Skip to content

พลิกปฐพี 342

ตอนที่ 342

ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพปรากฎสั่นสะท้านหัวใจคน!

“ต่อไป เป็นเรื่องที่สองที่ต้องทำ!” คำพูดประโยคนี้ของมู่ชิงเกอ ทำให้ทุกคนต่างเกิดความคาดหวัง แขกนับพัน ล้วนแต่ตื่นเต้นขึ้นมา รอคอยช่วงเวลาที่ตั้งตารอมากที่สุด

“เจ้าเมืองมู่ โปรดเร็วหน่อยเถอะ! พวกเรารอมานานแล้วนะ!”

“ใช่แล้ว เจ้าเมืองมู่ พวกเราเดินทางมานับพันลี้ก็เพื่อจะได้เห็นยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพด้วยตาตนเองสักครั้ง ท่านก็อย่าถ่วงเวลาอีกต่อไปเลย!”

“ไม่ผิด ไม่ผิด! เจ้าเมืองมู่ได้โปรดเร็วเถอะ!”

เพิ่งจะสิ้นเสียงของมู่ชิงเกอรอบด้านก็เกิดเสียงเร่งเร้าขึ้นมา

เสียงเร่งเร้าเหล่านี้ ส่วนมากล้วนแต่มาจากทางเหล่าหลิวเค่อ และก็มีเพียงแค่หลิวเค่อเท่านั้นที่จะตะโกนโวยวายและไม่สนใจถึงสถานการณ์เช่นนี้หากมองไปยัง คนของบรรดาตระกูลต่างๆ ส่วนมากก็ล้วนแต่นั่งอยู่กับที่อย่างสงบ รักษาความสง่างาม แม้ว่าในใจจะรอคอยไม่ต่างกันแต่ก็ไม่ได้เปิดเผยออกมาแม้แต่น้อย

มู่ชิงเกอกวาดตามองไป ท่าทีของทุกคนอยู่ในสายตา นางทั้งหมด

นางยิ้มแล้วก็ยกมือขวาของตนเองขึ้นมา

ตอนนี้เองทุกคนถึงได้สังเกตเห็นว่า บนนิ้วมือขวาของนางนั้นสวมปลอกนิ้วสีเงินที่งดงามมากอยู่อันหนึ่ง บนปลอกนิ้วยังมีลวดลายสลักสีทองสวยงามอยู่ อีกทั้งดู แหลมคมมากทีเดียว

“ทวนหลิงหลง?” แน่นอนว่าหานฉายไฉ่จดจำอาวุธของมู่ชิงเกอได้ แต่กลับขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ที่เขารู้มานั้นทวนหลิงหลงเป็นยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ เปลี่ยนเป็นยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

ไม่เพียงแต่เขาที่จำได้บรรดาคนที่เคยประลองกับมู่ชิงเกอโดยใช้ทวนหลิงหลงเช่นจีเหยาฮั่วและซีเซียนเสวี่ยก็ต่างจำได้

ในใจของพวกเขาล้วนแต่เกิดความแปลกใจ นัยน์ตาฉายแววครุ่นคิด

เพราะว่าในความทรงจำของพวกเขานั้น ทวนหลิงหลงเป็นเพียงแค่ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ ไม่ใช่ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพ

แต่ว่ามู่ชิงเกอไม่มีทางเอายุทธภัณฑ์ชั้นเทวะมาแอบอ้างว่าเป็นยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพอย่างแน่นอน

บรรดาคนที่รู้จักที่มาของทวนหลิงหลงนั้นล้วนแต่นิ่งเงียบลง รอดูเงียบๆ

ตอนนี้เอง มือขวาของมู่ชิงเกอก็เกิดแสงสีทองสว่างขึ้น แสงสว่างนั้นแสบตามาก ทำให้คนอดไม่ไหวจนต้องหลับตาลง หลบเลี่ยงจากแสงนั้น

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงหึ่งๆ ดังขึ้น บรรดาแขกตกตะลึง ค่อยๆ มองไปยังอาวุธของตนเอง แล้วถึงพบว่าเสียง ‘หึ่งๆ’ นั้นดังออกมาจากอาวุธของตนเอง อาวุธของพวกเขาเริ่มที่จะสั่นสะท้านและส่งเสียงอย่างหวาดกลัวออกมาไม่หยุดในทันทีที่แสงบนนิ้วของมู่ชิงเกอปรากฎขึ้น เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!

ชั่วขณะนั้นเอง ก็ทำให้บรรดาแขตตกตะลึง สีหน้าเปลี่ยนไป

ส่วนในตอนนี้ แสงสว่างที่สะท้อนตานั้น ก็ทะยานออกมาจากบนมือขวาของมู่ชิงเกอ พุ่งไปยังกลางลานกว้าง เงาร่างวาบไป ทวนยาวแหลมคมเล่มหนึ่ง ตั้งเหยียดตรง ปรากฎขึ้นในสายตาของทุกคน

ทวนเล่มนี้ ตัวทวนเหมือนผลึกใสโปร่งแสง ดุจดั่งหยดนํ้า เปล่งประกายแสงออกมา

ดูเหมือนสีทองและสีเงิน ทั้งยังเป็นประกายเหมือนมีเจ็ดสีดูระยิบระยับมาก

ทวนเล่มนี้หลอมขึ้นมาอย่างมีเอกลักษณ์ ส่วนหัวของทวนทั้งซ้ายและขวาล้วนแต่มีคมดูแหลมคมมาก ระหว่างกลางยังมีคมมีดพระจันทร์เสี้ยวเชื่อมต่อกัน ตัวทวนขยับไปตามลมดูสง่างามและบ้าคลั่ง

ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างก็ประหลาดใจมาก

ทันใดนั้น ทวนหลิงหลงก็พุ่งทะยานขึ้นไปลู่ท้องฟ้า ลอยตัวอยู่กลางอากาศ เปล่งประกายเยียบเย็นออกมา ชี้ตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับจะท้าทายสวรรค์

ครืน!

ทันใดนั้น ท้องฟ้าที่สดใสก็เปลี่ยนสีในทันใด ท้องฟ้ามืดดำลงมา ลมพายุก็พัดเข้ามาจากนอกเมืองพัดจนดินทรายในเมืองลอยตลบ

“ท้องฟ้าถึงกับเปลี่ยนสีแล้ว!”

“นี่คืออำนาจขของยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพงั้นหรือ?’’

ภายในลมพายุ ทุกคนล้วนแต่พากันจับจ้องไปที่ทวนสีเงินที่แขวนลอยอยู่กลางอากาศเล่มนั้นพร้อมกับใบหน้าที่แสดงอาการตกตะลึง

มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยมองไปยังทวนหลิงหลง นางก็คิดไม่ถึงว่าทวนหลิงหลงจะสร้างการเคลื่อนไหวที่ใหญ่โตขนาดนี้ออกมาได้

“ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพมีจิตวิญญาณ! มันกำลังแสดงอำนาจ! แสดงอำนาจต่อสวรรค์!” ซางซุ่นหวางพึมพำพูดออกมา

เขามองไปที่มู่ชิงเกอ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยกับนาง ว่า “เกอเอ๋อร์ทวนเงินเล่มนี้ของเจ้าไม่ใช่ของธรรมดาจริงๆ เพิ่งจะเกิดมาไม่นาน ก็กล้าท้าทายอำนาจสวรรค์ เสียแล้ว ช่างเข้ากับนิสัยของเจ้าจริงๆ”

มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปากแน่น ในใจเอ่ยว่า ‘ท้าทายอำนาจสวรรค์งั้นหรือ?’

มุมปากของนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอันบ้าคลั่ง ไม่ว่าจะเป็นทวนหลิงหลง หรือว่าหยวนหยวนก็ ล้วนแต่เข้าใจจิตใจของนางดี

ชิ้ง!

ทันใดนั้นเสียงดังสดใสก็ดังออกมาจากทวนหลิงหลง

เสียงนี้ดูเหมือนกับเสียงสัญญาณสั่งการทหาร อาวุธของบรรดาแขกนับพันกว่าคน รวมไปถึงอาวุธที่อยู่ในเมืองทุกชิ้นต่างพากันลอยขึ้นมาในตอนนี้ เข้าไปโอบล้อม หมุนรอบตัวทวนหลิงหลง ยอมจำนนต่อมัน

“อา! อาวุธของข้า!”

“ดาบของข้า!”

“กระบี่ของข้า!”

“ค้อนของข้า!”

การเคลื่อนไหวของอาวุธทำให้คนนับพันบนลานกว้างตกตะลึง พวกเขาตะลึงมองไปยังทวนสีเงินที่ดูอหังการเล่มนั้น อดไม่ได้ที่จะเกิดความหวาดเกรงขึ้นมา

หานฉายไฉ่ค่อยๆ ยืนขึ้นมา เงยหน้าดูทวนหลิงหลง

ตอนนี้เขามองออกแล้วว่า ทวนหลิงหลงอันนี้กับที่เขาเคยรู้จักนั้นไม่เหมือนกันแล้ว ถ้าหากพูดว่าทวนหลิงหลงในก่อนหน้านี้ยังเป็นสิ่งไม่มีชีวิตจิตใจ เช่นนั้นทวนหลิงหลงในตอนนี้ก็ได้กำเนิดใหม่กลายเป็นสิ่งที่มีชีวิตจิตใจแล้ว!

‘มู่ชิงเกอ เจ้าได้ผ่านเรื่องน่ากลัวอะไรมากันแน่?’ ภายในนัยน์ตาเรียวยาวของหานฉายไฉ่ฉายแวววาววาบ เขาแน่ใจว่าถ้าหากทวนหลิงหลงยังดีๆ อยู่ มู่ชิงเกอจะไม่หลอมมันขึ้นมาใหม่อย่างแน่นอน ตอนนี้มันถูกหลอมขึ้นมาใหม่จากยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะกลายเป็นยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพ ก็หมายความว่า ก่อนหน้านี้มู่ชิงเกอได้ผ่านการต่อสู้ที่ยากลำบากมาสนามหนึ่ง แล้วทวนหลิงหลงถูกทำลาย

นี่ทำให้นางต้องหลอมมันขึ้นมาใหม่

เขารู้สึกปวดใจ เพราะว่าเขาไม่รู้ว่ามู่ชิงเกอนั้นได้ผ่านอะไรมา และก็แค้นตนเองที่ไม่ได้อยู่ข้างกายของนางในตอนที่นางต้องการคนเคียงข้างมากที่สุด

ครืน!

ทันใดนั้นบนท้องฟ้าก็ปรากฏแสงวาววาบ สายฟ้าเต็มไปทั่วท้องฟ้าดูน่าหวาดกลัว

“อา!”

“นี่คืออะไร!”

“ต้องเป็นเพราะยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพท้าทายสวรรค์ทำ ให้สวรรค์พิโรธ ดังนั้นจึงจะลงโทษกำราบมัน!”

“ข้าไม่เคยเห็นสายฟ้าที่เยอะขนาดนี้มาก่อน”

ท้องฟ้าสีดำมืดครึ้มส่งความกดดันลงมา

สายฟ้าที่เต็มไปทั่วฟ้า ดุจดงตาข่ายสายฟ้าที่เกี่ยวพันกันไปมา โอบคลุมทั้งลั่วซิงเฉิงเอาไว้ ฉากสวรรค์ลงทัณฑ์นี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา กังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ

แต่ในตอนที่พวกเขามองไปยังมู่ชิงเกอที่ยืนอยู่บนแท่นนั้น กลับพบว่าเขายืนตัวตรง เรือนร่างดูอาจหาญดุจดั่งทวนหลิงหลงที่ชี้ตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า เผยความดื้อรั้นออกมา

นัยน์ตาของซีเซียนเสวี่ยมองไปทางมู่ชิงเกอ ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้นางคิดอะไรอยู่ ยิ่งไม่มีใครรู้ว่าในตอนนี้นั้น เงาร่างสีแดงได้สะท้อนอยู่ในนัยน์ตาส่วนลึกของนาง สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด

อิ๋งเจ๋อก็มองไปยังมู่ชิงเกอเช่นเดียวกัน ท่าทางแน่วแน่และเด็ดเดี่ยวนั่นทำให้เขาคิดไปถึงครั้งแรกที่ทั้งสองคนได้พบกัน

เวลานั้น ด้วยพลังเพียงน้อยนิดของมู่ชิงเกอกลับกล้าที่จะยืนอยู่ต่อหน้าเขาต้านทานสามกระบวนท่าจากเขา

สุดท้ายที่สำคัญก็คือ เขากลับรับเอาไว้ได้!

ดูเหมือนว่านับจากวินาทีนั้นเป็นต้นมา เขาก็เริ่มที่จะให้ความสนใจกับคนที่ไม่เหมือนคนทั่วไปคนนี้แล้ว ตอนนี้เขายืนอยู่ภายใต้ฟ้าร้อง เผชิญหน้ากับสวรรค์ กลับยังคงนิ่งสงบ ไม่มีร่องรอยของความหวาดกลัว นี่ทำให้ส่วนลึกของนัยน์ตาที่เย็นชาของเขามีเปลวเพลิงลุกโหมขึ้นมา

คู่มือเช่นนี้! ถึงเป็นคู่มือที่หาได้ยาก!

เหยาชิงไห่ที่ปะปนไปกับผู้คน มองไปที่มู่ชิงเกอเหมือนตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ

วันนี้ที่พบหน้าก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจขึ้นอีกแล้ว ดูเหมือนมู่ชิงเกอในตอนนี้กับเมื่อวานตอนที่พบในชั้นหนึ่ง นั้นไม่เหมือนกัน ดูเหมือนว่าทุกๆ บทบาทของมู่ชิงเกอล้วนแต่สามารถดึงดูดสายตาของผู้คนให้สนใจได้เสมอ

บรรดาผู้คนต่างพากันแยกไม่ออกแล้วว่าทวนเงินและมู่ชิงเกอที่ยืนตรงเผชิญหน้ากับสวรรค์อย่างหยิ่งผยองนั้น ใครเป็นทวนและใครเป็นคนกันแน่ พวกเขายังไม่เคยพบเห็นเจ้าของและทวนระดับเทวะคู่ไหนที่มีนิสัยเข้ากันเช่นนี้มาก่อน!

ไม่สิ เป็นทวนระดับมหาเทพ!

ครืน!

บนท้องฟ้ามีเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง

สวรรค์กำลังคำรามด้วยความโกรธดูเหมือนกำลังเตือนทุกคนว่ามันต่างหากที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ มันต่างหากที่เป็นกฎแห่งธรรมชาติ!

สายฟ้าใหญ่เท่าแขนคน แหวกท้องฟ้าสีมืดดำลงมา ราวกับว่าแยกท้องฟ้าออกเป็นสองส่วน

“อา!”

“ระวัง!”

“รีบวิ่งเร็ว!”

สายฟ้าตกลงมา ทั่วทั้งลานกว้างตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย

องครักษ์เขี้ยวมังกรรีบรักษาความสงบเรียบร้อยในทันที มู่ชิงเกอมองเห็นฉากนี้นัยน์ตาที่สดใสก็เข้มขึ้นโบกมือเอ่ยขึ้นว่า “ทุกท่านอย่าได้ตื่นตระหนก!”

เสียงของนางเพิ่งจะเปล่งออกไป ทุกคนก็หยุดชะงักในเวลาเพียงพริบตานั้น สายฟ้าก็นำความพิโรธจากสวรรค์ฟาดลงมายังทวนหลิงหลง

ครืน!

ชั่วเวลานั้น ทั่วทั้งลั่วซิงเฉิงก็ดูเหมือนกับถูกสายฟ้าเข้าโอบล้อม

“รีบดูเร็ว!”

มีคนร้องขึ้นอย่างหวาดกลัว

เพราะการร้องเตือนของเขา ทุกคนถึงได้พบว่า ทวนหลิงหลงที่เหยียดตรงยืนอยู่ระหว่างสวรรค์และโลกกลับดูดซับสายฟ้าที่ตกลงมานั้นเอาไว้ เมื่อสายฟ้าเหล่านั้น ตกลงบนร่างของมันก็ดุจดั่งก้อนหินตกลงไปในทะเลลึก

กลายเป็นเงียบสงบ

ครู่หนึ่งสายฟ้าที่เต็มไปทั่วท้องฟ้าก็หายไป ท้องฟ้ากลายเป็นสดใสอีกครั้ง

แต่ที่ไม่เปลี่ยนก็คือทวนหลิงหลงนั่น ที่ดูเหมือนกับจิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อชี้ตรงไปยังท้องฟ้า

“สมกับเป็นยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพจริงๆ!” ผู้นำของกลืนจันทร์ที่มาตามนัด เพื่อดูเมืองของเขี้ยวมังกรเอ่ยขึ้นมาอย่างตะลึง

ผู้นำของร้อยอัคคีก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “น่าเสียดายที่ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพได้มีเจ้าของไปแล้ว พวกเราก็ทำได้แต่เพียงมอง”

“ข้าเคยได้ยินว่ายุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพมีจิตวิญญาณ เพียงแค่ยอมรับเจ้าของแล้วจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หากว่าเจ้าของมอดม้วย มันก็เลือกที่จะหลับลึก ผนึกความแหลมคมของตนเอง หรือไม่ก็ทำลายตนเองตามเจ้าของไป” ผู้นำยักษ์วิถีเอ่ย

ทั้งสามคนนี้ล้วนแต่มองไปยังทวนหลิงหลงและมู่ชิงเกอด้วยความอิจฉา

ทันใดนั้น ผู้นำของกลืนจันทร์ก็หันมาเอ่ยกับอีกสองคนว่า “แตกไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสครอบครองยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพเช่นนี้” ผู้นำของร้อยอัคคีและยักษ์วิถีพยักหน้าในทันที เข้าใจความหมายของเขา

ผู้นำของยักษ์วิถียิ้มแล้วเอ่ยว่า “ดูแล้ว ต่อไปพวกเราต้องสร้างไมตรีที่ดีกับเขี้ยวมังกรไว้เสียแล้ว สร้างความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้โดยเฉพาะกับผู้ที่อายุยังน้อยแต่กลับมีความสามารถที่เหนือลํ้าอย่างเจ้าเมืองมู่”

“เช่นนั้นการแบ่งเหมืองศิลาวิญญาณหลังสองปีนั้น พวกเรา…” ผู้นำของร้อยอัคคีมองไปยังทั้งสองคนอย่างลังเล

ทั้งสามคนสบตากันแวบหนึ่งก็เข้าใจกัน

สุดท้าย ผู้นำของกลืนจันทร์ก็ไอออกมาเบาๆ เอ่ยกับอีกสองคนว่า “รายละเอียดนั้นถึงเวลาแล้วค่อยพูดกันเถอะ”

ภายในลั่วซิงเฉิง ท้องฟ้าที่มืดมนสว่างใสขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ทุกที่เจิดจ้าไปทั่ว

ทันใดนั้น ทุกคนก็คิดถึงอาวุธของตนเองขึ้นมา เมื่อรีบมองออกไปกลับพบว่าอาวุธของตนเองเริ่มปรากฎความเสียหายเพราะทวนหลิงหลง

มีคนร้องตะโกนขึ้นมาอย่างร้อนใจว่า “เจ้าเมืองมู่รีบเก็บทวนระดับมหาเทพเล่มนี้ไปเถอะ! หากยังไม่เก็บ อาวุธของพวกเราอาจจะพังได้!” พวกเขานั้นมาชมดู ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพ แต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าต้องสละอาวุธของตนเอง

“ใช่ใช่ใช่! รีบเก็บไปเถอะ!”

“พวกเราไม่ดูแล้ว! รีบเก็บไปเถอะ!”

ความเร่งรีบของทุกคนทำให้มู่ชิงเกอยิ้มออกมาบางๆ นางกวักมือเรียกทวนหลิงหลง ตะโกนขึ้นว่า “หลิงหลง!”

ชั่วขณะนั้น ทวนหลิงหลงก็ดูเหมือนกับเด็กน้อยที่เชื่อฟัง พริบตาเดียวก็พุ่งมาที่ตรงหน้าของนางทำตัวใกล้ชิดสนิทสนม

“พอแล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างอ่อนโยน

ทวนหลิงหลงถึงได้เกิดเป็นแสงและกลายเป็นปลอกนิ้วมือสวมอยู่บนนิ้วมือขวาของมู่ชิงเกออีกครั้ง

ทวนหลิงหลงถูกเก็บกลับไป บรรดาอาวุธเหล่านั้นถึงได้ตกลงมา

องครักษ์เขี้ยวมังกรรีบเข้าไปเก็บอาวุธเหล่านั้นขึ้นมา จากนั้นก็แบ่งพวกมันออกไปตามหาเจ้าของ

งานเลี้ยงชื่นชมผลงานในครั้งนี้ทำให้คนที่มาร่วมงานตะลึงอย่างไม่อาจจะลืมเลือนได้

รอจนทุกอย่างเสร็จสิ้นลงแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้เผยรอยยิ้ม ออกมา พูดกับทุกคนว่า “ที่สมควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ที่สมควรเห็นก็ได้เห็นแล้ว เช่นนั้นก็เริ่มดื่มกินกันเถอะ! ทุกคนวางใจได้ ลั่วซิงเฉิงมีอาหารและเครื่องดื่มเพียงพอสำหรับทุกคน!”

ภาษาของนางนั้นพื้นๆ เข้าใจได้ง่าย ทำให้เหล่าหลิวเค่อล้วนแต่พึงพอใจหัวเราะร่า

แม้แต่บรรดาคนของตระกูลต่างๆ ก็ล้วนแต่ยิ้มบางๆ อย่างจนใจ

ไม่ว่าจะเป็นใคร มู่ชิงเกอก็ล้วนแต่ไม่สนใจ

แต่เดิมนางก็ไม่ใช่พวกปัญญาชนสุภาพเรียบร้อยอะไรอยู่แล้ว แน่นอนว่าอย่าได้หวังจะให้นางพูดคำพูดที่ดูสวยหรูเหล่านั้นออกไป

หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง เหล่าแขกที่มาก็ทยอยพากันเดินทางออกจากลั่วซิงเฉิง

แต่นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นการเริ่มต้น

มู่ชิงเกอยืนอยู่บนกำแพง ใช้สายตาส่งเงาแผ่นหลังของผู้คนจากไป นางเชื่อว่า นับตั้งแต่วันนี้ไป ลั่วซิงเฉิงจะต้องเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งขึ้นทุกวัน

“เจ้าเมืองมู่ ประมุขน้อยของพวกเราให้ข้านำคำพูดประโยคหนึ่งมาบอกท่าน” คนที่ดูเหมือนองครักษ์คนหนึ่งปรากฎอยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอในทันใดแล้วเอ่ยกับ นางด้วยความเคารพ

“ประมุขน้อยของเจ้า?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น

“ขอรับ!” องครักษ์ผู้นั้นหลุบตาเอ่ยตอบ แต่กลับไม่ได้บอกชื่อประมุขน้อยของตนเองออกมา

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เอ่ยถามว่า “ประมุขน้อยของเจ้าต้องการจะพูดอะไรกับข้าหรือ?”

“ประมุขน้อยของข้าพูดว่า อีกสองปีครึ่งให้หลังสำนักวิถีโอสถแห่งภาคตะวันออกจะเปิดรับศิษย์ กว่างานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถจะเริ่มก็ยังมีเวลาอีกสามปี เขาจะรอท่านที่ภาคตะวันออก” เมื่อองครักษ์คนนั้นพูดจบก็โค้งกายถอยออกไป ปะปนเข้าไปกับฝูงคน เพียงไม่นานก็ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอย

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง พึมพำว่า “ภาคตะวันออก? สำนักวิถีโอสถ งานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ”

ทันใดนั้นนัยน์ตาของนางก็เบิกกว้างขึ้น เผยประกายแสงออกมา เอ่ยเสียงเข้มว่า “เหยาชิงไห่!”

“ชิงเกอ” ทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงร้องเรียกดังขึ้น

มู่ชิงเกอเก็บงำความคิดกลับ หันไปมองคนที่มาแล้วเผยรอยยิ้มให้เขา “ศิษย์พี่เหมย”

เหมยจื่อจ้งพยักหน้าเบาๆ ยืนอยู่บนกำแพงกับนาง ใช้สายตาส่งคนที่กำลังจากไป ครู่หนึ่งเขาถึงเอ่ยขึ้นว่า

“ตอนนี้เรื่องของลั่วซิงเฉิงและตระกูลซางก็ได้มาถึงจุดที่ดำเนินต่อไปเองได้แล้ว ต่อไปเจ้าวางแผนไว้อย่างไร?”

“ต่อไปงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอมองออกไปยังท้องฟ้าไกลออกไป มุมปากของนางฉีกออกเป็นรอยยิ้มบางๆ “เมื่อครู่มี คนมาบอกข้าว่า สำนักวิถีโอสถจะเปิดรับศิษย์หลังจากนี้ไปสองปีครึ่ง เช่นนั้นในสองปีนี้ข้าก็จะตั้งใจฝึกฝน”

พูดจบแล้วนางก็มองเหมยจื่อจ้ง เหมยจื่อจ้งก็มองมาที่นางเช่นกัน ความเข้าใจกันเงียบๆ ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องส่งผ่านเข้าหากัน รอยยิ้มบางๆ ได้แสดงทุกอย่างออกมาแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version