ตอนที่ 334
ดวงดาวเป็นพยาน
กี้ซ!
เสียงดังกังวาน ดังออกมาจากห้องของมู่ชิงเกอ และก็สะท้อนอยู่กลางอากาศของลั่วซิงเฉิง ทำให้คนทั้งลั่วซิงเฉิงต่างพากันตื่นขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในปราสาทหรือว่าคนที่อยู่ในเมือง ต่างพากันวิ่งออกมาจากห้อง มองมายังห้องๆ หนึ่งบนปราสาทที่มีสีสันสดใสสะท้อนออกมา
“นั่นคืออะไร?”
“แสงเหล่านี้มาแต่ไหนกัน?”
“นั่นเป็นจวนจ้าวเมือง เหตุใดจึงมีแสงสีสดใสออกมายามคํ่าคืนเช่นนี้ได้?”
“แสงนั้นสวยงามยิ่งนัก!”
คนภายในเมือง พูดคุยกันอย่างตกตะลึง ส่วนภายในจวนเจ้าเมือง มั่วหยางนำพาองครักษ์เขี้ยวมังกรรีบมายังห้องของมู่ชิงเกอ
“คุณชาย!” เขาร้องตะโกนอย่างเคร่งเครียดอยู่หน้าห้อง คิดจะถีบประตูให้เปิดออก
มู่ชิงเกอถูกซือมั่วโอบไว้อยู่ในอ้อมอก มองสิ่งเล็กๆ ที่อยู่บนพื้นอย่างแปลกใจ เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอกก็รวบรวมสติเอ่ยออกไปว่า “ข้าไม่เป็นอะไร พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามา”
นํ้าเสียงของมู่ชิงเกอ ฟังดูแล้วก็ไม่ได้มีอันตราย ดูปกติมาก
นี่ทำให้มั่วหยางวางใจลง แม้ว่าในใจจะเกิดความสงสัย แต่เขาก็ไม่อยากที่จะฝืนคำสั่งของมู่ชิงเกอ ดังนั้นเขาจึงนำองครักษ์เขี้ยวมังกรกลับไป บนเส้นทางก็พบกับคนอื่นๆ ที่เร่งรีบเข้ามาเช่นเดียวกัน หลังจากที่ถ่ายทอดความต้องการของมู่ชิงเกอออกไปแล้ว ทุกคนถึงได้จากไปพร้อมกัน
นอกประตูกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง มู่ชิงเกอถึงได้เบนความสนใจมาอยู่ที่ก้อนแสงสีสันสดใสบนพื้นในห้องอีก
แสงค่อยๆ หายไปกลายเป็น ‘นก’ ตัวหนึ่งปรากฎขึ้นตรงหน้า ของมู่ชิงเกอ
เพียงแต่…
“งดงามเกินไปแล้ว!” มู่ชิงเกอพูดออกมาอย่างตกตะลึง
สิ่งเล็กๆ ตรงหน้า ใหญ่เพียงแค่ฝ่ามือเดียวแต่กลับมีขนหลากสีสัน แม้แต่ปากก็เป็นสีทองอ่อนๆ กรงเล็บก็ดุจดั่งทำมาจากทองคำบริสุทธิ์
บนหัวยังมีมงกุฎขนนกที่สง่างามสั่นไหวเบาๆ ไปตามท่าทาง การเขย่าหัวของมัน
หางยาวงดงาม ขยับไหวตามลม ขนหางยาวเปล่งแสงเจิดจ้า ดุจดั่งเปลวเพลิง ส่องแสงสะท้อนวาววาบออกมา
“นี่เป็นอสูรเวหาอะไรกัน?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
นัยน์ตาของซือมั่วเผยรอยยิ้มออกมา เอ่ยกับนางว่า “นี่เป็นสายพันธุ์พิเศษของเฟิ่งหวง เรียกว่าโชค ใช้เวลาเกิดตายเป็นหมื่นปีของนกฟินิกซ์ถึงจะมีออกมาคู่หนึ่ง” มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองซือมั่ว ยิ้มให้อย่างขี้เล่นเอ่ยว่า ‘‘อีกตัวหนึ่งคงไม่ใช่ว่าอยู่ที่เจ้าหรอกนะ”
ซือมั่วยิ้ม สะบัดมือ สิ่งเล็กๆ อีกตัวตกลงมาต่อหน้าพวกเขาทั้งสองอีกครั้ง
เพียงแต่โชคตัวนี้ไม่ได้มีสีที่น่าตื่นตาตื่นใจเช่นตัวก่อนหน้า แต่เป็นสีดำที่เปล่งประกายสีม่วงออกมา
“พวกมันเป็นคู่กันงั้นหรือ?” มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก เอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ
ภายนอกดูไม่ค่อยจะเหมาะสมกันสักเท่าไหร่เลย ตัวหนึ่งสีสันงดงามสดใส อีกตัวดำขมุกขมัว
“แน่นอน”ซือมั่วยิ้มพยักหน้า
ดูเหมือนว่าจะเป็นการยืนยันคำพูดของเขา เพียงเจ้าสิ่งเล็กๆ ทั้งสองตัวพบหน้ากัน ก็ดูคึกคักขึ้นมาในทันที ไขว้เกี่ยวคอกันและกัน จัดการไซ้ขนคอให้อีกฝ่าย ท่าทีที่ดูหวานชื่นเช่นนี้ทำให้มู่ชิงเกอเชื่อแล้ว
“เหตุใดอีกตัวจึงมีสีดำ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ซือมั่วอธิบายว่า “หมื่นปีจะมีโชคเพียงหนึ่งคู่ ตัวเมียงดงามไร้ใดเปรียบแต่ตัวผู้กลับมืดทึบ แต่ว่า ระหว่างพวกมันนั้นมีความเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งมาก แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในช่องว่างเดียวกัน มันก็สามารถสัมผัสถึงการคงอยู่ของอีกฝ่ายได้อีก ทั้งยังรักเดียวใจเดียว เพียงแค่อีกตัวตาย อีกตัวก็จะไม่ยอมอยู่อย่างโดดเดี่ยว”
มู่ชิงเกอฟังคำอธิบายของเขาจบแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะกะพริบตา เวลานี้โชคตัวเมียที่งดงามก็ส่งเสียงร้องดังกังวานสดใสขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็กางปีกบินออกไป ผ่านข้างกายของมู่ชิงเกอ บินออกไปสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน
เพียงแค่มันขยับ โชคตัวผู้ก็ไม่ยอมโดดเดี่ยว บินตามออกไป โชคสองตัวบินอยู่กลางอากาศอย่างใกล้ชิดสนิทสนม อาบแสงดาวยามคํ่าคืน
ทันใดนั้นรูปร่างของพวกมันก็ใหญ่โตขึ้น จากขนาดเท่าฝ่ามือก่อนหน้านี้กลายเป็นขนาดใหญ่พอที่จะให้คนขี่ได้หลายคน เมื่อเปลี่ยนเป็นใหญ่ขึ้นแล้ว โชคตัวเมียก็ยิ่งงดงามขึ้นไปอีก ส่วนโชคตัวผู้ก็เปลี่ยนเป็นดูสุขุมมั่นคงมากขึ้น
“รีบดูเร็ว! เป็นนกที่งดงามจริงๆ!”
“ใช่เลย! งดงามจริงๆ!”
“นกมาจากไหนกัน?”
“คงไม่ใช่ว่าเป็นพาหนะของเจ้าเมืองของพวกเราหรอกใช่ไหม?”
“งดงามจริงๆ ข้ายังไม่เคยเห็นอสูรเวหาที่งดงามเช่นนี้มาก่อน”
ภายในเมือง ผู้คนยังไม่แยกย้ายไปไหน ล้วนแต่พากันเงยหน้าขึ้นมองนกทั้งคู่ที่บินอยู่เหนือเมือง
มู่ชิงเกอกับซือมั่วยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่ตรงหน้าหน้าต่าง มองไปยังนกทั้งคู่ที่บินอยู่ท่ามกลางดวงดาวเช่นเดียวกัน ความรู้สึกที่ไม่อาจพูดออกมาเป็นคำพูดได้ผุดขึ้นในใจของทั้งสอง
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ โชคนั้นมีความสามารถของนกเฟิ่งหวง เกิดขึ้นใหม่ได้จากเปลวไฟ ไม่มีวันตาย สามารถควบคุมสัตว์ปีกทั้งปวงได้ สามารถส่งคลื่นเสียงและพ่นไฟได้ ดังนั้นมันไม่เพียงแต่จะเป็นพาหนะของเจ้า ในเวลาที่จำเป็น มันก็สามารถต่อสู้เพื่อเจ้าได้” ซือมั่วเอ่ยขึ้นข้างหูของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอพยักหน้า นัยน์ตาสันสดใสของนางสะท้อนภาพเงาร่างของโชค
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์คิดจะลองหน่อยไหม?” เมื่อมองเห็นแววตาที่อยากลองดูของนาง ซือมั่วก็เอ่ยถามออกไป
มู่ชิงเกอพยักหน้าทันที
นางยังไม่เคยมีอสูรเวหาของตนเองมาก่อน
“เจ้าเรียกมันมา” ซือมั่วเอ่ย
มู่ชิงเกอโบกมือให้โชดที่มีสีสันสดใสตัวนั้นทันที โชคตัวนั้นเชื่อฟังมาก ขยับปีกพุ่งมายังมู่ชิงเกอทันที มันมาหยุดอยู่ตรงหน้าหน้าต่าง ส่งเสียงร้องให้มู่ชิงเกอ ซึ่งดูเหมือนเป็นการเชื้อเชิญ
มู่ชิงเกอกระโดด ร่างลอยตัวขึ้น ตกลงไปบนหลังของมัน
หลังจากรอนางนั่งดีแล้ว โชคก็พานางบินออกไปกลางอากาศเหนือลั่วซิงเฉิง
“เป็นท่านเจ้าเมือง!”
“เป็นท่านเจ้าเมืองจริงๆ!”
“เป็นพาหนะของท่านเจ้าเมืองจริงๆ!”
“ก็มีเพียงแต่ท่านเจ้าเมืองลั่วซิงเฉิงของพวกเราเท่านั้นแหละถึงจะมีพาหนะเช่นนั้นได้!”
ประชาชนที่เข้ามาในเมืองใหม่ และเพิ่งจะได้พบหน้ามู่ชิงเกอเมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนี้เห็นนางขี่บนโชคด้วยท่วงท่าที่ดูองอาจอยู่กลางอากาศก็ล้วนแต่พากันคุกเข่าลง ส่งสายตา เคารพนับถือไปให้นาง
ภายในกำแพงเมืองด้านในปราสาท บรรดาลูกน้องและเพื่อนพ้องของมู่ชิงเกอก็ล้วนแต่มองเห็นฉากนี้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่พวกเขาจดจำได้ดีก็คือเงาร่างสีแดงที่แสนเจิดจ้าเงาร่างนั้น
ในที่สุดดาวตกของลั่วซิงเฉิงก็หายไป เวลายามคํ่าคืนกลับคืนสู่ความเงียบสงบ ลึกเข้าไปในภูเขาที่ห่างไกล ค่อยๆ มีแสงสีส้มปรากฎขึ้น
ภายในห้องของมู่ชิงเกอ โชคสองตัวก็หามุมภายในห้องนอน เกี่ยวคอกันนอนต่างเตียง
บนเตียงอันกว้างใหญ่ มู่ชิงเกอเอนตัวราบนอนบนเตียงนุ่ม สายตาสดใสเปล่งประกายมองดูซือมั่ว มือหนึ่งของซือมั่วคํ้าร่างกายของตนเอง มือใหญ่พยุงศีรษะ ผมยาวร่วงตกลงมา นัยน์ตาสีอำพันสะท้อนแต่เงาร่างของมู่ชิงเกอ ไม่มีสิ่งอื่น
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์พวกเราไม่ต้องจากกันไปทุกๆ ภพ ทุกๆ ชาติ ดีหรือไม่?” ทันใดนั้นซือมั่วก็พูดคำพูดที่ทำให้คนหวั่นไหวออกมา
มู่ชิงเกอชะงัก พึมพำว่า “ทุกภพทุกชาติงั้นหรือ?’’
“เจ้าไม่ยินยอมงั้นหรือ?” นัยน์ตาส่วนลึกของซือมั่วฉายแวววุ่นวายสับสนอย่างไม่เคยมีมาก่อน
มู่ชิงเกอส่ายหน้า นางเกี่ยวนิ้วของนางไปบนผมยาวของซือมั่ว เอ่ยเสียงเบาว่า “ทุกชาติทุกภพดูเป็นเรื่องที่เกินจริงไปหน่อย ข้าไม่กล้ารับประกัน มีคนพูดว่า หลังจากคนตายแล้ว ก็จะต้องไปรายงานตัวในสถานที่แห่งหนึ่ง ดื่มนํ้าแกงถ้วย หนึ่งในที่แห่งนั้นก็สามารถลืมเรื่องราวที่ผ่านมาได้ เริ่มต้นชีวิตใหม่”
“ข้าไม่ยอมให้เจ้าลืมข้า!” ซือมั่วตัดบทพูดของนาง คว้ามือของนาง ภายในดวงตาฉายแววตาที่ไม่อาจปฏิเสธได้ออกมา มู่ชิงเกอชะงักมองไปที่เขา ยังไม่ทันได้พูดตอบออกไป
“ข้าไม่ยอม! ข้าไม่ยอม! ไม่ยอม ไม่ยอม ไม่ยอม!” ซือมั่วพูด ซํ้าๅ
เห็นเพียงนางมองมาที่ตนเองไม่พูดจา นัยน์ตาของซือมั่วจึงเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นมาเอ่ยว่า “ไม่ว่าหลังจากตายแล้วจะเป็นอย่างไร ถึงแม้จะมีเพียงแค่เศษเสี้ยวของวิญญาณ ข้าก็จะหาเจ้าให้พบ ทากว่าเจ้ากล้าลืมข้า ข้าจะ…”
“เจ้าจะทำอย่างไร?” ท่าทางที่ดูตึงเครียดของเขาทำให้มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะแกล้งออกไป
“ข้าจะ…” ซือมั่วพูดคำพูดสุดท้ายไม่ออก ทำได้เพียงแต่จับศีรษะนางไว้แล้วก็จูบลงไปอย่างแรงโดยความโมโห
“อื้อ…” การจูบที่แฝงไปด้วยอารมณ์อยากแก้แค้นนี้ทำให้มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะร้องเสียงเบาออกไป ชั่วพริบตานี้ดูเหมือนว่าเขาจะลืมไปแล้วว่าอะไรคือความ อ่อนโยน
การกระทำของเขาป่าเถื่อนและบ้าคลั่งมาก ทำให้ริมฝีปากของมู่ชิงเกอเจ็บขึ้นมา
จนกระทั่งริมฝีปากของนางถูกจูบจนบวมแดงแล้ว ซือมั่วถึงได้ปล่อยนาง
“มู่ชิงเกอเจ้าฟังเอาไว้หากว่าเจ้ากล้าลืมข้าครั้งหนึ่ง ข้าก็จะ ทำให้เจ้ารักข้าอีกครั้งหนึ่ง ลืมข้าสิบครั้งข้าก็จะทำให้เจ้ารักข้าอีกสิบครั้ง! ข้าไม่สนว่าทุกภพทุกชาติจะเป็นอย่างไร ข้าเพียงแต่รู้ว่า ขอแค่สติของเจ้ายังคงอยู่ในโลกทั้งสามพันใบนี้ ก็อย่าได้คิดจะสลัดข้าพ้น!” นัยน์ตาของซือมั่วฉายแววโหดร้ายเอ่ยคำสาบานของตนเองออกมา
“เจ้าข่มขู่ข้าหรือ?” มุมปากของมู่ชิงเกอโค้งขึ้นมา
“ใช่! ข้ากำลังข่มขู่เจ้า! เจ้าลองลืมข้าดูสิ” ซือมั่วเอ่ยออกไป
รอยยิ้มที่มุมปากของมู่ชิงเกอถูกกดลึกลงไปอีก นางย้อนถามซือมั่วว่า “เช่นนั้นหากเจ้าลืมข้าล่ะ?”
“ไม่มีทาง!” ซือมั่วตอบไปโดยไม่แม้แต่จะคิด
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วสูงขึ้น “นี่มันไม่แน่หรอก เรื่องเหนือความคาดหมายเยอะเกินไป และก็ไม่ใช่ว่าพวกเราสามารถควบคุมได้ทั้งหมด? เกิดว่าเจ้าลืมข้าไปจริงๆ เช่นนั้นจะทำอย่างไร?”
ซือมั่วมองนาง เอ่ยอย่างจริงจังว่า “หากว่าข้าลืมเจ้า เจ้าก็ฆ่าข้าได้เลย”
“ฆ่าเจ้า?” มู่ชิงเกอยิ้มก่อนจะหันหัว นางยื่นมือออกไปบีบจมูกของซือมั่วแล้วเอ่ยกับเขาว่า “ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ข้าเพียงแต่จะลักพาตัวเจ้าแล้วส่งไปอยู่ในที่ๆ มีแต่ข้าเท่านั้นที่จะสามารถไปได้ให้เจ้าพบเจอเพียงแต่ข้าคนเดียว ไม่สามารถ
หนีไปไหนได้”
นัยน์ตาของซือมั่วเผยความยินดีออกมา เขาก้มหน้าลง เอาจมูกชนกับจมูกของมู่ชิงเกอเบาๆ เอ่ยกับนางว่า “แม้ว่าข้าจะไม่ได้ลืมเจ้า เจ้าก็สามารถลักพาตัวข้าได้ไม่ต้องพบกับใครอีกเลย พบแต่เพียงเจ้าคนเดียวตลอดไป”
มู่ชิงเกอหัวเราะออกมา นัยน์ตาสดใสเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ข้าต้องการให้เจ้าสาบานต่อดวงดาว ว่าเจ้าจะเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียวทุกชาติทุกภพ ในโลกทั้งสามพันใบนี้ข้ากับเจ้าจะอยู่ด้วยกันเสมอ” ซือมั่วยับยั้งความป่าเถื่อนในร่างกาย เอ่ยร้องขอมู่ชิงเกอด้วยน้ำเสียงที่ดูมีเสน่ห์ยั่วยวน
มู่ชิงเกอมองเห็นการควบคุมยับยั้งภายในส่วนลึกของนัยน์ตาเขา อารมณ์ใกล้จะปะทุขึ้นมา สองมือโอบรอบคอของเขา ดึงเขาเข้ามาใกล้ๆ กระซิบว่า “ข้าสาบาน ทุกชาติทุกภพเจ้ากับข้าจะไม่แยกจากกัน ภายในโลกทั้งสามพันใบ เจ้าอยู่ที่ไหน ข้าก็จะอยู่ที่นั่น จะเทพหรือมารก็ไม่อาจจะพรากเราจากกันได้”
คำพูดของนาง ทำให้ซือมั่วยิ้มออกมาอย่างงดงาม เขาก็กระซิบว่า “ข้าสาบาน จะไม่มีวันทรยศต่อมู่ชิงเกอ ไม่แยกจากกันทุกชาติทุกภพ หากฟ้าขวางข้า ข้าจะทำลายฟ้า หากดินฉุดรั้งข้า ข้าจะทำลายดิน” ทั้งสองคนสบตาแล้วยิ้มให้กันริมฝีปากเชื่อมเข้าหากัน ผ้าม่านเป็นชั้นๆ ปิดกั้นภาพความงดงามบนเตียงที่ทำให้คน หวั่นไหวเอาไว้…