Skip to content

พลิกปฐพี 341

ตอนที่ 341

งานเลี้ยงทั้งสองของลั่วซิงเฉิงเริ่มต้นขึ้นแล้ว

“หากว่าเจ้าเมืองมู่ไป ข้าก็จะไป”

ซีเซียนเสวี่ยโยนเผือกร้อนไปหามู่ชิงเกอ แสดงชัดว่าจะให้มู่ชิงเกอเป็นโล่กันลูกธนูให้

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก มองเห็นความแค้นเคืองในนัยน์ตาทั้งคู่ของซีเซียนเสวี่ย เอ่อ…แค้นเคืองหรือ? ทำไมถึงมาส่งสายตาแค้นเคืองให้นางเล่า? นางไม่ได้ล่วงเกินนางเสียหน่อย!

อา! เอาเถอะ ก่อนหน้านี้เคยล่วงเกินครั้งหนึ่ง แต่ว่าก่อนหน้านี้นางก็ยังถูกธิดาเทพนางนี้ทำให้เสียเปรียบ ซื้อเอายาทะลวงขอบเขตของนางไปอย่างง่ายดายแล้วนี้

และก็ถือว่าไม่ติดค้างกันแล้ว!

มู่ชิงเกอกำลังคิดเรื่อยเชื่อยก็มองเห็นจีเหยาฮั่วมองมาที่นางด้วยสีหน้าสอดรู้สอดเห็น

ดูเหมือนว่ากำลังใช้สายตาสอบถามว่าเขากับซีเซียนเสวี่ยนั้นมีความสัมพันธ์อะไรกัน

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุกขึ้นอย่างรุนแรง เผยรอยยิ้มให้ไม่กี่คนนั้น “ขอโทษด้วย ข้ายังมีเรื่องมากมายที่จำ เป็นต้องจัดการไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนกับทุกท่านได้แล้ว ขอลา”

พูดแล้วนางก็รีบออกไปจากที่นี่อย่างชาญฉลาด

เพียงแค่เขาเดินจากไป ในใจของซีเซียนเสวี่ยก็ทั้งรู้สึกโมโหและรำคาญ เอ่ยกับจีเหยาฮั่วด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดว่า “ในเมื่อเจ้าเมืองมู่ไม่ไป ข้าก็ขอลาละ”

พูดแล้วก็พาสาวใช้ทั้งสองของนางจากไป ทิ้งไว้แค่เพียงร่องรอยของเงาแผ่นหลังเพรียวบาง

จีเหยาฮั่วไม่ได้ขัดขวาง เพียงแต่หลังจากนางไปแล้ว ก็ใช้นิ้วมือลูบคาง ครุ่นคิดแล้วพึมพำว่า “ข้าได้กลิ่นของความรู้สึกบางอย่าง!”

อิ๋งเจ๋อกวาดตามองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยปากขึ้นว่า “ข้าได้กลิ่นของพวกชอบนินทา”

จีเหยาฮั่วชะงัก ตอบกลับไปในทันทีว่า “หรือว่าเจ้ามองไม่ออกว่าธิดาเทพซีนั้นปฏิบัติต่อชิงเกอแตกต่างไป? ทั้งปฏิกิริยาของชิงเกอก็ดูแปลกๆ”

แต่อิ๋งเจ๋อกลับพูดด้วยเสียงที่เย็นชาว่า “ดูไม่ออก ข้ารู้แต่เพียงว่า ถ้าหากเจ้าคิดจะฆ่าน้องมู่ของเจ้า ก็เชิญเข้าไปพัวพันเรื่องนี้เลย”

พูดแล้วเขาก็ออกจากประตูชั้นหนึ่งไป เหลือไว้แค่เพียงภาพแผ่นหลังอันเย็นชาไว้ให้จีเหยาฮั่ว

เอ่อ!

จีเหยาฮั่วยืนตัวคนเดียวอยู่ที่เดิม ครุ่นคิดถึงคำพูดของ อิ๋งเจ๋ออย่างละเอียด ในที่สุดก็เข้าใจ พึมพำกับตนเองว่า “เกือบลืมไปเลย! ซีเซียนเสวี่ยเป็นธิดาเทพแต่งงานไม่ได้ หากว่าพัวพันกับคนไหนแล้ว เกรงว่าคนๆ นั้นคงจะต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่าสังหารจากทั้งตำหนักเทพและตระกูลซีเป็นแน่”

เขาถอนหายใจ ดีใจที่ตนเองรู้ตื่นขึ้นได้เร็ว

แต่ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป พุ่งไปหามู่ชิงเกอ ในใจเอ่ยว่า ‘ไม่ได้! ข้าจะต้องไปเตือนชิงเกอ ไม่อาจปล่อยให้เขาตกหลุมของธิดาเทพนั้นจนสูญเลียสติจากนั้นก็ทำเรื่องโง่ๆ ได้!’

ในตอนที่จีเหยาฮั่วตามหามู่ชิงเกอในจวนเจ้าเมืองพบแล้วนั้น มู่ชิงเกอก็จัดการงานชิ้นสุดท้ายเสร็จพอดี

“ชิงเกอ ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยนะว่า ธิดาเทพนั่นไม่อาจยุ่งเกี่ยวด้วยได้หากว่าเข้าไปข้องเกี่ยวจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นได้!”

เพียงแค่พบหน้า จีเหยาฮั่วก็รีบเตือนในทันที

มู่ชิงเกอมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด พูดไปประโยคหนึ่งว่า “ข้าดูแล้วเป็นเจ้าต่างหากที่คิดจะข้องเกี่ยว”

“ไอ้หยา ตอนนั้นข้าแค่เลอะเลือนไปชั่วขณะ ลืมสถานะของนางไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าธิดาเทพไม่สามารถแต่งงานได้? เจ้าเชื่อฟังพี่ใหญ่จี อย่าไปคิดถึงธิดาเทพซีนั่นอีก เจ้าดูข้างกายของเจ้าก็มีสาวงามไม่น้อย ไยต้องไปยุ่งกับนางจนทำให้ตำหนักเทพโมโหด้วยเล่า?” จีเหยาฮั่วเอ่ย

มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างจนปัญญาว่า “ข้าไม่ได้คิดจะเกี้ยวพานาง และก็จะไม่เกิดเรื่องที่เจ้ากังวลขึ้นด้วย”

“เจ้าแน่ใจนะ?” จีเหยาฮั่วซักไซ้อย่างไม่วางใจ

มู่ชิงเกอพยักหน้า “แน่ใจ!”

นางก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วจะไปจีบซีเซียนเสวี่ยทำไม?

“เอาเถอะ เจ้ารู้ขอบเขตก็ดีแล้ว ข้าก็จะไม่พูดมากแล้ว” จีเหยาฮั่วพูดจบแล้วถึงได้จากไป

มองเห็นแผ่นหลังของเขาแล้วมู่ชิงเกอก็ยิ้มออกมา คนผู้นี้หากเพิ่งได้รู้จักนั้นก็จะรู้สึกว่าเหมือนคนบ้าคนหนึ่ง เอาแต่ใจตนเอง แต่มาตอนนี้เมื่อคุ้นเคยกันแล้วกลับไม่ได้มีความคิดชั่วร้ายอะไร

วันที่สอง บรรดาผู้ที่มีเทียบเชิญต่างพากันมารวมตัวอยู่ที่จวนจ้าวเมืองลั่วซิงเฉิง มาถึงลั่วซิงเฉิงหลายวัน วันนี้ถึงเป็นวันสำคัญ!

หนึ่ง ก็คือลั่วซิงเฉิงจะประกาศการจัดตั้งเมืองอย่างเป็นทางการแก่โลกภายนอกทั้งจะประกาศนโยบาย สอง ก็คือยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพชิ้นใหม่ล่าสุดของตระกูล ซาง จะเปิดให้ทุกคนได้ชมในลั่วซิงเฉิงวันนี้!

มีกี่คนกัน ที่มาเพราะเรื่องที่สองนี้?

วันนี้ ภายในจวนเจ้าเมืองของลวซิงเฉิง มีบรรดาคนสำคัญของฐานกำลังของทั้งโลกแห่งยุคกลางรวมตัวกันอยู่

“ทุกท่าน เชิญ!”

ด้านนอกจวนเจ้าเมือง เขี้ยวมังกรเรียงกันเป็นสองแถว สาวใช้จำนวนนับไม่ถ้วนดุจดังผีเสื้อสีชมพูเดินอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขานำแขกเข้าไปในจวน นำไปยังที่นั่งที่จัดวางเอาไว้

งานเลี้ยงไม่ได้ถูกจัดภายในห้องโถง

แต่เป็นจัดบนลานกว้างนอกห้องโถง ที่นี่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับคนที่มาและก็ยังเหลือที่ว่างเพียงพอสำหรับจัดแสดง

ไม่นาน คนที่มีเทียบเชิญทุกคนก็เข้ามาในจวนเจ้าเมือง แล้วก็นั่งลงบนที่นั่งของตนเอง

กลางลานนั้น ธูปหอมที่ถูกใช้กำหนดเวลาในที่สุดก็ถูกจุดขึ้น

และก็หมายถึงว่างานเลี้ยงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

สาวใช้ภายในจวนเจ้าเมืองล้วนแต่รับผิดชอบเติมจอกสุราบนโต๊ะของแต่ละคนให้เต็ม

ในระหว่างที่ทุกคนกำลังรอคอย มู่ชิงเกอก็นำพากลุ่มคนมาปรากฎต่อหน้าทุกคน นางสวมชุดแดง สวมเกราะหนังทับ ดูองอาจ รูปลักษณ์สง่างาม ทำให้ทั้งงานเลี้ยงดูมีสีสันขึ้นไม่น้อย

ตามมาด้านซ้ายและขวาของนางนั้น ด้านหนึ่งเป็นคนของตระกูลซาง อีกด้านหนึ่งเป็นมั่วหยาง หยินเฉิน เหมยจื่อจ้ง มู่เฉิน เซวี่ยนหย่า เสวี่ยหยา โย่วเหอและอื่นๆ คนที่คอยอยู่ด้วยกันกับนางมาตลอดทาง

ไป๋สี่ไม่ได้มา เพราะว่านางไม่ชอบการรวมตัวเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นมู่ชิงเกอเอ่ยปาก นางก็เลือกที่จะหลบอยู่ในห้องมืดทึบนอนต่อไป

ดังนั้น มู่ชิงเกอจึงไม่ได้ฝืนใจนาง

จิงไห่ก็ไม่ได้มา นับตั้งแต่รู้ข่าวของหยวนหยวนแล้ว เขาก็เปลี่ยนเป็นเงียบขรึม ฝึกซ้อมทุกวันไม่หยุด ฝึกฝนจนดูเหมือนปีศาจบ้าคลั่งก็ไม่ปาน ไม่ได้มีกะจิตกะใจมาร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้เลย มู่ชิงเกอยืนอยู่ตรงหน้าตำแหน่งเจ้าเมือง กวาดตามอง ไปยังบรรดาแขกรอบด้าน ภายในคนเหล่านี้ ส่วนมากล้วนแต่เป็นคนที่นางไม่รู้จัก แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางอารมณ์ที่ดีในวันนี้ของนาง

“ทุกท่าน ขอต้อนรับเข้าสู่ลั่วซิงเฉิง” มู่ชิงเกอพูดออกมา นางใส่พลังจิตลงในเสียง ทำให้คนทั่วทั้งลั่วซิงเฉิงล้วนแต่ได้ยิน

แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในจวนเจ้าเมืองก็ได้ยินที่นางพูด “ข้าคือมู่ชิงเกอ เป็นเจ้าเมืองของลั่วซิงเฉิง ลั่วซิงเฉิงเป็นเมืองของเขี้ยวมังกรและก็เป็นเมืองของข้า บางทีก่อน หน้านี้ทุกท่านอาจจะไม่รู้ว่าภายในโลกแห่งยุคกลางยังมีเมืองนี้อยู่ แต่ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานบนผืนดินอันกว้า ใหญ่แห่งนี้ทุกๆ คนจะต้องรู้จักลั่วซิงเฉิงอย่างแน่นอน และจะต้องได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของมัน!”

เมื่อคำพูดของมู่ชิงเกอจบลง ภายในและนอกของลานกว้างก็มีเสียงแตรทุ้มตํ่าดังขึ้น

แตรเหล่านี้ทำขึ้นจากเขาของสัตว์อสูรวิญญาณ เกิดเป็นเสียงตํ่าและยาวไกลออกไป ดังก้องออกจากลั่วซิงเฉิงไม่หยุด สะท้อนไปทั่วฟ้า ในตอนที่เสียงแตรเงียบลง มู่ชิงเกอถึงได้เอ่ยต่อว่า “แน่นอนว่าในบรรดาทุกท่านคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เชื่อในคำพูดของข้า และก็คงจะหัวเราะเยาะในใจที่ข้าไม่รู้จักประมาณตนเอง ไม่รู้จักหนักเบา ไม่ต้องรีบร้อน เพราะเรื่องราวจะพิสูจน์ทุกอย่างด้วยตัวมันเอง พวกท่านเพียงแต่ต้องจำเอาไว้ว่า วันนี้เป็นวันที่ลั่วซิงเฉิงประกาศตัวไปทั้งใต้หล้า ข้าก็ขอต้อนรับบรรดาผู้กล้าผู้มีความสามารถเข้ามาสู่ลั่วซิงเฉิงมาร่วมสร้างความรุ่งโรจน์ไปพร้อมกับพวกเรา!”

ปัง! ปัง ปัง!

ดอกไม้ใฟสีสันสดใสระเบิดขึ้นบนท้องฟ้า ดึงดูดให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นไปมอง

คำพูดของมู่ชิงเกอไม่ได้ยืดยาว และก็ไม่ได้ให้คนได้มีโอกาสเสียดสีอะไร เพราะว่านางได้พูดแล้วว่า ไม่สนใจว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เรื่องราวก็จะพูดแทนเอง ก่อนที่เรื่องราวจะปรากฎนั้น ทุกความสงสัยและดูแคลนก็ล้วนแต่ไม่มีความหมาย

เช่นนี้แล้วก็ทำให้คนที่อยากจะพูดเสียดสีสักหลายประโยคไม่อาจเอ่ยปากได้

มู่ชิงเกอกวาดตามองดูปฏิกิริยาของทุกคน มุมปากเผยรอยยิ้มขึ้นมา

เมื่อดอกไม้ไฟจบลงและกลับสู่ความเงียบสงบนั้น นางก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “วันนี้นอกจากจะประกาศเรื่องการก่อตั้งลั่วซิงเฉิงอย่างเป็นทางการแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่จะบอกทุกคน เรื่องนั้นก็คือต่อไปยุทธภัณฑ์ที่ตระกูลซางหลอมขึ้น จะขายเพียงแต่ในลั่วซิงเฉิงเท่านั้น นอกจากลั่วซิงเฉิงแล้ว สถานที่อื่นๆ ก็จะไม่มียุทธภัณฑ์ของตระกูลซางขายอีก”

เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นในหมู่ผู้คนในทันที!

“อะไรนะ!”

“สามารถทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?”

“นี่ต้องการจะผูกขาดนี่!”

“ไม่ผิด! เป็นการผูกขาด” มู่ชิงเกอรับคำวิพากษ์วิจารณ์ เอาไว้มุมปากของนางฉีกออกยิ้มเอ่ยกับทุกคนที่กำลังตกตะลึงว่า “ดังนั้น ต่อไปหากทุกท่านยังคิดอยากจะได้ยุทธภัณฑ์ของตระกูลซาง ก็ทำได้เพียงแต่ต้องมาที่ลั่วซิงเฉิงของข้าเท่านั้น แน่นอนว่าหากเป็นการสั่งจองจำนวนมาก ทุกท่านก็สามารถไปคุยกับตระกูลซางได้โดยตรง ประมุขตระกูลซางก็อยู่ที่นี่”

มู่ชิงเกอชี้ไปที่ซางซุ่นหวาง นัยน์ตาของซางซุ่นหวางแฝงไปด้วยรอยยิ้มมองดูมู่ชิงเกอ ก้าวออกมายืนต่อหน้าผู้คนแล้วเอ่ยว่า “ทุกท่าน ข้าก็คือประมุขตระกูลซาง ซางซุ่นหวาง ชิงเกอเป็นหลานนอกแซ่ของข้าแล้วก็เป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลซางในพันปีที่ผ่านมานี้ เขาพูดไม่ผิด นับ ตั้งแต่วันนี้ไป ยุทธภัณฑ์ของตระกูลซางทุกชิ้นล้วนแต่จะมีลั่วซิงเฉิงเป็นผู้จัดการทั้งหมด และก็จะมีการตั้งร้านขายศาสตรารวมไปถึงร้านรับซื้อวัตถุดิบหลอมศาสตราขึ้นภายในลั่วซิงเฉิงด้วย”

หานฉายไฉ่นั่งอยู่ในกลุ่มคน หลังจากได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นขึ้นมา ถูกมู่ชิงเกอทำเช่นนี้ ธุรกิจหอสรรพสิ่งของเขาก็เกรงว่าคงจะตกตํ่าลงด้วย แต่ว่าเขาก็ไม่สามารถพูดโต้แย้งอะไรได้ เหตุผลนั้นไม่ใช่แค่เพียงเขาไม่มีเหตุผลที่จะโต้แย้ง แต่ยังเป็นเพราะคนที่จะทำเรื่องนี้นั้นเป็นมู่ชิงเกอ!

“หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าลั่วซิงเฉิงจะกลายเป็นที่พักระยะยาวของพวกเราเหล่าหลิวเค่อไปน่ะสิ?” มีคนหัวเราะเอ่ยออกมา

ดูจากคำพูดของเขาแล้วน่าจะเป็นหลิวเค่อคนหนึ่ง

มู่ชิงเกอยิ้มๆ พยักหน้าเอ่ยว่า “ไม่ผิด! ที่ลั่วซิงเฉิงมีก็คือโอกาสทางการค้า ส่วนที่ลั่วซิงเฉิงขายเป็นหลักก็คือ ศาสตราและโอสถ ไม่ว่าจะเป็นชนิดไหนก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ เหล่าหลิวเค่อชอบทั้งนั้น”

พูดในสิ่งที่ควรพูดไปจนหมดแล้ว มู่ชิงเกอหันกายไปมองผ้าไหมสีแดงที่แขวนอยู่ด้านหลังบนผนังห้องโถงใหญ่

นางยกมือขึ้น ดึงผ้าไหมสีแดงลงมา เผยให้เห็นของที่มันซ่อนเอาไว้

“นี่คืออะไร!”

“ดูเหมือนจะเป็นรูปสลัก!” บรรดาแขกในงานเลี้ยง ล้วนแต่ค่อยๆ ทยอยพากันยืน ขึ้นมาเงยหน้ามองไปบนผนัง

บนผนังแขวนของชิ้นหนึ่งที่ดูคล้ายกับโล่เหล็กสีดำ บนเหล็กสีดำนั้นยังสลักตัวอักษรหนึ่งเอาไว้ ตัวอักษรนั้นไม่มีใครรู้จัก ดูคล้ายรูปภาพ ทั้งยังดูคล้ายอักษร แต่ว่ากลับจำได้ง่ายมาก

ข้างตัวอักษรยังสลักรูปสลักอันงดงามเอาไว้ ทำให้เหล็กสีดำทั้งขึ้นดูองอาจอหังการ!

“นี่เป็นเครื่องหมายรูปสลักของลั่วซิงเฉิง แสดงถึงตราประจำเมืองของลั่วซิงเฉิง! ” มู่ชิงเกอชี้ไปที่เหล็กสีดำชิ้นนั้น แล้วพูดแนะนำกับทุกคน

เมื่อสิ้นเสียงของนาง ทุกคนก็เพิ่งจะค้นพบว่าบนร่างของสาวใช้ที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายของตนเองนั้นล้วนแต่ปักลวดลายขนาดเล็กที่ละเอียดอ่อนและเป็นเอกลักษณ์เหมือนกันกับเครื่องหมายรูปสลักขนาดใหญ่บนผนังนั้น

เลย

“ตอนนี้ลั่วซิงเฉิงก็ได้ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว เช่นนั้น ต่อไปก็คือเรื่องอย่างที่สองที่ต้องทำ!” ประโยคนี้ของมู่ชิงเกอเพิ่งจะหลุดออกไปก็ทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version