้านนอกเป็นเพื่อนมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอเอามือไพล่หลังยืนอยู่หน้าหน้าต่าง ยืนสังเกตเงียบๆ

ผ่านไปไม่นาน นางถึงได้เอ่ยปากว่า “เรื่องรับสมัครคนอย่าได้เร่งรีบจนเกินไป ที่ข้าต้องการก็คือทหารที่มีความสามารถ ไม่ต้องการให้มีอีกาปะปนมา ดังนั้นเรื่องนิสัย เจ้าจะต้องดูอย่างเคร่งครัด ดีกว่าปล่อยให้หลุดรอดเข้ามา”

“ขอรับ คุณชาย” มั่วหยางเอ่ยเสียงเข้ม

สายตาของมู่ชิงเกอค่อยๆ เลื่อนไปตกอยู่บนร่างของเขา เอ่ยถามว่า “ยังมีเรื่องจะพูดกับข้าอย่างนั้นหรือ?”

มั่วหยางเม้มริมฝีปาก เพิ่มความกล้าแล้วพูดออกไปว่า “บ่าวอยากจะคอยตามรับใช้อยู่ข้างกายคุณชาย”

“เจ้าคิดจะละทิ้งเรื่องขององครักษ์เขี้ยวมังกรอย่างนั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วถามออกไป

ท่าทีของมั่วหยางมืดครึ้มลง “เรื่องขององครักษ์เขี้ยวมังกร ยังสามารถมอบให้คนอื่นรับผิดชอบได้ มั่วหยางเพียงคิดที่จะอยู่ข้างกายคุณชาย ทำตามคำสั่งคุณชาย”

“เจ้าอยู่ที่นี่ต่อก็สามารถทำตามคำสั่งได้เหมือนกันนี่” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอกวาดไปมองนอกหน้าต่าง

“แต่ว่า…”

“มั่วหยาง ข้ารู้ความคิดของเจ้า” มั่วหยางยังไม่ทันได้ พูดกลับถูกมู่ชิงเกอขัดจังหวะ นางเอ่ยว่า “ครั้งนี้ข้าพ่ายแพ้อย่างยับเยินจริงๆ เกือบจะสูญสิ้นชีวิต แต่ว่าข้าก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายมีสภาพดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ เจ้าคิดจะติดตามข้า เป็นหยวนหยวนคนที่สองอย่างนั้นหรือ? เพียงแค่ความคิดนี้ของเจ้า ข้าก็ไม่เอาเจ้ามาไว้ข้างกาย แล้ว พวกเจ้าไม่ใช่โล่กันธนูให้ข้า ชีวิตของพวกเจ้าก็ไม่ได้มีไว้สละเพื่อข้า”

ในใจของมั่วหยางหดหู่ เขาคิดอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ว่าความรู้ที่เคยร่ำเรียนมาทั้งหมดหลายปีในสถานศึกษา ตอนนี้กลับไม่มีประโยชน์เลยสักนิด

มู่ชิงเกอพูดขึ้นอีกว่า “ทำเรื่องที่ข้ามอบหมายให้ทำให้ดีก็ถือว่าจงรักภักดีต่อข้าแล้ว ต่อไปก็ยังมีโอกาสที่จะได้ต่อสู้ร่วมกัน”

“ขอรับ คุณชาย” มั่วหยางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดก็ละทิ้งความตั้งใจก่อนหน้านี้

เขาถอยไปอีกด้าน ส่วนในตอนนี้สายตาของมู่ชิงเกอกลับจับจ้องไปยังเงากลุ่มคนที่กำลังมาจากที่ไกลออกไป

นางหรี่ตาลง มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มสมใจ “คนที่สมควรมา ในที่สุดก็มาแล้ว”

ในตอนที่ลั่วซิงเฉิงปรากฎขึ้นในสายตาของมู่หย่วนนั้น ความตกตะลึงภายในส่วนลึกของนัยน์ตาเขาก็ยากที่จะแอบซ่อน

ใครก็คิดไม่ถึง ว่าผู้สืบทอดที่เดินทางออกมาจากหลินชวนคนหนึ่ง จะสามารถใช้เวลาเพียงสั้นๆ สร้างเมืองอันใหญ่โตเมืองหนึ่งขึ้นมาภายใต้สถานการณ์ที่กองกำลังต่างๆ ในโลกแห่งยุคกลางกำลังต่อสู้กันอยู่ได้?

หากไม่มีความกล้าหาญและความสามารถเพียงพอ เกรงว่าแม้แต่เขาก็คงไม่อาจหาญและไม่สามารถทำได้!

เขาเองก็คิดไม่ถึงว่า มู่เฉินและมู่เผิงนำทรัพยากรครึ่งหนึ่งของตระกูลมู่วนไปมารอบหนึ่ง สุดท้ายแล้วจะมายอมจบอยู่ที่นี่

ไม่เพียงแต่มู่หย่วนเท่านั้นที่ถูกความทรงพลังของเมืองทำให้ตกตะลึง แม้แต่บรรดาคนของตระกูลมู่คนอื่นๆ ที่ติดตามเขามาก็ล้วนแต่ตกตะลึงเช่นเดียวกัน

“นายน้อย คู่มือของท่านผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย!” ด้านหลังของมู่หย่วน มีชายหนุ่มที่รูปร่างดูองอาจกล้าหาญ หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความแน่วแน่เดินตามมาด้วยคนสนิทที่อยู่ข้างกายของเขา กำลังกระซิบอยู่ที่ข้างหูของเขา

เขาก็คือมู่เฟิ่ง!

คนที่พวกมู่เฉินพูดถึงว่ามีความสามารถธรรมดา แต่กลับมีคุณสมบัติของประมุขน้อยแห่งตระกูลมู่

ระดับพลังฝึกปรือของ เขาในตอนนี้ก็อยู่เพียง แค่ระดับสีเทาชั้นหก ห่างจากมู่ชิงเกอออกไปไกล

ครั้งนี้ คนของตระกูลมู่มาทั้งหมดสิบคน ล้วนแต่เป็นคนที่มีความสำคัญในตระกูลมู่ทั้งสิ้น

“พี่ใหญ่มู่หย่วน ที่นี่เป็นเมืองของนายน้อย ไม่เพียงแต่เท่านั้น นายน้อยยังครอบครองกองกำลังหลิวเค่อระดับนภากองหนึ่ง และก็ได้เพาะเลี้ยงขึ้นมาเองกับมือ นอกจากนั้น นายน้อยยังเป็นอาจารย์หลอมศาสตรา เป็นหลานนอกแซ่ของตระกูลซาง ตอนนี้ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพที่ทำให้แตกตื่นกันไปทั้งภาคตะวันตกก็เป็นเขาหลอมออกมา ข้าสามารถบอกท่านได้เลยว่า นายน้อยมาถึงตระกูลซางเรียนวิชาการหลอมศาสตราได้ไม่ถึงครึ่งปีเท่านั้น” มู่เฉินเอ่ยกับมู่หย่วน

เขาไม่ได้รู้เลยว่า วิชาหลอมศาสตราของมู่ชิงเกอนั้นได้เริ่มเรียนมาจากหลินชวน

แต่ว่า นี่ก็ไม่ได้ขัดขวางเขาไม่ให้บอกเล่าถึงความสามารถของมู่ชิงเกอให้มู่หย่วนฟัง

มู่หย่วนถอนหายใจ เอ่ยกับมู่เฉินว่า “ดูแล้ว การพบเจอครั้งนี้ดูเรียบสงบ แต่กลับซ่อนความแหลมคมเอาไว้”

มู่เฉินขบริมฝีปากพูดกับมู่หย่วนว่า “พี่ใหญ่มู่หย่วน ความจริง เมื่อข้าคิดดูแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอย่างนั้นหรือ? ข้าได้พบเจอผู้สืบทอดผู้นั้นของดินแดนแห่งเทพมารแล้ว พูดอย่างไม่เกินจริง หากว่าเสี่ยวเฟิ่งต่อกรด้วย เกรงว่าคงไม่อาจต้านทานได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใดต้องสูญเสียภายในต่อไป ลดทรัพยากรให้น้อยลงด้วยเล่า?”

นัยน์ตาของมู่หย่วนฉายแวววาววาบ เอ่ยกับมู่เฉินว่า “รอพบเจอนายน้อยมู่ชิงเกอที่เจ้ายกย่องชมเชยไม่ขาดปากก่อนค่อยพูดกัน”

เสียงของเขาเพิ่งจะจบลง ลั่วซิงเฉิงก็มีกลุ่มคนขี่ม้าเข้ามา

คนที่มานั้นเป็นคนของมู่เฉิน

พวกเขาพูดกับมู่เฉินแล้วก็ยังมีมู่หย่วนว่า “นายน้อยเชิญทุกท่านไปที่จวนหลักของเมือง และได้จัดเตรียมอาหารคาวหวานเครื่องดื่มไว้พร้อมต้อนรับแล้ว”

มู่หย่วนมองมู่เฉิน เอ่ยกับเขาว่า “นายน้อยมู่ชิงเกอผู้นี้ของเจ้าถือว่าฉลาดไม่น้อยทีเดียว ไม่ได้ส่งคนของตนเองมารับ แต่ส่งคนของเจ้ามา”

“พี่ใหญ่มู่หย่วน อะไรคือคนของข้าคนของเจ้ากัน ตอนนี้พวกเราล้วนแต่เป็นคนของนายน้อยทั้งนั้น” มู่เฉินยิ้ม แล้วพูดออกมา

กลุ่มคนค่อยๆ เดินตามคนและม้าที่มาต้อนรับเข้าไปในลั่วซิงเฉิง

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ถึงสามารถสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่และอลังการของลั่วซิงเฉิง

กลุ่มของมู่หย่วนสามารถพูดได้ว่าเดินมาพร้อมกับใบหน้าอันตกตะลึงตลอดเส้นทางมาจนถึงประตูทางเข้าจวนหลักที่ดูดุจดั่งปราสาท

ประตูที่สูงใหญ่เกือบสิบจั้งค่อยๆ เปิดออก เสวี่ยหยาและเซวี่ยนหย่าแบ่งออกเป็นสองข้าง ย่อกายลงคำนับพวกมู่หย่วน

“สองนางนี้ก็คือสาวใช้ที่มาจากทะเลแห่งทุกข์และทะเลทรายท่องวิญญาณงั้นหรือ?” มู่หย่วนมองเห็นพวกนางสองคนแล้วก็กระซิบถามเบาๆ

มู่เฉินที่อยู่ข้างกายเขาพยักหน้าเล็กน้อย

“ล้วนแต่เป็นสาวงามเลอโฉมอย่างที่คิด” มู่หย่วนพูดออกไปอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ

มู่เฉินเข้าใจในความหมายของเขา เพียงแต่กระซิบเสียงเบาข้างกายของเขาว่า “เพียงแต่ว่า ตามที่ข้ารู้มา นายน้อยไม่เคยแตะต้องพวกนาง และไม่ได้ปฏิบัติต่อพวกนางดีเป็นพิเศษ”

ประโยคนี้ทำให้นัยน์ตาของมู่หย่วนเคร่งขรึมลง

ชายรุ่นเยาว์คนหนึ่ง ถ้าหากว่าสามารถต้านทานความล่อตาล่อใจของความงามได้นั่นก็สามารถแสดงให้เห็นได้ชัดแล้วว่าแตกต่างจากคนอื่น

พวกเขาเดินตามเสวี่ยหยาและเซวี่ยนหย่าเข้าไปในจวน มาจนถึงห้องโถงใหญ่

ในซ้ายขวาของห้องโถงใหญ่ ได้จัดเตรียมอาหารหวานคาวไว้เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังมีสุรา บนตำแหน่งของเจ้าเมืองบนแท่นสูงนั้น มีมู่ชิงเกอที่สวมชุดสีแดงกำลังยืนเอามือไพล่หลังมองดูพวกเขาอยู่

รูปโฉมของนาง ส่องแสงสว่างดุจดงดวงอาทิตย์ในยามกลางวัน ดวงจันทร์และดวงดาวในยามกลางคืน เจิดจ้าเกินกว่าที่จะอธิบายถึงความงามได้

ความอหังการบนหว่างคิ้วกลับไม่ปรากฎร่องรอยของหญิงสาวให้เห็น ใครก็ไม่คิดว่านางเป็นผู้หญิง

“นายน้อย มู่เฉินได้ทำตามคำสั่ง นำประมุขและประมุขน้อยของตระกูลมู่ อีกทั้งยังมีบรรดาผู้อาวุโสต่างๆ มาเป็นแขกของลั่วซิงเฉิงแล้ว” มู่เฉินไปยืนตรงหน้าของมู่ชิงเกอ แล้วโค้งคำนับให้มู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอพยักหน้า เอ่ยกับเขาว่า “ลำบากเจ้ากับมู่เผิงแล้ว”

พูดจบแล้ว นางก็มองไปยังมู่หย่วน และในที่สุดสายตาก็ตกไปอยู่ที่ร่างของมู่เฟิ่ง นางกำลังมองมู่เฟิ่ง

มู่เฟิ่งก็กำลังมองมู่ชิงเกอเช่นกัน

‘เขาโดดเด่นจริงๆ ยืนอยู่ตรงหน้าของเขา ทำให้คนรู้สึกอับอายในความตํ่าด้อย’ มู่เฟิ่งพยายามฝืนตนเองไม่ให้หลบเลี่ยงสายตาขณะที่มู่ชิงเกอกำลังมองมา ลอบเอ่ย ขึ้นในใจ

ส่วนมู่ชิงเกอนั้น ให้ความสำคัญ เป็นพิเศษกับมู่เฟิง เพราะความแน่วแน่บนหว่างคิ้วนั้นของเขา

นางถอนสายตากลับ เอ่ยกับทุกคนว่า “ทุกท่านเดินทางมาไกล ตลอดทางลำบากแล้ว สุราอาหารในวันนี้ได้ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว ขอเชิญทุกท่านนั่งเถอะ”

เพิ่งจะเริ่มต้น ทุกจังหวะการเคลื่อนไหวก็ถูกมู่ชิงเกอควบคุมเอาไว้แล้ว นี่ทำให้ในใจของมู่หย่วนเกิดความลังเลขึ้นมา

เขาลอบส่งสัญญาณให้คนที่นำมาด้วยนั่งลงเงียบๆ ที่ใครที่มัน

มู่ชิงเกอก็กลับไปยังตำแหน่งประธานแล้วนั่งลงพร้อมกัน ที่อยู่ด้วยนั้นยังมีเหมยจื่อจ้ง หยินเฉิน และพวกมั่วหยางสองสามคน

มู่ชิงเกอชูจอกสุราขึ้น เอ่ยกับมู่หย่วนว่า “ประมุขตระกูลมู่ ท่านเป็นประมุขตระกูลมู่ ข้าเองก็เป็นประมุขตระกูลมู่ คงไม่ขอใช้ธรรมเนียมต้อนรับผู้อาวุโสกว่าแล้ว สุราจอกนี้ เพื่อต้อนรับแขกทุกท่านเชิญ!”

พูดจบแล้ว นางก็เงยหน้าดื่มสุราจนหมดจอก

“เกรงใจไปแล้ว” มู่หย่วนก็ไม่สะดวกที่จะถอย ยกจอกสุราตรงหน้าขึ้นมา ดื่มสุราในจอกลงไปพร้อมๆ กับคนอื่นๆ

ดื่มสุราไปสามรอบ มู่ชิงเกอเพียงแต่พูดคุยเรื่องจิปาถะ ท่าทางของนางเช่นนี้ กลับทำให้คนของตระกูลมู่ยิ่งเดาไม่ถูกว่าเขาคิดจะทำอะไรกันแน่

ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็วางตะเกียบในมือลง

แต่การเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อนนี้กลับทำให้ทั้งห้องโถงเงียบลงไป

“ดื่มสุราทานอาหารจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ควรจะพูดเรื่องเป็นการเป็นงานได้แล้ว” มู่ชิงเกอค่อยๆ พูดออกมา

ในที่สุดก็มาแล้ว!

มู่หย่วนมองมู่เฟิงแวบหนึ่ง สองพ่อลูกสบตากันไปมา

คนอื่นๆ ของตระกูลมู่ล้วนแต่รอคอยคำพูดต่อไปของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอยืนขึ้นมาจากตำแหน่งประธาน สองมือไพล่ไว้ที่ด้านหลัง ค่อยๆ เดินออกมา ลงมาตามบันได มายืนอยู่กลางห้องโถง สายตาของนางดูสดใสมองไปยังร่างของมู่หย่วนและมู่เฟิง พูดออกมาอย่างผ่อนคลายว่า “ให้ประมุขและประมุขน้อยตระกูลมู่มาที่นี่ หลักๆ ก็คือมีปัญหาหนึ่งที่คิดอยากจะถาม”

มู่หย่วนและมู่เฟิงยืนขึ้นมาพร้อมกัน เมื่อทั้งสองคนขยับตัว คนอื่นๆ ของตระกูลมู่ก็ยืนขึ้นเช่นเดียวกัน จ้องมองไปยังมู่ชิงเกอเงียบๆ

มู่ชิงเกอยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม ดูเหมือนว่ามองไม่เห็นความหวาดระแวงในดวงตาของพวกเขา ค่อยๆ เอ่ยว่า “ปัญหานี้ง่ายดายมาก เป็นเพียงแค่ทางเลือกเท่านั้น ประมุขตระกูลมู่ ข้าคิดอยากจะถามท่านว่า…”

นัยน์ตาสดใสของมู่ชิงเกอตกไปอยู่บนร่างของมู่หย่วน “ท่านจะเลือกยอมจำนนหรือยอมตาย?”

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกไป พวกของมู่หย่วนก็ชักอาวุธของตนเองออกมาในทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version