ตอนที่ 333
ของขวัญที่มาจากซือมั่ว
ท้องฟ้ายามค่ำคืน ดาวตกลงมาจากฟากฟ้า
ได้เห็นบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์ของลั่วซิงเฉิงอีกครั้ง ในใจของมู่ชิงเกอก็คิดไปถึงคืนแรกที่ได้เห็นลั่วซิงเฉิงครั้งแรก
ลั่วซิงเฉิงในเวลานั้นยังเป็นดินแดนรกร้างอยู่ เป็นเมืองที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีคนอยู่ ต้นไม้ใบหญ้าปกคลุม นางกับซือมั่วเต้นรำกันกลางเมืองอันรกร้าง มาตอนนี้ทั้งเมืองได้ฟื้นฟูกลับสู่ความสว่างไสว ไม่มีกลิ่นอายของความรกร้างอีกต่อไป แต่
ข้างกายของนางกลับไม่มีซือมั่ว
ดวงดาวอันงดงามตกลงมาเหมือนดั่งห่าฝนดาวตก สวยงามเหมือนภาพในความฝัน
บรรดาคนที่เพิ่งเคยมาลั่วซิงเฉิงเป็นครั้งแรก ล้วนแต่พากันวิ่งออกมาจากห้องอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ ยื่นมือออกไปคิดจะรับเอาเหล่าดวงดาวที่ตกลงมาเหล่านั้น
แต่เหล่าดวงดาวเหล่านั้น เมื่อตกลงบนฝ่ามือของพวกเขา กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ดวงดาวสว่างไสว สะท้อนแสงเป็นประกายระยิบระยับ
มู่ชิงเกอยืนอยู่บนปราสาทสูงจึงสามารถมองเห็นรอยยิ้มบนใบทน้าของทุกคนได้
รอยยิ้มนั้นออกมาจากใจและเป็นรอยยิ้มที่ทำให้อยากจะยิ้มตาม
“บางที อาศัยบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์นี้ของลั่วซิงเฉิง ข้ายังสามารถพัฒนาให้เป็นธุรกิจท่องเที่ยวได้ เพื่อจะได้กระตุ้นเศรษฐกิจของลั่วซิงเฉิง” เมื่อเห็นรอยยิ้มจริงใจเหล่านี้ ทำใท้มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มออกมาแล้วพูดกับตัวเอง
ตลอดมานางก็เป็นคนที่พูดอะไรแล้วก็จะทำเลย ในเมื่อเกิดความคิดที่ดีแบบนี้แล้ว แน่นอนว่านางจะไม่วางไว้ด้านข้าง
“ให้หยินเฉินมาพบข้า” นางหันกลับไปเอ่ยกับฮวาเยวี่ยที่เฝ้าอยู่ด้านหลัง
“เจ้าค่ะ คุณชาย” ฮวาเยวี่ยย่อกายลง ถอยออกไปจากห้อง
ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา มู่ชิงเกอเอียงหูฟังเล็กน้อย แล้วเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ คนที่มาไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียว
ไม่นานนางก็มองเห็นฮวาเยวี่ยเดินกลับเข้ามา และรายงานว่า “คุณชาย หยินเฉินมาแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่าระทว่างทางที่มาบ่าวพบกับมู่หย่วนและมู่เฉินสองคน พวกเขาก็มาขอพบนายน้อย ดูเหมือนว่าจะมีธุระ”
มู่เฉินกับมู่หย่วนงั้นหรือ?
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง สั่งการกับฮวาเยวี่ยไปว่า ‘‘ให้หยินเฉินเข้ามาก่อนให้พวกเขาทั้งสองรอสักครู่”
“เจ้าค่ะ” ฮวาเยวี่ยถอยออกไปอีกครั้ง
จากนั้นมู่ชิงเกอก็เห็นหยินเฉินเดินเข้ามา
“ชิงเกอ” หลังจากที่หยินเฉินเดินเข้ามาแล้วก็เดินตรงไปที่ข้างกายของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยกับเขาว่า “ที่เรียกเจ้ามาก็เพื่อให้เจ้าทำเรื่องๆ หนึ่ง” จากนั้นนางก็เล่าความคิดเมื่อครู่ของนางให้หยินเฉินฟัง
หยินเฉินฟังแล้ว นัยน์ตาก็ฉายแวววาววาบ มองไปยังมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ชิงเกอ เหตุใดสมองของเจ้าถึงได้บรรจุความคิดที่เยี่ยมยอดไว้มากมายเช่นนี้?”
เขามาโลกแห่งยุคกลางตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่เคยได้ยินเรื่องที่เกี่ยวกับธุรกิจท่อง เที่ยวเลย
“แค่ก แค่ก” มู่ชิงเกอแกล้งไอกลบเกลื่อนความกระดากใจของตนเอง นี่ไหนเลยจะเป็นความคิดที่เยี่ยมยอดอะไร เพียงแค่ลอกเอาความรู้จากบนโลกย้ายมาใช้ที่นี่ก็เท่านั้นเอง
นางเอ่ยกับหยินเฉินว่า “เรื่องนี้ เจ้าวางแผนคร่าวๆ แล้วสั่งให้ คนด้านล่างทำ จากนั้นก็ไปฝึกปรือเถอะ”
นางรู้สึกผิดที่คอยแต่ให้หยินเฉินทำเรื่องนั้นเรื่องนี่ไม่หยุด ไม่เคยให้เขาได้ ฝึกปรือพลังดีๆ เลย
แต่ว่า ใครใช้ให้คนรอบกายนางมีแต่คนเก่งด้านพลังเยอะ แต่คนที่มีความสามารถด้านการจัดการกิจการการค้ากลับมีน้อยกันเล่า?
“ได้” หยินเฉินพยักหน้า แล้วก็เอ่ยปลอบขึ้นว่า “ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องการฝึกปรือของข้า เจ้าวางใจเถอะ การฝึกปรือของข้าจะไม่ล่าช้าแน่นอน”
“เป็นเช่นนั้นก็ดี” มู่ชิงเกอค่อยๆ พยักหน้าอย่างวางใจ หลังจากที่หยินเฉินจากไปแล้ว มู่เฉินและมู่หย่วนถึงได้เดินเข้ามาในห้องของมู่ชิงเกอพร้อมกัน
“นายน้อย”
“นายน้อย”
ทั้งสองคนเดินเข้ามา แล้วก็คำนับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอพยักหน้าตอบเล็กน้อย แล้วก็เอ่ยกับคนทั้งสองว่า “เรื่องส่วนตัวก็ไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาแล้ว มาหาข้ามีเรื่องอะไรรึ?”
มู่เฉินกับมู่หย่วนสบตากันแวบทนึ่ง สุดท้ายแล้วก็เป็นมู่หย่วนเอ่ยปากขึ้นว่า “เป็นเช่นนี้นายน้อย ในเมื่อข้าก็ได้ยอมจำนนต่อนายน้อยแล้ว สถานการณ์ของตระกูลมู่ในโลกแห่งยุคกลาง ข้าก็จะพูดให้นายน้อยฟังอย่างละเอียดเพื่อให้นายน้อยสามารถคำนวณวางแผนในใจได้”
มู่ชิงเกอพยักหน้า เดินไปยังเก้าอี้แล้วนั่งลงแล้วชี้ไปยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่แล้วพูดกับพวกเขาว่า “นั่งลงพูดกัน”
หลังจากที่มู่เฉินและมู่หยวนนั่งลงแล้ว มู่หย่วนถึงได้เอ่ยว่า “ตระกูลมู่ในโลกแห่งยุคกลางมากบดานอยู่ในโลกแห่งยุคกลางมานานหลายปี สงบเสงี่ยมเจียมตัวเพาะเลี้ยงสั่งสมกำลัง เพราะว่าเรื่องราวเกี่ยวพันไปถึงความแค้นเมื่อหมื่นปีก่อน ดังนั้นพวกเราจึงไม่เคยรับคนนอกเข้ามา ล้วนแต่เป็นคนที่ติดตามมาตั้งแต่ตระกูลเริ่มแรกทั้งหมด ทุกๆ รุ่นจะคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถมาฝึกฝน ดังนั้น นอกจากคนสามร้อยคนที่จากไปกับมู่เฉินแล้ว ตอนนี้ภายในตระกูลมู่ยังมีคนระดับสีเงินอยู่สี่ร้อยคน ระดับสีทองหกคน แล้วก็ยังมีเหมืองศิลาวิญญาณบางส่วน มีทรัพยากร ยังมี…”
พูดมาถึงตรงนี้อยู่ดีๆ มู่หย่วนก็หยุดลงสบสายตากับมู่เฉิน
มู่ชิงเกอมองเห็นการเคลื่อนไหวของพวกเขาแต่ก็ไม่ได้เร่ง
ครู่หนึ่ง มู่หย่วนถึงได้พูดต่อ “นอกจากเหล่านี้แล้ว ตระกูลมู่ ยังมีเหล่าผู้อาวุโสบรรพบุรุษระดับข้ามผ่านอยู่อีกสี่คน แต่ว่าในตอนนี้พวกเขาล้วนแต่ไม่ถามไถ่ถึงโลกภายนอก เก็บตัวฝึกวิชา รอคอยวันที่การแข่งขันของนายน้อยได้ข้อกำหนด แล้วถึงจะออกมา”
“ระดับข้ามผ่านหรือ?” ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกตกตะลึงจึงเอ่ยปากถามออกไป
นั่นก็คือระดับที่เหนือกว่าระดับสีทองงั้นหรือ?
มู่เฉินรู้ว่ามู่ชิงเกอไม่เข้าใจสิ่งนี้จึงพยักหน้าแล้วพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ไม่ผิด ระดับที่เหนือกว่าระดับสีทองยังมีระดับข้ามผ่าน เพียงแต่ว่าระดับข้ามผ่านนี้ไม่ใช่ใครก็จะสามารถผ่านได้ จำเป็นต้องบรรลุเงื่อนไขบางอย่างจนสำเร็จก่อน ระดับข้ามผ่านแบ่งเป็นสามชั้นใช้การผ่านเคราะห์อัสนีสามครั้งเป็นตัวแบ่งเขต ทุกครั้งที่ผ่านเคราะห์อัสนี พลังที่มีก็จะแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น ตอนนี้ในบรรดาผู้อาวุโสบรรพบุรุษระดับข้ามผ่านสี่คน มีเพียงคนเดียวที่ผ่านเคราะห์อัสนีสองครั้ง ส่วนที่เหลือ อีกสามคนล้วนแต่ผ่านเคราะห์อัสนีมาหนึ่งครั้ง แล้วก็กำลังเตรียมตัวเพื่อเคราะห์อัสนีครั้งที่สอง”
“อะไรที่เรียกว่าต้องทำเงื่อนไขบางอย่างสำเร็จก่อนถึงจะสามารถเข้าสู่ระดับข้ามผ่านได้?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเอ่ยถามออกไป
“เรื่องนี้..” มู่เฉินกลับไม่ได้พูดถึงรายละเอียดเพิ่มเติม เพียงแต่เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “รอให้นายน้อยถึงระดับสีทองแล้ว พวกเราก็จะเล่าเรื่องทุกอย่างให้นายน้อยฟังอย่างละเอียด ตอนนี้พูดไปก็จะเร็วเกินไปเสียหน่อย กลับจะยิ่งทำให้นายน้อยเกิดความสงสัยมากขึ้น”
คำพูดเช่นนี้นั้น มู่ชิงเกอได้ฟังมาเยอะมากแล้ว
นางไม่ได้ซักไซ้ต่อ เพียงแต่มองไปยังมู่หย่วน รอคำพูดต่อไปของเขา
มู่หย่วนเอ่ยว่า “พวกเราออกมาในครั้งนี้ แต่เดิมก็เพียงแค่คิด จะพบเจอนายน้อยสักครั้ง เพื่อทำความเข้าใจ แต่กลับคิดไม่ถึง…” เขาส่ายหน้ายิ้มออกมาอย่างขมขื่น “คิดไม่ถึงว่านายน้อยจะลงดาบได้ไวถึงขนาดนี้ เพียงแค่พบหน้ากันก็จัดการเรื่องทุกอย่างจนจบ ดังนั้นข้าจะขอตัวกลับไปรายงานแก่ผู้อาวุโสบรรพบุรุษทั้งสี่คนเสียหน่อย รอพวกเขาออกจากการเก็บตัวแล้ว บางทีอาจจะต้องการพบกับนายน้อยสักครั้ง”
“พวกเขาจะออกจากการเก็บตัวเมื่อไหร่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
สำหรับผู้อาวุโสบรรพบุรุษระดับข้ามผ่านของตระกูลมู่นั้น นางสนใจมาก
มู่หย่วนพูดอย่างไม่แน่ใจว่า “เรื่องนี้ไม่อาจแน่ใจได้ บางทีก็หนึ่งปี และก็มีโอกาสจะเป็นสามสี่ปี หรือห้าปี”
มู่ชิงเกอพยักหน้า “พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ตลอดเวลา รอความครึกครื้นของที่นี่จบลงแล้ว พวกเจ้าก็สามารถกลับไปได้ สมควรทำอย่างไรก็ทำไป หากมีเรื่องอะไรข้าจะส่งคนไปแจ้งพวกเจ้าเอง แน่นอนว่าหากอยากจะอยู่ที่นี่ต่อก็ สามารถทำได้ภารกิจของพวกเจ้าก็คือเร่งพัฒนาฝีมือของตนเอง มิเช่นนั้นหากอิงตามระดับพลังของพวกเราในตอนนี้ หลังจากเข้าไปในแผ่นดินใหญ่แท่งเทพมารแล้ว ก็อาจจะต้องเผชิญกับชะตาถูกคนไล่ล่าสังหาร”
มู่หย่วนพยักหน้าด้วยท่าทีเคร่งขรึม “มู่เฉินได้เล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดแล้วว่านายน้อยได้ผ่านอะไรมาในหานชุ่น ผู้แข่งขันของแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารผู้นั้นไม่ง่ายที่จะต่อกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีคนที่อยู่เบื้องหลังของเขาเหล่านั้นอีก หลังจากที่ข้ากลับไปแล้ว ข้าจะรีบสั่งให้คนทั้งทมดเก็บตัวฝึกวิชาในทันที”
พูดจบแล้วเขาก็ลังเลเล็กน้อยแล้วก็ขอร้องมู่ชิงเกอว่า “นายน้อย ข้าคิดจะให้มู่เฟิงอยู่เรียนรู้ข้างกายของท่าน ไม่ทราบว่าได้หรือไม่?”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เผยรอยยิ้มขี้เล่นออกมา “ได้”
มู่หย่วนนั้นคิดจะเอามู่เฟิงไว้เป็นตัวประกันเพื่อให้นางวางใจและก็เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดี จุดๆ นี้แน่นอนว่ามู่ชิงเกอดูออกได้อย่างง่ายดาย
เมื่อพูดจบแล้ว มู่เฉินและมู่หย่วนก็ออกไปจากห้องของมู่ชิงเกอ
ตอนนี้ สีฟ้ายามคํ่าคืนยิ่งเข้มขึ้น ดวงดาวที่ลอยตกลงมาจากฟากฟ้า ก็ค่อยๆ ลดน้อยลง
มู่ชิงเกอยืดเอวบิดขี้เกียจ ยืนอยู่ข้างเตียงเก็บภาพหมู่ดาวไว้ในสายตา
ทันใดนั้นหว่างเอวของนางก็รู้สึกแน่นขึ้น กลิ่นหอมอันคุ้นเคย ลอยเข้ามาในจมูก นางหันหน้าไปอย่างแปลกใจ ภายในส่วนลึกของนัยน์ตาปรากฏภาพใบหน้าอันหล่อเหลางดงาม
“เจ้ามาแล้ว!” มู่ชิงเกอไม่ได้สัมผัสถึงเลยว่าน้ำเสียงของตนเองเผยร่องรอยของความยินดีและคิดถึงออกไป
ซือมั่วก้มลงมองนาง มุมปากเผยรอยยิ้มออกมา พยักหน้าเล็กน้อย
เขาเพียงแต่ดีดหน้าผากของมู่ชิงเกอเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามเสียงเบาว่า “คิดถึงข้าหรือไม่? ตัวข้านั้นไม่มีสักเวลาสักวินาทีที่จะไม่คิดถึงเจ้า”
คำหวานนี้ทำให้มุมปากของมู่ชิงเกอฉีกยิ้มออก นางมองเขา นัยน์ตาสะท้อนร่องรอยของความไม่ยอมแพ้
ทันใดนั้นนางก็โอบรอบคอของซือมั่ว ดึงเขาลงมา เขย่งเท้าจูบริมฝีปากที่สีเหมือนกับผลเชอร์รี่ของเขา
นัยน์ตาสีอำพันของซือมั่วปรากฎรอยยิ้มออกมา เขาโอบเอวที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาแน่น เพิ่มความดูดดื่มให้แก่จูบนี้
ในจูบนี้รวมไปด้วยความคิดถึงและอาลัยอาวรณ์ความรักที่ห่างไกลกันเช่นนี้ ต้องใช้ความกล้าหาญและกำลังใจมากขึ้นไปอีก ถึงได้ทำให้คนรักทั้งสองคนทะนุถนอมเวลาที่จะได้ใช้อยู่ร่วมกัน
เห็นได้ชัดว่าเพียงไม่ได้พบกันเพียงสองเดือน แต่ความคิดถึงกลับเหมือนกับนํ้าหลากที่ไหลบ่าเข้ามาไม่หยุดหย่อน
ซือมั่วอยากจะกอดร่างที่อยู่ในอ้อมอกให้หลอมรวมเข้ามาในร่างตนเอง ครอบครองไว้ไม่แยกจากกันอีก มู่ชิงเกอก็อยากจะเก็บซือมั่วเอาไว้ในช่องว่าง สามารถไปพบเจอเขาได้ตลอดเวลา
ภายใต้ดวงดาว ทั้งสองคนดำดิ่งเข้าไปในสภาวะลืมตัวตน ใช้การเคลื่อนไหวตรงไปตรงมาแสดงความรู้สึกที่มี ลมหายใจอันอบอุ่น กระจายออกมาระหว่างคนทั้งสองและค่อยๆ แผ่ออกไปเต็มห้อง ราวกับว่าท่ามกลางแสงราตรีกาล จะมีบรรยากาศอันงดงามเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง จุมพิตจนกระทั่งอากาศหายใจในร่างของทั้งสองถูกสูบออกไปจนหมด ลมหายใจถี่กระชั้น รู้สึกเหมือนขาดอากาศ หายใจแล้ว ทั้งสองคนถึงได้ยอมคลายออก
“ข้ามามอบของขวัญให้เจ้า” ซือมั่วเช็ดร่องรอยบนริมฝีปากของมู่ชิงเกอด้วยความอ่อนโยนแล้วยิ้มเอ่ยกับนาง
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยถามด้วยความสนใจว่า “ของขวัญอะไร?”
รอยยิ้มในนัยน์ตาของซือมั่วยิ่งดูเข้มข้นขึ้น เขาเหลือบมองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “ยังจำเรื่องที่ข้าเคยบอกเจ้าครั้งก่อนได้หรือไม่ ว่าจะช่วยเจ้าจับอะไรดีๆ มาเป็นพาหนะให้เจ้าขี่?”
เรื่องนี้นี่เอง!
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอสว่างไสวเปล่งประกาย พยักหน้าในทันที
ซือมั่วยกมือขึ้นสะบัด บนพื้นในห้องก็มีอะไรบางอย่างเพิ่มขึ้นมา
ชั่วขณะนั้น ทั่วทั้งห้องก็พลันปรากฏแสงสีสันสดใสสว่างขึ้น ราวกับมีสมบัติเกิดขึ้นมาบนโลกก็ไม่ปาน
มู่ชิงเกอถูกแสงสีสันสดใสสว่างนั้นทำให้แสบตาจนต้องรีบหลับตาลง ทันใดนั้นเสียงร้องก็ดังขึ้นภายในห้อง กระจายออกไปด้านนอกทำเอาทั่วทั้งลั่วซิงเฉิงได้ยินกันอย่างชัดเจน